“มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”!! เปิดชีวิตผู้หญิงหัวใจแกร่ง เผชิญโรคร้ายนานกว่า 10 ปี แต่ไม่เคยมีคำว่า “ท้อ” ในหัวใจ และเหนืออื่นใด ยังทำให้เธอค้นพบเป้าหมายและความฝัน และทำมันให้สำเร็จ ถึงขั้นประกาศ “ขอบคุณมะเร็ง”!
จากคนที่เคยทำงานหามรุ่งหามค่ำ และใช้ชีวิตพังๆ อย่างไม่สนใจใส่ใจดูแลเทกแคร์ตัวเอง เมื่อโรคมะเร็งเดินหน้ามาเยือน ก็เป็นดั่งเสียงกระตุ้นเตือนให้เธอหันกลับมามอง “ความต้องการ” ที่แท้จริงของชีวิตอีกครั้ง ... ความเจ็บป่วย สำหรับหลายคนอาจบ่นว่าคือความโชคร้าย ยิ่งเป็นมะเร็งก็ยิ่งห่อเหี่ยวไปกันใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับหญิงสาวผู้นี้
“พีรดา พีรศิลป์” ... หลังจากโรคมะเร็งมาเคาะประตูเรียกเป็นครั้งที่ 2 เธอก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตนเองอย่างจริงจัง หักดิบไลฟ์สไตล์ พลิกรูปแบบการใช้ชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ พร้อมๆ กับสานต่อความฝันที่นอนนิ่งอยู่ในใจมาเนิ่นนาน นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยว ด้วยพาหนะสองล้ออย่างมอเตอร์ไซค์
และนั่นก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด หากหญิงสาวผู้นี้ จะเอ่ยปากบอกใครต่อใครว่าเธอ “ขอบคุณมะเร็ง”
เพราะโรคมะเร็งที่เธอเป็น
ทำให้เธอมองเห็น “ที่ทาง” แห่งความสุขในชีวิตของตนเอง
อย่างแท้จริง...
ทำงานหนัก เครียดสะสม กินไม่ดี ไม่ออกกำลังกายจนมะเร็งถามหา
ก่อนจะมาเป็นมะเร็ง เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้หญิงทั่วไป เป็นพนักงานประจำอยู่ในบริษัท ทำงานเกี่ยวกับแมกกาซีน แต่จริงๆ ทำงานอะไรก็เหมือนกัน แต่พออยู่ในบริษัทแล้วอยู่ในสายแมกกาซีนมันก็จะมีรูทีนที่ต้องมาเช้ากลับดึกเป็นประจำ วันหยุดก็ต้องทำงานบ้างถ้ายังมีงานค้าง บางวันก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยเฉพาะตอนปิดต้นฉบับ วนเวียนอยู่แบบนี้ทั้งเดือนจนเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราก็ยังทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนก็ไม่เยอะ ช่วงทำงานก็ไม่มีเงินเก็บ สุขภาพก็ไม่ดูแล ขี้เกียจออกกำลังกาย อาหารก็กินทั่วๆ ไปไม่เลือกมาก
ทำแบบอยู่ได้ 4 ปี จนคนรอบข้างสังเกตได้ ซึ่งปกติเราเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน แต่ตอนนั้นหน้าดำ คร่ำเครียด เราทำแต่งาน เป็นคนที่บ้างานมากๆ จนโรคมะเร็งถามหา
เมื่อมะเร็งมาเยือนครั้งแรกแบบไม่ทันตั้งตัว
ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. 2546 เราอายุได้ประมาณ 30 ปี มันรู้ตัวจากที่เรากำลังอาบน้ำถูสบู่แล้วมือไปโดนที่เต้านมแล้วเจ็บ คลำแล้วเจอก้อน ยิ่งไปโดนก้อนก็ยิ่งเจ็บ ซึ่งพี่สาวและน้องสาวของหลิงเขาก็เป็นซีสต์ จะเป็นแค่ก้อนแข็งๆ เหมือนกันแต่ไม่เจ็บ เราก็เลยไปหาหมอเพราะเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นก้อนซีสต์หรือเป็นอะไร ก็เจอก้อนค่ะประมาณ 1 เซนติเมตร พอผ่าตัดออกมาพิสูจน์ชิ้นเนื้อ ปรากฏว่ามันคือเนื้อร้าย ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจว่าเนื้อร้ายคืออะไร เลยถามหมอ หมอบอกว่ามันคือมะเร็งนะ เราช็อกไปเลยค่ะ คือเรารู้สึกเหมือนว่าเราต้องตาย เพราะเราเคยถูกสร้างการรับรู้แบบนี้มาโดยตลอด ก็เสียใจ ตกอยู่ในภาวะช็อก และกลัวมากๆ เลยโทร.หาแม่บอกแม่ว่าเราเป็นมะเร็งนะ แม่ก็ร้องไห้ ทุกคนร้องไห้กันหมด แม่ให้รีบกลับบ้านที่สงขลาเลยค่ะ
