เป็นเรื่อง! สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียน นักแปล และนักวิชาการอิสระ ลั่นไม่ขอรับตำแหน่ง หลังจากถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยไม่ได้รับการบอกกล่าวใดๆ
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกระแสหนึ่งในช่วงนี้ก็ว่าได้ จากกรณีที่มีการแต่งตั้ง “สฤณี อาชวานันทกุล” นักแปล นักวิชาการอิสระ และบรรณาธิการเว็ปไซต์ไทยพลับลิก้า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเจ้าตัวได้โพสต์หนังสือการแต่งตั้งดังกล่าวผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัวว่าไม่ขอรับตำแหน่งทั้งสิ้น โดยเธอได้แสดงความเห็นในภาพรวมว่า ‘มัดมือชกกันอย่างนี้ จะตู่แบบนี้ไม่ได้ !’
“คือเรื่องของเรื่องมีน้องที่รู้จักกัน ที่อยู่ออฟฟิศที่เราเคยใช้เป็นออฟฟิศของเครือข่ายพลเมืองเน็ต ซึ่งเป็นส่วนของตัวเองที่ใช้ไปคัดค้าน พรบ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีเอกสารส่งมา จริงๆ คือเป็นจดหมายเชิญประชุม ลงวันที่ 25 มกราคม ส่งมา แล้วมีชื่อตัวเอง เป็นกรรมการคผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม คณะกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แล้วก็เชิญประชุมในวันที่ 31 มกราคม แต่หนังสือก็เพิ่งมาถึงวันก่อนหน้านี้ แล้วน้องเขาไม่แน่ใจ เพราะว่าในนั้นก็มีหนังสือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งปรากฏว่าหนังสือก็แต่งตั้งคณะกรรมในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เริ่มเมื่อ 29 ธันวาคม ก็คือเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน น้องเขาเลยถ่ายรูปแล้วส่งมาทางเฟซบุ๊คส่วนตัว
“พอเราได้เห็น ก็มีความรู้สึกงงว่ามันคืออะไร เพราะเราไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่ามีคณะกรรมการนี้อยู่ แล้วที่ไม่พอใจคือ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่มีคำสั่งแต่งตั้งโดย พล.อ. ประยุทธ์ เนี่ยค่ะ โดยที่ไม่มีการทาบทามหรือติดต่ออะไรเลย เราก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แล้วตัวเองก็เป็นคนที่ไม่ได้ปิดบังอะไร เรามีทั้งเฟซบุ๊ค และมีเพจ ก็มีคนส่งข้อความอะไรมาได้หมดตามปกติค่ะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีการติดต่อหรือเสนอชื่อไป อย่างน้อยก็ต้องมีการสอบถามก่อนว่าเรามึความยินดีหรือเปล่า เราก็เลยรู้สึกว่าเหมือนมัดมือชก (หัวเราะเบาๆ)
