วรางค์อร เดชรชตะ หรือ “สนุ๊ก สะพานบุญ” หญิงสาวผู้เคยผ่านความทุกข์จากการกินยาล้างห้องน้ำเพราะน้อยใจในความรักของพ่อแม่ แต่ด้วยความเจ็บป่วยระหว่างการรักษาตัว ทำให้เธอเริ่มเข้าใจคนป่วยด้วยกันมากขึ้น และนำไปสู่การเป็นจิตอาสาที่ทำมายาวนานกว่า 8 ปี
จากการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร ทำให้จากสิ่งเล็กๆ กลับกลายมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เพราะเธอเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่การไปบริจาคของตามศูนย์ต่างๆ งานออกโรงทาน เยี่ยมบ้านผู้ป่วย ผู้พิการ ผู้ยากไร้ งานล้างป่าช้า รวมไปถึงการแต่งหน้าศพที่เธอก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
นอกจากการทำบุญด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองแล้ว เธอยังเป็นสะพานบุญ บอกต่อให้คนอื่นได้ร่วมทำบุญกับเธออีกด้วย และวันนี้เธอก็มีความสุขกับการเป็นผู้ให้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 8 ปีแล้ว
• ทราบมาว่า ก่อนหน้าที่จะเป็นจิตอาสาช่วยคนอย่างทุกวันนี้ คุณเคยชีวิตติดลบ ประชดชีวิตจนเกือบตายมาก่อน
ตอนอายุ 17 ปี นุ๊กเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายในชีวิตค่ะ ด้วยความที่นุ๊กอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่มีลูกสามคน นุ๊กเป็นพี่คนโต ประจวบกับที่บ้านเลี้ยงลูกสามคนไม่ไหว ก็เลยต้องเอานุ๊กไปไว้กับคุณย่าตั้งแต่เด็ก จนถึง ป.3 นุ๊กถึงได้กลับมาอยู่กับที่บ้าน มันเลยทำให้เราจะออกแนวเป็นเด็กเก็บกด รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเด็กขาดความอบอุ่น พยายามเรียกร้องความสนใจมาโดยตลอด
มีครั้งหนึ่ง นุ๊กเคยเขียนไดอารีเล่าเรื่องราว ประมาณว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเรียกว่าแม่ แต่ไม่ใช่ เขาตีฉัน” แล้วเราก็ตั้งใจวางให้คุณแม่เห็น สิ่งนี้เลยทำให้คุณแม่เสียใจมาก ก็เรียกนุ๊กมาถามว่า “แล้วแม่นุ๊กอยู่ที่ไหน ผู้หญิงคนนี้จะพาไปหาแม่” ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจนะคะ แต่ถามว่าเรารู้สึกผิดอะไรไหม เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเรามีความรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่รัก ทำไมเขาเลี้ยงน้องได้ แต่เลี้ยงเราไม่ได้ พอได้มาอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เราก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่ได้รับความรักจากคุณพ่อคุณแม่อยู่ดี จนมัธยมต้น ครอบครัวนุ๊กก็ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเราก็ยังมีความคิดรู้สึกแบบนั้นมาตลอด
กระทั่งเรียนมัธยมปลาย เราก็เริ่มเรียกร้องความสนใจหลายๆ อย่าง เพราะอยากเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน ก็เริ่มมีเรื่องทะเลาะวิวาทหลายครั้ง เราจะรู้สึกสะใจทุกครั้งเวลาที่คุณพ่อโดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครอง ประมาณว่าเขาทำให้เราเสียใจ เราก็อยากทำให้เขาเสียใจเหมือนกัน จน ม.5 จำได้เลยค่ะว่าตอนนั้นนุ๊กไปทำรายงานแล้วก็กลับบ้านประมาณทุ่มสองทุ่ม แต่จริงๆ นุ๊กโทร.บอกคุณแม่แล้วนะคะ แต่คุณพ่อไม่ทราบ พอเช้ามา วันนั้นเป็นวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2545 นุ๊กลงมาเพื่อเตรียมตัวจะไปโรงเรียน ก็เจอคุณพ่อ ก็ทะเลาะกับคุณพ่อใหญ่โตเลยค่ะ เราโดนคุณพ่อตี โดนบีบปาก บอกให้หยุดเถียง แล้วก็โดนโยนลงโซฟา เอาเข็มขัดฟาดประมาณสองครั้ง ทั้งๆ ที่คุณพ่อไม่เคยตีเลยตั้งแต่เด็ก คือจะคุยด้วยเหตุผลตลอด ส่วนคุณแม่ก็เข้ามาห้าม แต่นุ๊กเป็นคนชอบเถียง พอเราไม่หยุด คุณแม่ก็หันมาตบหน้าหนึ่งครั้ง ทำให้มันแย่มากค่ะในตอนนั้น
หลังจากนั้นคุณพ่อก็เข้ามากอดขอโทษ เอามือนุ๊กกอดเอวเขา แล้วก็บอกพ่อขอโทษ แต่คือตอนนั้นมันรุนแรงมากสำหรับเรา เราก็เลยวิ่งเข้าห้องนอน โทร.ตามให้เพื่อนมารับเลยค่ะ วันนั้นเราก็รอให้คุณพ่อคุณแม่มาง้อ แต่เขาก็ไม่มา จนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เป็นวันพ่อด้วย เราก็ยิ่งรู้สึกว่าทำไมเขาไม่มาสนใจเราเลย ทำไมไม่มาดูเรา ซึ่งเราก็ไม่เคยหนีออกจากบ้านเลย เพราะคุณพ่อเป็นนายตำรวจ ก็เลยค่อนข้างที่จะตรงเป๊ะ 6 โมงเย็นก็ต้องเข้าบ้านแล้ว เราโดนเลี้ยงอยู่ในกรอบตลอดเวลา ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเขาไม่เป็นห่วงเราเลย มีความคิดอะไรหลายๆ อย่าง และด้วยความคิดสนุกกับเพื่อน นุ๊กก็เลยวางแผนจะกินยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตาย แต่เป็นการวางแผนที่เราไม่ได้คิดว่าเราจะตายจริงๆ นะคะ คิดแค่ว่ามันเป็นความสนุกสนานของเด็กอายุ 17 ปีเท่านั้นเอง
• ฆ่าตัวตายไม่ถึงตาย แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น
วันนั้นนุ๊กเหลือเงินติดตัวอยู่ 40 บาท คือคิดว่ายังไงเราต้องกลับบ้านแล้ว เพราะว่าไม่มีเงิน และเราขาดเรียนด้วย ก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องการเรียน และอยากกลับบ้านด้วย ก็เลยไปเดินเลือกน้ำยาล้างห้องน้ำ ตอนนั้นเลือกเอาราคาที่ถูกที่สุด ราคา 24 บาทจำได้แม่นเลยค่ะ ยังเลือกอยู่เลยว่าเราจะเอาสีชมพูเพราะเห็นสีหวานๆ มันคงไม่แรงมาก เลือกเสร็จเหลือเงิน 16 บาท ยังไปนั่งกินบัวลอยอยู่เลยค่ะ
พอกลับไปถึงบ้าน นุ๊กบอกกับเพื่อนว่าคืนนี้เราจะเขียนจดหมายลาตายถึงคุณพ่อคุณแม่นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำ 3 คำนะ เอาฉันไปส่งโรงพยาบาลเอกชนด้วยนะ ซึ่งเพื่อนก็โอเคนะคะ แต่เพื่อนเริ่มจะไม่สนุกแล้วค่ะ ก็มีบอกกับเราว่า “ไม่แรงไปเหรอ” แต่เราก็ค้านกลับไปเพราะกลัวว่าจะไม่สมจริง มันเป็นความสนุกสนาน ไม่ได้มีความทุกข์อะไรเลย คิดแต่ว่าอยากกลับบ้านค่ะ
เช้าวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2545 ก่อนเวลา 08.00 น. เราลงมาข้างล่างแล้วกินยาล้างห้องน้ำไป 3 อึกตามที่ตกลงกับเพื่อนไว้ คือเปิดขวดมาแล้วก็กระดกกินเลย ตอนแรกก็เข้าใจว่ากินแล้วจะน้ำลายฟูมปากเหมือนในละคร และก็แค่ไปล้างท้องแล้วก็หายนะคะ แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ คำแรกที่กินไปคือกลืนไปเต็มปาก พอคำที่สองเริ่มกลืนไม่ลงแล้ว พอคำที่สามมันกลืนไปนิดเดียวแล้วก็รู้สึกแสบตั้งแต่ลำคอลงมาเลยจนถึงข้างในกระเพาะเลย นุ๊กลงไปนอนขดตัว แล้วก็ตะโกนเรียกเพื่อน เพื่อนรู้แล้วว่าเรากินยาฆ่าตัวตาย เพื่อนก็วิ่งลงมาหา
จากตอนแรกที่คุยกันไว้ว่าจะกินนมช่วย คือด้วยความที่เข้าใจผิด ว่าการกินยาล้างห้องน้ำจะต้องกินอะไรเข้าไปทำให้อาเจียน แต่จริงๆ แล้วไม่ควรจะให้กินอะไรตามไปเลยทั้งนั้นเพราะมันจะย้อนกลับมาทำร้ายรอบสอง แต่ตอนนั้นที่เราวางแผนไว้เราไม่ได้ทำนะคะ เพราะมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น มันก็เลยอาจจะเป็นผลดีอีกด้านหนึ่ง ตอนแรกวางแผนไว้จะไปโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเพื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร เราก็ไม่ได้ไป สรุปก็ได้ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดประมาณ 500 เมตรแทน
พอไปถึงโรงพยาบาล เรารู้สึกทรมาน ปวดแสบปวดร้อนตั้งแต่หลอดอาหารจนถึงกระเพาะอาหาร ระหว่างที่อยู่บนรถแค่ไม่ถึงกิโลเมตร แต่เราเบลอไปหมดแล้ว ยกแขนยกขาแทบไม่ขึ้น พอไปถึงโรงพยาบาล เพื่อนก็ดูแล โทร.ไปบอกคุณแม่ ตอนนั้นนุ๊กก็ได้แค่ลืมตา เห็นภาพคุณแม่วิ่งมาแต่ไกล วิ่งมากอดเรา แต่เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คิดแค่ว่าเขาแค่ตกใจ
จนครบ 6 ชั่วโมง หมอให้ส่องกล้อง ผลออกมาว่ากระเพาะกับหลอดอาหารไม่ทะลุ ตอนนั้นเราก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก สุดท้ายตอนกลางคืนหมอบอกให้ส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด่วน เราก็เลยได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สี่วันแรก นุ๊กต้องล้างท้องค่ะ ยังสามารถดื่มนมดื่มอะไรได้อยู่ แต่วันแรกนุ๊กอาเจียนเป็นเลือด คุณหมอก็ต้องใส่สายอาหารเข้าไปทางจมูก เอาน้ำเย็นห้ามเลือดแล้วก็ล้างท้องออกมา สี่วันแรกนุ๊กพูดไม่มีเสียงเลยนะคะ เพราะกล่องเสียงนุ๊กโดนทำลาย ทุกวันนี้เสียงก็เลยแหบค่ะ แถมข้างในปากเปื่อย ลิ้นลอกหมดเลย พอเข้าสัปดาห์ที่สองก็เริ่มดื่มนมไม่ค่อยลง สัปดาห์ที่สามเริ่มกลืนน้ำลายไม่ค่อยได้ เลยต้องเจาะเพื่อให้อาหารทางสายยางหน้าท้อง ทำแบบนี้จนกว่าจะได้ผ่าตัด ตอนนั้นน้ำหนักจาก 51 กิโลกรัม เหลือแค่ 38 กิโลกรัม
ระยะเวลานั้นทำให้นุ๊กคิดฆ่าตัวตายทุกวัน ร้องไห้ทุกวันเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะหายไหม เราจะกลับมาเป็นปกติไหม มันกลืนอะไรไม่ได้ ต้องกรอกอาหารทางสายยางหน้าท้อง เรารักษาตัวแบบทรมานทุกวัน พอวันที่ผ่าตัดมาถึงปุ๊บ ผลปรากฏว่าเราต้องตัดตั้งแต่หลอดอาหารถึงกระเพาะ ยกทิ้งหมดเลย ก็คือที่ต้องรอนานเพราะต้องรอให้มันตีบสูงที่สุดก่อน แล้วก็นำลำไส้ใหญ่มาแทนหลอดอาหารต่อลงลำไส้เล็กแล้วก็ลงลำไส้ใหญ่อีกที ก็จะมีรอยแผลเป็นตั้งแต่คอประมาณ 20 เซนติเมตร และตั้งแต่กลางอกถึงสะดือ และข้างลำตัว มีบาดแผลทั้งหมด 3 ที่ค่ะ
หลังจากผ่าตัดเสร็จ ก็ไม่ใช่ว่ารักษาตัวแล้วเสร็จแค่นั้นนะคะ แต่นุ๊กต้องถ่างคอ การถ่างคอที่นุ๊กต้องเอาสายยาวๆ เข้าไปถ่างตั้งแต่ 3 มิลลิเมตร สูงสุดจนถึง 15 มิลลิเมตร แล้วก็มีเอาเข็มลงไปฉีดยาเป็นสี่จุดเพื่อล็อกไว้ ต้องทำแบบนี้ทุกๆ สามสัปดาห์ การรักษาตัวเกือบ 2 ปีค่ะ กว่านุ๊กจะกลับมาทานได้ปกติ