หลิงเป็นมะเร็งเต้านมขั้นที่ 1 ค่ะ พอเริ่มต้นอยู่ในระหว่างการรักษาเราก็ไปหาหนังสือมาอ่านว่าสิ่งที่เราเป็นมันคืออะไร ต้องรักษาแบบไหน ทำตัวแบบไหน พออ่านเสร็จก็เครียดค่ะ เพราะในหนังสือจะเป็นเคสของคนที่เขาเป็นหนักจนลามไปตามต่อมน้ำเหลืองแล้ว เรายิ่งอ่านก็ยิ่งกลัว ยิ่งเครียด กินอาหารก็ไม่ย่อย ร่างกายทรุดโทรม เพราะตอนนั้นเริ่มรักษาแล้วด้วย พออ่านเสร็จเราก็คิดว่าเราจะเป็นเหมือนเขา ซึ่งจริงๆ แล้วแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกค่ะ เธอกับฉันเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกัน แต่ร่างกายของเราไม่เหมือนกัน เคมีในร่างกายคนเราก็ไม่เหมือนกัน การตอบรับมันก็ไม่เหมือนกัน ทั้งอาการ ยา ระยะต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน สุดท้ายหลิงเลยเอาหนังสือไปทิ้ง ไม่อ่านแล้ว พอกันที หันมารักษากับคุณหมออย่างเดียว มีคนใกล้ตัวบอกว่ามียารักษาแบบโบราณ เราก็ไม่เอา เราขอรักษาตามคุณหมอ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราเชื่อถือและพิสูจน์ได้ก็พอ เพราะเราเชื่อมากกว่า คุณหมอให้ทำอะไรก็จะทำ ทำร่างกายของเราให้แข็งแรงต่อสู้กับโรคให้ได้ ซึ่งเราก็ทำตามขั้นตอนการรักษา
เรียกได้ว่าครั้งแรกก็แย่เหมือนกันค่ะ ร่างกายเราจะร้อน ร้อนแบบเหงื่อแตกเพราะเวลาร่างกายให้คีโมมันจะร้อน แถมยังหมดแรง อาเจียน เดินไม่ไหว กินอะไรไม่ลง กินแล้วอาเจียนออกหมดเลยแต่นี่ถือว่าแพ้น้อยแล้วนะคะ เคล็ดลับของหลิงคือจะรับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็นให้มันปรับสมดุล เวลากินอาหารอะไรไม่ได้เราก็จะเอาแช่ตู้เย็นหมดเลย กินแบบเย็นๆ แทน
เราโชคดีที่เป็นระยะแรก เป็นแบบไม่ลุกลาม เลยรักษาแค่ผ่าตัดแค่ก้อน แล้วก็ผ่าตัดอีกรอบหนึ่งเพื่อเลาะเนื้อรอบๆ ออกไปให้เกลี้ยง ผ่าตัด 2 ครั้งเสร็จ ก็ให้คีโม ประมาณ 1 เดือน ฉายแสงอีกประมาณ 1 เดือนเศษๆ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 6 เดือนก็จบ แต่หมอบอกไม่ได้ว่าจะหายขาดไหม เพราะไม่มีอะไร 100% ในวงการแพทย์ ดังนั้นคนไข้โรคมะเร็งจะต้องติดตามและคอยดูอาการไปตลอดชีวิต ก็คือจะต้องทิ้งระยะห่างการตรวจ เช่นของหลิงจะเริ่มตั้งแต่ 1 เดือน เป็น 3 เดือน เริ่มทิ้งห่างเป็น 6 เดือนและหลังๆ เป็น 1 ปีถ้าอาการค่อนข้างนิ่งมากแล้ว
เมื่อมะเร็งกลับมา…ครั้งที่สอง
มะเร็งก็เหมือนหวัด เป็นได้ หายได้ กลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้
เป็นมะเร็งก็เหมือนเป็นหวัด มันจะหายก็หาย แต่มันจะเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ หรือมันจะไม่เป็นอีกก็ได้ เราไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แต่ในเมื่อเราไม่รู้ เราก็เตรียมตัวเราให้พร้อม
พอเข้าปีที่ 10 หลังจากที่เรารักษามะเร็งครั้งแรก มะเร็งมันกลับมาอีกรอบค่ะ ครั้งนี้เป็นที่เต้านมข้างซ้ายเหมือนเดิม ตอนนั้นไปตรวจแมมโมแกรมเพราะเราต้องติดตามและตรวจตลอดอยู่แล้ว ก็บังเอิญเจอเม็ดเล็กๆ ขนาดประมาณมิลลิเมตร คุณหมอเลยเจาะไปดูเนื่องจากมันขยายตัวขึ้น ซึ่งอะไรก็ตามที่เซลล์มีการขยายตัวมันมีสิทธิที่จะเป็นมะเร็งได้ แล้วเราก็กลับมาเป็นมะเร็งอีกครั้งจริงๆ
ครั้งนี้คุณหมอบอกว่ามี 2 วิธีนะ คือ 1.ต้องตัดเต้านมทิ้งให้เรียบไปเลย ซึ่งบางคนก็ใช้วิธีนี้ 2.แบบคว้านเนื้อออกแล้วเสริมซิลิโคน คือต้องคว้านเนื้อออก แต่ข้างนอกยังอยู่แล้วก็เสริมซิลิโคนเอาหรือถ้าบางคนไม่อยากใส่ซิลิโคนก็สามารถเอากล้ามเนื้อส่วนอื่นมาแปะได้ ซึ่งเราเลยเลือกรักษาวิธีที่สอง และครั้งนี้เองค่ะที่ทำให้หลิงตัดสินใจลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพและทำในสิ่งที่ใจรักอย่างจริงจัง
“อย่ามัวรอความตาย”
หักดิบลุกขึ้นมาดูแลตัวเองและทำในสิ่งที่ใจรัก
