xs
xsm
sm
md
lg

นางแบบข้ามเพศสายเลือดไทย “มีมี่ เทา” ชื่อนี้ดังไกลระดับโลก!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เธอคือนางแบบสาวประเภทสองที่ไปโด่งดังบนรันเวย์ระดับสากล “New York Fashion Week 2017” พชรณัฏฐ โนบรรเทา หรือตอนนี้ใครหลายคนรู้จักในชื่อ มีมี่ เทา
โชว์แรก New York Fashion Week 2017
หากพูดถึงเส้นทางการเดินแบบของมีมี่ เทาแล้ว กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะเธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลากหลายอย่าง ทั้งคำดูถูกเหยียดหยาม ความกดดันเพราะการเป็นสาวประเภทสองและไม่มีต้นทุนอะไร

แต่ด้วยความพยายามบวกกับความไม่ย่อท้อ ทำให้มีมี่ เทากลายเป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในต่างแดน บนรันเวย์ระดับโลกได้สำเร็จ ปัจจุบันเธอสังกัด Slay Model Management (สเลย์ โมเดล แมเนจเมนต์) สังกัดที่มีนางแบบนายแบบข้ามเพศชื่อดังของสหรัฐอเมริกา และ RED Model ประเทศไทย

   • มีมี่ เทา ชื่อนี้ได้แต่ใดมา

มาจากที่บ้านมี่ส่วนใหญ่ ชื่อจะเป็น ม.ม้ากันหมดเลยค่ะ แต่เราชื่อ “เดี่ยว” อยู่คนเดียว ซึ่งถ้าชื่อว่า “เดี่ยว” ฝรั่งก็จะออกเสียงไม่ถูกเท่าไหร่ แล้วการจะเป็นนางแบบ อยากให้คนจดจำ ชื่อเราก็ต้องจำได้ง่ายด้วย ประมาณว่าเห็นหน้าปุ๊บ จำได้เลย ถ้าให้เขาเรียกชื่อจริงของเราว่า พชรณัฏฐ โนบรรเทา ก็คงจะยากไป ไม่ใช่เราไม่ภูมิใจที่เป็นคนไทยนะคะ แต่ชื่อจริงเราเรียกยากมาก ไม่มีทางจำได้แน่นอน ซึ่งมีมี่ก็ง่าย แล้วเทามาจากนามสกุลเรา ก็เลยใช้ชื่อมีมี่ เทา เลยค่ะ

   • ชีวิตก่อนจะมาเป็นมีมี่ เทา นางแบบข้ามเพศโกอินเตอร์ในวันนี้

ชีวิตในวัยเด็ก มี่มีเรียนที่โรงเรียนคาทอลิกมาก่อนค่ะ พอจบชั้น ป.6 ก็ได้มาบวชเรียนต่อ เนื่องจากทางบ้านประสบปัญหาทางด้านการเงิน ประจวบกับตัวเราอยากศึกษาเรื่องธรรมะ ชอบศาสนาด้วย ก็เลยได้บวชเรียน ซึ่งการบวชเรียนของเราสามารถแบ่งเบาภาระของทางบ้านได้ เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างจะประหยัดกว่าเดิมมาก แต่ไม่ใช่ว่าบวชเรียนแล้วการศึกษาจะถดถอยลงนะคะ เพราะว่าในนั้นก็จะมีการเรียนแบบปกติ อย่างวิชาวิทยาศาสตร์ ภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร์ คือเหมือนภาควิชาปกติที่เด็กคนอื่นได้เรียนเลย แต่จะเพิ่มเข้ามาคือภาษาบาลีสันสกฤต นักธรรม

มี่บวชเรียนตอนอายุ 11 ปีขวบ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าโตขึ้นอยากไปทำอะไร แนวไหน ยังไม่ทราบว่าตัวเองเป็นเพศที่สามด้วย ยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเองว่าเราเป็นอะไรเพราะเรายังเด็ก แต่เราก็มีคำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย ซึ่งเราพยายามปฏิเสธตัวเองอยู่ว่าเราไม่ใช่ ซึ่งพอเราได้เข้าไปอยู่ในวัดซึ่งเป็นที่สงบ เพราะเราบวชเรียนที่วัดกลางป่า ห่างไกลจากความเจริญ เราก็เลยเริ่มมารู้ตัวตอนช่วง ม.2-ม.3 เพราะเวลาที่เราอยู่ในวัดเราได้มีเวลากับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากจะทำอะไร แต่ก็บวชเรียนจนจบถึง ม.6 ค่ะ