ทุกวันนี้นุ๊กก็ใช้ชีวิตไม่เหมือนปกตินะคะ เพราะการตัดหลอดอาหารกับกระเพาะยกทิ้งหมดเลย ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่ปกติ นุ๊กเลยต้องฉีดวิตามินทุก 2-4 สัปดาห์ กินวิตามินทุกวันเพราะว่าร่างกายขาดวิตามินไปหลายตัวเลยค่ะ
• จากเด็กคิดสั้นในวันนั้น กลายมาเป็น “สนุ๊ก สะพานบุญ” ในวันนี้
พอหลังจากที่เราเจ็บป่วย ก็เลยทำให้เราเข้าใจคนป่วยมากขึ้น เรารู้แล้วว่าการเจ็บป่วยมันเป็นยังไง การนอนติดเตียง มองแต่เพดานมันเป็นยังไง การที่ต้องการอะไรแล้วหยิบจับเองไม่ได้มันเป็นยังไง แล้วก็รู้แล้วว่าความรักของคุณพ่อคุณแม่ที่มีให้เรามันเป็นยังไง ซึ่งเราเข้าใจมาตลอดเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่รัก จากการเจ็บป่วยครั้งนั้นทำให้เราคิดแล้วว่าเราจะรักท่านให้มากที่สุด ทำทุกอย่างให้ท่านมีความสุขที่สุด
ตั้งแต่นั้นมานุ๊กเริ่มทำบุญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นการทำบุญเล็กๆ น้อยๆ เช่นซื้ออาหารให้คนรับประทาน เพราะรู้สึกว่าความสุขทุกวันของเราคือการเคี้ยวแล้วคาย เราไม่สามารถกลืนได้แม้แต่น้ำลาย พอเห็นคนได้กิน เราก็มีความสุขตามไปด้วยค่ะ
จนมาถึงปี 2553 นุ๊กมาผิดหวังเรื่องความรักอีกครั้ง เราเลยตัดสินใจหันหน้าเข้าวัด ถือศีลอยู่ 3 เดือน ก็ได้ทำบุญจากการที่เราอยากทานอะไร เราก็บอกแม่ครัว แม่ครัวก็จะทำให้ทาน แต่พอทำปุ๊บ เราก็ต้องเลี้ยงคนที่มาบวชด้วย 50-60 คน ซึ่งเขาก็อนุโมทนาสาธุให้ว่ามื้อนี้น้องสนุ๊กเป็นเจ้าภาพนะ ก็เลยรู้สึกดีใจกับการได้เป็นผู้ให้ขึ้นมา เวลาให้แล้วมีคนได้รับ เรามีความสุขจังเลย ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจเลี้ยงอาหารสัปดาห์ละ 2,000-3,000 บาทค่ะ
พอบวชเสร็จ เราก็เริ่มออกโรงทานตามงานนั้นงานนี้ ทำบุญออกโรงทาน เวลามีงานกฐินงานผ้าป่า ทำปีละ 5-6 ครั้ง เนื่องจากใช้เงินของตัวเองก็เลยทำได้ไม่บ่อยและไม่เยอะมาก แล้วก็เริ่มออกเยี่ยมศูนย์ผู้ป่วย ไปเลี้ยงอาหารศูนย์ผู้ป่วย ตามศูนย์เด็กพิการ นำของไปให้ครั้งละ 20,000 บาท ปีละ 2 ครั้ง
ทำเรื่อยมาจนถึงปี 2556 นุ๊กก็เริ่มติดตามเพจพี่บิณฑ์ ก็เลยโอนให้พี่เขาทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 300 บาท จนมาเจอเด็กดักแด้ เคสนี้เรารู้สึกว่าน่าสงสารมากเลย ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊กไป จากตอนแรกเราไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องมาโพสต์ว่าเราไปทำบุญตรงไหน ไม่รู้จะโพสต์ไปเพื่ออะไร โพสต์ไปแล้วได้อะไร เราทำบุญก็จริง แต่เราไม่เคยโพสต์ แต่ครั้งนั้นเราโพสต์ช่วยพี่บินฑ์ แล้วเราก็โอนไปให้เด็กดักแด้ 300 บาท หลังจากนั้นก็มีคนโอนตามอีก 5-6 คน เราก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำสามารถบอกบุญได้เหมือนกันนะ หลังจากนั้นก็เลยโพสต์มาตลอดเลยค่ะเราจะอาศัยบอกบุญ เป็นสะพานบุญ ก็เลยเป็นที่มาของ “สนุ๊ก สะพานบุญ” ค่ะ
• หลังจากเริ่มเป็นสะพานบุญแล้ว ยังเป็นจิตอาสาด้านอื่นๆ ด้วย
พอเราเริ่มเป็นสะพานบุญ ได้โพสต์บอกบุญแล้ว ก็มีเพื่อนๆ โอนเงินมาร่วมกับเรา ทำให้เรามีเงินไปทำบุญมากขึ้น จากที่เคยไปคนเดียว ออกเงินคนเดียว ปีละ 2 ครั้ง ก็เริ่มได้ไปเลี้ยงตามศูนย์เดือนละ 10,000 กว่าบาท ประมาณเดือนละครั้ง แถมเราก็ยังชอบออกโรงทานงานต่างๆ อยู่ ทำไปเรื่อยๆ เราก็ได้ไปเจอป้ายงานล้างป่าช้าที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งนุ๊กก็ไม่เคยรู้เลยว่างานล้างป่าช้าคืออะไร แต่เราชอบออกโรงทานอยู่แล้วเลยเข้าไปมูลนิธิแล้วก็ถามเขาว่างานล้างป่าช้าคืออะไรยังไง พอเขาบอก เราก็สนใจที่จะทำ ครั้งแรกที่ไป ก็ได้ ดร.สยมภู เกียรติสยมภู ประธานงานล้างป่าช้าชวนเข้าไปดู เราก็เลยได้เข้าไปช่วย ได้ลงมือทำครั้งแรก ทำแล้วก็รู้สึกติดใจ เราก็เลยทำต่อจนตอนนี้นุ๊กล้างป่าช้ามาได้ประมาณ 4 ปี ทำมาเกือบ 30 จังหวัดแล้วค่ะ (ยิ้ม)
หลังจากนั้นนุ๊กได้ติดตามเพจ “นางฟ้าซาลอน” นุ๊กได้เห็นพี่เขาทำในเพจ เราก็เริ่มสนใจมากขึ้น ได้เห็นว่าพี่กอล์ฟฟี่ (เจ้าของเพจ) ไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วย ทำให้เรายิ่งอยากตีสนิทกับเขา เราก็เลยนำแพมเพิร์สประมาณ 20 กว่าห่อไปหาพี่กอล์ฟฟี่อีกรอบหนึ่ง ซึ่งพี่เขาก็ชวนไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยกัน ในเขตหัวหิน ชะอำ รวมทั้งหมด 6 บ้านค่ะ
สิ่งที่เราไปเห็นจาก 6 บ้านที่เราได้ไปเรียนรู้มาก็คือเราเห็นถึงแม่ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ลูกไม่ได้เรียน ไม่มีจะกิน โดนเมียทิ้ง หรือแม้กระทั่งมีงานมีการดีๆ อยู่ต่างประเทศแต่ต้องหมดเนื้อหมดตัว คือภาระมันมีหลายๆ อย่าง มันเลยทำให้เราสนใจการเยี่ยมบ้าน จากที่เราเคยไปเยี่ยมตามศูนย์ทุกเดือน ที่เรารู้สึกว่ามันก็โอเคแล้ว คือการที่เราไปเยี่ยมตามศูนย์เราก็แค่ดูแล ป้อนอาหาร ให้กำลังใจเขา แต่ว่าพอเราได้ไปเยี่ยมบ้าน มันมีเรื่องราวชีวิตมากมายที่เขาอยากคุย อยากระบายกับเรา ซึ่งมันตรงกับตอนที่เราป่วย เรารู้สึกว่ากำลังใจมันสำคัญมาก นุ๊กคิดฆ่าตัวตายทุกวัน นุ๊กเลยรู้ว่ากำลังใจจากคนแปลกหน้ามันสำคัญขนาดไหน จากที่แม่เราหาข้าวหาอะไรให้กินทุกวัน เราก็รู้สึกโอเค เข้าใจบุญคุณ แต่พอคนแปลกหน้าเดินมาหาเรา จับมือเราแล้วถามว่ากินอะไรหรือยัง น้ำตามันร่วงจริงๆ นะ ตั้งแต่นั้นมา นุ๊กก็เลยเริ่มทำตามพี่กอล์ฟฟี่
• เป็นจิตอาสาเยี่ยมบ้านผู้ป่วย? ส่วนใหญ่จะเป็นเคสแบบไหน
แรกๆ ที่ทำเอง นุ๊กจะเริ่มจากการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเดือนละครั้ง ซึ่งนุ๊กเข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้มีอะไรให้มากมายนะคะ เราก็จะมีงบให้ประมาณ 5,000 - 10,000 บาท เริ่มจากในจังหวัดราชบุรี เพราะบ้านเราอยู่ราชบุรี หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนส่งเรื่องเข้ามาเรื่อยๆ เขาจะติดต่อมาทางเฟซบุ๊กค่ะ แต่ถามว่านุ๊กพิจารณายังไง พูดตรงๆ นุ๊กไปหมดนะ แต่เราก็จะเลือกว่าใครต้องไปก่อนไปหลัง ไม่ได้คิดว่าจะไม่ไป เพราะนุ๊กมองว่าการที่นุ๊กเอาของไปมอบให้เขา ถึงมันจะเป็นจำนวนเงินแค่ 5,000 บาท อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรเขามาก แต่อย่างน้อยเราก็ได้ไปมอบให้เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ได้
ตอนนั้นเราก็เริ่มมีคาราแรกเตอร์เป็นของตัวเองแล้ว เพราะอย่างพี่กอล์ฟฟี่เขาจะแต่งตัวเป็นตลก สร้างสีสันให้คนได้หัวเราะ เราก็เลยได้ต้นแบบมาจากเขา ซึ่งตอนนั้นนุ๊กเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะคะ นุ๊กเรียนจบมาทางด้านนิเทศศาสตร์ จบมาเราก็มีโอกาสได้เดินสายประกวด แล้วก็ทำงานด้านความสวยความงามมาก่อน อย่างเวทีที่ดังๆ หน่อย ก็จะเป็นเวทีสงกรานต์พระประแดง ได้ที่รองๆ มาเลยนะคะ แล้วก็เป็นเวทีน้องนางบ้านนาของประเพณีวิ่งควาย จังหวัดชลบุรี อันนั้นเราได้ขวัญใจช่างภาพ เราก็จะมีชื่อเสียงทางด้านนี้ ทำให้เราเอาสิ่งนี้มาสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเองเวลาไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเราก็จะใส่มงกุฎ ใส่สายสะพายด้วย เพื่อที่ว่าให้คนป่วยเห็นแล้วเกิดกำลังใจ เกิดรอยยิ้ม เกิดกำลังใจให้เขาได้สู้ต่อไปได้
• เห็นว่าส่วนหนึ่งใช้เงินของตัวเองบริจาค และอีกส่วนหนึ่งก็คือเราระดมทุนด้วยใช่ไหมคะ
การระดมทุนจะเป็นการซื้อของเยี่ยมบ้านค่ะ จะเป็นการโพสต์บอกบุญแล้วคนก็จะโอนเงินมาร่วมซื้อของ แต่ว่าเรื่องค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่านอน นุ๊กออกเองทั้งหมดนะคะ เดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทที่เราต้องออกเอง ส่วนเรื่องของที่จะซื้อไปเยี่ยมตามบ้าน นุ๊กจะโพสต์ไปในเฟซบุ๊กว่าเราจะไปเยี่ยมบ้านนี้นะ ก็จะมีคนโอนเงินมาร่วม คนที่โอนเข้ามาบางคนไม่รู้จักนุ๊กด้วยซ้ำแต่ก็โอนเข้ามาฝากไว้เป็นเงินกองกลาง ซึ่งนุ๊กจะทำบัญชีค่อนข้างชัดเจน จะมีการลงชื่อหมดว่าใครโอนกี่บาท แล้วเราก็จะส่งยอดต่างๆ ให้ทุกคน สมมติว่าโอนมา 150 คน นุ๊กก็จะส่งกลับทางไลน์ให้ทั้งหมด ว่าเราดำเนินการถึงไหนแล้ว เงินเหลือเท่าไหร่ ใช้อะไรไปบ้าง พอเงินเหลือ มันก็เลยจะมีข้อชัดเจนในเรื่องยอดเงิน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีคนมาทำบุญกับเราบ่อยๆ ขนาดนี้ค่ะ
คำว่า “สะพานบุญ” คือนุ๊กจะทำทุกอย่าง เช่น บริจาคของหรือว่าบริจาคโลงเย็นไปวัดนั้นวัดนี้ ไปบอกบุญทาสีวัด บอกบุญผ้าดิบห่อศพ บอกบุญซื้อโคมไฟ บอกบุญสร้างป้าย คือเราจะทำทุกอย่างที่เป็นงานบุญ ไม่ได้เลือกว่าทำเฉพาะเพื่องานใดงานหนึ่ง เพราะคำว่าสะพานบุญ นุ๊กไม่ได้มองว่าเราอยากทำอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นงานบางงานที่ทุกคนอยากทำ เช่น งานพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ คือตัวเราก็อยากทำ พอมีคนอยากร่วมบุญ อยากทำบุญกับเรา แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะไป เราก็จะไปเป็นตัวแทนให้เขา หรืออย่างบางที่น้ำท่วม ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าจะมีการช่วยเหลือ แต่บางทีคนที่ติดตามเรา เขาก็มาถามว่าอยากให้ไปช่วยนะ เราก็จะไป เหมือนกับเราเป็นตัวแทนเขา ให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา ประมาณนั้นค่ะ (ยิ้ม)
• นอกจากนี้ยังสนใจเรื่องการแต่งหน้าศพด้วย?