เราไม่อยากเป็นคนป่วยนั่งกินยา พออายุ 60-70 ปีก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียง ร่างกายทรุดโทรม รอให้แก่ตาย ความคิดนี้มันมาตอนที่เราเป็นมะเร็งครั้งที่ 2 แล้วนะคะ จริงๆ ตอนที่เป็นมะเร็งครั้งแรกเราก็ได้ทำตามความฝันของตัวเองมากขึ้นนั่นก็คือการไปเที่ยว แต่เราก็ยังไม่ได้ดูแลตัวเองมากเท่าที่ควร ยังไม่ออกกำลังกาย เราก็ยังใช้ชีวิตปกติประมาณว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แต่พอมะเร็งกลับมารอบสองปุ๊บ เราก็คิดได้เพราะมะเร็งมันมาเตือนครั้งที่ 2 แล้ว ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไหร่ เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ ซึ่งเราไม่รู้เลย เรายังอยากทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง อยากท่องเที่ยว อยากแข็งแรง คิดแล้วไม่ทำมันก็ไม่ได้อะไร ต้องลุกขึ้นมาทำ ถ้ามัวแต่นอนกินขนม ดูทีวีแล้วมันจะแข็งแรงไหม
อย่างสมัยก่อนหลิงเคยนั่งทำงาน 16 ชั่วโมงบวก นั่งตั้งแต่เช้ายันเย็น ทำงานอยู่บนเก้าอี้จนเราต้องไปซื้อเก้าอี้ตัวแพงๆ ตัวละ 50,000 บาทมานั่งให้ไม่ปวดหลัง เรายอมเสียเงินซื้อเก้าอี้ซึ่งมันช่วยได้เยอะนะคะ แต่สุดท้ายเสียเงินไปเท่านั้น เราก็ต้องไปหาหมออยู่ดี ตรงนี้เราเลยคิดแล้วว่ามันไม่ได้แล้วล่ะ ต้องแก้ไขที่ต้นตอ เราเลยกลับมาที่ตัวเอง เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตไปเลย
เราเริ่มจากมาทำอาชีพฟรีแลนซ์ พอเป็นฟรีแลนซ์มันก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ไม่เครียด เราสามารถเลือกงานที่เราจะทำได้แล้ว เรารู้สึกแฮปปี้ บางทีเงินเยอะก็จริงแต่มันทำให้เราเครียด ทำจนร้องไห้เราก็จะไม่รับงานแบบนี้ สู้รับงานเงินน้อยแต่ความสุขดีกว่า
ส่วนเรื่องสุขภาพหลิงลุกขึ้นมาหักดิบตัวเองหลังจากรักษาหายแล้ว คือผ่าตัดเสร็จนอน 1 สัปดาห์ พอเริ่มยกแขนได้ เดินได้ เริ่มปกติ ไม่มีข้ออ้างแล้ว ก็เริ่มมาออกกำลังกายค่ะ ซึ่งคุณหมอไม่ได้ห้ามออกกำลังกายแต่ให้ดูว่าร่างกายเราไหวไหม และหลิงตั้งเป้าหมายว่าอยากมีซิกแพก เราออกกำลังกายทุกเช้าด้วยการออกกำลังกายแบบ T25 แรกๆ ที่ทำก็จะเป็นจะตาย พอทำไปสักพักหนึ่ง เข้าสัปดาห์ที่ 2 ร่างกายจะเริ่มชินเอง ร่างกายเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก จากที่เคยเป็นคนทำงานงกๆ ทุกวัน ไม่กระปรี้กระเปร่า หน้าตาถมึงทึง พอได้มาออกกำลังกาย เรามีความสุขมาก สมองสดชื่น หน้าตาสดชื่น เลือดก็สูบฉีดดี กินอะไรก็ย่อย ขับถ่ายทุกเช้าเลย ร่างกายของเราตอนนี้แข็งแรงกว่าตอนอายุ 30 ปีอีกนะคะ
นอกจากนี้แล้ว อีกความฝันหนึ่งที่อยากทำก็คือขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว เราก็เลยตัดสินใจทุ่มทุนทุบกระปุกเอาเงินเก็บส่วนหนึ่งที่มีไปซื้อมอเตอร์ไซค์บิกไบค์และไปเรียน เพราะได้แรงบันดาลใจจากคลิปที่ผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์ในต่างประเทศ ดูแล้วสวย ดูแล้วมีความสุข พอเห็นแล้วหัวใจพองโต เห็นแล้วอุทานประมาณว่า เฮ้ย! มันใช่ เราอยากจะทำแบบนี้แหละ อารมณ์เหมือนไปตกหลุมรักใคร คล้ายๆ แบบนั้นเลยค่ะ
พอได้มาขี่มอเตอร์ไซค์จริงๆ เราก็เริ่มมีกลุ่มออกทริปที่นั่นที่นี่ ซึ่งอนาคตตั้งเป้าหมายไว้ว่าทุกๆ 1ปีจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้ 1-2 ครั้ง ก็ได้ไปมาเรื่อยๆ ทุกปี อย่างเมื่อล่าสุดเมื่อต้นเดือนมกราคมก็ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปประเทศเวียดนามมา ส่วนเร็วๆ นี้ ปลายเดือนกุมภาพันธ์หลิงตั้งใจอยากจะขี่ลงใต้ไปบ้านที่สงขลาเพื่อไปรอเพื่อนๆ เพื่อจะขี่ไปปีนัง คาเมรอนประเทศมาเลเซียค่ะ
ลองเป็นมะเร็งดูไหม?