   • พอรู้ตัวว่าตัวเองมีจิตใจเป็นสาวประเภทสองแล้ว ชีวิตเป็นยังไงต่อคะ

พอจบ ม.6 มี่ก็ตัดสินใจสึกออกมาค่ะ ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่าทำยังไงดีเพราะอาชีพของสาวประเภทสองมีไม่มาก เลยตัดสินใจไปทำงานคาบาเรต์โชว์ที่พัทยา หลังจากนั้นจึงย้ายมาที่กรุงเทพฯ

ก่อนจะไปทำงานคาบาเรต์โชว์จะต้องมีแคสติ้งก่อนนะคะ เราก็ได้ไปแคสต์ ค่อนข้างยากเหมือนกันเพราะเราต้องไปเต้นให้เขาดู แล้วจะมีคนมารุมดูประมาณ 40-50 คน ตอนนั้นมีคนเข้าไปแคสต์เยอะมากค่ะ ซึ่งเราก็ติด 1 ใน 2 คนที่เขารับเข้าทำงาน มี่ทำงานอยู่ที่นั่นประมาณ 3-4 เดือน เพราะมี่ได้ค้นพบในสิ่งที่เราอยากจะเป็นจริงๆ นั่นก็คืออาชีพ…นางแบบ

   • เห็นว่ามีความฝันอยากเป็นนางแบบมีชื่อเสียงระดับอินเตอร์เหมือนยุ้ย รจนา เพชรกัณหา?

มีมี่ไปค้นพบตัวเองว่าชอบอาชีพนี้ เพราะเราได้ดูรายการคนค้นฅน ตอนที่พี่ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา มาออกอากาศ พอได้ดูก็เกิดความรู้สึกประทับใจ อยากเป็นนางแบบขึ้นมาบ้าง เพราะพี่เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา พี่เขาเป็นนางแบบเอเชียคนแรกที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ CHANEL ซึ่งเราอยากจะเป็นแบบเขา อยากจะทำให้ได้บ้าง

อีกอย่าง ที่มี่อยากเป็นนางแบบก็เพราะเราอยากจะเป็นที่ยอมรับ เพราะเพศที่สามอย่างเรามีอยู่ในทุกสายอาชีพอยู่แล้วแหละ แต่เขาจะได้อยู่แค่เบื้องหลังเท่านั้น เบื้องหน้าที่ออกไป จะเป็นได้แค่ตัวตลกในละคร ซึ่งมี่ว่ามันไม่ใช่ มี่ว่าเพศที่สามอย่างเราน่าจะเป็นที่ยอมรับได้เหมือนกัน

หลังจากนั้น มี่เริ่มจากไปเรียนเดินแบบก่อนค่ะ ซึ่งวันนั้นพอได้ดูรายการที่พี่ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา มาออกรายการปุ๊บ เราก็ตามหาพี่ยุ้ยเลยเพราะเราทราบว่าพี่ยุ้ยเป็นครูสอนเดินแบบด้วย แต่กว่าจะได้เจอก็หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนไปแล้วนะคะ ซึ่งตอนที่เจอพี่เขาแล้ว เราก็ยังไม่ได้มีเงินเรียนเดินแบบอะไรหรอกค่ะ แต่มี่ก็คุยกับผู้จัดการพี่ยุ้ยว่าขอผ่อนเรียนได้ไหม ซึ่งเขาก็ให้นะคะ เราก็รับจ้างเย็บชุด เย็บผ้าไปเพื่อเอาเงินมาเรียนเดินแบบ ก็ได้มาเป็นลูกศิษย์พี่ยุ้ยค่ะ

   • แต่หนทางการเป็นนางแบบไม่ใช่เรื่องง่าย โดนปฏิเสธมาเป็นร้อย เป็นพันงาน ยกเลิกกลางอากาศก็มีเหมือนกัน

หลังจากเรียนแล้วมี่ก็ได้ไปแคสติ้งตอนอายุ 17 ปีค่ะ แรกๆ ก็มีหลายคนดูถูกนะคะว่าเราไม่สามารถเป็นได้หรอก ต้องตัดโหนกตัดกรามก่อนนะ อย่างเวลาที่เขาเปิดแคสติ้ง เราก็ถามว่าเขาเปิดแคสติ้งที่ไหน เราอยากไป เขาก็จะพยายามเลี่ยงๆ พูดเรื่องอื่น ไม่อยากบอกเรา ซึ่งเราก็ดื้อ หาข้อมูลจนไปสมัครได้ พอไปแคสติ้งปุ๊บ สายตาทุกคนก็มองแบบไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีสาวประเภทสองไปแคสติ้งเป็นนางแบบเลย ยกเว้นเรา แต่เราก็ไม่ท้อนะคะ ไปแคสต์ตลอด เขาเปิดแคสติ้งที่ไหน ไปหมด รู้ว่าเขาไม่เอา เราก็จะไป เพราะเราอยากให้เขารู้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีกะเทยคนหนึ่งที่อยากเป็นนางแบบเหมือนกัน