ใช่ค่ะ จากการเยี่ยมบ้าน นุ๊กก็ยังสนใจเรื่องการแต่งหน้าศพต่อ เพราะเราคุ้นเคยจากการล้างป่าช้า คุ้นเคยกับศพมาแล้ว เลยทำให้นุ๊กเริ่มมาสนใจการแต่งหน้าศพ แต่จริงๆ ตรงนี้สนใจมาตั้งแต่ก่อนเยี่ยมบ้านแล้วนะคะ นุ๊กได้ไปเจอเฟซบุ๊กพี่แนนนี่ที่เป็นเพื่อนของเพื่อน พี่แนนนี่เขาแต่งหน้าศพอยู่ เราก็เลยได้ไปคุย เขาก็แนะนำให้ไปเรียนกับอาจารย์เอ พี่เขาเป็นกู้ภัยอยู่ที่ จ.ชลบุรี นุ๊กได้ไปเรียนฟรี 3 วัน คือระหว่างที่เรียนก็คือเราได้ไปแต่งหน้าศพจริงทั้งหมด 3 ศพ เราก็เลยได้เรียนรู้จากเขา และได้เริ่มแต่งหน้าศพตั้งแต่นั้น จนถึงตอนนี้ก็ทำมาได้ราวๆ 2 ปีกว่า ประมาณเกือบ 50 ศพแล้วค่ะ
• แต่งหน้าศพเคสแรกเป็นยังไงบ้างคะ
เคสแรกที่นุ๊กได้มาแต่งเองเลยจะเป็นเคสของผู้ป่วยไร้บ้าน ไร้ญาติค่ะ เคสนั้นนอกจากแต่งหน้าให้แล้วนุ๊กยังช่วยจัดงานศพให้เขาด้วยสามวัน นุ๊กจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นนุ๊กเอาศพออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะด้วยความที่ไม่มีเอกสารอะไรเลย ตอนนั้นศพอยู่จ.ราชบุรี นุ๊กต้องเดินทางไปประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปขอเอกสาร นุ๊กเดินตามหาทั้งวัน พอรู้ว่าเขาพักอยู่ที่บ้านเช่า นุ๊กต้องเดินไปตามหาที่บ้านเช่า ต้องไปหาเอกสารหลายๆ ที่ จนมาทราบว่าเขาย้ายบ้านมา 4 จังหวัดแล้ว พอได้เอกสารต่างๆ เสร็จนุ๊กต้องไปรอศพตั้งแต่ 8 โมงเช้า เอาศพออกมาได้ประมาณ 1 ทุ่ม
คือจะบอกว่าสิ่งที่นุ๊กทำมันไม่ใช่แค่การแต่งหน้าศพ แต่มันยังรวมไปถึงหลายๆ อย่างที่เราต้องดูแลเขาทั้งหมด ตั้งแต่ตามหาญาติ จัดงานศพให้ แต่งหน้าศพให้ ก็ถือว่าได้เคสนี้เป็นเคสแรกที่เราจดจำมากๆ เพราะเราได้ทำครบถ้วนทั้งหมดค่ะ
• อย่างแต่งหน้าศพเรามีเกณฑ์การเลือกเคสไหมคะ แล้วเคสไหนที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
ส่วนใหญ่นุ๊กก็รับหมดอยู่แล้วนะคะแต่ถ้าจะติดต่อเข้ามาจริงๆ นุ๊กก็ไม่อยากให้เกิน 150 - 200 กิโลเมตรค่ะ เพราะอย่างน้อยมันยังมีระยะเวลาที่จะเดินทางไปได้ ส่วนเกณฑ์การเลือกศพมีไหม บอกเลยว่ายิ่งเป็นศพอุบัติเหตุ ยิ่งต้องไปเลยค่ะ เราพยายามจะไปให้ได้ เพราะอย่างศพคนป่วยคนแก่ คือญาติค่อนข้างทำใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ศพประสบอุบัติเหตุมันเป็นอะไรที่กะทันหัน เป็นศพที่ค่อนข้างมีแผลเป็น อาจจะเป็นลักษณะกะโหลกเปิดหัวเปิด มีการเย็บ พันแผลมา เราก็ต้องพันแผลให้เขาใหม่ ดูแลตกแต่งใบหน้าใหม่ มันก็เลยเหมือนกับว่าช่วยเยียวยาจิตใจญาติได้มากกว่าปกติ
เคสที่หนักที่สุดจะเป็นเคสอุบัติเหตุค่ะ มีเคสหนึ่งพันหัวมาเป็นมัมมี่ ปิดหน้า ปิดตาหมดเลย เราก็จะต้องค่อยๆ เปิด ตอนที่เปิดมาเห็นก็คือตาจะโดนเย็บ กะโหลกหน้าแตกหมดเลย จับหน้าที่แตกเป็นชิ้นๆ เลย กะโหลกหัวก็แตก เคสนี้เราก็เลยต้องมาพันแผล พันหัวให้ใหม่ แล้วก็ใส่หมวก ใส่แว่นให้ เคสนี้น่าจะหนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาค่ะ
• ดูค่อนข้างยากและต้องมีเทคนิคพอสมควรเหมือนกันนะคะ
สำหรับนุ๊กความยากง่ายไม่ได้อยู่ที่บาดแผลว่าจะแต่งออกมายังไงนะคะ เพราะเราไม่ได้กลัวเกี่ยวกับเรื่องศพ เรื่องน้ำเหลือง น้ำหนอง เรื่องเลือดเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่นุ๊กมองว่ายากมากๆ เลยก็คือ ญาติของผู้ตายมากกว่าค่ะ เรากลัวว่าจะทำออกมาได้ดีไหม ญาติจะพึงพอใจหรือเปล่า ญาติจะรู้สึกยังไง คือนุ๊กไม่ได้เน้นแต่งเพื่อความสวยงามของศพเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่นุ๊กจะเน้นที่สุดก็คือความพึงพอใจของญาติ ความสุขของญาติค่ะ หน้าที่ของเราคือไปให้กำลังใจญาติ ปลอบใจญาติด้วย การแต่งหน้าศพของเราไม่ใช่การแต่งได้เลย เราต้องศึกษาว่าญาติเป็นยังไง นุ๊กมองว่าศพคือร่างไร้วิญญาณที่นอนหลับไป เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะรับรู้หรือเปล่ากับสิ่งที่เราทำ แต่คนที่รับรู้ได้แน่ๆ ก็คือญาติ และสิ่งนี้เองก็เป็นการเยียวยาจิตใจของญาติได้ สร้างภาพความสวยงามหลังความตายให้ญาติได้จดจำ เพราะการที่ญาติบอกเราว่าอยากทาปากสีอะไร อยากทาเล็บสีอะไร มันจะเป็นความสุขของเขา
อย่างเช่น ศพล่าสุดที่นุ๊กไป เป็นศพโรคมะเร็ง เขาก็แจ้งว่าอยากให้แม่มีผม เราก็จะซื้อวิกไปให้ พอไปถึงลูกสาวก็แจ้งเลยว่าคุณแม่ชอบแต่งตัวไปดูรำวงนะ ชอบทาเล็บสีมังคุด ทาปากสีมังคุดนะ คือระหว่างที่เขาเล่าเรื่องราวของคุณแม่ตอนยังมีชีวิตอยู่ให้เราฟัง เขามีความสุข มีรอยยิ้มทั้งน้ำตา ที่เขาได้นึกถึงภาพเก่าๆ
หรืออย่างเคสหนึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไต นุ๊กเคยไปเยี่ยมเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาค่อนข้างโทรม ตัวดำ เราก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนชอบแต่งตัว จนนุ๊กไปแต่งหน้าศพให้ กำลังจะลงรองพื้นแล้ว เราเห็นว่าเขามีรอยสักผีเสื้อที่หน้าอก เราก็รู้แล้วว่าคนมีรอยสักผีเสื้อน่าจะต้องชอบแต่งตัวมาก่อนแน่ๆ เลย สรุปพอเราถามญาติ ญาติก็บอกว่าใช่ เขาชอบแต่งตัวเปรี้ยวๆ เราก็เลยแต่งให้เขาดูมีสีสันขึ้นมา นุ๊กจะแต่งเพื่อให้ญาติมองว่าคนคนนี้คือตัวตนจริงๆ เพราะว่าบางคนเขาอาจจะไม่ชอบแต่งหน้า แต่งตัวเลย แต่เราไปแต่งตามแบบที่เราคิดว่าสวย แต่คือเขาไม่ใช่คนที่ญาติเขาเคยรู้จักหรือเคยเห็นมาก่อน ยังไงมันก็ไม่ใช่
อย่างเครื่องสำอางก็เหมือนกันค่ะ รอบแรกนุ๊กก็เลือกซื้อเองนะคะ หลายคนอาจจะมองว่าศพก็คือศพใช้อะไรก็ได้ แต่สำหรับนุ๊กมองว่าศพคืออาจารย์ของเรา เราจะทำอะไรต้องให้เกียรติเขาทุกอย่าง แต่ว่าพอชุดแรกหมดเราก็จะมีการโพสต์ให้คนร่วมบุญกับเรา ชุดแรกนุ๊กซื้อหมดไปประมาณเกือบสองหมื่นบาทเพราะเรามองว่าหน้าเรา เราก็ยังอยากเลือกเลยว่าเราอยากใช้อะไร ศพก็เหมือนกัน ไม่ใช่อยากใช้อะไรก็ใช้ นุ๊กเลยเลือกซื้อเป็น counter brand
คือทุกคนจะเข้าใจว่าใช้ของหมดอายุ หลายคนจะติดต่อมา นึกว่าของซื้อตามตลาด นุ๊กมองว่าของพวกนี้หรือของหมดอายุก็ตาม หรือเป็นเครื่องสำอางที่ไม่กันน้ำ คุณภาพก็จะไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อย่างรองพื้นสำคัญมาก รองพื้นสีเข้ม ซึ่งสีเข้มคนปกติเนี่ยก็จะไม่ใช้อยู่แล้วเราก็ต้องซื้อพิเศษ พวกคอนซีลเลอร์ก็จำเป็น รองพื้นสีเข้มที่เราต้องใช้เพราะอย่างศพอุบัติเหตุ เราต้องลงลองพื้นสีเข้มก่อน หรือว่าใบหน้าที่มีริ้วรอย หรือว่าด่างดำเป็นดวง ไม่ว่าจะเป็นพวกแขนหรือว่าหน้า นุ๊กลงไม่ได้ลงเฉพาะหน้า ลงแขนด้วย เพราะว่าบางคนจะเป็นจ้ำเป็นดวง โดนฉีดยาโดนอะไรมา พวกแผลเป็นต้องเอารองพื้นสีเข้มลง คือมันก็จะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากการแต่งหน้าคนค่ะ
การแต่งหน้าศพก็ต้องบอกก่อนเลยว่าแต่งหน้าเรายังคิดเลยว่าจะติดหรือไม่ติด เหงื่อจะไหลหรือเปล่า แต่ศพหลายศพคือออกมาจากห้องเย็น แล้วก็จะมีน้ำดันออกมาอยู่แล้ว บางศพที่นุ๊กแต่ง ทั้งแปรง ทั้งฟองน้ำเปียกน้ำไปหมดเลยดังนั้นเราเลยต้องเลือกเครื่องสำอางที่กันน้ำ มีคุณภาพ สามารถติดทนนานเพราะแต่งเสร็จต้องเข้าไปอยู่ในโลงเย็น อีก 5-7 วัน เปิดศพมาใบหน้าต้องคงความสวยงามเหมือนเดิม ไม่ใช่เปิดมาแล้วไหลเยิ้ม เลยต้องดูถึงตรงนั้นด้วย
• ทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้ อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าเราได้อะไรจากสิ่งที่ทำตรงนี้บ้าง
นุ๊กได้เยอะมากนะคะ ถามว่าทำไมถึงชอบทำบุญ ถามว่าทำบุญแล้วได้อะไร นุ๊กบอกเลยค่ะว่าเราทำแล้วเรามีความสุขเราถึงอยากทำ บางทีถามว่าเหนื่อยไหม นุ๊กบอกเลยว่าเหนื่อยมากนะคะกับการที่ต้องเดินทาง ขับรถไปไกลๆ เสียค่าน้ำมัน 1,000 - 2,000 บาท แต่ถามว่ามันคุ้มไหม เรากลับมองว่ามันคุ้ม คุ้มเพราะคนที่เราไปหาเขาได้กำลังใจจากเรา เขามีของใช้ได้เป็นเดือน ดีไม่ดีอาจจะมีการช่วยเหลือตามเข้าไปอีก