“ขอบคุณมะเร็ง” ทำชีวิตเปลี่ยน
ถ้าคุณกำลังเซ็งๆ แย่ๆ มาเป็นมะเร็งไหม ลองเป็นมะเร็งดูสิ แล้วเราจะกลับมารักตัวเอง ตั้งแต่เป็นมะเร็งหลิงจะบอกกับตัวเองเสมอว่า “เรายังตายไม่ได้ เราจะตายแบบนี้มันกระจอก มันง่ายไป เพราะเรามีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ” คำนี้จะอยู่ในหัว
หลิงต้องขอบคุณมะเร็งเพราะถ้าเราไม่เป็นมะเร็งเราคงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ขอบคุณตัวเองที่ผ่านมันมาได้ ถ้าเราไม่เป็นโรคนี้ เราคงไม่เปลี่ยนตัวเอง คงเป็นพนักงานออฟฟิศทำงานงกๆ ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็ป่วย เรามองเห็นภาพตัวเองเลย พอเรามองเห็นภาพรวมของตัวเองแบบนั้นทำให้เราถอยออกมาทำตัวเองให้แข็งแรง ซึ่งถ้าย้อนกลับไปให้ไม่เป็นมะเร็งได้ เราไม่เอานะ เพราะทุกวันนี้หลิงมีความสุข แค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำก็พอแล้ว อย่าไปเครียด เพราะเครียดเดี๋ยวมะเร็งจะกลับมาอีก ตอนนี้มีแรงอยู่ต้องรีบทำก่อน เดี๋ยวแก่ไปเดินไม่ไหว ขี่มอไซค์ก็ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ร่างกายยังดีอยู่ ควรทำให้ตัวเองแข็งแรง แล้วใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะใช้ซะ
หลิงอยากบอกทุกคนว่า “อย่าแค่คิด คุณต้องทำ” มันเป็นหลักง่ายๆ ที่คุณต้องยอมรับ และเข้าใจมันจริงๆ เราต้องหาตัวเองให้เจอ ไม่ต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์แบบหลิงก็ได้เพียงแต่คุณตื่นมาแล้วคุณอยากจะทำสิ่งนั้นทุกวันๆ นั่นแหละคือความสุข ความสุขช่วยให้ผ่อนคลาย พอเรามีความสุขโรคจะไม่เกิด อย่างของหลิงอาจจะไม่ชัดนะคะ แต่มีคุณพ่อของคนรู้จักเขาก็เป็นมะเร็งเหมือนกันค่ะ แต่เป็นขั้นที่ 4 แล้ว ซึ่งเขาใช้ชีวิตแบบมีความสุข ก็ป่วยน้อยลง เราไม่ได้บอกว่ามันจะหาย แต่เราก็ต้องเชื่อว่าเราจะหายก่อน อย่าคิดแต่ว่าฉันจะตายๆ เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่จิตใจ อย่างน้อยเราก็ได้สู้ จะชนะได้แค่ไหน ก็คือเราได้สู้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่สู้เลยมันจะถอยลงๆ คุณก็แพ้ตั้งแต่แรกแล้ว บางคนเครียดแล้วก็ตายเลย ยังไม่ได้เป็นถึงขั้นสุดท้ายเลย กลับกันบางคนเป็นถึงขั้น 4 แล้ว ทุกวันนี้เขายังอยู่ได้เลย เพราะว่าเขาสู้ ตรงนี้หลิงพูดรวมๆ ทุกโรคนะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งหรอก ถ้าคุณมีความฝัน คุณอยากทำอะไร คุณต้องทำ คุณเริ่มทำวันนี้เท่ากับคุณได้เริ่มทำไปแล้วส่วนหนึ่งจะมากจะน้อยช่างมัน! อย่างน้อยคุณก็ได้เริ่มทำแล้ว
มะเร็งไม่ใช่โรคไกลตัว แต่ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
แนะดูแลสุขภาพตัวเอง หากเป็นก็แค่สู้กับมัน
หลิงว่ามะเร็งไม่ได้น่ากลัวนะ เป็นโรคอื่นก็ตายได้เหมือนกันถ้าไม่ดูแลตัวเอง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติว่าเป็นมะเร็งแล้วตายเร็ว เพราะมันทำให้หัวใจห่อเหี่ยว มีหลายเคสที่เป็นหนักๆ ก็ไม่เห็นว่าเขาจะตายเลยก็มี เป็นมะเร็งไม่จำเป็นต้องตายตลอด ซึ่งส่วนตัวหลิงได้ร่วมกลุ่มกับ “Art for cancer” กลุ่มมะเร็งพลังบวก ซึ่งกลุ่มนี้พยายามจะเปลี่ยนการรับรู้ว่า มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ มันก็เป็นแค่โรคโรคหนึ่ง
