คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.รวบ “เปรมชัย” CEO อิตาเลียนไทย พร้อมพวก ล่าสัตว์คุ้มครองกลางทุ่งใหญ่ฯ แจ้ง 9 ข้อหา บวกติดสินบนเจ้าหน้าที่!
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก พร้อมเจ้าหน้าที่ของเขตฯ ได้จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 63 ปี ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน พร้อมหลักฐานซากสัตว์ป่าคุ้มครองหลายชนิดและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก ใกล้เต๊นท์ที่พักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ
ทั้งนี้ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่จับกุม นายเปรมชัยกับพวก ได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ โดยมีโปรแกรม 2 วัน 1 คืน แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่พบว่า นายเปรมชัยกับพวกตั้งเต็นท์ที่พักนอกเขตที่เจ้าหน้าที่อนุญาต เมื่อเจ้าหน้าที่ตักเตือน ก็ไม่เชื่อฟัง หลังเจ้าหน้าที่พบพิรุธ จึงตรวจสอบบริเวณโดยรอบเต็นท์ที่พักของนายเปรมชัยกับพวก ปรากฏว่าพบซากสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง รวมถึงพบหนังเสือดำ ที่ถูกชำแหละเนื้อออก โดยหนังเสือดำมีลักษณะเป็นผืนทั้งตัวและถูกถนอมซากด้วยการทาเกลือ พร้อมกันนี้ยังพบเนื้อบางส่วนของเสือดำกำลังถูกต้มอยู่ด้วย
สำหรับอาวุธปืนและกระสุนที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ มีทั้งปืนยาว(ปืนไรเฟิล), ปืนยาวลูกซองแฝดเบอร์ 20, ปืนยาวขนาด .22 และเครื่องกระสุนพร้อมใช้งาน จากนั้นเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ได้นำตัวนายเปรมชัยกับพวกส่ง สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดี โดยอีก 3 คน ประกอบด้วย นายยงค์ โดดเครือ ให้การว่าเป็นคนขับรถของนายเปรมชัย, นางนที เรียมแสน ให้การว่าทำงานเป็นแม่บ้านของนายเปรมชัย และนายธานี ทุมมาศ ให้การว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารในกรุงเทพฯ
ด้านตำรวจได้แจ้งข้อหานายเปรมชัยกับพวก 9 ข้อหา คือ 1.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต 2.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 4.ฐานร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต 5.ฐานร่วมกัน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิด 6.ฐานร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 7.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 8.ฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนป่าแห่งชาติโดยมิไม่ได้รับอนุญาต และ 9.ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490
ทั้งนี้ หลังเรื่องนี้เป็นข่าวดังออกมา หลายฝ่ายสงสัยว่า การที่นายเปรมชัยกับพวกสามารถเข้าไปค้างแรมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรพร้อมอาวุธแบบนี้ มีการขออนุญาตและตรวจสอบหรือไม่ ปรากฏว่า มีรายงานว่า มีอดีตข้าราชการของกรมอุทยานฯ ระดับผู้อำนวยการสำนักคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว และไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่บริษัท อิตาเลียนไทย ได้โทรศัพท์มาประสานกับ น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า น.ส.กาญจนา จึงได้ประสานไปยังหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ เพื่อให้ช่วยดูแลคณะของนายเปรมชัย ซึ่งนายเปรมชัยอ้างว่าเข้าพักเพื่อศึกษาธรรมชาติ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า นายเปรมชัยเป็นแขกวีไอพี ให้ดูแลความสะดวกด้วย
ด้าน น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยอมรับว่า ได้รับโทรศัพท์ระบุว่าเป็นผู้ประสานงานของนายเปรมชัย ถามว่าจะเข้าพักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ต้องทำอย่างไร จึงบอกข้อมูลเบื้องต้น และประสานไปยังหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ซึ่งทำตามขั้นตอนปกติ คือ ทำหนังสือขออนุญาตตามปกติ “ยืนยันว่า ไม่ใช่แขกของดิฉันตามที่มีการกล่าวอ้าง เพราะทำทุกอย่างตามขั้นตอน การจะอนุญาตให้เข้าพักได้หรือไม่ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มีอำนาจตัดสินใจ และตามขั้นตอนจะต้องแจ้งสำนักเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3”
ส่วนความคืบหน้าทางคดี หลังตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ สอบปากคำนายเปรมชัยกับพวกแล้ว มีรายงานว่า นายเปรมชัยให้ปากคำยอมรับว่า รถยนต์ที่ขับเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ รวมทั้งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนเป็นของตนเอง จากนั้น ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขอศาลจังหวัดทองผาภูมิฝากขัง โดยผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวคนละ 150,000 บาท ด้านศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลออกหมายค้นบ้านพักของนายเปรมชัยและพวกทั้งหมด เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม จากการค้นบ้านพักนายเปรมชัย ไม่พบนายเปรมชัย พบเพียงภรรยาที่อ้างว่าไม่ทราบว่านายเปรมชัยอยู่ที่ไหน ผลการตรวจค้น พบปืนชนิดต่างๆ เช่น ปืนยาว ปืนลูกซอง ปืนไรเฟิล จำนวน 43 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมากกว่า 1,500 นัด นอกจากนี้ยังพบงาช้าง 2 คู่ เจ้าหน้าที่จึงยึดทั้งปืนและงาช้างไปตรวจสอบ
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้มีความชัดเจน และเพียงพอที่จะฟ้องดำเนินคดีผู้ต้องหาได้แล้ว “ไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานว่าใครเป็นคนยิงสัตว์ และที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่จะไปเที่ยว คุณเข้าไปไม่ขออนุญาต เจตนาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ระเบียบห้ามไม่ให้นำอาวุธปืนเข้าไป คุณเอาเข้าไปก็ชัดเจน ยิ่งพบซากสัตว์อยู่ก็ชัดเจน”