เช่น บางคนไม่มีบ้าน นุ๊กเข้าไปเขาก็กลายเป็นมีบ้าน บางคนกินนอนใต้หลังคารั่ว ไม่มีไฟฟ้าใช้ พอเราเข้าไปก็กลายเป็นว่าเราไปเปลี่ยนชีวิตเขา เขามีหลังคาใหม่ มีไฟฟ้าเข้าไป หรืออย่างเคสป้าใบ้กับลุงเป๋ตาบอด เก็บของเก่าขายที่ จ.ราชบุรี แกโดนโจรจี้มาสามรอบแล้ว พอนุ๊กเข้าไปเรื่องจี้ปล้นก็หมดไป เพราะพอเป็นกระแส คนก็เริ่มกลัว ก็มีตำรวจลงพื้นที่ มีหน่วยงานของทหารเข้ามาสร้างบ้านให้ใหม่เลย หรือจะเป็นเคสที่เขาติดต่อเข้ามาบอกเราว่าเขาเป็น HIV คือเขาไม่รู้หนังสือเลย ลูกคลอดมาสองปียังไม่มีบัตรพิการ เอกสารไม่มีอะไรเลย เราก็ไปทำเรื่องเดินเรื่องเอกสารให้เขา จนเขาได้บัตรพิการมา ได้เงินเดือนละ 800 บาท ตรงนี้ก็เหมือนกับว่าเราได้ช่วยเขา สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ จากการที่เราเหนื่อยเข้าไปแค่วันเดียว นุ๊กมองว่ามันคุ้มค่ามากค่ะ
• แบบนี้เคยท้อจนคิดว่าอยากจะหยุดทำบ้างไหมคะ
พูดตรงๆ นุ๊กเหนื่อยนะ บางทีรู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ ใครจะมารู้บ้างว่าฉันเหนื่อย สายโทร.เข้ามาปรึกษาทุกวัน ถามว่าอยากหยุดไหม คิดบ่อยมากว่าอยากจะหยุด อยากหยุดจังเลย แต่พอมาคิดว่าถ้าหยุดไปแล้วพวกเขาที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราอยู่ล่ะ จะเป็นยังไงต่อไป มันเลยทำให้นุ๊กหยุดไม่ได้
คือตอนแรกๆ พูดเลยนะคะว่าเราคิดแค่ว่าจะทำสนุกๆ เหมือนเวลาไปเยี่ยมศูนย์ผู้ป่วย ถึงเวลาเราก็ไป เราไม่ต้องมารับรู้อะไร แต่ทุกวันนี้นุ๊กพูดตรงๆ นุ๊กไม่ได้ทุกข์อะไรเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเลยนะ ทุกข์แต่เรื่องคนอื่น เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เราขับรถไปเยี่ยมแล้วก็จบ แต่นุ๊กต้องทำตั้งแต่โพสต์บอกบุญว่าน้องเป็นอะไร ต้องการเงินบุญเท่าไหร่ ได้เงินมานุ๊กต้องทำบัญชี ไปซื้อของ คิดแล้วว่าเงินนี้ต้องซื้ออะไรบ้าง เดินซื้อคนเดียว ซื้อเสร็จปุ๊บก็ต้องมาวางเรียงถ่ายรูปว่าใครให้เท่าไหร่ๆ กี่บาท ใส่มงกุฎสายสะพายถ่ายรูป บางทีเราก็เหนื่อยนะกับการโพสต์ การถ่ายรูป พอถ่ายเสร็จนุ๊กก็ต้องมาบอกทุกคนว่าเราเอาเงินที่คุณให้มาไปทำอะไรบ้าง พอไปถึงบ้านเราก็ต้องไปถ่ายรูป ไปขอรายละเอียด เลขบัญชี เบอร์โทรศัพท์ เพื่อจะโพสต์ให้เขาต่อ คือเยี่ยมบ้านเคสหนึ่งมันใช้เวลามันไม่ใช่แค่เห็นหน้าจอเอาของไปมอบให้แล้วจบ มันมีขั้นตอนหลายอย่าง
ก็มีคนว่าเราสร้างภาพเหมือนกันนะคะ แต่ที่นุ๊กทำ นุ๊กไม่ได้อยากได้คำชม แต่อยากให้คนทำตามมากกว่า เพราะหลายคนไม่กล้าที่จะเริ่ม ตรงนี้อาจจะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นหรือแรงบันดาลใจให้คนได้ทำตาม เป็นการสร้างจิตอาสาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง
การที่นุ๊กทำจิตอาสาทุกวันนี้ นุ๊กไม่ได้ทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง คืออย่างที่นุ๊กเล่ามันมีทุกอย่าง ที่สำคัญคือการดูแลจิตใจ ให้กำลังใจ เป็นสิ่งที่นุ๊กจะเน้นมากที่สุด หลายคนที่อยากจะเริ่มต้นเป็นจิตอาสาอาจจะไม่มีทุนทรัพย์ หรืออาจจะไม่มีรายได้ เราไม่ต้องมาคิดว่าการเป็นจิตอาสาต้องเสียเงินเสมอไป คือจิตอาสาไม่ต้องเริ่มจากอะไรที่ใหญ่โตหรอก เริ่มจากอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าเราจะใช้วิชาชีพของเราโดยการเป็นจิตอาสาก็ได้ อย่างเช่น ใครมีความรู้เรื่องการตัดผมก็สามารถไปช่วยตัดผม ทุกพื้นที่มีคนป่วย คนแก่ คนพิการ คนยากไร้อยู่แล้วที่ต้องการความช่วยแหลือจากเรา เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นจิตอาสาแล้วค่ะ
• คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ทางบ้านเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำไหม
ตอนแรกไม่เห็นด้วยนะคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะห้ามเลย อย่างตอนแรกนุ๊กใช้เงินตัวเอง ที่บ้านเขาก็จะรู้ เขาก็จะถามประมาณว่ามีเงินทำไมไม่เก็บบ้าง เขาก็จะบ่นเรื่องเงินแรกๆ แต่พอเราเริ่มเป็นสะพานบุญเขาก็มาเป็นห่วงเรื่องการเดินทางมากกว่า แต่ที่บ้านเขาก็ภูมิใจค่ะเพราะทุกวันนี้เวลาไปไหนเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ที่เขาติดตามเราก็จะมาพูดมาชมเรากับคุณพ่อคุณแม่ตลอด ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาก็ปลื้มและภูมิใจในตัวลูกสาวค่ะ
• เรียกได้ว่าเพราะความเจ็บป่วยและความผิดหวังในวันนั้นทำให้เรามีวันนี้ได้ไหมคะ
ใช่ค่ะ มันเริ่มจากตอนที่เราเจ็บป่วยด้วย นุ๊กไม่ได้ตื่นมาปุ๊บแล้วบอกตัวเองว่าฉันจะเป็นคนดีนะคะ แต่เหมือนกับว่าเราค่อยๆ ทำ ทำมาเรื่อยๆ คือชีวิตนุ๊กก็เป็นเหมือนตัวอย่างให้กับเด็กวัยรุ่นได้หลายๆ อย่าง เพราะจากที่นุ๊กเคยผ่านเรื่องร้ายๆ มาในตอนนั้น ถามว่าตอนนั้นอยากคิดสั้นฆ่าตัวตายจริงๆ ไหม เราไม่ได้มีความคิดตรงนั้น เราแค่อยากประชด แต่การที่เราผ่านจุดนั้นมาแล้วเรารู้เลยว่าการที่คิดสั้นฆ่าตัวตายมันไม่ได้มีผลดีอะไรขึ้นมา มีแต่ผลเลวร้ายกลับมา ซึ่งคนรอบข้างก็เสียใจ สมมติว่าถ้าเราตายจริงๆ คนรอบข้างก็เสียใจ แต่ถ้าไม่ตาย เราก็เหมือนตายทั้งเป็น มันไม่จบ มันส่งผลตลอดชีวิต
ต้องบอกเลยว่าความเจ็บป่วยในวันนั้นทำให้มี “สนุ๊ก สะพานบุญ” ในวันนี้ ถ้าในอดีตนุ๊กไม่ได้เจ็บป่วย นุ๊กก็อาจจะไม่มีความคิด ความเข้าใจใครหลายๆ คนที่เขาเจ็บป่วย คงจะไม่อยากช่วยเหลือคนอื่นแบบในวันนี้ก็ได้
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย และ facebook : สนุ๊ก สะพานบุญ
จากการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร ทำให้จากสิ่งเล็กๆ กลับกลายมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เพราะเธอเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่การไปบริจาคของตามศูนย์ต่างๆ งานออกโรงทาน เยี่ยมบ้านผู้ป่วย ผู้พิการ ผู้ยากไร้ งานล้างป่าช้า รวมไปถึงการแต่งหน้าศพที่เธอก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
นอกจากการทำบุญด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองแล้ว เธอยังเป็นสะพานบุญ บอกต่อให้คนอื่นได้ร่วมทำบุญกับเธออีกด้วย และวันนี้เธอก็มีความสุขกับการเป็นผู้ให้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 8 ปีแล้ว
• ทราบมาว่า ก่อนหน้าที่จะเป็นจิตอาสาช่วยคนอย่างทุกวันนี้ คุณเคยชีวิตติดลบ ประชดชีวิตจนเกือบตายมาก่อน
ตอนอายุ 17 ปี นุ๊กเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายในชีวิตค่ะ ด้วยความที่นุ๊กอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่มีลูกสามคน นุ๊กเป็นพี่คนโต ประจวบกับที่บ้านเลี้ยงลูกสามคนไม่ไหว ก็เลยต้องเอานุ๊กไปไว้กับคุณย่าตั้งแต่เด็ก จนถึง ป.3 นุ๊กถึงได้กลับมาอยู่กับที่บ้าน มันเลยทำให้เราจะออกแนวเป็นเด็กเก็บกด รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเด็กขาดความอบอุ่น พยายามเรียกร้องความสนใจมาโดยตลอด
มีครั้งหนึ่ง นุ๊กเคยเขียนไดอารีเล่าเรื่องราว ประมาณว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเรียกว่าแม่ แต่ไม่ใช่ เขาตีฉัน” แล้วเราก็ตั้งใจวางให้คุณแม่เห็น สิ่งนี้เลยทำให้คุณแม่เสียใจมาก ก็เรียกนุ๊กมาถามว่า “แล้วแม่นุ๊กอยู่ที่ไหน ผู้หญิงคนนี้จะพาไปหาแม่” ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจนะคะ แต่ถามว่าเรารู้สึกผิดอะไรไหม เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเรามีความรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่รัก ทำไมเขาเลี้ยงน้องได้ แต่เลี้ยงเราไม่ได้ พอได้มาอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เราก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่ได้รับความรักจากคุณพ่อคุณแม่อยู่ดี จนมัธยมต้น ครอบครัวนุ๊กก็ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเราก็ยังมีความคิดรู้สึกแบบนั้นมาตลอด
