คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง ร.10” พระราชทานพระราชดำรัสและ ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมขอพระบารมี ร.9 ปกป้องคุ้มครองคนไทย!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า “บัดนี้ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีและอำนวยพรแก่ทุกๆ ท่านให้มีความสุข ความเจริญ ให้มีกำลังกาย กำลังใจ สติปัญญาแจ่มใส เข้มแข็ง ตลอดจนประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป"
"ในรอบปีที่แล้ว ในบ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ดังที่ท่านทั้งหลายก็คงจะตระหนักทราบดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น เราคนไทยจะสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยความขันติ ใจเย็น ค่อยคิดค่อยทำไปอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่น ด้วยสติด้วยเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน"
"ขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง จงปกป้องคุ้มครองรักษาและให้ขวัญกำลังใจแก่ทุกท่านถ้วนหน้าในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศและชาติบ้านเมืองของเราสืบต่อไป”
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบัตรอวยพร ปีพุทธศักราช 2561 แก่ประชาชนชาวไทยและผู้ที่ปฏิบัติงานถวายในโครงการพระราชดำริต่างๆ โดยด้านหน้าของบัตรอวยพร มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นพระนามาภิไธย สก และพระปรมาภิไธย วปร เมื่อเปิดบัตรอวยพร ทางด้านซ้ายของบัตรอวยพรมีภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์ที่สื่อความหมายถึงฤดูกาลทั้ง 3 ฤดู โดยภาพการ์ตูนด้านบนสื่อความหมายถึงฤดูร้อน ที่ครอบครัวออกมาเดินเล่น ทำกิจกรรมนอกบ้าน พร้อมลายพระหัตถ์ “สุขสันต์ทุกฤดูกาล เพราะจับมือเดินก้าวหน้าด้วยสติอันมั่นคง” ตรงกลางเป็นภาพการ์ตูนที่สื่อความหมายถึงฤดูฝน ที่ทุกคนในภาพกางร่มกันฝน พร้อมลายพระหัตถ์ “สุขกายสบายใจด้วยสติปัญญาและความรักเมตตา พร้อมก้าวหน้าอย่างมั่นคงไปด้วยกัน สุขสันต์วันปีใหม่และตลอดไป” โดยมีพระปรมาภิไธยและลงวันที่ 1 ม.ค.61 ส่วนภาพการ์ตูนด้านล่างสื่อความหมายถึงฤดูหนาว มีตุ๊กตาหิมะและต้นคริสต์มาส ซึ่งทุกคนสวมหมวกและผ้าพันคอ อยู่ท่ามกลางหิมะ
ขณะที่ด้านขวาของบัตรอวยพรมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
2.“ปชป.-พท.” ร่างคำร้องเตรียมยื่นศาล รธน.วินิจฉัยคำสั่ง คสช.รีเซตสมาชิกพรรคขัด รธน.หรือไม่ ด้าน “บิ๊กตู่” เลิกซื้อสุนัขให้ “บิ๊กป๊อก-บิ๊กฉัตร” แล้ว!
ความคืบหน้ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 53/2560 เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรการได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีลักษณะเป็นการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดยกำหนดให้สมาชิกพรรคใดก็ตาม หากจะคงการเป็นสมาชิกพรรคนั้น ต้องทำหนังสือแจ้งหัวหน้าพรรค เพื่อยืนยันการเป็นสมาชิกภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 หาไม่แล้ว จะถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคดังกล่าว และพรรคนั้นต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 30 วันนับแต่วันพ้นกำหนดดังกล่าว ซึ่งไม่ต่างจากการรีเซตสมาชิกพรรค ทำให้มีความเคลื่อนไหวจากพรรคเก่าและพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อวันที่ 27 ธ.ต. ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งดังกล่าว ไม่ได้สลายความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพราะคนที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็สามารถมาลงใหม่ก็ได้ พล.อ.ประยุทธ์ยังพูดเหมือนดักคอนักการเมืองไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวด้วยว่า “เป็นเพราะตัวเองที่อุดมการณ์สู้เขาไม่ได้หรือเปล่า ที่บอกว่าตัวเองดีกว่า มีคนมาอยู่มากกว่า สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ถ้าดีจริง สมาชิกเหล่านั้นก็ต้องอยู่ วันนี้สิ่งสำคัญไม่ได้ต้องการไปรีเซตอะไร แต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนว่า คำว่าสมาชิกพรรคเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้แถลงหลังประชุมทีมกฎหมายเพื่อหารือเกี่ยวกับคำสั่งของ คสช.ว่า เนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และควรดำเนินการในช่องทางใด โดยเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดว่า การจะออกคำสั่งตามมาตรา 44 ต้องเป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป เสริมความสมานฉันท์ของประชาชน ป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง นอกจากนี้การตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล หรือภาระของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 26 จะถือเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 มีผลให้สมาชิกพรรคต้องไปยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายเดิม ก็เป็นสมาชิกพรรคอยู่แล้ว จึงเป็นการออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญ
ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์จึงได้ให้นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ เป็นผู้ยกร่างคำร้อง ทั้งคำร้องในส่วนของสมาชิกพรรคและของพรรค เพื่อนำเสนอคณะทำงานฝ่ายกฎหมายในวันที่ 8 ม.ค. จากนั้นจะรายงานให้หัวหน้าพรรคพิจารณา โดยอาจยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือผ่านช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย(พท.) เผยว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายของพรรคอยู่ระหว่างยกร่างคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเท่าที่หารือร่วมกันเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญหลายบทหลายมาตรา ทั้งในส่วนของกระบวนการและเนื้อหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพรรคและสมาชิกพรรคการเมือง เพิ่มภาระให้แก่สมาชิกเกินกว่าความจำเป็น โดยคาดว่าจะยกร่างเสร็จภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะนำเข้าหารือผู้ใหญ่ของพรรคที่มีประสบการณ์ทางกฎหมาย และน่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ในสัปดาห์ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองปี 2561 โดยเชื่อว่า ปี 2561 จะไม่มีการเลือกตั้ง และว่า วันนี้ตนอายุมากแล้ว คงไม่มีโอกาสได้เห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว เพราะดูจากหน้าตารัฐธรรมนูญ เหมือนผู้มีอำนาจยังต้องการเป็นรัฐบาลต่อไป โดยมี ส.ว.250 คนมาเป็นกำลังหนุน จึงไม่มีทางที่พรรคการเมืองจะต่อสู้ได้ นายพิชัยยังแนะให้ 2 พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยหันหน้ามาจับมือกัน แม้จะเป็นไปได้ยากเพราะมีบาดแผลต่อกัน แต่ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะไม่มีทางชนะจัดตั้งรัฐบาลได้ ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย ต้องทำเพื่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา เพราะถ้าสู้ในกติกานี้ แล้วไม่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ
ขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของนายพิชัยที่ให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยต่อสู้กับ คสช.ว่า การที่พรรคการเมืองไทยจะจับมือทำงานอะไรร่วมกันนั้น ควรเป็นพรรคที่มีจุดยืนอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน มีแนวทางการทำงานที่คล้ายกัน แต่ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนอุดมการณ์แนวทางวิธีการทำงานแตกต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะจับมือกันทำงานร่วมกัน จึงเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่นายพิชัยเสนอให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ มานำทัพสู้ศึกเลือกตั้งนั้น นายองอาจกล่าวว่า สมาชิกส่วนมากในพรรค ยังหนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคต่อ
ส่วนปมปัญหากรณี พล.อ.ประยุทธ์ ถูกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สอบกรณีซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัว ของกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง ระหว่างนำ ครม.สัญจรไปประชุมที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 25-26 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะซื้อว่า ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 1 ตัว และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี 1 ตัว โดยซื้อราคาตัวละ 6,000 บาท แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ไป 25,000 บาทนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า “เรื่องหมาบางแก้ว เป็นเรื่องสุนัข ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย... ผมยังไม่ได้หมาสักตัว จะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เพราะหมาตัวเล็กนิดเดียว และยังไม่ได้ให้ใคร ถ้าให้ใครแล้ว ก็ต้องมาจ่ายเงิน ผมรู้กฎหมาย รู้ว่าให้ใครเกิน 3,000 บาทไม่ได้ และรองนายกฯ กับรัฐมนตรีก็บอกว่า ขอไปดูหมาที่บ้านก่อน เพราะเลี้ยงหมาอยู่หลายตัว ไม่รู้จะอยู่กันได้หรือเปล่า”