“หากถามว่า เราเคยไปทำงานให้รัฐบาล จนผลงานเข้าตาหรือเปล่า เราขอตอบเลยว่าไม่มีเลยนะคะ แต่คิดว่าความเชื่อมโยงที่พอเป็นไปได้ คือเขาส่งไปให้ในที่อยู่ของเครือข่ายผลเมืองเน็ต ก็เป็นไปได้ที่เขามองว่า เราพูดเรื่อง พรบ.คอมพิวเตอร์ พูดเรื่องกฎหมาย Digtal economie หรือว่าเขามีความสนใจในเรื่อง Smart city เมืองอัจฉริยะ เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของไทยแลนด์ 4.0 นี่อาจจะเป็นความเชื่อมโยงที่คาบเกี่ยวกับความสนใจ จากการที่ไม่เคยถามไม่อะไรเลย และจริงๆ แล้วเนี่ย ถามว่าในเฟซบุ๊คของตัวเองที่บอกว่าใครๆ ก็ติดต่อได้ ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในหลายๆ เรื่อง เราก็วิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมาค่ะ ก็เลยเป็นเหตุว่าทำไม ซึ่งแค่ค้นหาในเฟสบุ๊ค ก็น่าจะเจอแล้วเนอะ ว่าน่าจะไม่รับตำแหน่งค่ะ
“สำหรับข้อความที่ว่า #เมืองจะอัจฉริยะได้ไงในเมื่อเผด็จการยังบังคับให้คนเป็นนั่นเป็นนี่ที่เขาไม่อยากจะเป็น เราก็พิมพ์ด้วยความไม่พอใจอย่างที่บอก แต่เราก็รู้สึกว่าก็เป็นตลกร้ายนะคะ ถ้าดูจากคณะกรรมการนี้ ดูจากหน้าที่การงาน ก็น่าจะมาคุยเรื่องเมืองอัจฉริยะ ซึ่งในความคิดของตัวเอง ก็น่าจะเป้นเมืองที่เปิดกว้างทางความคิด ให้คนเข้ามามีอิสระในการสร้างสรรค์ มีเครื่องมือมา มีเทคโนโลยีให้คนได้เข้าถึงต่างๆ แต่ว่าในเบื้องต้นที่เราได้รับการแต่งตั้ง เราก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเลย ความรู้วสึกเราจริงๆ ก็เหมือนมัดมือชกจริงๆ ก็เลยคิดว่ามันตลกร้าย ก็เลยพิมพ์เข้าไปในความรู้สึกอย่างนั้น
“เราคิดว่าน่าจะจบในกระบวนการของเราค่ะ อย่างที่เรียนไปว่าน่าจะเป็นปัญหาในเรื่องการประสานงานมากกว่า คงไม่ได้มีเจตนาอะไรหรอก แต่มันก็กระทบถึงความรู้สึกเราจริงๆ ว่าทำไมต้องมามัดมือชก และในเมื่อเราได้แสดงท่าที่ปฏิเสธไปแล้วทางสาธารณะ และจดหมายปฏิเสธก็เขียนตามไป ในส่วนของเราก็จะไม่ไปทำอะไรต่อ”
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกระแสหนึ่งในช่วงนี้ก็ว่าได้ จากกรณีที่มีการแต่งตั้ง “สฤณี อาชวานันทกุล” นักแปล นักวิชาการอิสระ และบรรณาธิการเว็ปไซต์ไทยพลับลิก้า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเจ้าตัวได้โพสต์หนังสือการแต่งตั้งดังกล่าวผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัวว่าไม่ขอรับตำแหน่งทั้งสิ้น โดยเธอได้แสดงความเห็นในภาพรวมว่า ‘มัดมือชกกันอย่างนี้ จะตู่แบบนี้ไม่ได้ !’
“คือเรื่องของเรื่องมีน้องที่รู้จักกัน ที่อยู่ออฟฟิศที่เราเคยใช้เป็นออฟฟิศของเครือข่ายพลเมืองเน็ต ซึ่งเป็นส่วนของตัวเองที่ใช้ไปคัดค้าน พรบ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีเอกสารส่งมา จริงๆ คือเป็นจดหมายเชิญประชุม ลงวันที่ 25 มกราคม ส่งมา แล้วมีชื่อตัวเอง เป็นกรรมการคผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม คณะกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แล้วก็เชิญประชุมในวันที่ 31 มกราคม แต่หนังสือก็เพิ่งมาถึงวันก่อนหน้านี้ แล้วน้องเขาไม่แน่ใจ เพราะว่าในนั้นก็มีหนังสือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งปรากฏว่าหนังสือก็แต่งตั้งคณะกรรมในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เริ่มเมื่อ 29 ธันวาคม ก็คือเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน น้องเขาเลยถ่ายรูปแล้วส่งมาทางเฟซบุ๊คส่วนตัว