เราโดนปฏิเสธกลับมาเรื่อยๆ ซึ่งมี่ชินมากกับการถูกปฏิเสธ เพราะถ้าเราไม่ถูกปฏิเสธเลย มันเป็นไปไม่ได้ ที่โดนแรงๆ เลยก็คือเขาบอกว่า เป็นกะเทย เขาไม่เอาเดินแบบหรอก เดี๋ยวแบรนด์เขาจะเสีย เคยโดนหนักๆ เลยคือได้งานแล้วถึงวันจะเดิน โดนปฏิเสธหน้างานเลยก็มี

   • งานแรกได้ค่าตัว 700 บาท แต่ดีใจหนักมาก!

งานแรกที่ได้เป็นงานเดินแบบของนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ค่ะ ตอนนั้นได้ค่าจ้าง 700 บาท แต่ว่าเราดีใจมากเลยนะคะ ตอนนั้นที่มี่ได้งานเพราะว่าพี่เอเยนซีที่มี่ไปเรียนเดินแบบด้วย ซึ่งพี่เขาก็ดูแลพี่ยุ้ย รจนาอยู่ด้วย เขาเป็นโมเดลลิ่งด้วย เขาก็ได้ส่งนางแบบไปให้แต่ละที่ และพยายามผลักดันเรา เพราะอาจจะด้วยคนไม่พอหรืออะไรก็ตาม ซึ่งเราก็ได้งานนั้นมาค่ะ

แต่ก่อนจะมาได้งานนี้ เราโดนปฏิเสธกลับมาเรื่อยๆ เราแคสติ้งมาหลายงานมากเลยนะคะ ซึ่งพอหลังจากได้งานแรกเราก็ไปแคสติ้งที่อื่นอีกเรื่อยๆ ส่งโปรไฟล์ไปทุกโมเดลลิ่งที่มีลิสต์อยู่ในกรุงเทพฯ เราก็ส่งไปหมด แต่ว่าเราอยู่ในเมืองไทย ไม่ประสบความสำเร็จเลยค่ะ คงเป็นเพราะอะไรหลายๆ อย่างด้วย

มี่ยอมรับว่ามี่ไม่ได้เป็นคนที่สวยที่เมืองไทยต้องการ เมืองไทยต้องหน้าเรียวเล็ก ผิวขาว นางแบบต้องเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ฝรั่ง ซึ่งเรายังไม่ตอบโจทย์กับตลาดของเมืองไทยเท่าไหร่ แล้วอีกอย่างเรื่องเพศของเราด้วย ที่เมืองไทยยังไม่ได้เปิดกว้างเท่าไหร่ เราเลยคิดว่าเราควรไปในที่ที่เราจะโตได้ดีกว่า ก็เลยตัดสินใจไปที่สิงคโปร์

อีกสิ่งที่เปลี่ยนให้มี่คิดว่าจะไปหางานที่ต่างประเทศก็คือเราได้งานงานหนึ่ง เป็นงานที่ใหญ่มาก ระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่มาจัดในเมืองไทยแล้วเรากลับโดนแคนเซิลให้เหตุผลว่าต้องการเปลี่ยนนางแบบเป็นฝรั่งทั้งงาน ซึ่งเราก็มีเครื่องหมายคำถามในใจนะคะว่าเขาจะมาจัดที่ประเทศไทยทำไม มี่ว่าก็คงเป็นเหตุผลอื่นมากกว่า แต่เราก็เข้าใจค่ะแต่ด้วยความที่มันเป็นงานระดับอินเตอร์เราก็บอกทุกคนเลย ประกาศลงโซเชียลหมดเลย เพราะเราภูมิใจมากที่เราจะได้งานนี้ เราเป็นนางแบบคนไทยคนเดียวด้วยที่แคสต์ได้ ตอนไปแคสต์ เราก็ไปเองนะคะ แต่เขากลับมาบอกว่าขอแคนเซิล ขอเปลี่ยนนางแบบ ตรงนี้เลยเป็นจุดพีคเลยที่ทำให้เราคิดว่าไปทำงานต่างประเทศดีกว่า

   • ตัดสินใจมุ่งหน้าหางานทำในต่างแดน ใฝ่ฝันว่าถ้ามีชื่อเสียงกลับมาจะได้เป็นที่ยอมรับ

