เปิดใจนักศึกษาฝึกงาน ผู้เปิดโปงการปลอมแปลงเอกสารในที่ฝึกงานซึ่งเป็นศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น เล่าละเอียดยิบถึงต้นตอที่มาของเรื่องราว เผย..น้ำตาไหลพรากเมื่อถูกให้กราบเท้าขอโทษคนผิด!!
กลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวหน้าหนึ่งแทบทุกสำนัก สำหรับกรณีของนักศึกษามหาวิทยาสารคามซึ่งใช้ความกล้าระดับเกินร้อย แฉทุจริตในสำนักงานศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเองไปฝึกงาน น.ส.ปนิดา ยศปัญญา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สารคาม เปิดใจเล่ารายละเอียดผ่านรายการ “เป็นเรื่อง!” ทางช่อง News 1 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในศูนย์ดังกล่าว เขาให้เราไปทำอะไร และฝึกงานอะไรยังไง
หนูได้ไปฝึกงานตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2560 แล้ววันแรก เราก็ใส่ชุดนักศึกษาไปรายงานตัว ไปปฐมนิเทศกับ ผอ. และมีครูภาคสนาม คือ นางวราพร อบมา ซึ่งช่วงเช้าเป็นการแนะนำตัวของเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็พาไปดูบ้านพักของผู้ให้บริการ ก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จัก แล้วก็ครูภาคสนามให้จดชื่อไว้ทุกคน แล้วช่วงบ่าย ทาง ผอ. ก็ขับรถมารับแล้วบอกว่า ไปทำงานกัน เราก็รู้สึกดีใจก่อนเลย เพราะว่าจะได้ลงพื้นที่เลย แต่ปรากฏว่าผิดคาด ไปทำงานเอกสารที่บ้านของ ผอ.
คือเหมือนว่า ขาดคนที่จะทำเรื่องเอกสาร
น่าจะใช่ค่ะ พอเดินเข้าไปก็มีครูภาคสนามรออยู่ แล้วมีพี่เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง คือ น.ส. อรภา ก็นั่งรอ แล้วก็มีเสารกองเต็มเลย ทั้งในลังและนอกลัง แต่วันแรกเขาก็ยังไม่ให้ทำอะไรนะ ซึ่งครูภาคสนามของเราเป็นเจ้าหน้าที่ค่ะ เขาเรียกเป็นครูภาคสนาม คือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลน้องๆ ภาคสนาม
หน้าที่ที่เราไปฝึกงานคือทำอะไร และเพื่อนกี่คน
เพื่อน 3 คน รวม 4 คน ไปในฐานะนักพัฒนา ก็คือลงชุมชน ไปพูดพบปะชาวบ้าน แล้วส่วนที่เราทำ คือ ศูนย์ของคนไร้ที่พึ่ง เราก็จะทำในส่วนของคนไร้บ้าน รวมทั้งขอทานด้วย
แต่ได้ไปทำเอกสารที่บ้านด้วย เขาให้ทำอะไรบ้าง
คือวันแรกเหมือนทำให้เราตายใจว่ามีเอกสารที่เขียนไว้หมดแล้ว มีสำเนาบัตร มีใบสำคัญรับเงิน เรียงเย็บมุมวางให้เรียบร้อย สรุปวันแรกก็ให้เรียงเอกสารเฉยๆ แล้ว 2 คนนี้คือประกบเราเลย
เขามีบุคลิกยังไงบ้าง ดูร้าย ดูขี้โกงมั้ย