อีกอย่างทุกคนมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเมื่อไหร่ก็ได้ ใครก็เป็นได้ อย่างเพื่อน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของคนที่รู้จัก พ่อแม่พี่น้องของเพื่อน ของคนที่รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 10 กว่าขวบก็เป็นมะเร็งได้ คือมันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นอยากให้ระวังและป้องกันไว้ดีกว่าค่ะ แต่มะเร็งก็เหมือนเป็นหวัดแหละ ก็แค่เป็นโรคโรคหนึ่ง ถ้ามันจะเกิดก็เกิด แต่ถ้าเป็นแล้วเราก็แค่สู้กับมัน แก้ไขไปตามสเต็ป ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเครียด ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำจิตใจให้เบิกบาน สู้กับมัน เอามันให้อยู่ค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, เพ็ญญาเรีย บุญประเสริฐ
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ และ Facebook. ling bhirada
จากคนที่เคยทำงานหามรุ่งหามค่ำ และใช้ชีวิตพังๆ อย่างไม่สนใจใส่ใจดูแลเทกแคร์ตัวเอง เมื่อโรคมะเร็งเดินหน้ามาเยือน ก็เป็นดั่งเสียงกระตุ้นเตือนให้เธอหันกลับมามอง “ความต้องการ” ที่แท้จริงของชีวิตอีกครั้ง ... ความเจ็บป่วย สำหรับหลายคนอาจบ่นว่าคือความโชคร้าย ยิ่งเป็นมะเร็งก็ยิ่งห่อเหี่ยวไปกันใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับหญิงสาวผู้นี้
“พีรดา พีรศิลป์” ... หลังจากโรคมะเร็งมาเคาะประตูเรียกเป็นครั้งที่ 2 เธอก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตนเองอย่างจริงจัง หักดิบไลฟ์สไตล์ พลิกรูปแบบการใช้ชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ พร้อมๆ กับสานต่อความฝันที่นอนนิ่งอยู่ในใจมาเนิ่นนาน นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยว ด้วยพาหนะสองล้ออย่างมอเตอร์ไซค์
และนั่นก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด หากหญิงสาวผู้นี้ จะเอ่ยปากบอกใครต่อใครว่าเธอ “ขอบคุณมะเร็ง”
เพราะโรคมะเร็งที่เธอเป็น
ทำให้เธอมองเห็น “ที่ทาง” แห่งความสุขในชีวิตของตนเอง
อย่างแท้จริง...
ทำงานหนัก เครียดสะสม กินไม่ดี ไม่ออกกำลังกายจนมะเร็งถามหา
ก่อนจะมาเป็นมะเร็ง เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้หญิงทั่วไป เป็นพนักงานประจำอยู่ในบริษัท ทำงานเกี่ยวกับแมกกาซีน แต่จริงๆ ทำงานอะไรก็เหมือนกัน แต่พออยู่ในบริษัทแล้วอยู่ในสายแมกกาซีนมันก็จะมีรูทีนที่ต้องมาเช้ากลับดึกเป็นประจำ วันหยุดก็ต้องทำงานบ้างถ้ายังมีงานค้าง บางวันก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยเฉพาะตอนปิดต้นฉบับ วนเวียนอยู่แบบนี้ทั้งเดือนจนเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราก็ยังทำงานไปเรื่อยๆ เงินเดือนก็ไม่เยอะ ช่วงทำงานก็ไม่มีเงินเก็บ สุขภาพก็ไม่ดูแล ขี้เกียจออกกำลังกาย อาหารก็กินทั่วๆ ไปไม่เลือกมาก
ทำแบบอยู่ได้ 4 ปี จนคนรอบข้างสังเกตได้ ซึ่งปกติเราเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน แต่ตอนนั้นหน้าดำ คร่ำเครียด เราทำแต่งาน เป็นคนที่บ้างานมากๆ จนโรคมะเร็งถามหา
เมื่อมะเร็งมาเยือนครั้งแรกแบบไม่ทันตั้งตัว
ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. 2546 เราอายุได้ประมาณ 30 ปี มันรู้ตัวจากที่เรากำลังอาบน้ำถูสบู่แล้วมือไปโดนที่เต้านมแล้วเจ็บ คลำแล้วเจอก้อน ยิ่งไปโดนก้อนก็ยิ่งเจ็บ ซึ่งพี่สาวและน้องสาวของหลิงเขาก็เป็นซีสต์ จะเป็นแค่ก้อนแข็งๆ เหมือนกันแต่ไม่เจ็บ เราก็เลยไปหาหมอเพราะเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นก้อนซีสต์หรือเป็นอะไร ก็เจอก้อนค่ะประมาณ 1 เซนติเมตร พอผ่าตัดออกมาพิสูจน์ชิ้นเนื้อ ปรากฏว่ามันคือเนื้อร้าย ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจว่าเนื้อร้ายคืออะไร เลยถามหมอ หมอบอกว่ามันคือมะเร็งนะ เราช็อกไปเลยค่ะ คือเรารู้สึกเหมือนว่าเราต้องตาย เพราะเราเคยถูกสร้างการรับรู้แบบนี้มาโดยตลอด ก็เสียใจ ตกอยู่ในภาวะช็อก และกลัวมากๆ เลยโทร.หาแม่บอกแม่ว่าเราเป็นมะเร็งนะ แม่ก็ร้องไห้ ทุกคนร้องไห้กันหมด แม่ให้รีบกลับบ้านที่สงขลาเลยค่ะ