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เผยด้วยว่า จากการสอบปากคำนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ยืนยันว่า มีความพยายามในการติดสินบนเจ้าพนักงาน จึงให้นายวิเชียรร้องทุกข์ต่อตำรวจ เพื่อดำเนินคดีนายเปรมชัยกับพวกฐานให้สินบนเจ้าพนักงานแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า การจับกุมนายเปรมชัยกับพวกโดยนายวิเชียรและเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ครั้งนี้ กระแสสังคมต่างชื่นชมยกย่องและให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของนายวิเชียรเป็นอันมาก อีกทั้งทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ทรงโพสต์ข้อความให้กำลังใจนายวิเชียรให้สู้สู้พร้อมทรงแนะประชาชนว่า "ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคนไม่ให้โดนรังแก พวกเราต้องช่วยกันปลุกจิตสำนึกว่าไม่มีใครมีสิทธิเหนือคนอื่น อย่าลืมว่าประเทศนี้เป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง" สร้างความปลาบปลื้มให้นายวิเชียรอย่างมาก “ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก เหมือนน้ำทิพย์ตกลงมาบนยอดหญ้าให้ชุ่มชื่นใจ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างมาก สร้างกำลังใจให้เจ้าหน้าที่มีแรงจะทำงานต่อไปได้”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการจับกุมนายเปรมชัยกับพวกว่า ให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ...ผิดก็คือผิด จะใหญ่แค่ไหนมันก็คือผิด
ขณะที่ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คดีนี้มีความชัดเจนว่าผู้ต้องหาเจตนาก่อเหตุ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งความผิด 9 ข้อหาไปแล้ว และว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการติดตามเรื่องนี้ โดยมีอธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นประธาน
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การจับกุมนายเปรมชัย จะส่งผลให้ บมจ.อิตาเลียนไทยฯ ถูกขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้ได้รับงานโครงการของรัฐหรือไม่ ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูด ยังไม่ถึงขั้นนั้น และว่า การทำความผิดของนายเปรมชัยเป็นความผิดส่วนบุคคล ไม่ใช่ทำผิดในนามบริษัท ความเป็นนิติบุคคลกับส่วนบุคคล ต้องแยกจากกัน
2.“สมยศ” อดีต ผบ.ตร.ยอมรับ “เสี่ยกำพล” โอนเงินให้จริง 300 ล้าน แต่แค่ยืมเพื่อน และคืนแล้ว!
ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้สนธิกำลังกับหลายหน่วยงาน เข้าตรวจค้นสถานบริการอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท ย่านพระราม 9 กทม.หลังพบข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็กและการค้ามนุษย์ ต่อมาได้ขอศาลออกหมายจับและอายัดบัญชีเงินฝากของนายกำพล และนางนิภา วิระเทพสุภรณ์ สามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของสถานบริการที่แท้จริง ในข้อหาค้ามนุษย์ ซึ่งขณะนี้ทั้งสองอยู่ระหว่างหลบหนี นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบขยายผลพบว่า นายกำพลมีการโอนเงินเข้าบัญชีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) คนหนึ่งหลายครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอยังไม่ได้เรียกอดีต ผบ.ตร.ดังกล่าวมาชี้แจงแต่อย่างใด
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเป็นอดีต ผบ.ตร. ได้ออกมายอมรับระหว่างแถลงข่าวฟุตบอลไทยลีก 2018 ว่า ได้รับโอนเงินจากนายกำพล 300 ล้านบาทจริง โดยบอกว่า รู้จักนายกำพลมาเป็นเวลากว่า 20 ปี จากการแนะนำของเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนในวงการพระเครื่องก็คบกันเป็นเพื่อนมา นายกำพลเคยร่วมกิจกรรมการกุศลกับตน เช่น บริจาคเงินช่วยสร้างโรงพยาบาลที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 ล้านบาท ประมูลพระเครื่องไป 30 ล้านบาท และว่า คบกันเป็นเพื่อน ก็มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคยเดือดร้อน ก็ไปขอความช่วยเหลือนายกำพลหลายครั้ง “นายกำพลเคยให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเงินแก่ผม 3-4 ครั้ง รวมแล้วก็เป็นเงินที่ปรากฏตามข่าวกว่า 300 ล้านบาท”
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือด้านการเงินนั้น นายกำพลโอนเงินผ่านธนาคาร เข้าระบบธุรกรรมการเงินอย่างชัดเจน แต่ในปีเดียวกัน นายกำพลมาขอเงินคืน ก็ได้มีการคืนเงินให้นายกำพลเรียบร้อยผ่านระบบธุรกรรมการเงินของธนาคาร โดยเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและการโอนเงินผ่านธนาคาร ได้รายงานให้ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้วเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา “ไม่มีเหตุจำเป็นที่ผมต้องปกปิด เพราะผมไม่ได้คิดว่าเงินจำนวนนี้ผิดกฎหมาย ...ถ้าผมมีเจตนาทุจริตหรือจะปิดบังซ่อนเร้นช่วยเหลือคุณกำพลในทางที่ผิดกฎหมาย ผมให้นายกำพลหอบเงินสดมาให้ ไม่ดีกว่าหรือ และโอนเป็นชื่อของผมอีกด้วย ผมคงไม่คิดสั้นขนาดนั้น”
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สมยศ แถลงว่ายืมเงินนายกำพล 300 ล้านบาทว่า ดีเอสไอจะยังไม่เรียกสอบปากคำพยาน จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางการเงินที่ได้มาจากการค้ามนุษย์ของวิคตอเรีย ซีเครท เพื่อให้พนักงานสอบสวนมีข้อมูลเพียงพอในการกำหนดประเด็นซักถามพยาน การเรียกสอบปากคำพยาน จึงต้องทำเมื่อคดีมีพยานหลักฐานพอสมควรแล้ว
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เผยว่า ธุรกรรมการเงินจากสถานอาบอบนวดในเครือของนายกำพลมีจำนวนมาก โดยพบเส้นทางการเงินว่า หลังรับโอนเงิน จะมีการเบิกถอนเป็นเงินสด ก่อนนำไปลงทุนในกิจการที่ถูกกฎหมาย รวมถึงลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนข้อมูลการโอนเงินให้อดีต ผบ.ตร.300 ล้านบาทนั้น เป็นเพียงเงินส่วนเดียวจากธุรกรรมการเงินที่พบ โดยพบว่ายังมีเงินอีกหลายก้อนของนายกำพล เช่น จากการโอนขายหุ้นกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอีกจำนวนมาก
3.หวยอลเวง 30 ล้านใกล้จบ ตร.ได้หลักฐานเด็ด “คลิปเสียง” ครูปรีชาคุยแม่ค้าล็อตเตอรี่ ยันไม่ถูกรางวัลที่ 1 !