ครูภาคสนามเขาจะมีบุคลิคที่เคร่งขรึม พูดจากระโชกโฮกฮาก เป็นคนที่ตะคอก ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคือด่า ซึ่งวันแรกเขาไม่ด่าเรานะ แต่จะเริ่มด่าในสัปดาห์ถัดไป ขึ้นกู-มึงเลย คือมันมีเหตุการณ์หนึ่ง เราไปซื้อของกับพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ครูภาคสนามเขาใช้ไป เขาใช้ไปซื้อกระดาษเอสี่เป็นลัง แล้วเขากำกับมาว่า เอาราคาที่ถูกที่สุด เราก็เข้าไปร้านกับพี่คนขับรถ แล้วเราไม่เห็นอันที่ถูกเลย มีแต่พวกที่แพงที่สุด เราสองคนตัดสินใจคุยกันว่า ไปซื้อที่อื่นมั้ย มันอาจจะได้ราคาถูกนะ แต่พี่คนขับรถเขาบอกว่า มันจะไม่นานเกินไปเหรอ เราก็บอกว่า เดี๋ยวรับผิดชอบเอง ก็เลยเข้าไปในเมือง ซึ่งเราพบว่า มันก็ถูกจริงๆ แต่เข้าไปนานไปหน่อยเพราะรถมันติด พอกลับมาถึง เราโดนด่าเลย เขาก็ว่าเราว่า ทำไมไปนานจัง รุ้มั้ยมันกี่ชั่วโมงแล้ว เราก็อธิบายกลับไปว่า ร้านที่ซื้อตอนแรกมันแพง ก็บอกว่าให้เอาที่ถูกที่สุดมาให้ เขาก็บอกกลับมาว่า รู้รึเปล่าว่ามันเปลืองน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ขึ้น แต่มาขึ้นตอนหลังที่ด่ากับเจ้าหน้าที่
แล้วมาขึ้นมึงกูกันตอนไหน
ตอนที่ถ่ายเอกสาร แล้วก็เอามาให้เขาเซ็น ด้วยการที่เราชอบเป็นคนที่ถามซ้ำๆ เพราะเอาให้ชัวร์ว่าถ่ายชุดไหนบ้าง เขาบอกว่าถ่ายมา 2 ชุด แต่เขายื่นมาให้เรา 3 ชุด ซึ่งชุดหลังเราถามว่า ถ่ายหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ่ายสิ ทำไมมึงถึงโง่อย่างงี้ ถามทำไมซ้ำๆ ซากๆ ถ้าถามอีก กุทำเองดีกว่ามั้ย
หนูรู้สึกว่าไปเป็นขี้ข้าเขามั้ย
ใช้ได้เลยค่ะ
หลังจากนั้น เราทำงานยังไงต่อ
คือเขามารับมาส่งแค่ครั้งเดียว นอกนั้นเขาให้เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเอง
เราเคยถามว่าทำไมต้องไปทำงานบ้าน ผอ. มั้ย
ไม่ได้ถามค่ะ ก็คิดแค่ว่า เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะว่ามันเป็นวันแรกๆ ไง เราไม่อยากขัดเขา
แล้วเราเริ่มเห็นพวกเอกสารแปลกๆ และบัตรประชาชนชาวบ้าน ตั้งแต่วันไหน
วันที่สองเลยค่ะ เขาให้เรากรอกเลย คือวันแรกเขาทำให้เราตายใจอย่างที่บอก แต่วันที่สองนี่คือมาเต็มเลย ใบผู้ประสบปัญหา ใบสำคัยรับเงินมีอยู่ตรงนั้นด้วย ซึ่งตรงนั้นมีเอกสารเป็นตั้งๆ
คนที่มากำกับให้เราเขียนในแบบต่างๆ คือใคร
คือพี่อรภา เขาให้เรากรอกข้อมูลตามบัตรประชาชน แต่ว่ามีชื่อหนึ่ง ที่ให้กรอก 3-4 คำถาม ที่เราไม่รู้คำตอบ คือ สถานะของแต่ละคน เช่น โสด สมรส ม่าย หย่าร้าง แล้วก็สถานะภาพทางการเงิน ความต้องการสภาพที่อยู่อาศัย รายได้ วุฒิการศึกษา เราก็ถามเขาว่าต้องทำยังไง พี่เขาตอบว่า ก็ทำๆ ไปเถอะ ถ้าเป็นนางก็สมรส ถ้าเป็น น.ส. ก็โสด เราก็ถามกลับว่า แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ้ามีอายุนิดหน่อย ก็ติ๊กว่าโสด อายุเยอะก็ติ๊กว่าสมรส แล้วแต่เราเลย
คือสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นเลย
คือเราก็สงสัยนะคะ แต่ว่าต้องรอให้เขาพูดให้จบก่อน แล้วเขาก็ให้ติ๊กต่อเลยว่า มีปัญหายากจน สภาพที่อยู่บ้านไม้ ก็เขียนเลยว่า อยู่บ้านไม้ หรือ บ้านสังกะสี ในแต่ละชุด ก็ให้เขียนยังไงก็ได้
เริ่มชัดแล้วว่า มีกระบวนการว่าจะให้ไปทำอะไรสักอย่าง
ใช่ค่ะ เราก็มีความสงสัยตั้งแต่ที่เขาให้เขียนเรื่องสถานะแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดอะไรไง คือเราก็ทำตามเขาให้จบ แล้วเขาก็ให้เราเขียนรายได้ว่า ได้เดือนละ 3000 บาทต่อเดือน แต่ส่วนมากเขาก็ให้เขียนเดือนละ 1000 บ้าง 1500 บ้าง สูงสุดเดือนละ 2000 บาท แล้ววุฒิการศึกษา เขาก็บอกว่าให้เขียนว่าห้ามเกิน ม.ต้น แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้เขียนว่า ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งจากทั้ง 4 คน เขาให้ติ๊กประมาณ 2000 คนได้ ใช้เวลาทำประมาณ 3 อาทิตย์ได้
วันไหนที่เราตัดสินใจถามเขา
คือเราก็ไม่ได้ถามเขาแบบนั้น แต่ถามในทำนองที่ว่า พี่จ่ายจริงมั้ย จ่ายครบหรือเปล่า เขาก็บอกว่าจ่ายจริง จ่ายครบหมดแล้ว เหลือแต่ทำเอกสารย้อนหลัง ส่งขึ้นกรมเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ เราก็ถามเขาอีกว่า ทำไมไม่ให้ชาวบ้านเขาทำเอง เขาก็ตอบว่า ชาวบ้านที่มายื่น ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ แล้วเขาไม่รู้หนังสือ เราก็เป็นบริการอย่างหนึ่งที่ทำให้เขา ซึ่งการกรอกแบบนี้ก็เลิกประมาณ 2-3 ทุ่มด้วย แล้วขับมอเตอร์ไซค์กลับหอ ทางเปลี่ยวอีกต่างหาก
เรามีบอกพี่เขามั้ยว่า มาฝึกงาน ไม่ได้มาทำอย่างงี้
ไม่เคยบอกค่ะ เราแค่คิดว่า มาฝึกงานในสถานะนิสิต เราก็ทำตามหน้าที่ไป
แล้ววันไหนที่เราตัดสินใจว่า ไม่ทำแล้ว
วันที่ 2 เลยค่ะ คือเราเริ่มสงสัยในสัปดาห์ที่สอง ตอนนั้นคือเราก้โทรไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเลย ปรึกษา 3 ครั้ง ครั้งแรก อาจารย์ก็บอกว่า ให้ทำเอกสารไปก่อน เพราะว่าทางเรายังไม่ได้ลงพื้นที่ แต่ประเด็นแรกเราก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเอกสารอะไร พอครั้งที่ 2 เราก็ไปปรึกษาพี่เจ้าหน้าที่ เราก็ถ่ายรูปไป และถ่ายรูปเก็บหลักฐานทั้งหมด มีการเตรียมตัวเก็บหลักฐาน
เจ้าหน้าที่ที่เด้งไปพร้อมเรามั้ย