เราตัดสินใจไปต่างประเทศ คิดว่าจะไปเก็บผลงานที่ต่างประเทศให้มีชื่อเสียงกลับมาเพื่อให้คนไทยยอมรับ เพราะสิ่งที่มี่ต้องการที่สุดก็คือการได้ร่วมงานกับคนไทย ร่วมงานกับดีไซเนอร์ไทย คือบ้านเราแท้ๆ แต่เราไม่มีโอกาสได้ร่วมงานเลย มันเป็นอะไรที่เสียใจนะ

มี่เริ่มจากเสิร์ชหาโมเดลลิ่งในนิวยอร์กเป็นที่แรก แต่ว่าเรายังไม่มีเงิน ก็เลยไปประเทศที่ใกล้ๆ อย่างสิงคโปร์ก่อน ตอนแรกเราก็ส่งโปรไฟล์ไปทุกโมเดลลิ่งเลยเหมือนกันค่ะ ก่อนที่จะไป มี่ติดต่องานกับที่นั่นไว้แล้วว่าเราจะบินไปแล้วทำงานที่นั่นแต่ปรากฏว่าเราติด ตม.อยู่ 2 ชั่วโมง ติดต่อใครไม่ได้ ไม่ได้ทำงาน เขาก็แคนเซิล เขาได้นางแบบใหม่แล้ว เขาแคนเซิลทุกอย่างแม้กระทั่งโรงแรมก็ไม่มีนอน

วันแรกมี่ไปนอนในห้องน้ำสาธารณะค่ะ ตอนนั้นมีเงินติดตัวแค่ 43 เหรียญสิงคโปร์ เป็นเงินไทยแค่ 1,100 บาทเองค่ะ แต่เราก็ไม่คิดว่าจะกลับไทยเลยนะคะ คิดแต่ว่าจะอยู่ยังไงให้มีงานทำ ซึ่งโชคดีที่เรามีรุ่นพี่คนหนึ่งเขามีแม่อยู่ที่นี่ เขาก็เลยให้เบอร์ติดต่อมา เราก็พยายามติดต่อไป สุดท้ายก็ได้ไปอยู่กับคุณแม่พี่คนนี้ค่ะ

หลังจากนั้นมี่ก็วอล์กอินไปติดต่อเอเยนซีที่นั่นที่นี่ ซึ่งนานมากค่ะกว่าจะได้งาน เพราะบางที่เราก็จะต้องจ่ายเงินเพื่อจะต้องทำพอร์ตโฟลิโอ ทำเอกสารเยอะมาก เราไม่มีเงิน ต้องอาศัยเดินไปหาเรื่อยๆ จนได้เป็นนางแบบ ถ่ายแบบ เดินแบบ ซึ่งตอนนั้นมี่ไปแบบวีซ่านักท่องเที่ยวก็อยู่ที่นั่น 1 เดือน หลังจากนั้นพอได้งานแล้วก็ต้องบินไปบินกลับระหว่างสิงคโปร์กับไทยอยู่บ่อยๆ ค่ะ ซึ่งมี่ก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ 4-5 ปีเก็บผลงานเรื่อยมา

   • แล้วไปเป็นนางแบบบนรันเวย์สากลอย่าง “New York Fashion Week 2017” ได้ยังไงคะ

หลังจากนั้น มี่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่นิวยอร์ก เพราะเรามีเพื่อนอยู่ที่นั่นอยู่แล้วด้วย ตอนแรกที่ไปไม่ได้คิดเลยว่าเราจะไปทำงาน แต่ก็มีแอบคิดบ้างว่าเราจะไปหาเอเยนซีดีไหม เผื่อฟลุก แต่ด้วยเราไม่ได้มีเงินเยอะ ก็เลยอยู่ได้แค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งรุ่นพี่ที่เป็นนางแบบที่นั่นเขาก็แนะนำมาว่าเราต้องอยู่นะเพราะว่า New York Fashion Week จะเปิดรับแล้ว แต่คือเราไม่มีเงินอยู่ได้เป็นเดือน มี่ก็เลยมานั่งคิดว่าจะทำยังไงดี เราเลยคิดว่าจะหาเอเยนซีที่นั่นค่ะ

การหาเอเยนซีที่นั่นยากมาก เพราะต่อให้เราเดินไปหายังไงก็ไม่ได้เพราะเขาจะไม่สนใจนางแบบหน้าใหม่เท่าไหร่ เนื่องจากใกล้วันงานแล้ว เขาก็มีคอนเนกชันกับนางแบบ กับดีไซเนอร์ต่างๆ แล้ว ตอนนั้นก็ไปแคสติ้ง วิ่งหาเอเยนซี ถือรูป ถือผลงานต่างๆ ของเราเอาไปเสนอ ยากลำบากมากค่ะ เราต้องหาด้วยตัวเองทั้งหมดเลย เดินหาจนหนังเท้าถลอกปอกเปิก จนเราถอดใจแล้วค่ะ