กระทั่งเรียนมัธยมปลาย เราก็เริ่มเรียกร้องความสนใจหลายๆ อย่าง เพราะอยากเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน ก็เริ่มมีเรื่องทะเลาะวิวาทหลายครั้ง เราจะรู้สึกสะใจทุกครั้งเวลาที่คุณพ่อโดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครอง ประมาณว่าเขาทำให้เราเสียใจ เราก็อยากทำให้เขาเสียใจเหมือนกัน จน ม.5 จำได้เลยค่ะว่าตอนนั้นนุ๊กไปทำรายงานแล้วก็กลับบ้านประมาณทุ่มสองทุ่ม แต่จริงๆ นุ๊กโทร.บอกคุณแม่แล้วนะคะ แต่คุณพ่อไม่ทราบ พอเช้ามา วันนั้นเป็นวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2545 นุ๊กลงมาเพื่อเตรียมตัวจะไปโรงเรียน ก็เจอคุณพ่อ ก็ทะเลาะกับคุณพ่อใหญ่โตเลยค่ะ เราโดนคุณพ่อตี โดนบีบปาก บอกให้หยุดเถียง แล้วก็โดนโยนลงโซฟา เอาเข็มขัดฟาดประมาณสองครั้ง ทั้งๆ ที่คุณพ่อไม่เคยตีเลยตั้งแต่เด็ก คือจะคุยด้วยเหตุผลตลอด ส่วนคุณแม่ก็เข้ามาห้าม แต่นุ๊กเป็นคนชอบเถียง พอเราไม่หยุด คุณแม่ก็หันมาตบหน้าหนึ่งครั้ง ทำให้มันแย่มากค่ะในตอนนั้น
หลังจากนั้นคุณพ่อก็เข้ามากอดขอโทษ เอามือนุ๊กกอดเอวเขา แล้วก็บอกพ่อขอโทษ แต่คือตอนนั้นมันรุนแรงมากสำหรับเรา เราก็เลยวิ่งเข้าห้องนอน โทร.ตามให้เพื่อนมารับเลยค่ะ วันนั้นเราก็รอให้คุณพ่อคุณแม่มาง้อ แต่เขาก็ไม่มา จนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เป็นวันพ่อด้วย เราก็ยิ่งรู้สึกว่าทำไมเขาไม่มาสนใจเราเลย ทำไมไม่มาดูเรา ซึ่งเราก็ไม่เคยหนีออกจากบ้านเลย เพราะคุณพ่อเป็นนายตำรวจ ก็เลยค่อนข้างที่จะตรงเป๊ะ 6 โมงเย็นก็ต้องเข้าบ้านแล้ว เราโดนเลี้ยงอยู่ในกรอบตลอดเวลา ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเขาไม่เป็นห่วงเราเลย มีความคิดอะไรหลายๆ อย่าง และด้วยความคิดสนุกกับเพื่อน นุ๊กก็เลยวางแผนจะกินยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตาย แต่เป็นการวางแผนที่เราไม่ได้คิดว่าเราจะตายจริงๆ นะคะ คิดแค่ว่ามันเป็นความสนุกสนานของเด็กอายุ 17 ปีเท่านั้นเอง
• ฆ่าตัวตายไม่ถึงตาย แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น
วันนั้นนุ๊กเหลือเงินติดตัวอยู่ 40 บาท คือคิดว่ายังไงเราต้องกลับบ้านแล้ว เพราะว่าไม่มีเงิน และเราขาดเรียนด้วย ก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องการเรียน และอยากกลับบ้านด้วย ก็เลยไปเดินเลือกน้ำยาล้างห้องน้ำ ตอนนั้นเลือกเอาราคาที่ถูกที่สุด ราคา 24 บาทจำได้แม่นเลยค่ะ ยังเลือกอยู่เลยว่าเราจะเอาสีชมพูเพราะเห็นสีหวานๆ มันคงไม่แรงมาก เลือกเสร็จเหลือเงิน 16 บาท ยังไปนั่งกินบัวลอยอยู่เลยค่ะ
พอกลับไปถึงบ้าน นุ๊กบอกกับเพื่อนว่าคืนนี้เราจะเขียนจดหมายลาตายถึงคุณพ่อคุณแม่นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำ 3 คำนะ เอาฉันไปส่งโรงพยาบาลเอกชนด้วยนะ ซึ่งเพื่อนก็โอเคนะคะ แต่เพื่อนเริ่มจะไม่สนุกแล้วค่ะ ก็มีบอกกับเราว่า “ไม่แรงไปเหรอ” แต่เราก็ค้านกลับไปเพราะกลัวว่าจะไม่สมจริง มันเป็นความสนุกสนาน ไม่ได้มีความทุกข์อะไรเลย คิดแต่ว่าอยากกลับบ้านค่ะ
เช้าวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2545 ก่อนเวลา 08.00 น. เราลงมาข้างล่างแล้วกินยาล้างห้องน้ำไป 3 อึกตามที่ตกลงกับเพื่อนไว้ คือเปิดขวดมาแล้วก็กระดกกินเลย ตอนแรกก็เข้าใจว่ากินแล้วจะน้ำลายฟูมปากเหมือนในละคร และก็แค่ไปล้างท้องแล้วก็หายนะคะ แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ คำแรกที่กินไปคือกลืนไปเต็มปาก พอคำที่สองเริ่มกลืนไม่ลงแล้ว พอคำที่สามมันกลืนไปนิดเดียวแล้วก็รู้สึกแสบตั้งแต่ลำคอลงมาเลยจนถึงข้างในกระเพาะเลย นุ๊กลงไปนอนขดตัว แล้วก็ตะโกนเรียกเพื่อน เพื่อนรู้แล้วว่าเรากินยาฆ่าตัวตาย เพื่อนก็วิ่งลงมาหา
จากตอนแรกที่คุยกันไว้ว่าจะกินนมช่วย คือด้วยความที่เข้าใจผิด ว่าการกินยาล้างห้องน้ำจะต้องกินอะไรเข้าไปทำให้อาเจียน แต่จริงๆ แล้วไม่ควรจะให้กินอะไรตามไปเลยทั้งนั้นเพราะมันจะย้อนกลับมาทำร้ายรอบสอง แต่ตอนนั้นที่เราวางแผนไว้เราไม่ได้ทำนะคะ เพราะมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น มันก็เลยอาจจะเป็นผลดีอีกด้านหนึ่ง ตอนแรกวางแผนไว้จะไปโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเพื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร เราก็ไม่ได้ไป สรุปก็ได้ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดประมาณ 500 เมตรแทน
พอไปถึงโรงพยาบาล เรารู้สึกทรมาน ปวดแสบปวดร้อนตั้งแต่หลอดอาหารจนถึงกระเพาะอาหาร ระหว่างที่อยู่บนรถแค่ไม่ถึงกิโลเมตร แต่เราเบลอไปหมดแล้ว ยกแขนยกขาแทบไม่ขึ้น พอไปถึงโรงพยาบาล เพื่อนก็ดูแล โทร.ไปบอกคุณแม่ ตอนนั้นนุ๊กก็ได้แค่ลืมตา เห็นภาพคุณแม่วิ่งมาแต่ไกล วิ่งมากอดเรา แต่เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คิดแค่ว่าเขาแค่ตกใจ
จนครบ 6 ชั่วโมง หมอให้ส่องกล้อง ผลออกมาว่ากระเพาะกับหลอดอาหารไม่ทะลุ ตอนนั้นเราก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก สุดท้ายตอนกลางคืนหมอบอกให้ส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด่วน เราก็เลยได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สี่วันแรก นุ๊กต้องล้างท้องค่ะ ยังสามารถดื่มนมดื่มอะไรได้อยู่ แต่วันแรกนุ๊กอาเจียนเป็นเลือด คุณหมอก็ต้องใส่สายอาหารเข้าไปทางจมูก เอาน้ำเย็นห้ามเลือดแล้วก็ล้างท้องออกมา สี่วันแรกนุ๊กพูดไม่มีเสียงเลยนะคะ เพราะกล่องเสียงนุ๊กโดนทำลาย ทุกวันนี้เสียงก็เลยแหบค่ะ แถมข้างในปากเปื่อย ลิ้นลอกหมดเลย พอเข้าสัปดาห์ที่สองก็เริ่มดื่มนมไม่ค่อยลง สัปดาห์ที่สามเริ่มกลืนน้ำลายไม่ค่อยได้ เลยต้องเจาะเพื่อให้อาหารทางสายยางหน้าท้อง ทำแบบนี้จนกว่าจะได้ผ่าตัด ตอนนั้นน้ำหนักจาก 51 กิโลกรัม เหลือแค่ 38 กิโลกรัม
ระยะเวลานั้นทำให้นุ๊กคิดฆ่าตัวตายทุกวัน ร้องไห้ทุกวันเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะหายไหม เราจะกลับมาเป็นปกติไหม มันกลืนอะไรไม่ได้ ต้องกรอกอาหารทางสายยางหน้าท้อง เรารักษาตัวแบบทรมานทุกวัน พอวันที่ผ่าตัดมาถึงปุ๊บ ผลปรากฏว่าเราต้องตัดตั้งแต่หลอดอาหารถึงกระเพาะ ยกทิ้งหมดเลย ก็คือที่ต้องรอนานเพราะต้องรอให้มันตีบสูงที่สุดก่อน แล้วก็นำลำไส้ใหญ่มาแทนหลอดอาหารต่อลงลำไส้เล็กแล้วก็ลงลำไส้ใหญ่อีกที ก็จะมีรอยแผลเป็นตั้งแต่คอประมาณ 20 เซนติเมตร และตั้งแต่กลางอกถึงสะดือ และข้างลำตัว มีบาดแผลทั้งหมด 3 ที่ค่ะ
หลังจากผ่าตัดเสร็จ ก็ไม่ใช่ว่ารักษาตัวแล้วเสร็จแค่นั้นนะคะ แต่นุ๊กต้องถ่างคอ การถ่างคอที่นุ๊กต้องเอาสายยาวๆ เข้าไปถ่างตั้งแต่ 3 มิลลิเมตร สูงสุดจนถึง 15 มิลลิเมตร แล้วก็มีเอาเข็มลงไปฉีดยาเป็นสี่จุดเพื่อล็อกไว้ ต้องทำแบบนี้ทุกๆ สามสัปดาห์ การรักษาตัวเกือบ 2 ปีค่ะ กว่านุ๊กจะกลับมาทานได้ปกติ
ทุกวันนี้นุ๊กก็ใช้ชีวิตไม่เหมือนปกตินะคะ เพราะการตัดหลอดอาหารกับกระเพาะยกทิ้งหมดเลย ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่ปกติ นุ๊กเลยต้องฉีดวิตามินทุก 2-4 สัปดาห์ กินวิตามินทุกวันเพราะว่าร่างกายขาดวิตามินไปหลายตัวเลยค่ะ
• จากเด็กคิดสั้นในวันนั้น กลายมาเป็น “สนุ๊ก สะพานบุญ” ในวันนี้
พอหลังจากที่เราเจ็บป่วย ก็เลยทำให้เราเข้าใจคนป่วยมากขึ้น เรารู้แล้วว่าการเจ็บป่วยมันเป็นยังไง การนอนติดเตียง มองแต่เพดานมันเป็นยังไง การที่ต้องการอะไรแล้วหยิบจับเองไม่ได้มันเป็นยังไง แล้วก็รู้แล้วว่าความรักของคุณพ่อคุณแม่ที่มีให้เรามันเป็นยังไง ซึ่งเราเข้าใจมาตลอดเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่รัก จากการเจ็บป่วยครั้งนั้นทำให้เราคิดแล้วว่าเราจะรักท่านให้มากที่สุด ทำทุกอย่างให้ท่านมีความสุขที่สุด
ตั้งแต่นั้นมานุ๊กเริ่มทำบุญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นการทำบุญเล็กๆ น้อยๆ เช่นซื้ออาหารให้คนรับประทาน เพราะรู้สึกว่าความสุขทุกวันของเราคือการเคี้ยวแล้วคาย เราไม่สามารถกลืนได้แม้แต่น้ำลาย พอเห็นคนได้กิน เราก็มีความสุขตามไปด้วยค่ะ