ค่ะ
แล้วยังไงต่อ
แล้วก็ถ่ายรูปถ่ายอะไร แล้วก็ถามอาจารย์อีกรอบ อาจารย์ก็ถามว่า ได้คุยกับครูภาคสนามหรือยัง เราก็บอกว่า เราก็ยังไม่คุย ซึ่งเราก็คิดว่า ทำไมเรายังไม่คุยกับคนที่สั่งให้เราทำ คือเราคิดในใจว่า คนนี้สั่งให้เราทำ จะไปบอกเขาทำไม แล้วเราก็ปรึกษาเพื่อนอีก 3 คน ว่าจะยังไงต่อ ซึ่งตอนแรก เพื่อนก็เห็นด้วย แล้วเราก็ปรึกษากับอาจารย์คนหนึ่งที่สอนกฎหมายเราตั้งแต่มัธยม ซึ่งท่านก็ดูให้ แล้วปรากฏว่า มันเป็นเอกสารปลอมแปลง แต่ตอนหลังเพื่อนเหมือนกลัว ซึ่งเราก็ไม่ว่าเขาหรอกค่ะ
แล้วหลังจากนั้น เราเอาหลักฐานไปให้เขามั้ย
น้อง ก่อนหน้านั้น เรายังช่วยกันอยู่ หารือกัน แล้วเข้าไปหาอาจารย์ จนกระทั่งครั้งที่ 3 อาจารย์เลยนนัดประชุมกัน แล้วนัดไกล่เกลี่ย แล้วตอนนั้น ผอ.เขาไปราชการที่กรุงเทพฯ มีอาจารย์ภาคสนามอยู่แค่ท่านเดียว
ไกล่เกลี่ย?
ก็คือไปคุยกับอาจารย์ภาคสนาม โดยมีอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย พวกท่านก็ประชุมกันอยู่ประมาณสิบนาที ก่อนจะเรียกพวกหนูเข้าไป เงียบกริบ แล้วอาจารย์ก็บอกว่า ลองเล่ารายละเอียดการปลอมแปลงมาให้ฟังหน่อย ประเด็นก็คือ คนที่ปลอมแปลงก็อยู่ต่อหน้า เราจะไปเล่าให้มันฟังทำไมล่ะ อาจารย์ภาคสนามอยู่หัวโต๊ะ ส่วนอาจารย์ของเราอยู่ตรงข้ามกับเรา
เราก็อ้ำๆ อึ้งๆ อาจารย์เราก็ถามว่า อ้าว ทำไมไม่พูดล่ะ มีอะไรก็พูดมาได้ เราก็คิดในใจว่า ใครจะไปพูด บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดมากจนน้ำตาหนูจะไหล แล้วทีนี้ อาจารย์ภาคสนามก็พูดขึ้นมาว่า เอกสารนี้ เป็นการเข้าใจผิด แล้วก็ให้นิสิตฝึกงานคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของหนูออกไปเอาเอกสารจากพี่คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ภาคสนามก็เอาเอกสารมากางๆ แล้วก็เขียนสำเนาถูกต้องเท่านั้น แล้วก็รีบเอาออกไป เหมือนกับว่ามีพิรุธน่ะค่ะ เพราะถ้าเขาบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมเขาไม่ให้อาจารย์ดูเลยว่ามีคำถามอะไรบ้าง
แล้วอาจารย์ของเราว่ายังไง ทำไมเราต้องขอโทษ?
ท่านก็บอกว่า อาจารย์ภาคสนามเขาชี้แจงแล้ว มันเป็นการเข้าใจผิดกัน แล้วก็ให้เราขอโทษ เพราะว่าเป็นการทำให้อาจารย์ภาคสนามเสียเครดิต แล้วให้เราคุกเข่ากราบขอขมา เพราะว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ใหญ่ ก้มลงกราบเลย เรานี่น้ำตาไหลเลย แล้วอาจารย์ภาคสนามก็ทำพูดดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดดีเลย เป็นคนละคน
ถามจริงๆ ที่ทำมาทั้งหมด กลัวไหม?