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ก็ยืนยันว่า ไม่กังวลเรื่องดังกล่าว และว่า ขณะนี้สุนัขดังกล่าวก็ยังส่งมาไม่ถึง ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบออกมาปฏิเสธว่า ถ้านายกฯ จะให้สุนัข คงไม่ขอรับ เพราะทราบข้อกฎหมายดี เนื่องจากมีมูลค่าเกิน 3,000 บาท หากรับมา จะผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือไม่อยากเลี้ยง เพราะมีสุนัขที่บ้านอยู่แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังส่อเค้าว่า 2 รัฐมนตรีจะรับสุนัขจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ ปรากฏว่า มีนักการเมืองหลายคนแสดงความจำนงขอซื้อสุนัขดังกล่าวจาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ , นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้กระทั่ง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบการซื้อสุนัขดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์
3.ป.ป.ช.ให้ “บิ๊กป้อม” แจงเพิ่มเรื่องแหวนเพชร พร้อมเชิญ 4 เอกชนสอบปมเอี่ยวนาฬิกาหรู ด้านเพจดังแฉนาฬิกาหรูเรือนที่ 17 แล้ว!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า สัปดาห์นี้ได้มีหนังสือเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ รวมทั้งนัดหมายที่จะไปดำเนินการนอกสถานที่สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คิดว่าการรวบรวมพยานหลักฐานคงใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากไม่มีอะไรซับซ้อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลภายนอกที่ ป.ป.ช.จะเชิญมาชี้แจงมีทั้งหมดกี่ท่าน และหนึ่งในนั้นมีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของเครือคิงเพาเวอร์ด้วยหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ประมาณ 4 ท่าน ขอไม่ระบุชื่อ เป็นภาคเอกชนทั้งหมด โดยทั้ง 4 ท่านจะมาชี้แจงที่ ป.ป.ช. และนอกสถานที่ เมื่อถามว่า 4 คนนี้เป็นเรื่องนาฬิกาเรือนแรกเรือนเดียวหรือครอบคลุมทั้งหมด นายวรวิทย์กล่าวว่า ครอบคลุมทั้งหมด แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผย หากคดีเสร็จ จะทำรายงานส่ง ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วจะมาแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เหตุใด ป.ป.ช.ต้องมีการนัดหมายไปสอบรายละเอียดนอกสถานที่ นายวรวิทย์กล่าวว่า เป็นวิธีการทำงานตามปกติของ ป.ป.ช. เมื่อถามว่า 4 คนนี้เป็นบุคคลตามหนังสือชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร หรือเป็นเจ้าของนาฬิกา นายวรวิทย์ขออนุญาตไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า พล.อ.ประวิตรชี้แจงเรื่องนาฬิกามากี่เรือน นายวรวิทย์กล่าวว่า ทุกเรือนที่เป็นข่าว เมื่อถามย้ำว่า ทั้ง 15 เรือนที่มีการเปิดเผยทางสังคมออนไลน์หรือไม่ นายวรวิทย์ถามกลับว่า “ขณะนี้ 15 เรือนแล้วใช่ไหมครับ” เมื่อถามย้ำอีกว่า แล้วขณะนี้ที่เอกสารชี้แจงมามีกี่เรือน นายวรวิทย์กล่าวว่า “ทุกเรือนแหละครับ” ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตกลับไปว่า หลายเรือนถูกเปิดเผยออกมาหลังจากวันที่ 27 ธ.ค. 60 ซึ่งเป็นวันที่นายวรวิทย์ระบุว่า พล.อ.ประวิตรส่งหนังสือชี้แจงมาให้ ป.ป.ช. นายวรวิทย์กล่าวว่า “ต้องเรียนว่า รายละเอียดเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ขออนุญาตเก็บไว้ก่อน”
เมื่อถามว่า ได้สอบถามไปยังบริษัทที่นำเข้านาฬิกามาขายในไทย พบว่า ป.ป.ช.ยังไม่มีการเรียกบริษัทมาตรวจสอบ ทาง ป.ป.ช.จะติดต่อบริษัทขายนาฬิกามาตรวจสอบหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า อยู่ที่ทางเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนว่ามีประเด็นเกี่ยวข้อง หรือมีความจำเป็นที่จะไปสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องแค่ไหน อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ป.ป.ช. มุ่งเป้าไปที่ประเด็นไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องบัญชีทรัพย์สินหรือรายละเอียดสิ่งของที่ชี้แจง นายวรวิทย์กล่าวว่า ป.ป.ช.ดูทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจริงๆ แล้วการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินเป็นการป้องกัน และเป็นแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้ ป.ป.ช.มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่ามีความเปลี่ยนแปลงของบัญชีอย่างไร แล้วแต่ประเด็นของแต่ละเรื่อง
นายวรวิทย์ยังย้ำด้วยว่า “ป.ป.ช.ทำงานภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ เรื่องไหนที่เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เราก็จะเร่งรัดดำเนินการเป็นพิเศษอยู่แล้ว และอย่างที่เรียนคือ เรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนมาก ดังนั้น ระยะเวลาผมคิดว่าไม่นาน เรื่องระยะเวลาเราอาจจะระบุตายตัวลงไปไม่ได้ อย่างเช่นกรอบอยู่ในเดือนมกราคม ถ้าเราตรวจสอบแล้วมีกรณีจำเป็นที่ต้องไปสอบพยานบุคคลหรือพยานเอกสารเพิ่มเติม เราก็ต้องขยายไปในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้น แต่ถ้าสรุปได้ในเดือนมกราคม ก็เสร็จในเดือนมกราคม อย่าเพิ่งสันนิษฐาน ขอให้รอดูข้อเท็จจริงดีกว่า”
ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อว่า สถานะของบุคคลที่ พล.อ.ประวิตรอ้าง เป็นเพื่อนหรือเป็นอะไร นายวรวิทย์กล่าวว่า รายละเอียดขอไม่เปิดเผย
สำหรับคำชี้แจงเรื่องแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตรนั้น นายวรวิทย์กล่าวว่า ได้ประสานให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงเพิ่มเติมในเรื่องนี้ โดยเพิ่งส่งหนังสือเชิญท่านมาชี้แจงในสัปดาห์นี้ และกำหนดตอบกลับภายใน 15 วัน ซึ่งจะมีเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
เมื่อถามว่า ตามข้อมูลระบุว่า พล.อ.ประวิตรมีรายได้ 1.7 ล้านบาท แต่ที่แจ้ง ป.ป.ช.คือ 8 แสนบาท รายได้ห่างกันมาก ตรงนี้ ป.ป.ช.จะเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดอยู่แล้ว อย่างเรื่องรายการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ก็จะต้องมีการนำมาเปรียบเทียบกันว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้อย่างไร ซึ่งเป็นการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินตามปกติของ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
ด้านเพจเฟซบุ๊ก “CSI LA” เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ได้เผยแพร่ภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะสวมใส่นาฬิกาหรู โดยเรือนนี้ถูกนำมาเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เป็นเรือนที่ 16 แล้ว โดยระบุว่า “เรือนที่ 16 เรือนนี้ถ่ายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น Rolex Day-Date 36 ทำด้วยทองคำ18 K rose gold - รหัส 118205 ราคาตลาด 1,200,000 ล้านบาท ภาพนี้มาจาก Getty Image เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะเยือนนครฮานอย ประเทศเวียดนาม วันที่ 11 ตุลาคม 2553 ต้องขอบคุณเซียนนาฬิกาที่เข้ามาท้วงติงว่า เรือนนี้ไม่ใช่ Day Date 40 อย่างที่ลงไปก่อนหน้านี้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. เพจ “CSI LA” ได้โพสต์ภาพการวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ พล.อ.ประวิตร สวมใส่นาฬิกาหรู โดยพบว่า มีการใส่หลากหลายเรือนหลังจากช่วงที่รัฐบาลอนุมัติซื้อเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2560 ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ พล.อ.ประวิตร ใส่นาฬิกาซ้ำไปซ้ำมาแค่ไม่กี่เรือน
ล่าสุด วันนี้ (6 ม.ค.) เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่ภาพนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร เรือนที่ 17 เป็นนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ รุ่น GMT Master II ทำจากทองคำขาว 18K ราคาตลาดอยู่ที่ 1.36 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร ใส่แหวนเพชร ซึ่งเฉพาะเพชรเม็ดกลาง ขนาดอย่างน้อย 2.5-3.0 กะรัต ราคาเกิน 1 ล้านบาทแน่นอน
4.ศาลฎีกาฯ เลือกองค์คณะพิจารณาคดีลับหลัง “ทักษิณ” 1 คดีแล้ว ด้าน “ศรีวราห์” ยันภาพ “ยิ่งลักษณ์” ถ่ายคู่หญิงไทยที่อังกฤษ ของจริง!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าคดีของนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ และจำเลยหลายคดีว่า หลังจากที่อัยการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้พิจารณาคดีลับหลัง 2 คดี คือ การปฏิบัติหน้าที่มิชอบเอื้อประโยชน์เอกชนในการออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต และร่วมทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ที่ผ่านมาศาลได้เลือกองค์คณะมารับผิดชอบ 1 คดีแล้ว คือ คดีแปลงภาษีสรรพสามิต ซึ่งต้องรอคำสั่งศาล ส่วนอัยการมีคณะทำงานรับผิดชอบอยู่แล้วเช่นกัน ทั้งอัยการคดีพิเศษ และอัยการคดีปราบปรามการทุจริต
สำหรับการติดตามตัวนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 5 ปีคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า อัยการมีสำนักงานต่างประเทศดำเนินการเรื่องคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งมีอัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลาง โดยอัยการจะแอกชั่นได้ก็ต้องมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพนักงานสอบสวน ที่จะหาที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือจำเลย และกระทรวงการต่างประเทศที่จะช่วยหาได้ว่าจะต้องส่งปลายทางประเทศใด แล้วทั้งหมดรวบรวมเอกสารที่พร้อมส่งให้อัยการ เพื่อจะดำเนินการในฐานะผู้ประสานงานกลางต่อไป ทั้งแบบประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน และไม่มี ก็ต้องปฏิบัติตามแบบวิธีของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น เพิ่งถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี คดีจำนำข้าว เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 ซึ่งศาลออกหมายจับไว้แล้วโดยระหว่างการหลบหนีคดี จะไม่มีการนับอายุความ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้านความมั่นคงยืนยันว่า ตำรวจยังคงติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอด เพื่อนำตัวมารับโทษตามคำตัดสินของศาล และได้สอบถามไปยังคนใกล้ชิด หรืออดีตผู้ติดตามตลอด ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ไม่มีใครยืนยันเลยว่าอยู่ที่ไหน เมื่อปรากฏภาพออกมา 2 ภาพ โดยภาพล่าสุดที่เป็นภาพถ่ายคู่ก็ค่อนข้างยืนยันได้ว่าเป็นภาพจริง กองพิสูจน์หลักฐานชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าไม่ใช่ภาพตัดต่อ ก็ต้องสอบถามไปยังประเทศอังกฤษอีกครั้งเกี่ยวกับการพบตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์มองว่า การปรากฏภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์บ่อยครั้งในช่วงนี้ ไม่มีนัยใด และมองว่าไม่เป็นการท้าทายการติดตามตัวของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
พล.ต.อ.ศรีวราห์ยอมรับด้วยว่า “การติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีความคืบหน้า หลังจากล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. ตำรวจสากลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ตอบว่า พบข้อมูลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากยูเออี โดยแจ้งปลายทางไปยังสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากตำรวจสากลในอังกฤษว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปหรือพักในอังกฤษหรือไม่ โดยในการสอบถามผ่านช่องทางตำรวจสากล ได้ถามถึงประเด็นการขอลี้ภัยทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ยังไม่มีข้อมูลตอบกลับมาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตำรวจสากลให้ความร่วมมือกับทางการไทยเป็นอย่างดี การติดตามก็เป็นไปตามขอบเขต เราไปเร่งรัดเขาไม่ได้”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ได้เห็นภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เดินอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ส่ายหน้า แล้วเดินจากไป
5.สรุป 7 วันอันตราย ตาย 423 ลดลง 11% ด้านตำรวจดำเนินคดี “เสก โลโซ” ฐานเสพยา-ยิงปืนขึ้นฟ้า!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 หรือช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2560 -3 ม.ค.2561 ว่า เกิดอุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 4,005 คน ผู้เสียชีวิต 423 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ นครราชสีมา 17 ราย ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยมี 7 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยนาท, นครนายก, นราธิวาส, ยะลา,ระนอง, น่าน และหนองบัวลำภู
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ร้อยละ 43.66 รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 25.23 ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 78.91 รองลงมาคือ รถปิกอัพ ร้อยละ 6.84
นายสุธี กล่าวว่า ปีนี้ยอดอุบัติเหตุลดลงกว่า 2% ยอดผู้เสียชีวิตลดลงประมาณ 11.5% และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความสูญเสียและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และทางน้ำด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้การสูญเสียลดลง เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายและคำสั่ง คสช.อย่างเคร่งครัดและเข้มข้น รวมถึงการตรวจจับความเร็วที่มีการตรวจจับค่อนข้างมาก
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.ได้แถลงสรุปมาตรการอำนวยความสะดวกประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า มีการยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทั้งสิ้น 6,326 คัน แยกเป็นรถจักรยานยนต์ 4,823 คัน และรถยนต์ 1,503 คัน ยึดใบอนุญาตขับขี่ 18,190 ใบ
สำหรับความผิดที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบมีหลายลักษณะ เช่น ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัด ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ดื่มสุราแล้วขับรถ ขับรถย้อนศร เป็นต้น
ด้าน พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปภาพรวมช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ได้จับกุมและดำเนินคดีผู้กระทำผิดที่ยิงปืนขึ้นฟ้าจำนวน 12 รายทั่วประเทศ โดย 1 ใน 12 ราย มีนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ อายุ 43 ปี ที่ยิงปืนขึ้นฟ้าภายในวัดเขาขุนพนม พื้นที่ สภ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช รวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ เสกได้ยิงปืนขึ้นฟ้า 10 นัด หน้าพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายในวัดเขาขุนพนมเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า เป็นการยิงสลุตเพื่อถวายแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยความจงรักภักดี โดยมีการไลฟ์สดการยิงปืนดังกล่าว