จนมาถึงปี 2553 นุ๊กมาผิดหวังเรื่องความรักอีกครั้ง เราเลยตัดสินใจหันหน้าเข้าวัด ถือศีลอยู่ 3 เดือน ก็ได้ทำบุญจากการที่เราอยากทานอะไร เราก็บอกแม่ครัว แม่ครัวก็จะทำให้ทาน แต่พอทำปุ๊บ เราก็ต้องเลี้ยงคนที่มาบวชด้วย 50-60 คน ซึ่งเขาก็อนุโมทนาสาธุให้ว่ามื้อนี้น้องสนุ๊กเป็นเจ้าภาพนะ ก็เลยรู้สึกดีใจกับการได้เป็นผู้ให้ขึ้นมา เวลาให้แล้วมีคนได้รับ เรามีความสุขจังเลย ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจเลี้ยงอาหารสัปดาห์ละ 2,000-3,000 บาทค่ะ
พอบวชเสร็จ เราก็เริ่มออกโรงทานตามงานนั้นงานนี้ ทำบุญออกโรงทาน เวลามีงานกฐินงานผ้าป่า ทำปีละ 5-6 ครั้ง เนื่องจากใช้เงินของตัวเองก็เลยทำได้ไม่บ่อยและไม่เยอะมาก แล้วก็เริ่มออกเยี่ยมศูนย์ผู้ป่วย ไปเลี้ยงอาหารศูนย์ผู้ป่วย ตามศูนย์เด็กพิการ นำของไปให้ครั้งละ 20,000 บาท ปีละ 2 ครั้ง
ทำเรื่อยมาจนถึงปี 2556 นุ๊กก็เริ่มติดตามเพจพี่บิณฑ์ ก็เลยโอนให้พี่เขาทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 300 บาท จนมาเจอเด็กดักแด้ เคสนี้เรารู้สึกว่าน่าสงสารมากเลย ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊กไป จากตอนแรกเราไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องมาโพสต์ว่าเราไปทำบุญตรงไหน ไม่รู้จะโพสต์ไปเพื่ออะไร โพสต์ไปแล้วได้อะไร เราทำบุญก็จริง แต่เราไม่เคยโพสต์ แต่ครั้งนั้นเราโพสต์ช่วยพี่บินฑ์ แล้วเราก็โอนไปให้เด็กดักแด้ 300 บาท หลังจากนั้นก็มีคนโอนตามอีก 5-6 คน เราก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำสามารถบอกบุญได้เหมือนกันนะ หลังจากนั้นก็เลยโพสต์มาตลอดเลยค่ะเราจะอาศัยบอกบุญ เป็นสะพานบุญ ก็เลยเป็นที่มาของ “สนุ๊ก สะพานบุญ” ค่ะ
• หลังจากเริ่มเป็นสะพานบุญแล้ว ยังเป็นจิตอาสาด้านอื่นๆ ด้วย
พอเราเริ่มเป็นสะพานบุญ ได้โพสต์บอกบุญแล้ว ก็มีเพื่อนๆ โอนเงินมาร่วมกับเรา ทำให้เรามีเงินไปทำบุญมากขึ้น จากที่เคยไปคนเดียว ออกเงินคนเดียว ปีละ 2 ครั้ง ก็เริ่มได้ไปเลี้ยงตามศูนย์เดือนละ 10,000 กว่าบาท ประมาณเดือนละครั้ง แถมเราก็ยังชอบออกโรงทานงานต่างๆ อยู่ ทำไปเรื่อยๆ เราก็ได้ไปเจอป้ายงานล้างป่าช้าที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งนุ๊กก็ไม่เคยรู้เลยว่างานล้างป่าช้าคืออะไร แต่เราชอบออกโรงทานอยู่แล้วเลยเข้าไปมูลนิธิแล้วก็ถามเขาว่างานล้างป่าช้าคืออะไรยังไง พอเขาบอก เราก็สนใจที่จะทำ ครั้งแรกที่ไป ก็ได้ ดร.สยมภู เกียรติสยมภู ประธานงานล้างป่าช้าชวนเข้าไปดู เราก็เลยได้เข้าไปช่วย ได้ลงมือทำครั้งแรก ทำแล้วก็รู้สึกติดใจ เราก็เลยทำต่อจนตอนนี้นุ๊กล้างป่าช้ามาได้ประมาณ 4 ปี ทำมาเกือบ 30 จังหวัดแล้วค่ะ (ยิ้ม)
หลังจากนั้นนุ๊กได้ติดตามเพจ “นางฟ้าซาลอน” นุ๊กได้เห็นพี่เขาทำในเพจ เราก็เริ่มสนใจมากขึ้น ได้เห็นว่าพี่กอล์ฟฟี่ (เจ้าของเพจ) ไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วย ทำให้เรายิ่งอยากตีสนิทกับเขา เราก็เลยนำแพมเพิร์สประมาณ 20 กว่าห่อไปหาพี่กอล์ฟฟี่อีกรอบหนึ่ง ซึ่งพี่เขาก็ชวนไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยกัน ในเขตหัวหิน ชะอำ รวมทั้งหมด 6 บ้านค่ะ
สิ่งที่เราไปเห็นจาก 6 บ้านที่เราได้ไปเรียนรู้มาก็คือเราเห็นถึงแม่ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ลูกไม่ได้เรียน ไม่มีจะกิน โดนเมียทิ้ง หรือแม้กระทั่งมีงานมีการดีๆ อยู่ต่างประเทศแต่ต้องหมดเนื้อหมดตัว คือภาระมันมีหลายๆ อย่าง มันเลยทำให้เราสนใจการเยี่ยมบ้าน จากที่เราเคยไปเยี่ยมตามศูนย์ทุกเดือน ที่เรารู้สึกว่ามันก็โอเคแล้ว คือการที่เราไปเยี่ยมตามศูนย์เราก็แค่ดูแล ป้อนอาหาร ให้กำลังใจเขา แต่ว่าพอเราได้ไปเยี่ยมบ้าน มันมีเรื่องราวชีวิตมากมายที่เขาอยากคุย อยากระบายกับเรา ซึ่งมันตรงกับตอนที่เราป่วย เรารู้สึกว่ากำลังใจมันสำคัญมาก นุ๊กคิดฆ่าตัวตายทุกวัน นุ๊กเลยรู้ว่ากำลังใจจากคนแปลกหน้ามันสำคัญขนาดไหน จากที่แม่เราหาข้าวหาอะไรให้กินทุกวัน เราก็รู้สึกโอเค เข้าใจบุญคุณ แต่พอคนแปลกหน้าเดินมาหาเรา จับมือเราแล้วถามว่ากินอะไรหรือยัง น้ำตามันร่วงจริงๆ นะ ตั้งแต่นั้นมา นุ๊กก็เลยเริ่มทำตามพี่กอล์ฟฟี่
• เป็นจิตอาสาเยี่ยมบ้านผู้ป่วย? ส่วนใหญ่จะเป็นเคสแบบไหน
แรกๆ ที่ทำเอง นุ๊กจะเริ่มจากการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเดือนละครั้ง ซึ่งนุ๊กเข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้มีอะไรให้มากมายนะคะ เราก็จะมีงบให้ประมาณ 5,000 - 10,000 บาท เริ่มจากในจังหวัดราชบุรี เพราะบ้านเราอยู่ราชบุรี หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนส่งเรื่องเข้ามาเรื่อยๆ เขาจะติดต่อมาทางเฟซบุ๊กค่ะ แต่ถามว่านุ๊กพิจารณายังไง พูดตรงๆ นุ๊กไปหมดนะ แต่เราก็จะเลือกว่าใครต้องไปก่อนไปหลัง ไม่ได้คิดว่าจะไม่ไป เพราะนุ๊กมองว่าการที่นุ๊กเอาของไปมอบให้เขา ถึงมันจะเป็นจำนวนเงินแค่ 5,000 บาท อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรเขามาก แต่อย่างน้อยเราก็ได้ไปมอบให้เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ได้
ตอนนั้นเราก็เริ่มมีคาราแรกเตอร์เป็นของตัวเองแล้ว เพราะอย่างพี่กอล์ฟฟี่เขาจะแต่งตัวเป็นตลก สร้างสีสันให้คนได้หัวเราะ เราก็เลยได้ต้นแบบมาจากเขา ซึ่งตอนนั้นนุ๊กเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะคะ นุ๊กเรียนจบมาทางด้านนิเทศศาสตร์ จบมาเราก็มีโอกาสได้เดินสายประกวด แล้วก็ทำงานด้านความสวยความงามมาก่อน อย่างเวทีที่ดังๆ หน่อย ก็จะเป็นเวทีสงกรานต์พระประแดง ได้ที่รองๆ มาเลยนะคะ แล้วก็เป็นเวทีน้องนางบ้านนาของประเพณีวิ่งควาย จังหวัดชลบุรี อันนั้นเราได้ขวัญใจช่างภาพ เราก็จะมีชื่อเสียงทางด้านนี้ ทำให้เราเอาสิ่งนี้มาสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเองเวลาไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเราก็จะใส่มงกุฎ ใส่สายสะพายด้วย เพื่อที่ว่าให้คนป่วยเห็นแล้วเกิดกำลังใจ เกิดรอยยิ้ม เกิดกำลังใจให้เขาได้สู้ต่อไปได้
• เห็นว่าส่วนหนึ่งใช้เงินของตัวเองบริจาค และอีกส่วนหนึ่งก็คือเราระดมทุนด้วยใช่ไหมคะ
การระดมทุนจะเป็นการซื้อของเยี่ยมบ้านค่ะ จะเป็นการโพสต์บอกบุญแล้วคนก็จะโอนเงินมาร่วมซื้อของ แต่ว่าเรื่องค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่านอน นุ๊กออกเองทั้งหมดนะคะ เดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทที่เราต้องออกเอง ส่วนเรื่องของที่จะซื้อไปเยี่ยมตามบ้าน นุ๊กจะโพสต์ไปในเฟซบุ๊กว่าเราจะไปเยี่ยมบ้านนี้นะ ก็จะมีคนโอนเงินมาร่วม คนที่โอนเข้ามาบางคนไม่รู้จักนุ๊กด้วยซ้ำแต่ก็โอนเข้ามาฝากไว้เป็นเงินกองกลาง ซึ่งนุ๊กจะทำบัญชีค่อนข้างชัดเจน จะมีการลงชื่อหมดว่าใครโอนกี่บาท แล้วเราก็จะส่งยอดต่างๆ ให้ทุกคน สมมติว่าโอนมา 150 คน นุ๊กก็จะส่งกลับทางไลน์ให้ทั้งหมด ว่าเราดำเนินการถึงไหนแล้ว เงินเหลือเท่าไหร่ ใช้อะไรไปบ้าง พอเงินเหลือ มันก็เลยจะมีข้อชัดเจนในเรื่องยอดเงิน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีคนมาทำบุญกับเราบ่อยๆ ขนาดนี้ค่ะ
คำว่า “สะพานบุญ” คือนุ๊กจะทำทุกอย่าง เช่น บริจาคของหรือว่าบริจาคโลงเย็นไปวัดนั้นวัดนี้ ไปบอกบุญทาสีวัด บอกบุญผ้าดิบห่อศพ บอกบุญซื้อโคมไฟ บอกบุญสร้างป้าย คือเราจะทำทุกอย่างที่เป็นงานบุญ ไม่ได้เลือกว่าทำเฉพาะเพื่องานใดงานหนึ่ง เพราะคำว่าสะพานบุญ นุ๊กไม่ได้มองว่าเราอยากทำอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นงานบางงานที่ทุกคนอยากทำ เช่น งานพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ คือตัวเราก็อยากทำ พอมีคนอยากร่วมบุญ อยากทำบุญกับเรา แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะไป เราก็จะไปเป็นตัวแทนให้เขา หรืออย่างบางที่น้ำท่วม ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าจะมีการช่วยเหลือ แต่บางทีคนที่ติดตามเรา เขาก็มาถามว่าอยากให้ไปช่วยนะ เราก็จะไป เหมือนกับเราเป็นตัวแทนเขา ให้เขาได้ร่วมบุญกับเรา ประมาณนั้นค่ะ (ยิ้ม)
• นอกจากนี้ยังสนใจเรื่องการแต่งหน้าศพด้วย?