มีวันหนึ่งมี่ตัดสินใจไปที่แอลเอ ซึ่งมันเป็นอะไรที่บังเอิญมาก เราไปเที่ยวคลับตอนกลางคืนกับเพื่อน แล้วเราก็คุยกันกับเพื่อนๆ ว่าเขาน่าจะมีโมเดลลิ่ง มีแมวมองมาเที่ยวแถวนี้บ้างนะ พอมี่พูดจบเท่านั้นแหละค่ะก็มีคนเข้ามาแนะนำตัวว่าเขาเป็นเจ้าของ Slay Model Management (สเลย์ โมเดล แมเนจเมนต์) ซึ่งเราก็ตกใจนะคะว่าทำไมเราโชคดีขนาดนี้ มี่ก็เลยได้เข้าสังกัด แล้วก็ได้บินกลับไปแคสต์งานที่นิวยอร์กค่ะ

   • “New York Fashion Week 2017” ผลงานการแจ้งเกิดของมีมี่ เทา

โชว์แรกที่นิวยอร์กจะเป็นการเดินแบบให้กับห้องเสื้อ Marco Marco ซึ่งเป็นโชว์ที่เราดูมาตั้งแต่เด็ก เป็นโชว์ที่เขาให้เกียรติเพศทางเลือก ให้เกียรติเพศที่สามมากๆ ไม่ใช่มีแต่นางแบบสวยๆ ที่มาเดินโชว์เขานะคะ จะมีทอม มีกะเทย มีเกย์ มีแดร็กควีน มีทุกเพศเลย จะอ้วน จะเตี้ย จะอะไรก็ตาม สามารถอยู่ในโชว์เขาได้ แล้วโชว์นี้เขาได้สมญานามว่าเป็นวิกตอเรีย ซีเคร็ต ของเพศที่สาม เพราะเขาจะเชิญเฉพาะเซเลบมาเดิน ไม่ได้มีเปิดแคสต์เหมือนโชว์ปกติทั่วไป แล้วทุกคนที่นิวยอร์ก หรือแอลเอจะรอดูโชว์นี้ เพราะเป็นโชว์ของซีชันที่ทุกคนรอคอยมากๆ

   • กระแสตอบรับออกมาค่อนข้างดีมากเลย เขาบอกไหม ว่าเขาชอบอะไรในตัวเรา

เท่าที่เข้าไปสัมผัสวงการเดินแบบของไทยและต่างประเทศแตกต่างกันมากๆ เลยค่ะ ตั้งแต่นางแบบก็แตกต่างกันแล้ว ที่นู่นจะมีนางแบบหลายประเภทมาก มีนางแบบอ้วน นางแบบที่เป็นดาวน์ซินโดรมก็มี นางแบบที่นั่งรถเข็นแขนขาดก็มี นางแบบแก่ๆ ก็มี อย่างเมืองไทยต้องหน้าเล็กเรียว สวย ขาว ลูกครึ่งได้ยิ่งดี อะไรทำนองนี้ค่ะ อย่างตอนที่เราไปแคสติ้งเขาจะถามแค่ว่าสูงเท่าไหร่ ใส่เสื้อผ้าไซส์ไหน จะไม่มีถามว่าเพศอะไร แปลงเพศหรือยัง ซึ่งที่นู่นสิทธิจะเท่าเทียมกัน อีกอย่างด้วยความที่เราเป็นนางแบบเอเชียตลาดก็จะแคบอยู่แล้ว สมมติว่านางแบบ 30 คนจะมีนางแบบเอเชีย 2-3 คนเพื่อให้โชว์มีหลากหลาย เราก็ต้องไปฝ่าฟันตรงนั้น

มี่คิดว่าคำว่าสวยของแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน สวยที่นี่ อาจจะไม่ได้สวยของที่นู่นก็ได้ สวยบ้านเราไปนู่นอาจจะไม่สวยก็ได้ ขี้เหร่ที่นี่ไปที่นู่นอาจจะสวยมากก็ได้ อย่างเราหน้าโหนกๆ กรามๆ ซึ่งเมืองไทยพยายามให้ไปตัดออกแต่ต่างประเทศเป็นอะไรที่ป็อปปูลาร์มากๆ เพราะว่าเขาไม่มีซึ่งมี่คิดว่าคนเราอยากได้อะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่มี เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อย่างคนไทยอยากขาว อยากมีตาสีฟ้า อยากผมทอง ส่วนฝรั่งอยากมีโหนก มีกราม มีผิวสีแทนก็ว่ากันไป