หลิงเป็นมะเร็งเต้านมขั้นที่ 1 ค่ะ พอเริ่มต้นอยู่ในระหว่างการรักษาเราก็ไปหาหนังสือมาอ่านว่าสิ่งที่เราเป็นมันคืออะไร ต้องรักษาแบบไหน ทำตัวแบบไหน พออ่านเสร็จก็เครียดค่ะ เพราะในหนังสือจะเป็นเคสของคนที่เขาเป็นหนักจนลามไปตามต่อมน้ำเหลืองแล้ว เรายิ่งอ่านก็ยิ่งกลัว ยิ่งเครียด กินอาหารก็ไม่ย่อย ร่างกายทรุดโทรม เพราะตอนนั้นเริ่มรักษาแล้วด้วย พออ่านเสร็จเราก็คิดว่าเราจะเป็นเหมือนเขา ซึ่งจริงๆ แล้วแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกค่ะ เธอกับฉันเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกัน แต่ร่างกายของเราไม่เหมือนกัน เคมีในร่างกายคนเราก็ไม่เหมือนกัน การตอบรับมันก็ไม่เหมือนกัน ทั้งอาการ ยา ระยะต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน สุดท้ายหลิงเลยเอาหนังสือไปทิ้ง ไม่อ่านแล้ว พอกันที หันมารักษากับคุณหมออย่างเดียว มีคนใกล้ตัวบอกว่ามียารักษาแบบโบราณ เราก็ไม่เอา เราขอรักษาตามคุณหมอ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราเชื่อถือและพิสูจน์ได้ก็พอ เพราะเราเชื่อมากกว่า คุณหมอให้ทำอะไรก็จะทำ ทำร่างกายของเราให้แข็งแรงต่อสู้กับโรคให้ได้ ซึ่งเราก็ทำตามขั้นตอนการรักษา
เรียกได้ว่าครั้งแรกก็แย่เหมือนกันค่ะ ร่างกายเราจะร้อน ร้อนแบบเหงื่อแตกเพราะเวลาร่างกายให้คีโมมันจะร้อน แถมยังหมดแรง อาเจียน เดินไม่ไหว กินอะไรไม่ลง กินแล้วอาเจียนออกหมดเลยแต่นี่ถือว่าแพ้น้อยแล้วนะคะ เคล็ดลับของหลิงคือจะรับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็นให้มันปรับสมดุล เวลากินอาหารอะไรไม่ได้เราก็จะเอาแช่ตู้เย็นหมดเลย กินแบบเย็นๆ แทน
เราโชคดีที่เป็นระยะแรก เป็นแบบไม่ลุกลาม เลยรักษาแค่ผ่าตัดแค่ก้อน แล้วก็ผ่าตัดอีกรอบหนึ่งเพื่อเลาะเนื้อรอบๆ ออกไปให้เกลี้ยง ผ่าตัด 2 ครั้งเสร็จ ก็ให้คีโม ประมาณ 1 เดือน ฉายแสงอีกประมาณ 1 เดือนเศษๆ ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 6 เดือนก็จบ แต่หมอบอกไม่ได้ว่าจะหายขาดไหม เพราะไม่มีอะไร 100% ในวงการแพทย์ ดังนั้นคนไข้โรคมะเร็งจะต้องติดตามและคอยดูอาการไปตลอดชีวิต ก็คือจะต้องทิ้งระยะห่างการตรวจ เช่นของหลิงจะเริ่มตั้งแต่ 1 เดือน เป็น 3 เดือน เริ่มทิ้งห่างเป็น 6 เดือนและหลังๆ เป็น 1 ปีถ้าอาการค่อนข้างนิ่งมากแล้ว
เมื่อมะเร็งกลับมา…ครั้งที่สอง
มะเร็งก็เหมือนหวัด เป็นได้ หายได้ กลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้
เป็นมะเร็งก็เหมือนเป็นหวัด มันจะหายก็หาย แต่มันจะเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ หรือมันจะไม่เป็นอีกก็ได้ เราไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แต่ในเมื่อเราไม่รู้ เราก็เตรียมตัวเราให้พร้อม
พอเข้าปีที่ 10 หลังจากที่เรารักษามะเร็งครั้งแรก มะเร็งมันกลับมาอีกรอบค่ะ ครั้งนี้เป็นที่เต้านมข้างซ้ายเหมือนเดิม ตอนนั้นไปตรวจแมมโมแกรมเพราะเราต้องติดตามและตรวจตลอดอยู่แล้ว ก็บังเอิญเจอเม็ดเล็กๆ ขนาดประมาณมิลลิเมตร คุณหมอเลยเจาะไปดูเนื่องจากมันขยายตัวขึ้น ซึ่งอะไรก็ตามที่เซลล์มีการขยายตัวมันมีสิทธิที่จะเป็นมะเร็งได้ แล้วเราก็กลับมาเป็นมะเร็งอีกครั้งจริงๆ
ครั้งนี้คุณหมอบอกว่ามี 2 วิธีนะ คือ 1.ต้องตัดเต้านมทิ้งให้เรียบไปเลย ซึ่งบางคนก็ใช้วิธีนี้ 2.แบบคว้านเนื้อออกแล้วเสริมซิลิโคน คือต้องคว้านเนื้อออก แต่ข้างนอกยังอยู่แล้วก็เสริมซิลิโคนเอาหรือถ้าบางคนไม่อยากใส่ซิลิโคนก็สามารถเอากล้ามเนื้อส่วนอื่นมาแปะได้ ซึ่งเราเลยเลือกรักษาวิธีที่สอง และครั้งนี้เองค่ะที่ทำให้หลิงตัดสินใจลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพและทำในสิ่งที่ใจรักอย่างจริงจัง
“อย่ามัวรอความตาย”