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชออกหมายจับเสก ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน หลังจากนั้น เสกได้ถูกตำรวจ สน.คันนายาวจับกุมที่บ้านพักย่านสุขาภิบาล 5 ก่อนได้ประกันตัวออกไป
ขณะที่ผลตรวจปัสสาวะสีม่วงของเสกพบว่า มีสารเมทแอมเฟตามีน อยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทยาไอซ์หรือยาบ้า และสารเอ็มดีเอ็มเอ อยู่ในกลุ่มประเภทยาอี ซึ่งอยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทที่ 1 โดยตำรวจ สน.คันนายาวได้ออกหมายเรียกให้เสกมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 12 ม.ค.นี้ เวลา 13.00 น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 โดยผิดกฎหมาย รวมทั้งจะติดตามสืบสวนสอบสวนว่า สารเสพติดที่เสกเสพนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้ขายให้ด้วย
ด้านว่าที่ร้อยตรี มงคลวิจิตร์ ธนะโสภณ ทนายความของเสก ได้ออกมายืนยันว่า เสกเป็นโรคไบโพลาร์(โรคอารมณ์สองขั้ว) โดยต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือดีเจเคนโด้ นักจัดรายการวิทยุและพิธีกรหลายรายการ เจ้าของฉายา ดีเจเทวดา ได้ออกมายอมรับว่า ตัวเองก็เคยเป็นโรคไบโพลาร์ แต่หายแล้ว พร้อมยืนยันว่า เสกป่วยเป็นโรคไบโพลาร์จริง โดยทราบอาการป่วยจากทนายของเสก และว่า อาการของโรคนี้ จะมีอารมณ์ 2 แบบ บางช่วงจะมีภาวะแมเนีย หรือคึกคักมากกว่าปกติ จะออกแนวล้นๆ ทำตัวกร่าง ไม่กลัวคน ขณะที่บางช่วงจะมีภาวะซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ไม่อยากทำอะไร และว่า การรักษาโรคนี้ นอกจากต้องกินยาเพื่อปรับเคมีในสมองแล้ว ยังต้องใช้จิตบำบัดหรือพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยดีเจเคนโด้ เผยว่า จากการคุยกับทนายของเสกทราบว่า เสกรักษามา 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่หาย เพราะไม่มีวินัยในการรักษา
1.“ในหลวง ร.10” พระราชทานพระราชดำรัสและ ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมขอพระบารมี ร.9 ปกป้องคุ้มครองคนไทย!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า “บัดนี้ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีและอำนวยพรแก่ทุกๆ ท่านให้มีความสุข ความเจริญ ให้มีกำลังกาย กำลังใจ สติปัญญาแจ่มใส เข้มแข็ง ตลอดจนประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป"
"ในรอบปีที่แล้ว ในบ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ดังที่ท่านทั้งหลายก็คงจะตระหนักทราบดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น เราคนไทยจะสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยความขันติ ใจเย็น ค่อยคิดค่อยทำไปอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่น ด้วยสติด้วยเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน"
"ขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง จงปกป้องคุ้มครองรักษาและให้ขวัญกำลังใจแก่ทุกท่านถ้วนหน้าในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศและชาติบ้านเมืองของเราสืบต่อไป”
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบัตรอวยพร ปีพุทธศักราช 2561 แก่ประชาชนชาวไทยและผู้ที่ปฏิบัติงานถวายในโครงการพระราชดำริต่างๆ โดยด้านหน้าของบัตรอวยพร มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นพระนามาภิไธย สก และพระปรมาภิไธย วปร เมื่อเปิดบัตรอวยพร ทางด้านซ้ายของบัตรอวยพรมีภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์ที่สื่อความหมายถึงฤดูกาลทั้ง 3 ฤดู โดยภาพการ์ตูนด้านบนสื่อความหมายถึงฤดูร้อน ที่ครอบครัวออกมาเดินเล่น ทำกิจกรรมนอกบ้าน พร้อมลายพระหัตถ์ “สุขสันต์ทุกฤดูกาล เพราะจับมือเดินก้าวหน้าด้วยสติอันมั่นคง” ตรงกลางเป็นภาพการ์ตูนที่สื่อความหมายถึงฤดูฝน ที่ทุกคนในภาพกางร่มกันฝน พร้อมลายพระหัตถ์ “สุขกายสบายใจด้วยสติปัญญาและความรักเมตตา พร้อมก้าวหน้าอย่างมั่นคงไปด้วยกัน สุขสันต์วันปีใหม่และตลอดไป” โดยมีพระปรมาภิไธยและลงวันที่ 1 ม.ค.61 ส่วนภาพการ์ตูนด้านล่างสื่อความหมายถึงฤดูหนาว มีตุ๊กตาหิมะและต้นคริสต์มาส ซึ่งทุกคนสวมหมวกและผ้าพันคอ อยู่ท่ามกลางหิมะ
ขณะที่ด้านขวาของบัตรอวยพรมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
2.“ปชป.-พท.” ร่างคำร้องเตรียมยื่นศาล รธน.วินิจฉัยคำสั่ง คสช.รีเซตสมาชิกพรรคขัด รธน.หรือไม่ ด้าน “บิ๊กตู่” เลิกซื้อสุนัขให้ “บิ๊กป๊อก-บิ๊กฉัตร” แล้ว!