ความคืบหน้ากรณีหวยอลเวง 30 ล้านบาท ที่มีผู้อ้างความเป็นเจ้าของถึง 2 คน และต่างฝ่ายต่างฟ้องกันไปมา คือ “ครูปรีชา” หรือนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี กับ “หมวดจรูญ” หรือ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจเกษียณ ต่อมา ตำรวจภูธรภาค 7 แถลงผลสรุปการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยยืนยันว่า ครูปรีชาเป็นเจ้าของล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 จริง และมีพยานที่เห็นว่า หมวดจรูญ ได้เก็บล็อตเตอรี่ไปจริง และจะแจ้งข้อหาหมวดจรูญฐานยักยอกทรัพย์ตกหาย และข้อหารับของโจรด้วย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. หมวดจรูญพร้อมภรรยาและลูกสาว ได้ไปสาบานต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในเขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรีว่าเป็นตนเป็นเจ้าของล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ตัวจริง พร้อมท้าฝ่ายครูปรีชาและแม่ค้าขายล็อตเตอรี่ที่อ้างว่าขายให้กับครูปรีชามาสาบานด้วย แต่ครูปรีชาไม่มา โดยอ้างว่า ตอนขึ้นศาลก็ต้องสาบานอยู่แล้ว และมีเพียงเจ๊เกียว หรือนางปณัญชยา สุขผล คนขายล็อตเตอรี่รายใหญ่ของจังหวัดที่เป็นพยานยืนยันให้กับครูปรีชามาสาบานเพียงคนเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หมวดจรูญ ได้เดินทางไปหน้าบ้านพักของตำรวจระดับสูงนายหนึ่งในบริเวณ สภ.เมืองกาญจนบุรีด้วย และจุดธูปสาบาน พร้อมกล่าวคำสาปแช่งว่า ถ้าตำรวจระดับสูงที่เรียกตนไปเจรจาที่บ้านพัก มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้วางแผนและสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อช่วยครูปรีชา ขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าตำรวจดังกล่าวพูดความจริงมาตลอด ไม่สร้างเรื่องเท็จ ไม่ได้ช่วยเหลือครูปรีชา ขอให้ประสบความสำเร็จ
วันต่อมา 5 ก.พ. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อเรียกร้องขอให้ย้าย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรี ให้มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการชั่วคราว เนื่องจาก พล.ต.ต.สุทธิเคยเรียกหมวดจรูญเข้าพบที่บ้าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเกิดข้อครหาตามมามากมาย นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจรัฐอายัดเงินของหมวดจรูญ ทั้งที่ พล.ต.ต.สุทธิไม่มีอำนาจตาม ป.วิอาญา ทั้งนี้ นายอัจฉริยะได้นำหลักฐานในคดีนี้มามอบ ผบ.ตร.ด้วย รวมทั้งจะมอบหลักฐานสำคัญอีก 1 ชุดให้ตำรวจกองปราบฯ เป็นคลิปเสียงและคลิปวิดีโอ พร้อมเผยว่า จากการลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงเรื่องหวย 30 ล้าน พบว่า “มีการทำกันเป็นขบวนการ มีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 2 คนร่วมด้วย แต่ไม่ขอเปิดเผย โดยมีเป้าหมายคือ ต้องการเงิน 30 ล้านบาท เนื่องจากคดีดังกล่าวสามารถอายัดเงินได้เบื้องต้น 25 ล้าน”
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ผบ.ตร.ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โอนสำนวนคดีการสอบสวนมายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตอบคำถามของสังคมได้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของตำรวจเพื่อความยุติธรรมในสังคม
มีรายงานว่า ตำรวจได้หลักฐานคลิปเสียงการสนทนาระหว่างแม่ค้าขายล็อตเตอรี่กับครูปรีชารวม 2 คลิป คลิปแรกเป็นการสนทนาเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 1 พ.ย.2560 ซึ่งเป็นวันและเวลาหลังรู้ผลสลากฯ ในงวดดังกล่าว โดยแม่ค้าฯ พูดกับครูปรีชาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า ครูปรีชาถูกรางวัลที่ 1 เพราะจำได้ว่าบนแผงของตนมีเลขรางวัลดังกล่าวอยู่ แต่ครูปรีชาปฏิเสธว่าไม่ถูก พร้อมบอกเลขที่ตนซื้อ ซึ่งไม่ถูกรางวัลที่ 1 ส่วนคลิปที่ 2 เป็นเสียงแม่ค้าฯ โทรหาครูปรีชาอีกครั้งเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 2 พ.ย.2560 ในลักษณะเดิมคือ ย้ำว่าครูปรีชาถูกรางวัลที่ 1 แต่ครูปรีชาก็ปฏิเสธเหมือนเดิมว่า ไม่ถูกรางวัล ซึ่งตำรวจกองปราบฯ จะนำทั้ง 2 คลิปเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี เพราะเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
นอกจากนี้ตำรวจกองปราบฯ ยังตรวจสอบคำให้การของพยานในคดีที่อ้างว่าเป็นพยานใหม่ฝ่ายครูปรีชาที่ตำรวจภาค 7 รวบรวมไว้ ซึ่งพยานดังกล่าวอ้างว่า เห็นล็อตเตอรี่หมายเลขที่ถูกรางวัลที่ 1 โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของครูปรีชาตอนเดินสวนกันในตลาดเรดซิตี้ ใกล้แผงขายล็อตเตอรี่ และยังได้ขอแบ่งซื้อล็อตเตอรี่ดังกล่าวด้วย แต่ครูปรีชาไม่ยอมแบ่งขายให้ ซึ่งจากการตรวจสอบทางเทคนิคกลับพบว่า พยานคนดังกล่าวขับรถมาจอดที่ตลาดในเวลาประมาณ 16.48 น.วันที่ 1 พ.ย.2560 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากครูปรีชาออกจากตลาดไปแล้ว ส่วนกรณีที่ครูปรีชาให้การว่า หลังรู้ว่าถูกรางวัลที่ 1 ได้โทรไปหาแม่ค้าฯ นั้น จากการตรวจสอบกลับไม่พบว่า ครูปรีชาโทรหาแม่ค้าแต่อย่างใด