กลัวค่ะ ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่...
กลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวหน้าหนึ่งแทบทุกสำนัก สำหรับกรณีของนักศึกษามหาวิทยาสารคามซึ่งใช้ความกล้าระดับเกินร้อย แฉทุจริตในสำนักงานศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเองไปฝึกงาน น.ส.ปนิดา ยศปัญญา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สารคาม เปิดใจเล่ารายละเอียดผ่านรายการ “เป็นเรื่อง!” ทางช่อง News 1 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในศูนย์ดังกล่าว เขาให้เราไปทำอะไร และฝึกงานอะไรยังไง
หนูได้ไปฝึกงานตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2560 แล้ววันแรก เราก็ใส่ชุดนักศึกษาไปรายงานตัว ไปปฐมนิเทศกับ ผอ. และมีครูภาคสนาม คือ นางวราพร อบมา ซึ่งช่วงเช้าเป็นการแนะนำตัวของเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็พาไปดูบ้านพักของผู้ให้บริการ ก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จัก แล้วก็ครูภาคสนามให้จดชื่อไว้ทุกคน แล้วช่วงบ่าย ทาง ผอ. ก็ขับรถมารับแล้วบอกว่า ไปทำงานกัน เราก็รู้สึกดีใจก่อนเลย เพราะว่าจะได้ลงพื้นที่เลย แต่ปรากฏว่าผิดคาด ไปทำงานเอกสารที่บ้านของ ผอ.
คือเหมือนว่า ขาดคนที่จะทำเรื่องเอกสาร
น่าจะใช่ค่ะ พอเดินเข้าไปก็มีครูภาคสนามรออยู่ แล้วมีพี่เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง คือ น.ส. อรภา ก็นั่งรอ แล้วก็มีเสารกองเต็มเลย ทั้งในลังและนอกลัง แต่วันแรกเขาก็ยังไม่ให้ทำอะไรนะ ซึ่งครูภาคสนามของเราเป็นเจ้าหน้าที่ค่ะ เขาเรียกเป็นครูภาคสนาม คือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลน้องๆ ภาคสนาม
หน้าที่ที่เราไปฝึกงานคือทำอะไร และเพื่อนกี่คน
เพื่อน 3 คน รวม 4 คน ไปในฐานะนักพัฒนา ก็คือลงชุมชน ไปพูดพบปะชาวบ้าน แล้วส่วนที่เราทำ คือ ศูนย์ของคนไร้ที่พึ่ง เราก็จะทำในส่วนของคนไร้บ้าน รวมทั้งขอทานด้วย
แต่ได้ไปทำเอกสารที่บ้านด้วย เขาให้ทำอะไรบ้าง
คือวันแรกเหมือนทำให้เราตายใจว่ามีเอกสารที่เขียนไว้หมดแล้ว มีสำเนาบัตร มีใบสำคัญรับเงิน เรียงเย็บมุมวางให้เรียบร้อย สรุปวันแรกก็ให้เรียงเอกสารเฉยๆ แล้ว 2 คนนี้คือประกบเราเลย
เขามีบุคลิกยังไงบ้าง ดูร้าย ดูขี้โกงมั้ย