ความคืบหน้ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 53/2560 เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรการได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีลักษณะเป็นการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดยกำหนดให้สมาชิกพรรคใดก็ตาม หากจะคงการเป็นสมาชิกพรรคนั้น ต้องทำหนังสือแจ้งหัวหน้าพรรค เพื่อยืนยันการเป็นสมาชิกภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 หาไม่แล้ว จะถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคดังกล่าว และพรรคนั้นต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 30 วันนับแต่วันพ้นกำหนดดังกล่าว ซึ่งไม่ต่างจากการรีเซตสมาชิกพรรค ทำให้มีความเคลื่อนไหวจากพรรคเก่าและพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อวันที่ 27 ธ.ต. ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งดังกล่าว ไม่ได้สลายความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพราะคนที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็สามารถมาลงใหม่ก็ได้ พล.อ.ประยุทธ์ยังพูดเหมือนดักคอนักการเมืองไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวด้วยว่า “เป็นเพราะตัวเองที่อุดมการณ์สู้เขาไม่ได้หรือเปล่า ที่บอกว่าตัวเองดีกว่า มีคนมาอยู่มากกว่า สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ถ้าดีจริง สมาชิกเหล่านั้นก็ต้องอยู่ วันนี้สิ่งสำคัญไม่ได้ต้องการไปรีเซตอะไร แต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนว่า คำว่าสมาชิกพรรคเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้แถลงหลังประชุมทีมกฎหมายเพื่อหารือเกี่ยวกับคำสั่งของ คสช.ว่า เนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และควรดำเนินการในช่องทางใด โดยเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดว่า การจะออกคำสั่งตามมาตรา 44 ต้องเป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป เสริมความสมานฉันท์ของประชาชน ป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง นอกจากนี้การตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล หรือภาระของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 26 จะถือเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 มีผลให้สมาชิกพรรคต้องไปยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายเดิม ก็เป็นสมาชิกพรรคอยู่แล้ว จึงเป็นการออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญ
ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์จึงได้ให้นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ เป็นผู้ยกร่างคำร้อง ทั้งคำร้องในส่วนของสมาชิกพรรคและของพรรค เพื่อนำเสนอคณะทำงานฝ่ายกฎหมายในวันที่ 8 ม.ค. จากนั้นจะรายงานให้หัวหน้าพรรคพิจารณา โดยอาจยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือผ่านช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย(พท.) เผยว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายของพรรคอยู่ระหว่างยกร่างคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเท่าที่หารือร่วมกันเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญหลายบทหลายมาตรา ทั้งในส่วนของกระบวนการและเนื้อหา ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพรรคและสมาชิกพรรคการเมือง เพิ่มภาระให้แก่สมาชิกเกินกว่าความจำเป็น โดยคาดว่าจะยกร่างเสร็จภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะนำเข้าหารือผู้ใหญ่ของพรรคที่มีประสบการณ์ทางกฎหมาย และน่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ในสัปดาห์ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองปี 2561 โดยเชื่อว่า ปี 2561 จะไม่มีการเลือกตั้ง และว่า วันนี้ตนอายุมากแล้ว คงไม่มีโอกาสได้เห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว เพราะดูจากหน้าตารัฐธรรมนูญ เหมือนผู้มีอำนาจยังต้องการเป็นรัฐบาลต่อไป โดยมี ส.ว.250 คนมาเป็นกำลังหนุน จึงไม่มีทางที่พรรคการเมืองจะต่อสู้ได้ นายพิชัยยังแนะให้ 2 พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยหันหน้ามาจับมือกัน แม้จะเป็นไปได้ยากเพราะมีบาดแผลต่อกัน แต่ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะไม่มีทางชนะจัดตั้งรัฐบาลได้ ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย ต้องทำเพื่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา เพราะถ้าสู้ในกติกานี้ แล้วไม่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ
ขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของนายพิชัยที่ให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยต่อสู้กับ คสช.ว่า การที่พรรคการเมืองไทยจะจับมือทำงานอะไรร่วมกันนั้น ควรเป็นพรรคที่มีจุดยืนอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน มีแนวทางการทำงานที่คล้ายกัน แต่ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนอุดมการณ์แนวทางวิธีการทำงานแตกต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะจับมือกันทำงานร่วมกัน จึงเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่นายพิชัยเสนอให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ มานำทัพสู้ศึกเลือกตั้งนั้น นายองอาจกล่าวว่า สมาชิกส่วนมากในพรรค ยังหนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคต่อ