4.ศาลพิพากษาจำคุก “บิ๊ก สธ.” 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา กรณีลวนลามลูกจ้างสาว!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. รายงานแจ้งว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีเป็นโจทก์ฟ้องนายอัศม์เดช รัตนวรประเสริฐ อายุ 40 ปี อดีตหัวหน้าส่วนกลุ่มงานภารกิจอำนวยการสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นจำเลยในความผิดข้อหาอนาจาร จากกรณีที่จำเลยได้ก่อเหตุกระทำอนาจารลูกจ้างสาว โดยการโอบกอดและจับหน้าอกลูกจ้างสาวภายในห้องทำงานของสำนักงานปลัด สธ.รวม 3 ครั้ง ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2560
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม กระทงละ 1 ปี 3 กระทง รวมจำคุก 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยมีภริยาและบุตรอยู่แล้ว และเป็นข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปในหน่วยงานราชการ สมควรต้องมีสำนึกในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในการดำรงตนให้อยู่ในกฏระเบียบและจริยธรรมของการเป็นข้าราชการที่ดี แต่จำเลยยังกระทำความผิดในคดีนี้ถึง 3 ครั้ง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมทั้งไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบ และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้ใช้อิทธิพลในฐานะผู้มีตำแหน่งหน้าที่ฉวยโอกาสกระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยอีก จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน
5.กรมการแพทย์แผนไทยฯ รับรอง “หมอแสง” เป็นหมอพื้นบ้านแล้ว หลังเจ้าตัวขู่ถ้าไม่รับรอง จะหยุดแจกยา ปชช.!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยความคืบหน้ากรณีที่นายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือหมอแสง เจ้าของสูตรสมุนไพรบำบัดโรคมะเร็ง ที่ประชาชนไปรับแจกยาวันละนับหมื่นคน ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอการรับรองให้เป็นหมอพื้นบ้านว่า ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนนายแสงชัยเป็นหมอพื้นบ้าน เนื่องจากยังขาดหลักฐานบางส่วน จึงได้แจ้งให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การได้รับอนุญาตเป็นหมอพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาข้อกำหนดการรับรองเบื้องต้นคาดว่า นายแสงชัยน่าจะเข้าข่ายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้าน
วันต่อมา 6 ก.พ. นายแสงชัยได้ออกมาเปิดใจหลังอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย แถลงว่ายังไม่ได้รับรองหมอแสงเป็นหมอพื้นบ้าน เนื่องจากยังขาดเอกสารบางส่วนว่า ได้ทำเรื่องขออนุญาตเป็นหมอพื้นบ้านตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 2560 จากนั้นก็ได้ส่งเรื่องไปอีกหลายครั้ง แต่เรื่องเงียบ กระทั่งวันที่ 29 ม.ค.61 กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ทำหนังสือแจ้งขอเอกสารเพิ่ม ซึ่งไม่รู้ว่าจะขออะไรกันนักหนา แต่ตนก็ได้ส่งเอกสารตามที่ขอไปให้ "ผมสงสัยว่าท่านอธิบดีต้องการอะไรที่ออกข่าวแบบนี้ เหมือนต้องการคนในพื้นที่ 10 คน ผมก็หาให้แล้ว ประชาชนทั้งประเทศที่จะกินสมุนไพรผมต้องย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ทั้งหมด ผมก็ยอมทุกอย่าง แล้วมาออกข่าวแบบนี้ รู้สึกเสียใจ"
นายแสงชัยกล่าวอีกว่า ถ้าหน่วยงานราชการยังดึงเรื่อง โยนกันไปมาอย่างนี้ ตนก็คิดว่า เดือน มี.ค.จะไม่แจกยาอีกแล้ว โดยหลังวันที่ 20 ก.พ.นี้ ก็จะรู้ว่าตนจะแจกหรือไม่แจก และยังคิดว่า ถ้าใครอยากรวย ตนก็จะให้สูตรยาให้ไปจดทะเบียนยังต่างประเทศ เพราะตนไม่อยากจะเถียงกับใครอีกแล้ว รู้สึกเบื่อกับส่วนราชการไทยเหลือเกิน
หลังนายแสงชัยพูดเหมือนขู่ว่าจะหยุดแจกยาหากไม่ได้รับการรับรองเป็นหมอพื้นบ้าน ปรากฏว่า วันต่อมา 7 ก.พ. นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ เผยว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายแสงชัยได้ส่งเอกสารที่ยังขาด 2 ชิ้นมาให้เพิ่มเติมแล้ว คือ เอกสารการยอมรับของคนในชุมชนที่ไม่น้อยกว่า 10 คนขึ้นไป และเอกสารการยอมรับของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ จึงได้ลงนามออกใบรับรองให้แก่นายแสงชัยแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกใบรับรองให้อย่างรวดเร็ว กังวลหรือไม่ว่าจะทำให้สังคมคิดว่า เกรงกลัวต่อเส้นตายของนายแสงชัยว่าจะหยุดแจกยาให้ประชาชน นพ.ปราโมทย์กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะนี่คือขั้นตอนการพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ใบรับรอง แต่เพราะขาดเอกสาร 2 ชิ้น เมื่อครบถ้วน จึงทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว และอธิบดีลงนามได้เลย
นพ.ปราโมทย์กล่าวด้วยว่า “ไม่ใช่ว่าได้ใบรับรองหมอพื้นบ้านแล้วจะจบ ...เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย หมอพื้นบ้านไม่สามารถทำเพื่อการค้า โดยต้องไปติดตามต่อว่า ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหลัก ต้องช่วยเหลือหรือเยียวยาผู้ป่วยตามธรรมจรรยา และต้องไม่ทำเชิงพาณิชย์ หากผิดหลักเกณฑ์เงื่อนไข ก็ถอดถอนใบรับรองได้”
1.รวบ “เปรมชัย” CEO อิตาเลียนไทย พร้อมพวก ล่าสัตว์คุ้มครองกลางทุ่งใหญ่ฯ แจ้ง 9 ข้อหา บวกติดสินบนเจ้าหน้าที่!