หักดิบลุกขึ้นมาดูแลตัวเองและทำในสิ่งที่ใจรัก
เราไม่อยากเป็นคนป่วยนั่งกินยา พออายุ 60-70 ปีก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียง ร่างกายทรุดโทรม รอให้แก่ตาย ความคิดนี้มันมาตอนที่เราเป็นมะเร็งครั้งที่ 2 แล้วนะคะ จริงๆ ตอนที่เป็นมะเร็งครั้งแรกเราก็ได้ทำตามความฝันของตัวเองมากขึ้นนั่นก็คือการไปเที่ยว แต่เราก็ยังไม่ได้ดูแลตัวเองมากเท่าที่ควร ยังไม่ออกกำลังกาย เราก็ยังใช้ชีวิตปกติประมาณว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แต่พอมะเร็งกลับมารอบสองปุ๊บ เราก็คิดได้เพราะมะเร็งมันมาเตือนครั้งที่ 2 แล้ว ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไหร่ เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ ซึ่งเราไม่รู้เลย เรายังอยากทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง อยากท่องเที่ยว อยากแข็งแรง คิดแล้วไม่ทำมันก็ไม่ได้อะไร ต้องลุกขึ้นมาทำ ถ้ามัวแต่นอนกินขนม ดูทีวีแล้วมันจะแข็งแรงไหม
อย่างสมัยก่อนหลิงเคยนั่งทำงาน 16 ชั่วโมงบวก นั่งตั้งแต่เช้ายันเย็น ทำงานอยู่บนเก้าอี้จนเราต้องไปซื้อเก้าอี้ตัวแพงๆ ตัวละ 50,000 บาทมานั่งให้ไม่ปวดหลัง เรายอมเสียเงินซื้อเก้าอี้ซึ่งมันช่วยได้เยอะนะคะ แต่สุดท้ายเสียเงินไปเท่านั้น เราก็ต้องไปหาหมออยู่ดี ตรงนี้เราเลยคิดแล้วว่ามันไม่ได้แล้วล่ะ ต้องแก้ไขที่ต้นตอ เราเลยกลับมาที่ตัวเอง เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตไปเลย
เราเริ่มจากมาทำอาชีพฟรีแลนซ์ พอเป็นฟรีแลนซ์มันก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ไม่เครียด เราสามารถเลือกงานที่เราจะทำได้แล้ว เรารู้สึกแฮปปี้ บางทีเงินเยอะก็จริงแต่มันทำให้เราเครียด ทำจนร้องไห้เราก็จะไม่รับงานแบบนี้ สู้รับงานเงินน้อยแต่ความสุขดีกว่า
ส่วนเรื่องสุขภาพหลิงลุกขึ้นมาหักดิบตัวเองหลังจากรักษาหายแล้ว คือผ่าตัดเสร็จนอน 1 สัปดาห์ พอเริ่มยกแขนได้ เดินได้ เริ่มปกติ ไม่มีข้ออ้างแล้ว ก็เริ่มมาออกกำลังกายค่ะ ซึ่งคุณหมอไม่ได้ห้ามออกกำลังกายแต่ให้ดูว่าร่างกายเราไหวไหม และหลิงตั้งเป้าหมายว่าอยากมีซิกแพก เราออกกำลังกายทุกเช้าด้วยการออกกำลังกายแบบ T25 แรกๆ ที่ทำก็จะเป็นจะตาย พอทำไปสักพักหนึ่ง เข้าสัปดาห์ที่ 2 ร่างกายจะเริ่มชินเอง ร่างกายเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก จากที่เคยเป็นคนทำงานงกๆ ทุกวัน ไม่กระปรี้กระเปร่า หน้าตาถมึงทึง พอได้มาออกกำลังกาย เรามีความสุขมาก สมองสดชื่น หน้าตาสดชื่น เลือดก็สูบฉีดดี กินอะไรก็ย่อย ขับถ่ายทุกเช้าเลย ร่างกายของเราตอนนี้แข็งแรงกว่าตอนอายุ 30 ปีอีกนะคะ
นอกจากนี้แล้ว อีกความฝันหนึ่งที่อยากทำก็คือขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว เราก็เลยตัดสินใจทุ่มทุนทุบกระปุกเอาเงินเก็บส่วนหนึ่งที่มีไปซื้อมอเตอร์ไซค์บิกไบค์และไปเรียน เพราะได้แรงบันดาลใจจากคลิปที่ผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์ในต่างประเทศ ดูแล้วสวย ดูแล้วมีความสุข พอเห็นแล้วหัวใจพองโต เห็นแล้วอุทานประมาณว่า เฮ้ย! มันใช่ เราอยากจะทำแบบนี้แหละ อารมณ์เหมือนไปตกหลุมรักใคร คล้ายๆ แบบนั้นเลยค่ะ
พอได้มาขี่มอเตอร์ไซค์จริงๆ เราก็เริ่มมีกลุ่มออกทริปที่นั่นที่นี่ ซึ่งอนาคตตั้งเป้าหมายไว้ว่าทุกๆ 1ปีจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้ 1-2 ครั้ง ก็ได้ไปมาเรื่อยๆ ทุกปี อย่างเมื่อล่าสุดเมื่อต้นเดือนมกราคมก็ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปประเทศเวียดนามมา ส่วนเร็วๆ นี้ ปลายเดือนกุมภาพันธ์หลิงตั้งใจอยากจะขี่ลงใต้ไปบ้านที่สงขลาเพื่อไปรอเพื่อนๆ เพื่อจะขี่ไปปีนัง คาเมรอนประเทศมาเลเซียค่ะ
ลองเป็นมะเร็งดูไหม?