   • หลังจากมีชื่อเสียงได้เป็นนางแบบข้ามเพศบนรันเวย์ระดับโลกแล้ว ชีวิตเป็นยังไงต่อไปคะ

หลังจากการเดินแบบครั้งนั้น มี่ก็มีโอกาสได้เดินทั้งหมด 21 แบรนด์เพราะเราขยันไปแคสติ้งงาน อีกอย่างที่มี่ดีใจมากเพราะเราได้ให้สัมภาษณ์กับช่อง FOX ด้วย ได้ขึ้นปกคอลัมน์ Teen Vogue ของสหรัฐอเมริกา หัวข้อเรื่องสิทธิของคนข้ามเพศ แล้วก็ได้ถ่ายแมกกาซีนอีกหลายเล่ม ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะที่เมืองนอกเขาเห็นความสำคัญของเราทั้งๆ ที่เราเพิ่งไปครั้งแรกในเวลาไม่กี่วันเองค่ะ มันเลยเติมเต็มในสิ่งที่เราโหยหามาโดยตลอด ในสิ่งอยู่ที่เมืองไทยเราไม่ได้รับมาก่อน ซึ่งมี่พูดเลยว่าเราทำงานที่ไหนไม่เคยเหนื่อยเท่าที่นี่มาก่อนแต่มันเป็นงานที่มี่ภูมิใจมากที่เราได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ชอบ

ตอนนี้มี่คิดว่าตัวเองยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นอยู่นะคะเพราะว่ามันยังมีหนทางอีกไกลมากที่เราต้องฝ่าฟัน เพราะมี่ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนางแบบที่โด่งดังอะไร คิดว่าตัวเองก็เป็นนางแบบไทยคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศ ถ้าให้พูดว่าเราเป็นนางแบบสุดยอดซูเปอร์โมเดลเลยคงพูดไม่ได้ เพราะเขาก็ยังมีท็อปโมเดลของเขาอยู่ เราก็แค่เป็นนางแบบสาวประเภทสองคนหนึ่งที่ได้ไปร่วมงานกับที่นั่น

ถามว่า New York Fashion Week เป็นความฝันสูงสุดไหม จริงๆ ก็ยังไม่สูงสุดนะคะแต่ก็เป็นอีกหนึ่งฝันเหมือนกันค่ะ แต่มีหลายคนบอกว่าถ้าใครผ่าน New York Fashion Week มาแล้วการทำงานในยุโรปจะง่ายเพราะนิวยอร์กถือได้ว่าหินสุดๆ ซึ่งที่มิลานหรือปารีสก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราอยากไปทำงานค่ะ

ตอนนี้ที่ไทยก็มีคนจ้างงานบ้างแล้วค่ะ มี่ก็เทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับนิวยอร์กซึ่งมี่เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงและนางแบบสังกัด Slay Model Management ซึ่งโมเดลลิ่งที่มี่สังกัดอยู่เป็นโมเดลลิ่งของเพศที่สามโดยเฉพาะเลย แล้วก็สังกัด RED Model ของประเทศไทยค่ะ

   • เหมือนว่าเราไม่ได้ทำแค่ให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่อยากสร้างชื่อเสียงเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้น้องๆ กะเทยไทยด้วยใช่ไหมคะ

มีมี่จะพยายามบอกทุกครั้งว่าเราเป็นกะเทยนะ เราจะไม่ปกปิด เพราะยิ่งเราทำให้เขารู้มากเท่าไหร่ว่าเราเป็นอะไร แล้วพอเขารู้แล้วเขาก็จะได้เห็นถึงความสามารถของเรา รู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง เขาจะได้เปิดใจรับพวกเราให้มากขึ้น ซึ่งความฝันของมี่ไม่ใช่แค่อยากกลับมารับงานในไทยนะคะ แต่เพราะที่เมืองไทยมีน้องๆ กะเทยนางแบบหลายคนเลยที่อยากจะเป็นแบบมีมี่ ซึ่งเราอยากให้คนไทยเปิดกว้าง อยากให้น้องๆ กะเทยคนอื่นๆ มีที่ยืนในสังคมด้วย

คือหลังจากเราไปเดินรันเวย์สากล เมืองไทยก็ยอมรับมากขึ้นในระดับหนึ่งนะคะ แต่ก็ไม่ได้อ้ามือโอบรับขนาดนั้น แต่ก็มีชมว่าเออเก่งนะแต่ถามว่าจะเอาเราไปเดินไหมก็ไม่ดีกว่า ซึ่งมี่ก็เข้าใจนะคะว่าเราจะไปเปลี่ยนอะไรแบบข้ามคืนเลยก็คงยาก เราต้องค่อยๆ เปลี่ยน สมมติว่าเราอาจจะเปลี่ยนใจดีไซเนอร์คนนึงได้แต่ใช่ว่าทั้งระบบ ทั้งประเทศจะเปลี่ยนความคิดไปด้วย เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆ ซึมซับ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีไปเรื่อยๆ อะไรก็ตามให้เราเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