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก พร้อมเจ้าหน้าที่ของเขตฯ ได้จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 63 ปี ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน พร้อมหลักฐานซากสัตว์ป่าคุ้มครองหลายชนิดและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก ใกล้เต๊นท์ที่พักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ
ทั้งนี้ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่จับกุม นายเปรมชัยกับพวก ได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ โดยมีโปรแกรม 2 วัน 1 คืน แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่พบว่า นายเปรมชัยกับพวกตั้งเต็นท์ที่พักนอกเขตที่เจ้าหน้าที่อนุญาต เมื่อเจ้าหน้าที่ตักเตือน ก็ไม่เชื่อฟัง หลังเจ้าหน้าที่พบพิรุธ จึงตรวจสอบบริเวณโดยรอบเต็นท์ที่พักของนายเปรมชัยกับพวก ปรากฏว่าพบซากสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง รวมถึงพบหนังเสือดำ ที่ถูกชำแหละเนื้อออก โดยหนังเสือดำมีลักษณะเป็นผืนทั้งตัวและถูกถนอมซากด้วยการทาเกลือ พร้อมกันนี้ยังพบเนื้อบางส่วนของเสือดำกำลังถูกต้มอยู่ด้วย
สำหรับอาวุธปืนและกระสุนที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ มีทั้งปืนยาว(ปืนไรเฟิล), ปืนยาวลูกซองแฝดเบอร์ 20, ปืนยาวขนาด .22 และเครื่องกระสุนพร้อมใช้งาน จากนั้นเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ได้นำตัวนายเปรมชัยกับพวกส่ง สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดี โดยอีก 3 คน ประกอบด้วย นายยงค์ โดดเครือ ให้การว่าเป็นคนขับรถของนายเปรมชัย, นางนที เรียมแสน ให้การว่าทำงานเป็นแม่บ้านของนายเปรมชัย และนายธานี ทุมมาศ ให้การว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารในกรุงเทพฯ
ด้านตำรวจได้แจ้งข้อหานายเปรมชัยกับพวก 9 ข้อหา คือ 1.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต 2.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 4.ฐานร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต 5.ฐานร่วมกัน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำความผิด 6.ฐานร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 7.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 8.ฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนป่าแห่งชาติโดยมิไม่ได้รับอนุญาต และ 9.ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490
ทั้งนี้ หลังเรื่องนี้เป็นข่าวดังออกมา หลายฝ่ายสงสัยว่า การที่นายเปรมชัยกับพวกสามารถเข้าไปค้างแรมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรพร้อมอาวุธแบบนี้ มีการขออนุญาตและตรวจสอบหรือไม่ ปรากฏว่า มีรายงานว่า มีอดีตข้าราชการของกรมอุทยานฯ ระดับผู้อำนวยการสำนักคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว และไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่บริษัท อิตาเลียนไทย ได้โทรศัพท์มาประสานกับ น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า น.ส.กาญจนา จึงได้ประสานไปยังหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ เพื่อให้ช่วยดูแลคณะของนายเปรมชัย ซึ่งนายเปรมชัยอ้างว่าเข้าพักเพื่อศึกษาธรรมชาติ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า นายเปรมชัยเป็นแขกวีไอพี ให้ดูแลความสะดวกด้วย
ด้าน น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยอมรับว่า ได้รับโทรศัพท์ระบุว่าเป็นผู้ประสานงานของนายเปรมชัย ถามว่าจะเข้าพักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ต้องทำอย่างไร จึงบอกข้อมูลเบื้องต้น และประสานไปยังหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ซึ่งทำตามขั้นตอนปกติ คือ ทำหนังสือขออนุญาตตามปกติ “ยืนยันว่า ไม่ใช่แขกของดิฉันตามที่มีการกล่าวอ้าง เพราะทำทุกอย่างตามขั้นตอน การจะอนุญาตให้เข้าพักได้หรือไม่ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มีอำนาจตัดสินใจ และตามขั้นตอนจะต้องแจ้งสำนักเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3”
ส่วนความคืบหน้าทางคดี หลังตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ สอบปากคำนายเปรมชัยกับพวกแล้ว มีรายงานว่า นายเปรมชัยให้ปากคำยอมรับว่า รถยนต์ที่ขับเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ รวมทั้งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนเป็นของตนเอง จากนั้น ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขอศาลจังหวัดทองผาภูมิฝากขัง โดยผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวคนละ 150,000 บาท ด้านศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลออกหมายค้นบ้านพักของนายเปรมชัยและพวกทั้งหมด เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม จากการค้นบ้านพักนายเปรมชัย ไม่พบนายเปรมชัย พบเพียงภรรยาที่อ้างว่าไม่ทราบว่านายเปรมชัยอยู่ที่ไหน ผลการตรวจค้น พบปืนชนิดต่างๆ เช่น ปืนยาว ปืนลูกซอง ปืนไรเฟิล จำนวน 43 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมากกว่า 1,500 นัด นอกจากนี้ยังพบงาช้าง 2 คู่ เจ้าหน้าที่จึงยึดทั้งปืนและงาช้างไปตรวจสอบ
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้มีความชัดเจน และเพียงพอที่จะฟ้องดำเนินคดีผู้ต้องหาได้แล้ว “ไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานว่าใครเป็นคนยิงสัตว์ และที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่จะไปเที่ยว คุณเข้าไปไม่ขออนุญาต เจตนาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ระเบียบห้ามไม่ให้นำอาวุธปืนเข้าไป คุณเอาเข้าไปก็ชัดเจน ยิ่งพบซากสัตว์อยู่ก็ชัดเจน”