“พอเราได้เห็น ก็มีความรู้สึกงงว่ามันคืออะไร เพราะเราไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่ามีคณะกรรมการนี้อยู่ แล้วที่ไม่พอใจคือ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่มีคำสั่งแต่งตั้งโดย พล.อ. ประยุทธ์ เนี่ยค่ะ โดยที่ไม่มีการทาบทามหรือติดต่ออะไรเลย เราก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แล้วตัวเองก็เป็นคนที่ไม่ได้ปิดบังอะไร เรามีทั้งเฟซบุ๊ค และมีเพจ ก็มีคนส่งข้อความอะไรมาได้หมดตามปกติค่ะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีการติดต่อหรือเสนอชื่อไป อย่างน้อยก็ต้องมีการสอบถามก่อนว่าเรามึความยินดีหรือเปล่า เราก็เลยรู้สึกว่าเหมือนมัดมือชก (หัวเราะเบาๆ)
“หากถามว่า เราเคยไปทำงานให้รัฐบาล จนผลงานเข้าตาหรือเปล่า เราขอตอบเลยว่าไม่มีเลยนะคะ แต่คิดว่าความเชื่อมโยงที่พอเป็นไปได้ คือเขาส่งไปให้ในที่อยู่ของเครือข่ายผลเมืองเน็ต ก็เป็นไปได้ที่เขามองว่า เราพูดเรื่อง พรบ.คอมพิวเตอร์ พูดเรื่องกฎหมาย Digtal economie หรือว่าเขามีความสนใจในเรื่อง Smart city เมืองอัจฉริยะ เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของไทยแลนด์ 4.0 นี่อาจจะเป็นความเชื่อมโยงที่คาบเกี่ยวกับความสนใจ จากการที่ไม่เคยถามไม่อะไรเลย และจริงๆ แล้วเนี่ย ถามว่าในเฟซบุ๊คของตัวเองที่บอกว่าใครๆ ก็ติดต่อได้ ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในหลายๆ เรื่อง เราก็วิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมาค่ะ ก็เลยเป็นเหตุว่าทำไม ซึ่งแค่ค้นหาในเฟสบุ๊ค ก็น่าจะเจอแล้วเนอะ ว่าน่าจะไม่รับตำแหน่งค่ะ
“สำหรับข้อความที่ว่า #เมืองจะอัจฉริยะได้ไงในเมื่อเผด็จการยังบังคับให้คนเป็นนั่นเป็นนี่ที่เขาไม่อยากจะเป็น เราก็พิมพ์ด้วยความไม่พอใจอย่างที่บอก แต่เราก็รู้สึกว่าก็เป็นตลกร้ายนะคะ ถ้าดูจากคณะกรรมการนี้ ดูจากหน้าที่การงาน ก็น่าจะมาคุยเรื่องเมืองอัจฉริยะ ซึ่งในความคิดของตัวเอง ก็น่าจะเป้นเมืองที่เปิดกว้างทางความคิด ให้คนเข้ามามีอิสระในการสร้างสรรค์ มีเครื่องมือมา มีเทคโนโลยีให้คนได้เข้าถึงต่างๆ แต่ว่าในเบื้องต้นที่เราได้รับการแต่งตั้ง เราก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเลย ความรู้วสึกเราจริงๆ ก็เหมือนมัดมือชกจริงๆ ก็เลยคิดว่ามันตลกร้าย ก็เลยพิมพ์เข้าไปในความรู้สึกอย่างนั้น
“เราคิดว่าน่าจะจบในกระบวนการของเราค่ะ อย่างที่เรียนไปว่าน่าจะเป็นปัญหาในเรื่องการประสานงานมากกว่า คงไม่ได้มีเจตนาอะไรหรอก แต่มันก็กระทบถึงความรู้สึกเราจริงๆ ว่าทำไมต้องมามัดมือชก และในเมื่อเราได้แสดงท่าที่ปฏิเสธไปแล้วทางสาธารณะ และจดหมายปฏิเสธก็เขียนตามไป ในส่วนของเราก็จะไม่ไปทำอะไรต่อ”