ครูภาคสนามเขาจะมีบุคลิคที่เคร่งขรึม พูดจากระโชกโฮกฮาก เป็นคนที่ตะคอก ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคือด่า ซึ่งวันแรกเขาไม่ด่าเรานะ แต่จะเริ่มด่าในสัปดาห์ถัดไป ขึ้นกู-มึงเลย คือมันมีเหตุการณ์หนึ่ง เราไปซื้อของกับพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ครูภาคสนามเขาใช้ไป เขาใช้ไปซื้อกระดาษเอสี่เป็นลัง แล้วเขากำกับมาว่า เอาราคาที่ถูกที่สุด เราก็เข้าไปร้านกับพี่คนขับรถ แล้วเราไม่เห็นอันที่ถูกเลย มีแต่พวกที่แพงที่สุด เราสองคนตัดสินใจคุยกันว่า ไปซื้อที่อื่นมั้ย มันอาจจะได้ราคาถูกนะ แต่พี่คนขับรถเขาบอกว่า มันจะไม่นานเกินไปเหรอ เราก็บอกว่า เดี๋ยวรับผิดชอบเอง ก็เลยเข้าไปในเมือง ซึ่งเราพบว่า มันก็ถูกจริงๆ แต่เข้าไปนานไปหน่อยเพราะรถมันติด พอกลับมาถึง เราโดนด่าเลย เขาก็ว่าเราว่า ทำไมไปนานจัง รุ้มั้ยมันกี่ชั่วโมงแล้ว เราก็อธิบายกลับไปว่า ร้านที่ซื้อตอนแรกมันแพง ก็บอกว่าให้เอาที่ถูกที่สุดมาให้ เขาก็บอกกลับมาว่า รู้รึเปล่าว่ามันเปลืองน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ขึ้น แต่มาขึ้นตอนหลังที่ด่ากับเจ้าหน้าที่
แล้วมาขึ้นมึงกูกันตอนไหน
ตอนที่ถ่ายเอกสาร แล้วก็เอามาให้เขาเซ็น ด้วยการที่เราชอบเป็นคนที่ถามซ้ำๆ เพราะเอาให้ชัวร์ว่าถ่ายชุดไหนบ้าง เขาบอกว่าถ่ายมา 2 ชุด แต่เขายื่นมาให้เรา 3 ชุด ซึ่งชุดหลังเราถามว่า ถ่ายหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ่ายสิ ทำไมมึงถึงโง่อย่างงี้ ถามทำไมซ้ำๆ ซากๆ ถ้าถามอีก กุทำเองดีกว่ามั้ย
หนูรู้สึกว่าไปเป็นขี้ข้าเขามั้ย
ใช้ได้เลยค่ะ
หลังจากนั้น เราทำงานยังไงต่อ
คือเขามารับมาส่งแค่ครั้งเดียว นอกนั้นเขาให้เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเอง
เราเคยถามว่าทำไมต้องไปทำงานบ้าน ผอ. มั้ย
ไม่ได้ถามค่ะ ก็คิดแค่ว่า เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะว่ามันเป็นวันแรกๆ ไง เราไม่อยากขัดเขา
แล้วเราเริ่มเห็นพวกเอกสารแปลกๆ และบัตรประชาชนชาวบ้าน ตั้งแต่วันไหน
วันที่สองเลยค่ะ เขาให้เรากรอกเลย คือวันแรกเขาทำให้เราตายใจอย่างที่บอก แต่วันที่สองนี่คือมาเต็มเลย ใบผู้ประสบปัญหา ใบสำคัยรับเงินมีอยู่ตรงนั้นด้วย ซึ่งตรงนั้นมีเอกสารเป็นตั้งๆ
คนที่มากำกับให้เราเขียนในแบบต่างๆ คือใคร
คือพี่อรภา เขาให้เรากรอกข้อมูลตามบัตรประชาชน แต่ว่ามีชื่อหนึ่ง ที่ให้กรอก 3-4 คำถาม ที่เราไม่รู้คำตอบ คือ สถานะของแต่ละคน เช่น โสด สมรส ม่าย หย่าร้าง แล้วก็สถานะภาพทางการเงิน ความต้องการสภาพที่อยู่อาศัย รายได้ วุฒิการศึกษา เราก็ถามเขาว่าต้องทำยังไง พี่เขาตอบว่า ก็ทำๆ ไปเถอะ ถ้าเป็นนางก็สมรส ถ้าเป็น น.ส. ก็โสด เราก็ถามกลับว่า แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ้ามีอายุนิดหน่อย ก็ติ๊กว่าโสด อายุเยอะก็ติ๊กว่าสมรส แล้วแต่เราเลย
คือสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นเลย
คือเราก็สงสัยนะคะ แต่ว่าต้องรอให้เขาพูดให้จบก่อน แล้วเขาก็ให้ติ๊กต่อเลยว่า มีปัญหายากจน สภาพที่อยู่บ้านไม้ ก็เขียนเลยว่า อยู่บ้านไม้ หรือ บ้านสังกะสี ในแต่ละชุด ก็ให้เขียนยังไงก็ได้
เริ่มชัดแล้วว่า มีกระบวนการว่าจะให้ไปทำอะไรสักอย่าง
ใช่ค่ะ เราก็มีความสงสัยตั้งแต่ที่เขาให้เขียนเรื่องสถานะแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดอะไรไง คือเราก็ทำตามเขาให้จบ แล้วเขาก็ให้เราเขียนรายได้ว่า ได้เดือนละ 3000 บาทต่อเดือน แต่ส่วนมากเขาก็ให้เขียนเดือนละ 1000 บ้าง 1500 บ้าง สูงสุดเดือนละ 2000 บาท แล้ววุฒิการศึกษา เขาก็บอกว่าให้เขียนว่าห้ามเกิน ม.ต้น แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้เขียนว่า ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งจากทั้ง 4 คน เขาให้ติ๊กประมาณ 2000 คนได้ ใช้เวลาทำประมาณ 3 อาทิตย์ได้
วันไหนที่เราตัดสินใจถามเขา
คือเราก็ไม่ได้ถามเขาแบบนั้น แต่ถามในทำนองที่ว่า พี่จ่ายจริงมั้ย จ่ายครบหรือเปล่า เขาก็บอกว่าจ่ายจริง จ่ายครบหมดแล้ว เหลือแต่ทำเอกสารย้อนหลัง ส่งขึ้นกรมเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ เราก็ถามเขาอีกว่า ทำไมไม่ให้ชาวบ้านเขาทำเอง เขาก็ตอบว่า ชาวบ้านที่มายื่น ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ แล้วเขาไม่รู้หนังสือ เราก็เป็นบริการอย่างหนึ่งที่ทำให้เขา ซึ่งการกรอกแบบนี้ก็เลิกประมาณ 2-3 ทุ่มด้วย แล้วขับมอเตอร์ไซค์กลับหอ ทางเปลี่ยวอีกต่างหาก
เรามีบอกพี่เขามั้ยว่า มาฝึกงาน ไม่ได้มาทำอย่างงี้
ไม่เคยบอกค่ะ เราแค่คิดว่า มาฝึกงานในสถานะนิสิต เราก็ทำตามหน้าที่ไป
แล้ววันไหนที่เราตัดสินใจว่า ไม่ทำแล้ว
วันที่ 2 เลยค่ะ คือเราเริ่มสงสัยในสัปดาห์ที่สอง ตอนนั้นคือเราก้โทรไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเลย ปรึกษา 3 ครั้ง ครั้งแรก อาจารย์ก็บอกว่า ให้ทำเอกสารไปก่อน เพราะว่าทางเรายังไม่ได้ลงพื้นที่ แต่ประเด็นแรกเราก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเอกสารอะไร พอครั้งที่ 2 เราก็ไปปรึกษาพี่เจ้าหน้าที่ เราก็ถ่ายรูปไป และถ่ายรูปเก็บหลักฐานทั้งหมด มีการเตรียมตัวเก็บหลักฐาน
เจ้าหน้าที่ที่เด้งไปพร้อมเรามั้ย
ค่ะ
แล้วยังไงต่อ