พล.ต.อ.ศรีวราห์ เผยด้วยว่า จากการสอบปากคำนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ยืนยันว่า มีความพยายามในการติดสินบนเจ้าพนักงาน จึงให้นายวิเชียรร้องทุกข์ต่อตำรวจ เพื่อดำเนินคดีนายเปรมชัยกับพวกฐานให้สินบนเจ้าพนักงานแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า การจับกุมนายเปรมชัยกับพวกโดยนายวิเชียรและเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ครั้งนี้ กระแสสังคมต่างชื่นชมยกย่องและให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของนายวิเชียรเป็นอันมาก อีกทั้งทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ทรงโพสต์ข้อความให้กำลังใจนายวิเชียรให้สู้สู้พร้อมทรงแนะประชาชนว่า "ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคนไม่ให้โดนรังแก พวกเราต้องช่วยกันปลุกจิตสำนึกว่าไม่มีใครมีสิทธิเหนือคนอื่น อย่าลืมว่าประเทศนี้เป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง" สร้างความปลาบปลื้มให้นายวิเชียรอย่างมาก “ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก เหมือนน้ำทิพย์ตกลงมาบนยอดหญ้าให้ชุ่มชื่นใจ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างมาก สร้างกำลังใจให้เจ้าหน้าที่มีแรงจะทำงานต่อไปได้”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการจับกุมนายเปรมชัยกับพวกว่า ให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ...ผิดก็คือผิด จะใหญ่แค่ไหนมันก็คือผิด
ขณะที่ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คดีนี้มีความชัดเจนว่าผู้ต้องหาเจตนาก่อเหตุ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งความผิด 9 ข้อหาไปแล้ว และว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการติดตามเรื่องนี้ โดยมีอธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นประธาน
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การจับกุมนายเปรมชัย จะส่งผลให้ บมจ.อิตาเลียนไทยฯ ถูกขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้ได้รับงานโครงการของรัฐหรือไม่ ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูด ยังไม่ถึงขั้นนั้น และว่า การทำความผิดของนายเปรมชัยเป็นความผิดส่วนบุคคล ไม่ใช่ทำผิดในนามบริษัท ความเป็นนิติบุคคลกับส่วนบุคคล ต้องแยกจากกัน
2.“สมยศ” อดีต ผบ.ตร.ยอมรับ “เสี่ยกำพล” โอนเงินให้จริง 300 ล้าน แต่แค่ยืมเพื่อน และคืนแล้ว!
ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้สนธิกำลังกับหลายหน่วยงาน เข้าตรวจค้นสถานบริการอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท ย่านพระราม 9 กทม.หลังพบข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็กและการค้ามนุษย์ ต่อมาได้ขอศาลออกหมายจับและอายัดบัญชีเงินฝากของนายกำพล และนางนิภา วิระเทพสุภรณ์ สามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของสถานบริการที่แท้จริง ในข้อหาค้ามนุษย์ ซึ่งขณะนี้ทั้งสองอยู่ระหว่างหลบหนี นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบขยายผลพบว่า นายกำพลมีการโอนเงินเข้าบัญชีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) คนหนึ่งหลายครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอยังไม่ได้เรียกอดีต ผบ.ตร.ดังกล่าวมาชี้แจงแต่อย่างใด
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเป็นอดีต ผบ.ตร. ได้ออกมายอมรับระหว่างแถลงข่าวฟุตบอลไทยลีก 2018 ว่า ได้รับโอนเงินจากนายกำพล 300 ล้านบาทจริง โดยบอกว่า รู้จักนายกำพลมาเป็นเวลากว่า 20 ปี จากการแนะนำของเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนในวงการพระเครื่องก็คบกันเป็นเพื่อนมา นายกำพลเคยร่วมกิจกรรมการกุศลกับตน เช่น บริจาคเงินช่วยสร้างโรงพยาบาลที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 ล้านบาท ประมูลพระเครื่องไป 30 ล้านบาท และว่า คบกันเป็นเพื่อน ก็มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคยเดือดร้อน ก็ไปขอความช่วยเหลือนายกำพลหลายครั้ง “นายกำพลเคยให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเงินแก่ผม 3-4 ครั้ง รวมแล้วก็เป็นเงินที่ปรากฏตามข่าวกว่า 300 ล้านบาท”
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือด้านการเงินนั้น นายกำพลโอนเงินผ่านธนาคาร เข้าระบบธุรกรรมการเงินอย่างชัดเจน แต่ในปีเดียวกัน นายกำพลมาขอเงินคืน ก็ได้มีการคืนเงินให้นายกำพลเรียบร้อยผ่านระบบธุรกรรมการเงินของธนาคาร โดยเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและการโอนเงินผ่านธนาคาร ได้รายงานให้ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้วเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา “ไม่มีเหตุจำเป็นที่ผมต้องปกปิด เพราะผมไม่ได้คิดว่าเงินจำนวนนี้ผิดกฎหมาย ...ถ้าผมมีเจตนาทุจริตหรือจะปิดบังซ่อนเร้นช่วยเหลือคุณกำพลในทางที่ผิดกฎหมาย ผมให้นายกำพลหอบเงินสดมาให้ ไม่ดีกว่าหรือ และโอนเป็นชื่อของผมอีกด้วย ผมคงไม่คิดสั้นขนาดนั้น”
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สมยศ แถลงว่ายืมเงินนายกำพล 300 ล้านบาทว่า ดีเอสไอจะยังไม่เรียกสอบปากคำพยาน จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางการเงินที่ได้มาจากการค้ามนุษย์ของวิคตอเรีย ซีเครท เพื่อให้พนักงานสอบสวนมีข้อมูลเพียงพอในการกำหนดประเด็นซักถามพยาน การเรียกสอบปากคำพยาน จึงต้องทำเมื่อคดีมีพยานหลักฐานพอสมควรแล้ว
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เผยว่า ธุรกรรมการเงินจากสถานอาบอบนวดในเครือของนายกำพลมีจำนวนมาก โดยพบเส้นทางการเงินว่า หลังรับโอนเงิน จะมีการเบิกถอนเป็นเงินสด ก่อนนำไปลงทุนในกิจการที่ถูกกฎหมาย รวมถึงลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนข้อมูลการโอนเงินให้อดีต ผบ.ตร.300 ล้านบาทนั้น เป็นเพียงเงินส่วนเดียวจากธุรกรรมการเงินที่พบ โดยพบว่ายังมีเงินอีกหลายก้อนของนายกำพล เช่น จากการโอนขายหุ้นกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอีกจำนวนมาก
3.หวยอลเวง 30 ล้านใกล้จบ ตร.ได้หลักฐานเด็ด “คลิปเสียง” ครูปรีชาคุยแม่ค้าล็อตเตอรี่ ยันไม่ถูกรางวัลที่ 1 !