“ขอบคุณมะเร็ง” ทำชีวิตเปลี่ยน
ถ้าคุณกำลังเซ็งๆ แย่ๆ มาเป็นมะเร็งไหม ลองเป็นมะเร็งดูสิ แล้วเราจะกลับมารักตัวเอง ตั้งแต่เป็นมะเร็งหลิงจะบอกกับตัวเองเสมอว่า “เรายังตายไม่ได้ เราจะตายแบบนี้มันกระจอก มันง่ายไป เพราะเรามีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ” คำนี้จะอยู่ในหัว
หลิงต้องขอบคุณมะเร็งเพราะถ้าเราไม่เป็นมะเร็งเราคงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ขอบคุณตัวเองที่ผ่านมันมาได้ ถ้าเราไม่เป็นโรคนี้ เราคงไม่เปลี่ยนตัวเอง คงเป็นพนักงานออฟฟิศทำงานงกๆ ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็ป่วย เรามองเห็นภาพตัวเองเลย พอเรามองเห็นภาพรวมของตัวเองแบบนั้นทำให้เราถอยออกมาทำตัวเองให้แข็งแรง ซึ่งถ้าย้อนกลับไปให้ไม่เป็นมะเร็งได้ เราไม่เอานะ เพราะทุกวันนี้หลิงมีความสุข แค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำก็พอแล้ว อย่าไปเครียด เพราะเครียดเดี๋ยวมะเร็งจะกลับมาอีก ตอนนี้มีแรงอยู่ต้องรีบทำก่อน เดี๋ยวแก่ไปเดินไม่ไหว ขี่มอไซค์ก็ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ร่างกายยังดีอยู่ ควรทำให้ตัวเองแข็งแรง แล้วใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะใช้ซะ
หลิงอยากบอกทุกคนว่า “อย่าแค่คิด คุณต้องทำ” มันเป็นหลักง่ายๆ ที่คุณต้องยอมรับ และเข้าใจมันจริงๆ เราต้องหาตัวเองให้เจอ ไม่ต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์แบบหลิงก็ได้เพียงแต่คุณตื่นมาแล้วคุณอยากจะทำสิ่งนั้นทุกวันๆ นั่นแหละคือความสุข ความสุขช่วยให้ผ่อนคลาย พอเรามีความสุขโรคจะไม่เกิด อย่างของหลิงอาจจะไม่ชัดนะคะ แต่มีคุณพ่อของคนรู้จักเขาก็เป็นมะเร็งเหมือนกันค่ะ แต่เป็นขั้นที่ 4 แล้ว ซึ่งเขาใช้ชีวิตแบบมีความสุข ก็ป่วยน้อยลง เราไม่ได้บอกว่ามันจะหาย แต่เราก็ต้องเชื่อว่าเราจะหายก่อน อย่าคิดแต่ว่าฉันจะตายๆ เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่จิตใจ อย่างน้อยเราก็ได้สู้ จะชนะได้แค่ไหน ก็คือเราได้สู้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่สู้เลยมันจะถอยลงๆ คุณก็แพ้ตั้งแต่แรกแล้ว บางคนเครียดแล้วก็ตายเลย ยังไม่ได้เป็นถึงขั้นสุดท้ายเลย กลับกันบางคนเป็นถึงขั้น 4 แล้ว ทุกวันนี้เขายังอยู่ได้เลย เพราะว่าเขาสู้ ตรงนี้หลิงพูดรวมๆ ทุกโรคนะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งหรอก ถ้าคุณมีความฝัน คุณอยากทำอะไร คุณต้องทำ คุณเริ่มทำวันนี้เท่ากับคุณได้เริ่มทำไปแล้วส่วนหนึ่งจะมากจะน้อยช่างมัน! อย่างน้อยคุณก็ได้เริ่มทำแล้ว
มะเร็งไม่ใช่โรคไกลตัว แต่ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
แนะดูแลสุขภาพตัวเอง หากเป็นก็แค่สู้กับมัน
หลิงว่ามะเร็งไม่ได้น่ากลัวนะ เป็นโรคอื่นก็ตายได้เหมือนกันถ้าไม่ดูแลตัวเอง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติว่าเป็นมะเร็งแล้วตายเร็ว เพราะมันทำให้หัวใจห่อเหี่ยว มีหลายเคสที่เป็นหนักๆ ก็ไม่เห็นว่าเขาจะตายเลยก็มี เป็นมะเร็งไม่จำเป็นต้องตายตลอด ซึ่งส่วนตัวหลิงได้ร่วมกลุ่มกับ “Art for cancer” กลุ่มมะเร็งพลังบวก ซึ่งกลุ่มนี้พยายามจะเปลี่ยนการรับรู้ว่า มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ มันก็เป็นแค่โรคโรคหนึ่ง
อีกอย่างทุกคนมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเมื่อไหร่ก็ได้ ใครก็เป็นได้ อย่างเพื่อน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของคนที่รู้จัก พ่อแม่พี่น้องของเพื่อน ของคนที่รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 10 กว่าขวบก็เป็นมะเร็งได้ คือมันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นอยากให้ระวังและป้องกันไว้ดีกว่าค่ะ แต่มะเร็งก็เหมือนเป็นหวัดแหละ ก็แค่เป็นโรคโรคหนึ่ง ถ้ามันจะเกิดก็เกิด แต่ถ้าเป็นแล้วเราก็แค่สู้กับมัน แก้ไขไปตามสเต็ป ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเครียด ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำจิตใจให้เบิกบาน สู้กับมัน เอามันให้อยู่ค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, เพ็ญญาเรีย บุญประเสริฐ
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ และ Facebook. ling bhirada