ใช่ค่ะ จากการเยี่ยมบ้าน นุ๊กก็ยังสนใจเรื่องการแต่งหน้าศพต่อ เพราะเราคุ้นเคยจากการล้างป่าช้า คุ้นเคยกับศพมาแล้ว เลยทำให้นุ๊กเริ่มมาสนใจการแต่งหน้าศพ แต่จริงๆ ตรงนี้สนใจมาตั้งแต่ก่อนเยี่ยมบ้านแล้วนะคะ นุ๊กได้ไปเจอเฟซบุ๊กพี่แนนนี่ที่เป็นเพื่อนของเพื่อน พี่แนนนี่เขาแต่งหน้าศพอยู่ เราก็เลยได้ไปคุย เขาก็แนะนำให้ไปเรียนกับอาจารย์เอ พี่เขาเป็นกู้ภัยอยู่ที่ จ.ชลบุรี นุ๊กได้ไปเรียนฟรี 3 วัน คือระหว่างที่เรียนก็คือเราได้ไปแต่งหน้าศพจริงทั้งหมด 3 ศพ เราก็เลยได้เรียนรู้จากเขา และได้เริ่มแต่งหน้าศพตั้งแต่นั้น จนถึงตอนนี้ก็ทำมาได้ราวๆ 2 ปีกว่า ประมาณเกือบ 50 ศพแล้วค่ะ
• แต่งหน้าศพเคสแรกเป็นยังไงบ้างคะ
เคสแรกที่นุ๊กได้มาแต่งเองเลยจะเป็นเคสของผู้ป่วยไร้บ้าน ไร้ญาติค่ะ เคสนั้นนอกจากแต่งหน้าให้แล้วนุ๊กยังช่วยจัดงานศพให้เขาด้วยสามวัน นุ๊กจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นนุ๊กเอาศพออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะด้วยความที่ไม่มีเอกสารอะไรเลย ตอนนั้นศพอยู่จ.ราชบุรี นุ๊กต้องเดินทางไปประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปขอเอกสาร นุ๊กเดินตามหาทั้งวัน พอรู้ว่าเขาพักอยู่ที่บ้านเช่า นุ๊กต้องเดินไปตามหาที่บ้านเช่า ต้องไปหาเอกสารหลายๆ ที่ จนมาทราบว่าเขาย้ายบ้านมา 4 จังหวัดแล้ว พอได้เอกสารต่างๆ เสร็จนุ๊กต้องไปรอศพตั้งแต่ 8 โมงเช้า เอาศพออกมาได้ประมาณ 1 ทุ่ม
คือจะบอกว่าสิ่งที่นุ๊กทำมันไม่ใช่แค่การแต่งหน้าศพ แต่มันยังรวมไปถึงหลายๆ อย่างที่เราต้องดูแลเขาทั้งหมด ตั้งแต่ตามหาญาติ จัดงานศพให้ แต่งหน้าศพให้ ก็ถือว่าได้เคสนี้เป็นเคสแรกที่เราจดจำมากๆ เพราะเราได้ทำครบถ้วนทั้งหมดค่ะ
• อย่างแต่งหน้าศพเรามีเกณฑ์การเลือกเคสไหมคะ แล้วเคสไหนที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
ส่วนใหญ่นุ๊กก็รับหมดอยู่แล้วนะคะแต่ถ้าจะติดต่อเข้ามาจริงๆ นุ๊กก็ไม่อยากให้เกิน 150 - 200 กิโลเมตรค่ะ เพราะอย่างน้อยมันยังมีระยะเวลาที่จะเดินทางไปได้ ส่วนเกณฑ์การเลือกศพมีไหม บอกเลยว่ายิ่งเป็นศพอุบัติเหตุ ยิ่งต้องไปเลยค่ะ เราพยายามจะไปให้ได้ เพราะอย่างศพคนป่วยคนแก่ คือญาติค่อนข้างทำใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ศพประสบอุบัติเหตุมันเป็นอะไรที่กะทันหัน เป็นศพที่ค่อนข้างมีแผลเป็น อาจจะเป็นลักษณะกะโหลกเปิดหัวเปิด มีการเย็บ พันแผลมา เราก็ต้องพันแผลให้เขาใหม่ ดูแลตกแต่งใบหน้าใหม่ มันก็เลยเหมือนกับว่าช่วยเยียวยาจิตใจญาติได้มากกว่าปกติ
เคสที่หนักที่สุดจะเป็นเคสอุบัติเหตุค่ะ มีเคสหนึ่งพันหัวมาเป็นมัมมี่ ปิดหน้า ปิดตาหมดเลย เราก็จะต้องค่อยๆ เปิด ตอนที่เปิดมาเห็นก็คือตาจะโดนเย็บ กะโหลกหน้าแตกหมดเลย จับหน้าที่แตกเป็นชิ้นๆ เลย กะโหลกหัวก็แตก เคสนี้เราก็เลยต้องมาพันแผล พันหัวให้ใหม่ แล้วก็ใส่หมวก ใส่แว่นให้ เคสนี้น่าจะหนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาค่ะ
• ดูค่อนข้างยากและต้องมีเทคนิคพอสมควรเหมือนกันนะคะ
สำหรับนุ๊กความยากง่ายไม่ได้อยู่ที่บาดแผลว่าจะแต่งออกมายังไงนะคะ เพราะเราไม่ได้กลัวเกี่ยวกับเรื่องศพ เรื่องน้ำเหลือง น้ำหนอง เรื่องเลือดเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่นุ๊กมองว่ายากมากๆ เลยก็คือ ญาติของผู้ตายมากกว่าค่ะ เรากลัวว่าจะทำออกมาได้ดีไหม ญาติจะพึงพอใจหรือเปล่า ญาติจะรู้สึกยังไง คือนุ๊กไม่ได้เน้นแต่งเพื่อความสวยงามของศพเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่นุ๊กจะเน้นที่สุดก็คือความพึงพอใจของญาติ ความสุขของญาติค่ะ หน้าที่ของเราคือไปให้กำลังใจญาติ ปลอบใจญาติด้วย การแต่งหน้าศพของเราไม่ใช่การแต่งได้เลย เราต้องศึกษาว่าญาติเป็นยังไง นุ๊กมองว่าศพคือร่างไร้วิญญาณที่นอนหลับไป เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะรับรู้หรือเปล่ากับสิ่งที่เราทำ แต่คนที่รับรู้ได้แน่ๆ ก็คือญาติ และสิ่งนี้เองก็เป็นการเยียวยาจิตใจของญาติได้ สร้างภาพความสวยงามหลังความตายให้ญาติได้จดจำ เพราะการที่ญาติบอกเราว่าอยากทาปากสีอะไร อยากทาเล็บสีอะไร มันจะเป็นความสุขของเขา
อย่างเช่น ศพล่าสุดที่นุ๊กไป เป็นศพโรคมะเร็ง เขาก็แจ้งว่าอยากให้แม่มีผม เราก็จะซื้อวิกไปให้ พอไปถึงลูกสาวก็แจ้งเลยว่าคุณแม่ชอบแต่งตัวไปดูรำวงนะ ชอบทาเล็บสีมังคุด ทาปากสีมังคุดนะ คือระหว่างที่เขาเล่าเรื่องราวของคุณแม่ตอนยังมีชีวิตอยู่ให้เราฟัง เขามีความสุข มีรอยยิ้มทั้งน้ำตา ที่เขาได้นึกถึงภาพเก่าๆ
หรืออย่างเคสหนึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไต นุ๊กเคยไปเยี่ยมเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาค่อนข้างโทรม ตัวดำ เราก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนชอบแต่งตัว จนนุ๊กไปแต่งหน้าศพให้ กำลังจะลงรองพื้นแล้ว เราเห็นว่าเขามีรอยสักผีเสื้อที่หน้าอก เราก็รู้แล้วว่าคนมีรอยสักผีเสื้อน่าจะต้องชอบแต่งตัวมาก่อนแน่ๆ เลย สรุปพอเราถามญาติ ญาติก็บอกว่าใช่ เขาชอบแต่งตัวเปรี้ยวๆ เราก็เลยแต่งให้เขาดูมีสีสันขึ้นมา นุ๊กจะแต่งเพื่อให้ญาติมองว่าคนคนนี้คือตัวตนจริงๆ เพราะว่าบางคนเขาอาจจะไม่ชอบแต่งหน้า แต่งตัวเลย แต่เราไปแต่งตามแบบที่เราคิดว่าสวย แต่คือเขาไม่ใช่คนที่ญาติเขาเคยรู้จักหรือเคยเห็นมาก่อน ยังไงมันก็ไม่ใช่
อย่างเครื่องสำอางก็เหมือนกันค่ะ รอบแรกนุ๊กก็เลือกซื้อเองนะคะ หลายคนอาจจะมองว่าศพก็คือศพใช้อะไรก็ได้ แต่สำหรับนุ๊กมองว่าศพคืออาจารย์ของเรา เราจะทำอะไรต้องให้เกียรติเขาทุกอย่าง แต่ว่าพอชุดแรกหมดเราก็จะมีการโพสต์ให้คนร่วมบุญกับเรา ชุดแรกนุ๊กซื้อหมดไปประมาณเกือบสองหมื่นบาทเพราะเรามองว่าหน้าเรา เราก็ยังอยากเลือกเลยว่าเราอยากใช้อะไร ศพก็เหมือนกัน ไม่ใช่อยากใช้อะไรก็ใช้ นุ๊กเลยเลือกซื้อเป็น counter brand
คือทุกคนจะเข้าใจว่าใช้ของหมดอายุ หลายคนจะติดต่อมา นึกว่าของซื้อตามตลาด นุ๊กมองว่าของพวกนี้หรือของหมดอายุก็ตาม หรือเป็นเครื่องสำอางที่ไม่กันน้ำ คุณภาพก็จะไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อย่างรองพื้นสำคัญมาก รองพื้นสีเข้ม ซึ่งสีเข้มคนปกติเนี่ยก็จะไม่ใช้อยู่แล้วเราก็ต้องซื้อพิเศษ พวกคอนซีลเลอร์ก็จำเป็น รองพื้นสีเข้มที่เราต้องใช้เพราะอย่างศพอุบัติเหตุ เราต้องลงลองพื้นสีเข้มก่อน หรือว่าใบหน้าที่มีริ้วรอย หรือว่าด่างดำเป็นดวง ไม่ว่าจะเป็นพวกแขนหรือว่าหน้า นุ๊กลงไม่ได้ลงเฉพาะหน้า ลงแขนด้วย เพราะว่าบางคนจะเป็นจ้ำเป็นดวง โดนฉีดยาโดนอะไรมา พวกแผลเป็นต้องเอารองพื้นสีเข้มลง คือมันก็จะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากการแต่งหน้าคนค่ะ