ความคืบหน้ากรณีหวยอลเวง 30 ล้านบาท ที่มีผู้อ้างความเป็นเจ้าของถึง 2 คน และต่างฝ่ายต่างฟ้องกันไปมา คือ “ครูปรีชา” หรือนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี กับ “หมวดจรูญ” หรือ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจเกษียณ ต่อมา ตำรวจภูธรภาค 7 แถลงผลสรุปการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยยืนยันว่า ครูปรีชาเป็นเจ้าของล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 จริง และมีพยานที่เห็นว่า หมวดจรูญ ได้เก็บล็อตเตอรี่ไปจริง และจะแจ้งข้อหาหมวดจรูญฐานยักยอกทรัพย์ตกหาย และข้อหารับของโจรด้วย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. หมวดจรูญพร้อมภรรยาและลูกสาว ได้ไปสาบานต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในเขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรีว่าเป็นตนเป็นเจ้าของล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ตัวจริง พร้อมท้าฝ่ายครูปรีชาและแม่ค้าขายล็อตเตอรี่ที่อ้างว่าขายให้กับครูปรีชามาสาบานด้วย แต่ครูปรีชาไม่มา โดยอ้างว่า ตอนขึ้นศาลก็ต้องสาบานอยู่แล้ว และมีเพียงเจ๊เกียว หรือนางปณัญชยา สุขผล คนขายล็อตเตอรี่รายใหญ่ของจังหวัดที่เป็นพยานยืนยันให้กับครูปรีชามาสาบานเพียงคนเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หมวดจรูญ ได้เดินทางไปหน้าบ้านพักของตำรวจระดับสูงนายหนึ่งในบริเวณ สภ.เมืองกาญจนบุรีด้วย และจุดธูปสาบาน พร้อมกล่าวคำสาปแช่งว่า ถ้าตำรวจระดับสูงที่เรียกตนไปเจรจาที่บ้านพัก มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้วางแผนและสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เพื่อช่วยครูปรีชา ขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าตำรวจดังกล่าวพูดความจริงมาตลอด ไม่สร้างเรื่องเท็จ ไม่ได้ช่วยเหลือครูปรีชา ขอให้ประสบความสำเร็จ
วันต่อมา 5 ก.พ. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อเรียกร้องขอให้ย้าย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรี ให้มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการชั่วคราว เนื่องจาก พล.ต.ต.สุทธิเคยเรียกหมวดจรูญเข้าพบที่บ้าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเกิดข้อครหาตามมามากมาย นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจรัฐอายัดเงินของหมวดจรูญ ทั้งที่ พล.ต.ต.สุทธิไม่มีอำนาจตาม ป.วิอาญา ทั้งนี้ นายอัจฉริยะได้นำหลักฐานในคดีนี้มามอบ ผบ.ตร.ด้วย รวมทั้งจะมอบหลักฐานสำคัญอีก 1 ชุดให้ตำรวจกองปราบฯ เป็นคลิปเสียงและคลิปวิดีโอ พร้อมเผยว่า จากการลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงเรื่องหวย 30 ล้าน พบว่า “มีการทำกันเป็นขบวนการ มีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 2 คนร่วมด้วย แต่ไม่ขอเปิดเผย โดยมีเป้าหมายคือ ต้องการเงิน 30 ล้านบาท เนื่องจากคดีดังกล่าวสามารถอายัดเงินได้เบื้องต้น 25 ล้าน”
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ผบ.ตร.ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โอนสำนวนคดีการสอบสวนมายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตอบคำถามของสังคมได้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของตำรวจเพื่อความยุติธรรมในสังคม
มีรายงานว่า ตำรวจได้หลักฐานคลิปเสียงการสนทนาระหว่างแม่ค้าขายล็อตเตอรี่กับครูปรีชารวม 2 คลิป คลิปแรกเป็นการสนทนาเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 1 พ.ย.2560 ซึ่งเป็นวันและเวลาหลังรู้ผลสลากฯ ในงวดดังกล่าว โดยแม่ค้าฯ พูดกับครูปรีชาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า ครูปรีชาถูกรางวัลที่ 1 เพราะจำได้ว่าบนแผงของตนมีเลขรางวัลดังกล่าวอยู่ แต่ครูปรีชาปฏิเสธว่าไม่ถูก พร้อมบอกเลขที่ตนซื้อ ซึ่งไม่ถูกรางวัลที่ 1 ส่วนคลิปที่ 2 เป็นเสียงแม่ค้าฯ โทรหาครูปรีชาอีกครั้งเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 2 พ.ย.2560 ในลักษณะเดิมคือ ย้ำว่าครูปรีชาถูกรางวัลที่ 1 แต่ครูปรีชาก็ปฏิเสธเหมือนเดิมว่า ไม่ถูกรางวัล ซึ่งตำรวจกองปราบฯ จะนำทั้ง 2 คลิปเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี เพราะเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
นอกจากนี้ตำรวจกองปราบฯ ยังตรวจสอบคำให้การของพยานในคดีที่อ้างว่าเป็นพยานใหม่ฝ่ายครูปรีชาที่ตำรวจภาค 7 รวบรวมไว้ ซึ่งพยานดังกล่าวอ้างว่า เห็นล็อตเตอรี่หมายเลขที่ถูกรางวัลที่ 1 โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของครูปรีชาตอนเดินสวนกันในตลาดเรดซิตี้ ใกล้แผงขายล็อตเตอรี่ และยังได้ขอแบ่งซื้อล็อตเตอรี่ดังกล่าวด้วย แต่ครูปรีชาไม่ยอมแบ่งขายให้ ซึ่งจากการตรวจสอบทางเทคนิคกลับพบว่า พยานคนดังกล่าวขับรถมาจอดที่ตลาดในเวลาประมาณ 16.48 น.วันที่ 1 พ.ย.2560 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากครูปรีชาออกจากตลาดไปแล้ว ส่วนกรณีที่ครูปรีชาให้การว่า หลังรู้ว่าถูกรางวัลที่ 1 ได้โทรไปหาแม่ค้าฯ นั้น จากการตรวจสอบกลับไม่พบว่า ครูปรีชาโทรหาแม่ค้าแต่อย่างใด