ตอนนี้ที่เมืองไทยก็มีกฎหมายรับรองสิทธิเพศสภาพออกมาแล้ว แต่คนก็ยังไม่ปฏิบัติ มันก็ยังไม่เกิดผลอยู่ดี เพราะถ้าคนเลือกปฏิบัติกับเรา ทำกับเราแบบเดิมๆ มันก็ไม่ได้มีผลอะไร ถึงสามารถเปลี่ยนเป็นนางสาวได้ก็เหมือนเดิมถ้าเราเปลี่ยนความคิดคนไม่ได้ มี่โดนดูถูกค่อนข้างเยอะเราเลยต้องมีแรงผลักดันให้ตัวเอง พูดตามตรงอยู่เมืองไทยเราโดนดูถูกมาเยอะมาก แม้กระทั่งคนที่เรารู้จักก็ดูถูกเราว่าเราไม่ได้เป็นนางแบบหรอก มันไปขายตัว ซึ่งเราก็นึกในใจว่า มึงคอยดูกูนะ พอเราไปที่นู่นมันเลยทำให้เราคิดว่าเราต้องทำให้ได้สิ

เอาตรงๆ ทุกวันนี้คนที่ไม่รู้ว่ามีมี่คือนางแบบเขาก็ยังปฏิบัติกับเราว่าเป็นแค่กะเทยคนหนึ่งอยู่ พอรู้ว่าเราเป็นมีมี่เทา เป็นนางแบบก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมี่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นความรู้สึกที่มี่มองว่าเขาควรจะยอมรับทุกคนไหม มี่ไม่ได้ดีใจเลยนะคะว่าเขาเห็นว่าเราเป็นมีมี่ เทาแล้วถึงยอมรับ แต่ว่ามี่มองว่าทุกคนควรจะได้รับสิทธิแบบนี้เหมือนกัน เราไม่ได้อยากได้สิทธิพิเศษแต่เราแค่อยากได้เหมือนกับสิ่งที่คนอื่นได้แค่นั้นเอง

สิ่งหนึ่งที่มี่อยากจะทำให้เห็นก็คือเราอยากจะเป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้องสาวประเภทสองของเมืองไทยให้เขามีจิตใจที่จะสู้เพื่อความฝันของเขา เราอยากสร้างภาพลักษณ์ที่ดีๆ เพราะส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงกะเทยแล้วคนก็จะคิดถึงแต่เรื่องไม่ดี อาทิ ค้าประเวณี เป็นอาชญากรรม เป็นฆาตกรไป ซึ่งมันเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีมากๆ ของเมืองไทย บางครั้งหนังฮอลลีวูดที่มาถ่ายที่เมืองไทยก็จะยกเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวชูโรงซึ่งเขาจะมองว่ากะเทยไทยภาพลักษณ์ติดลบมากๆ ซึ่งมี่ก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ที่จะเปลี่ยนจุดจุดนี้ อย่างเวลาที่ไปทำงานที่ไหนเราก็จะพรีเซนต์ตัวเองอยู่ตลอดว่าเราเป็นสาวประเภทสองนะ มาจากประเทศไทยนะอะไรทำนองนี้ค่ะ

   • ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพนางแบบในระดับหนึ่งแล้ว ในอนาคตมีความฝันอะไรอีกไหมคะ

อีกความฝันหนึ่งคือเราอยากทำด้านภาพยนตร์ เราเคยบอกกับตัวเองไว้ว่าเราอยากจะมีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกาได้ภายใน 2 ปี ซึ่งถ้าพูดถึงชื่อมีมี่ เทาแล้วเขาจะต้องรู้จัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ระดับไหน แต่มี่จะทำให้ดีที่สุดค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่มี่อยากทำก็คือ มี่อยากจะมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองโดยใช้ผ้าไหมของประเทศไทยมาตัดเย็บ แต่ไม่ใช่ผ้าไหมที่มาจากโรงงานนะคะ แต่มี่อยากรับผ้าไหมจากชาวบ้านชนบทที่เขาทอผ้าไหมด้วยมือ ตรงนี้น่าสนใจมากเลยค่ะ มี่ว่าเราควรสนับสนุนเขา ไม่อย่างนั้นอาชีพเลี้ยงหม่อนเลี้ยงไหมจะหายไป มี่เลยอยากนำสิ่งนี้เอามาทำเป็นแบรนด์ของเราค่ะ ซึ่งตอนนี้มี่ก็เริ่มจากตัดใส่เองก่อนแล้วค่ะ