การแต่งหน้าศพก็ต้องบอกก่อนเลยว่าแต่งหน้าเรายังคิดเลยว่าจะติดหรือไม่ติด เหงื่อจะไหลหรือเปล่า แต่ศพหลายศพคือออกมาจากห้องเย็น แล้วก็จะมีน้ำดันออกมาอยู่แล้ว บางศพที่นุ๊กแต่ง ทั้งแปรง ทั้งฟองน้ำเปียกน้ำไปหมดเลยดังนั้นเราเลยต้องเลือกเครื่องสำอางที่กันน้ำ มีคุณภาพ สามารถติดทนนานเพราะแต่งเสร็จต้องเข้าไปอยู่ในโลงเย็น อีก 5-7 วัน เปิดศพมาใบหน้าต้องคงความสวยงามเหมือนเดิม ไม่ใช่เปิดมาแล้วไหลเยิ้ม เลยต้องดูถึงตรงนั้นด้วย
• ทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้ อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าเราได้อะไรจากสิ่งที่ทำตรงนี้บ้าง
นุ๊กได้เยอะมากนะคะ ถามว่าทำไมถึงชอบทำบุญ ถามว่าทำบุญแล้วได้อะไร นุ๊กบอกเลยค่ะว่าเราทำแล้วเรามีความสุขเราถึงอยากทำ บางทีถามว่าเหนื่อยไหม นุ๊กบอกเลยว่าเหนื่อยมากนะคะกับการที่ต้องเดินทาง ขับรถไปไกลๆ เสียค่าน้ำมัน 1,000 - 2,000 บาท แต่ถามว่ามันคุ้มไหม เรากลับมองว่ามันคุ้ม คุ้มเพราะคนที่เราไปหาเขาได้กำลังใจจากเรา เขามีของใช้ได้เป็นเดือน ดีไม่ดีอาจจะมีการช่วยเหลือตามเข้าไปอีก
เช่น บางคนไม่มีบ้าน นุ๊กเข้าไปเขาก็กลายเป็นมีบ้าน บางคนกินนอนใต้หลังคารั่ว ไม่มีไฟฟ้าใช้ พอเราเข้าไปก็กลายเป็นว่าเราไปเปลี่ยนชีวิตเขา เขามีหลังคาใหม่ มีไฟฟ้าเข้าไป หรืออย่างเคสป้าใบ้กับลุงเป๋ตาบอด เก็บของเก่าขายที่ จ.ราชบุรี แกโดนโจรจี้มาสามรอบแล้ว พอนุ๊กเข้าไปเรื่องจี้ปล้นก็หมดไป เพราะพอเป็นกระแส คนก็เริ่มกลัว ก็มีตำรวจลงพื้นที่ มีหน่วยงานของทหารเข้ามาสร้างบ้านให้ใหม่เลย หรือจะเป็นเคสที่เขาติดต่อเข้ามาบอกเราว่าเขาเป็น HIV คือเขาไม่รู้หนังสือเลย ลูกคลอดมาสองปียังไม่มีบัตรพิการ เอกสารไม่มีอะไรเลย เราก็ไปทำเรื่องเดินเรื่องเอกสารให้เขา จนเขาได้บัตรพิการมา ได้เงินเดือนละ 800 บาท ตรงนี้ก็เหมือนกับว่าเราได้ช่วยเขา สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ จากการที่เราเหนื่อยเข้าไปแค่วันเดียว นุ๊กมองว่ามันคุ้มค่ามากค่ะ
• แบบนี้เคยท้อจนคิดว่าอยากจะหยุดทำบ้างไหมคะ
พูดตรงๆ นุ๊กเหนื่อยนะ บางทีรู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ ใครจะมารู้บ้างว่าฉันเหนื่อย สายโทร.เข้ามาปรึกษาทุกวัน ถามว่าอยากหยุดไหม คิดบ่อยมากว่าอยากจะหยุด อยากหยุดจังเลย แต่พอมาคิดว่าถ้าหยุดไปแล้วพวกเขาที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราอยู่ล่ะ จะเป็นยังไงต่อไป มันเลยทำให้นุ๊กหยุดไม่ได้
คือตอนแรกๆ พูดเลยนะคะว่าเราคิดแค่ว่าจะทำสนุกๆ เหมือนเวลาไปเยี่ยมศูนย์ผู้ป่วย ถึงเวลาเราก็ไป เราไม่ต้องมารับรู้อะไร แต่ทุกวันนี้นุ๊กพูดตรงๆ นุ๊กไม่ได้ทุกข์อะไรเกี่ยวกับชีวิตตัวเองเลยนะ ทุกข์แต่เรื่องคนอื่น เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เราขับรถไปเยี่ยมแล้วก็จบ แต่นุ๊กต้องทำตั้งแต่โพสต์บอกบุญว่าน้องเป็นอะไร ต้องการเงินบุญเท่าไหร่ ได้เงินมานุ๊กต้องทำบัญชี ไปซื้อของ คิดแล้วว่าเงินนี้ต้องซื้ออะไรบ้าง เดินซื้อคนเดียว ซื้อเสร็จปุ๊บก็ต้องมาวางเรียงถ่ายรูปว่าใครให้เท่าไหร่ๆ กี่บาท ใส่มงกุฎสายสะพายถ่ายรูป บางทีเราก็เหนื่อยนะกับการโพสต์ การถ่ายรูป พอถ่ายเสร็จนุ๊กก็ต้องมาบอกทุกคนว่าเราเอาเงินที่คุณให้มาไปทำอะไรบ้าง พอไปถึงบ้านเราก็ต้องไปถ่ายรูป ไปขอรายละเอียด เลขบัญชี เบอร์โทรศัพท์ เพื่อจะโพสต์ให้เขาต่อ คือเยี่ยมบ้านเคสหนึ่งมันใช้เวลามันไม่ใช่แค่เห็นหน้าจอเอาของไปมอบให้แล้วจบ มันมีขั้นตอนหลายอย่าง
ก็มีคนว่าเราสร้างภาพเหมือนกันนะคะ แต่ที่นุ๊กทำ นุ๊กไม่ได้อยากได้คำชม แต่อยากให้คนทำตามมากกว่า เพราะหลายคนไม่กล้าที่จะเริ่ม ตรงนี้อาจจะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นหรือแรงบันดาลใจให้คนได้ทำตาม เป็นการสร้างจิตอาสาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง
การที่นุ๊กทำจิตอาสาทุกวันนี้ นุ๊กไม่ได้ทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง คืออย่างที่นุ๊กเล่ามันมีทุกอย่าง ที่สำคัญคือการดูแลจิตใจ ให้กำลังใจ เป็นสิ่งที่นุ๊กจะเน้นมากที่สุด หลายคนที่อยากจะเริ่มต้นเป็นจิตอาสาอาจจะไม่มีทุนทรัพย์ หรืออาจจะไม่มีรายได้ เราไม่ต้องมาคิดว่าการเป็นจิตอาสาต้องเสียเงินเสมอไป คือจิตอาสาไม่ต้องเริ่มจากอะไรที่ใหญ่โตหรอก เริ่มจากอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าเราจะใช้วิชาชีพของเราโดยการเป็นจิตอาสาก็ได้ อย่างเช่น ใครมีความรู้เรื่องการตัดผมก็สามารถไปช่วยตัดผม ทุกพื้นที่มีคนป่วย คนแก่ คนพิการ คนยากไร้อยู่แล้วที่ต้องการความช่วยแหลือจากเรา เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นจิตอาสาแล้วค่ะ
• คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ทางบ้านเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำไหม
ตอนแรกไม่เห็นด้วยนะคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะห้ามเลย อย่างตอนแรกนุ๊กใช้เงินตัวเอง ที่บ้านเขาก็จะรู้ เขาก็จะถามประมาณว่ามีเงินทำไมไม่เก็บบ้าง เขาก็จะบ่นเรื่องเงินแรกๆ แต่พอเราเริ่มเป็นสะพานบุญเขาก็มาเป็นห่วงเรื่องการเดินทางมากกว่า แต่ที่บ้านเขาก็ภูมิใจค่ะเพราะทุกวันนี้เวลาไปไหนเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ที่เขาติดตามเราก็จะมาพูดมาชมเรากับคุณพ่อคุณแม่ตลอด ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาก็ปลื้มและภูมิใจในตัวลูกสาวค่ะ
• เรียกได้ว่าเพราะความเจ็บป่วยและความผิดหวังในวันนั้นทำให้เรามีวันนี้ได้ไหมคะ
ใช่ค่ะ มันเริ่มจากตอนที่เราเจ็บป่วยด้วย นุ๊กไม่ได้ตื่นมาปุ๊บแล้วบอกตัวเองว่าฉันจะเป็นคนดีนะคะ แต่เหมือนกับว่าเราค่อยๆ ทำ ทำมาเรื่อยๆ คือชีวิตนุ๊กก็เป็นเหมือนตัวอย่างให้กับเด็กวัยรุ่นได้หลายๆ อย่าง เพราะจากที่นุ๊กเคยผ่านเรื่องร้ายๆ มาในตอนนั้น ถามว่าตอนนั้นอยากคิดสั้นฆ่าตัวตายจริงๆ ไหม เราไม่ได้มีความคิดตรงนั้น เราแค่อยากประชด แต่การที่เราผ่านจุดนั้นมาแล้วเรารู้เลยว่าการที่คิดสั้นฆ่าตัวตายมันไม่ได้มีผลดีอะไรขึ้นมา มีแต่ผลเลวร้ายกลับมา ซึ่งคนรอบข้างก็เสียใจ สมมติว่าถ้าเราตายจริงๆ คนรอบข้างก็เสียใจ แต่ถ้าไม่ตาย เราก็เหมือนตายทั้งเป็น มันไม่จบ มันส่งผลตลอดชีวิต
ต้องบอกเลยว่าความเจ็บป่วยในวันนั้นทำให้มี “สนุ๊ก สะพานบุญ” ในวันนี้ ถ้าในอดีตนุ๊กไม่ได้เจ็บป่วย นุ๊กก็อาจจะไม่มีความคิด ความเข้าใจใครหลายๆ คนที่เขาเจ็บป่วย คงจะไม่อยากช่วยเหลือคนอื่นแบบในวันนี้ก็ได้
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย และ facebook : สนุ๊ก สะพานบุญ