แล้วก็ถ่ายรูปถ่ายอะไร แล้วก็ถามอาจารย์อีกรอบ อาจารย์ก็ถามว่า ได้คุยกับครูภาคสนามหรือยัง เราก็บอกว่า เราก็ยังไม่คุย ซึ่งเราก็คิดว่า ทำไมเรายังไม่คุยกับคนที่สั่งให้เราทำ คือเราคิดในใจว่า คนนี้สั่งให้เราทำ จะไปบอกเขาทำไม แล้วเราก็ปรึกษาเพื่อนอีก 3 คน ว่าจะยังไงต่อ ซึ่งตอนแรก เพื่อนก็เห็นด้วย แล้วเราก็ปรึกษากับอาจารย์คนหนึ่งที่สอนกฎหมายเราตั้งแต่มัธยม ซึ่งท่านก็ดูให้ แล้วปรากฏว่า มันเป็นเอกสารปลอมแปลง แต่ตอนหลังเพื่อนเหมือนกลัว ซึ่งเราก็ไม่ว่าเขาหรอกค่ะ
แล้วหลังจากนั้น เราเอาหลักฐานไปให้เขามั้ย
น้อง ก่อนหน้านั้น เรายังช่วยกันอยู่ หารือกัน แล้วเข้าไปหาอาจารย์ จนกระทั่งครั้งที่ 3 อาจารย์เลยนนัดประชุมกัน แล้วนัดไกล่เกลี่ย แล้วตอนนั้น ผอ.เขาไปราชการที่กรุงเทพฯ มีอาจารย์ภาคสนามอยู่แค่ท่านเดียว
ไกล่เกลี่ย?
ก็คือไปคุยกับอาจารย์ภาคสนาม โดยมีอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย พวกท่านก็ประชุมกันอยู่ประมาณสิบนาที ก่อนจะเรียกพวกหนูเข้าไป เงียบกริบ แล้วอาจารย์ก็บอกว่า ลองเล่ารายละเอียดการปลอมแปลงมาให้ฟังหน่อย ประเด็นก็คือ คนที่ปลอมแปลงก็อยู่ต่อหน้า เราจะไปเล่าให้มันฟังทำไมล่ะ อาจารย์ภาคสนามอยู่หัวโต๊ะ ส่วนอาจารย์ของเราอยู่ตรงข้ามกับเรา
เราก็อ้ำๆ อึ้งๆ อาจารย์เราก็ถามว่า อ้าว ทำไมไม่พูดล่ะ มีอะไรก็พูดมาได้ เราก็คิดในใจว่า ใครจะไปพูด บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดมากจนน้ำตาหนูจะไหล แล้วทีนี้ อาจารย์ภาคสนามก็พูดขึ้นมาว่า เอกสารนี้ เป็นการเข้าใจผิด แล้วก็ให้นิสิตฝึกงานคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของหนูออกไปเอาเอกสารจากพี่คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ภาคสนามก็เอาเอกสารมากางๆ แล้วก็เขียนสำเนาถูกต้องเท่านั้น แล้วก็รีบเอาออกไป เหมือนกับว่ามีพิรุธน่ะค่ะ เพราะถ้าเขาบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมเขาไม่ให้อาจารย์ดูเลยว่ามีคำถามอะไรบ้าง
แล้วอาจารย์ของเราว่ายังไง ทำไมเราต้องขอโทษ?
ท่านก็บอกว่า อาจารย์ภาคสนามเขาชี้แจงแล้ว มันเป็นการเข้าใจผิดกัน แล้วก็ให้เราขอโทษ เพราะว่าเป็นการทำให้อาจารย์ภาคสนามเสียเครดิต แล้วให้เราคุกเข่ากราบขอขมา เพราะว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ใหญ่ ก้มลงกราบเลย เรานี่น้ำตาไหลเลย แล้วอาจารย์ภาคสนามก็ทำพูดดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดดีเลย เป็นคนละคน
ถามจริงๆ ที่ทำมาทั้งหมด กลัวไหม?
กลัวค่ะ ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่...