4.ศาลพิพากษาจำคุก “บิ๊ก สธ.” 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา กรณีลวนลามลูกจ้างสาว!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. รายงานแจ้งว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีเป็นโจทก์ฟ้องนายอัศม์เดช รัตนวรประเสริฐ อายุ 40 ปี อดีตหัวหน้าส่วนกลุ่มงานภารกิจอำนวยการสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นจำเลยในความผิดข้อหาอนาจาร จากกรณีที่จำเลยได้ก่อเหตุกระทำอนาจารลูกจ้างสาว โดยการโอบกอดและจับหน้าอกลูกจ้างสาวภายในห้องทำงานของสำนักงานปลัด สธ.รวม 3 ครั้ง ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2560
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม กระทงละ 1 ปี 3 กระทง รวมจำคุก 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยมีภริยาและบุตรอยู่แล้ว และเป็นข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปในหน่วยงานราชการ สมควรต้องมีสำนึกในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในการดำรงตนให้อยู่ในกฏระเบียบและจริยธรรมของการเป็นข้าราชการที่ดี แต่จำเลยยังกระทำความผิดในคดีนี้ถึง 3 ครั้ง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมทั้งไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบ และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้ใช้อิทธิพลในฐานะผู้มีตำแหน่งหน้าที่ฉวยโอกาสกระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยอีก จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ คงจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน
5.กรมการแพทย์แผนไทยฯ รับรอง “หมอแสง” เป็นหมอพื้นบ้านแล้ว หลังเจ้าตัวขู่ถ้าไม่รับรอง จะหยุดแจกยา ปชช.!
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยความคืบหน้ากรณีที่นายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือหมอแสง เจ้าของสูตรสมุนไพรบำบัดโรคมะเร็ง ที่ประชาชนไปรับแจกยาวันละนับหมื่นคน ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอการรับรองให้เป็นหมอพื้นบ้านว่า ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนนายแสงชัยเป็นหมอพื้นบ้าน เนื่องจากยังขาดหลักฐานบางส่วน จึงได้แจ้งให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การได้รับอนุญาตเป็นหมอพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาข้อกำหนดการรับรองเบื้องต้นคาดว่า นายแสงชัยน่าจะเข้าข่ายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้าน
วันต่อมา 6 ก.พ. นายแสงชัยได้ออกมาเปิดใจหลังอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย แถลงว่ายังไม่ได้รับรองหมอแสงเป็นหมอพื้นบ้าน เนื่องจากยังขาดเอกสารบางส่วนว่า ได้ทำเรื่องขออนุญาตเป็นหมอพื้นบ้านตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 2560 จากนั้นก็ได้ส่งเรื่องไปอีกหลายครั้ง แต่เรื่องเงียบ กระทั่งวันที่ 29 ม.ค.61 กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ทำหนังสือแจ้งขอเอกสารเพิ่ม ซึ่งไม่รู้ว่าจะขออะไรกันนักหนา แต่ตนก็ได้ส่งเอกสารตามที่ขอไปให้ "ผมสงสัยว่าท่านอธิบดีต้องการอะไรที่ออกข่าวแบบนี้ เหมือนต้องการคนในพื้นที่ 10 คน ผมก็หาให้แล้ว ประชาชนทั้งประเทศที่จะกินสมุนไพรผมต้องย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ทั้งหมด ผมก็ยอมทุกอย่าง แล้วมาออกข่าวแบบนี้ รู้สึกเสียใจ"
นายแสงชัยกล่าวอีกว่า ถ้าหน่วยงานราชการยังดึงเรื่อง โยนกันไปมาอย่างนี้ ตนก็คิดว่า เดือน มี.ค.จะไม่แจกยาอีกแล้ว โดยหลังวันที่ 20 ก.พ.นี้ ก็จะรู้ว่าตนจะแจกหรือไม่แจก และยังคิดว่า ถ้าใครอยากรวย ตนก็จะให้สูตรยาให้ไปจดทะเบียนยังต่างประเทศ เพราะตนไม่อยากจะเถียงกับใครอีกแล้ว รู้สึกเบื่อกับส่วนราชการไทยเหลือเกิน
หลังนายแสงชัยพูดเหมือนขู่ว่าจะหยุดแจกยาหากไม่ได้รับการรับรองเป็นหมอพื้นบ้าน ปรากฏว่า วันต่อมา 7 ก.พ. นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ เผยว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายแสงชัยได้ส่งเอกสารที่ยังขาด 2 ชิ้นมาให้เพิ่มเติมแล้ว คือ เอกสารการยอมรับของคนในชุมชนที่ไม่น้อยกว่า 10 คนขึ้นไป และเอกสารการยอมรับของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ จึงได้ลงนามออกใบรับรองให้แก่นายแสงชัยแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกใบรับรองให้อย่างรวดเร็ว กังวลหรือไม่ว่าจะทำให้สังคมคิดว่า เกรงกลัวต่อเส้นตายของนายแสงชัยว่าจะหยุดแจกยาให้ประชาชน นพ.ปราโมทย์กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะนี่คือขั้นตอนการพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ใบรับรอง แต่เพราะขาดเอกสาร 2 ชิ้น เมื่อครบถ้วน จึงทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว และอธิบดีลงนามได้เลย
นพ.ปราโมทย์กล่าวด้วยว่า “ไม่ใช่ว่าได้ใบรับรองหมอพื้นบ้านแล้วจะจบ ...เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย หมอพื้นบ้านไม่สามารถทำเพื่อการค้า โดยต้องไปติดตามต่อว่า ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหลัก ต้องช่วยเหลือหรือเยียวยาผู้ป่วยตามธรรมจรรยา และต้องไม่ทำเชิงพาณิชย์ หากผิดหลักเกณฑ์เงื่อนไข ก็ถอดถอนใบรับรองได้”