   • ท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงคนที่มีความฝันแล้วอยากทำให้ประสบความสำเร็จแบบมีมี่ เทา บ้าง

มี่ขอฝากถึงพี่ๆ น้องๆ กะเทยด้วยกันก่อนนะคะว่าอันดับแรกเขาต้องยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน คือไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป บางคนกลัวพ่อแม่รู้ซึ่งตรงนี้มี่รู้ว่ามันเครียดมาก ไม่มีสมาธิทำงาน ไม่มีสมาธิเรียนหนังสือเพราะกังวลว่าครอบครัวจะรู้บ้างหรือเปล่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าอยากจะให้คนอื่นยอมรับต้องยอมรับตัวเองให้ได้

จากนั้นต้องทำให้ครอบครัวยอมรับให้ได้ อย่างของมี่คุณแม่เคยบอกว่าถ้าจะเป็นแบบนี้อย่าเป็นเลย ถ้าเป็น เราไม่ใช่แม่ลูกกันนะ พอได้ยินแบบนั้นเราก็รู้สึกช็อกนะคะ แต่ด้วยความที่เราคิดว่าทางที่เราเลือกคือสิ่งที่เราชอบ ถ้าสมมติเราบอกว่าก็ได้ หนูจะไม่เป็น คนที่จะเจ็บใจมากที่สุดก็คือเรา เพราะเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งเราก็ใช้วิธีการละมุนละม่อมนะคะ เพราะมี่คิดว่าถ้าแตกหักเลย มันไม่ดี

มี่ก็พูดกับคุณแม่ประมาณว่าแม่ทำใจนะ เพราะว่ายังไง หนูก็จะเลือกทางนี้ แต่หนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูก็เป็นคนดีนะ แต่ที่คุณแม่พูดแบบนั้น มี่เคยถามคุณแม่ ก็รู้ว่าผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงอนาคตของเรา เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่าเป็นกะเทยทุกวันนี้หางานก็ลำบาก คนรักจริงใจก็ไม่มี แก่ไปก็ไม่มีคู่ชีวิต ใครจะดูแล คุณแม่เขาค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเราในตรงนี้ท่านก็เลยพูดประโยคนั้นออกมา ซึ่งมี่ก็เข้าใจท่านนะคะ แต่ทุกวันนี้คุณแม่ก็ภูมิใจในตัวเรามาก อย่างเวลาเดินไปไหนเขาก็จะบอกคนอื่นว่าลูกสาวฉัน

หลังจากที่ครอบครัวยอมรับแล้วมันก็จะง่าย ต่อไปคือการจะทำให้สังคมยอมรับคือด่านที่ยากที่สุด ยากมากเลย แต่มี่มองว่าถ้าทุกครอบครัวยอมรับได้แล้วเรามาร่วมกันเปลี่ยนสังคมมันก็จะง่ายขึ้น คือมันมีหลายสเต็ปที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก เราต้องทำอะไรให้ดีกว่าคนทั่วไปมากขึ้นหลายเท่า

ส่วนคนที่มีความฝัน มี่อยากให้เริ่มจากตั้งเป้าหมายก่อน ไม่ใช่แค่อาชีพนางแบบนะคะ แต่รวมไปถึงอาชีพอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน เราต้องตั้งเป้าหมายไว้แล้วลงมือทำ ทำมันให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ได้ทำ ถ้าทำมันก็มีแค่สองทางเลือก แค่สำเร็จกับไม่สำเร็จ เพราะถ้าไม่ลงมือทำอะไรเลยก็จะมีแค่ทางเลือกเดียวคือไม่สำเร็จ มี่ไม่ได้บอกว่าต้องบินไปต่างประเทศเหมือนมี่แล้วจะประสบความสำเร็จนะคะ คือไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนเยอะ ไม่ต้องไปเมืองนอก เริ่มในไทยก่อนก็ได้ ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แสดงออกว่าเราทำอะไรได้บ้าง

ส่วนตัวมี่เองก็มีแรงบันดาลใจมาจากหลายอย่าง ทั้งจากความกดดัน การถูกดูถูก จริงๆ ต้องขอบคุณทุกคำด่า ขอบคุณทุกกำลังใจที่ทำให้เราพิสูจน์ให้คนได้เห็นว่า “ฉันทำได้” มันเลยเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เรามีวันนี้ค่ะ







เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : วชิร สายจำปา และอินสตาแกรม @Mimi Tao



กำลังโหลดความคิดเห็น