ส่วนปมปัญหากรณี พล.อ.ประยุทธ์ ถูกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สอบกรณีซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัว ของกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง ระหว่างนำ ครม.สัญจรไปประชุมที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 25-26 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะซื้อว่า ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 1 ตัว และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี 1 ตัว โดยซื้อราคาตัวละ 6,000 บาท แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ไป 25,000 บาทนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า “เรื่องหมาบางแก้ว เป็นเรื่องสุนัข ขออย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย... ผมยังไม่ได้หมาสักตัว จะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เพราะหมาตัวเล็กนิดเดียว และยังไม่ได้ให้ใคร ถ้าให้ใครแล้ว ก็ต้องมาจ่ายเงิน ผมรู้กฎหมาย รู้ว่าให้ใครเกิน 3,000 บาทไม่ได้ และรองนายกฯ กับรัฐมนตรีก็บอกว่า ขอไปดูหมาที่บ้านก่อน เพราะเลี้ยงหมาอยู่หลายตัว ไม่รู้จะอยู่กันได้หรือเปล่า”
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ก็ยืนยันว่า ไม่กังวลเรื่องดังกล่าว และว่า ขณะนี้สุนัขดังกล่าวก็ยังส่งมาไม่ถึง ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบออกมาปฏิเสธว่า ถ้านายกฯ จะให้สุนัข คงไม่ขอรับ เพราะทราบข้อกฎหมายดี เนื่องจากมีมูลค่าเกิน 3,000 บาท หากรับมา จะผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือไม่อยากเลี้ยง เพราะมีสุนัขที่บ้านอยู่แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังส่อเค้าว่า 2 รัฐมนตรีจะรับสุนัขจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ ปรากฏว่า มีนักการเมืองหลายคนแสดงความจำนงขอซื้อสุนัขดังกล่าวจาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ , นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้กระทั่ง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบการซื้อสุนัขดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์
3.ป.ป.ช.ให้ “บิ๊กป้อม” แจงเพิ่มเรื่องแหวนเพชร พร้อมเชิญ 4 เอกชนสอบปมเอี่ยวนาฬิกาหรู ด้านเพจดังแฉนาฬิกาหรูเรือนที่ 17 แล้ว!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า สัปดาห์นี้ได้มีหนังสือเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ รวมทั้งนัดหมายที่จะไปดำเนินการนอกสถานที่สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คิดว่าการรวบรวมพยานหลักฐานคงใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากไม่มีอะไรซับซ้อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลภายนอกที่ ป.ป.ช.จะเชิญมาชี้แจงมีทั้งหมดกี่ท่าน และหนึ่งในนั้นมีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของเครือคิงเพาเวอร์ด้วยหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ประมาณ 4 ท่าน ขอไม่ระบุชื่อ เป็นภาคเอกชนทั้งหมด โดยทั้ง 4 ท่านจะมาชี้แจงที่ ป.ป.ช. และนอกสถานที่ เมื่อถามว่า 4 คนนี้เป็นเรื่องนาฬิกาเรือนแรกเรือนเดียวหรือครอบคลุมทั้งหมด นายวรวิทย์กล่าวว่า ครอบคลุมทั้งหมด แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผย หากคดีเสร็จ จะทำรายงานส่ง ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วจะมาแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เหตุใด ป.ป.ช.ต้องมีการนัดหมายไปสอบรายละเอียดนอกสถานที่ นายวรวิทย์กล่าวว่า เป็นวิธีการทำงานตามปกติของ ป.ป.ช. เมื่อถามว่า 4 คนนี้เป็นบุคคลตามหนังสือชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร หรือเป็นเจ้าของนาฬิกา นายวรวิทย์ขออนุญาตไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า พล.อ.ประวิตรชี้แจงเรื่องนาฬิกามากี่เรือน นายวรวิทย์กล่าวว่า ทุกเรือนที่เป็นข่าว เมื่อถามย้ำว่า ทั้ง 15 เรือนที่มีการเปิดเผยทางสังคมออนไลน์หรือไม่ นายวรวิทย์ถามกลับว่า “ขณะนี้ 15 เรือนแล้วใช่ไหมครับ” เมื่อถามย้ำอีกว่า แล้วขณะนี้ที่เอกสารชี้แจงมามีกี่เรือน นายวรวิทย์กล่าวว่า “ทุกเรือนแหละครับ” ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตกลับไปว่า หลายเรือนถูกเปิดเผยออกมาหลังจากวันที่ 27 ธ.ค. 60 ซึ่งเป็นวันที่นายวรวิทย์ระบุว่า พล.อ.ประวิตรส่งหนังสือชี้แจงมาให้ ป.ป.ช. นายวรวิทย์กล่าวว่า “ต้องเรียนว่า รายละเอียดเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ขออนุญาตเก็บไว้ก่อน”
เมื่อถามว่า ได้สอบถามไปยังบริษัทที่นำเข้านาฬิกามาขายในไทย พบว่า ป.ป.ช.ยังไม่มีการเรียกบริษัทมาตรวจสอบ ทาง ป.ป.ช.จะติดต่อบริษัทขายนาฬิกามาตรวจสอบหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า อยู่ที่ทางเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนว่ามีประเด็นเกี่ยวข้อง หรือมีความจำเป็นที่จะไปสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องแค่ไหน อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ป.ป.ช. มุ่งเป้าไปที่ประเด็นไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องบัญชีทรัพย์สินหรือรายละเอียดสิ่งของที่ชี้แจง นายวรวิทย์กล่าวว่า ป.ป.ช.ดูทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจริงๆ แล้วการแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินเป็นการป้องกัน และเป็นแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้ ป.ป.ช.มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่ามีความเปลี่ยนแปลงของบัญชีอย่างไร แล้วแต่ประเด็นของแต่ละเรื่อง
นายวรวิทย์ยังย้ำด้วยว่า “ป.ป.ช.ทำงานภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ เรื่องไหนที่เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เราก็จะเร่งรัดดำเนินการเป็นพิเศษอยู่แล้ว และอย่างที่เรียนคือ เรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนมาก ดังนั้น ระยะเวลาผมคิดว่าไม่นาน เรื่องระยะเวลาเราอาจจะระบุตายตัวลงไปไม่ได้ อย่างเช่นกรอบอยู่ในเดือนมกราคม ถ้าเราตรวจสอบแล้วมีกรณีจำเป็นที่ต้องไปสอบพยานบุคคลหรือพยานเอกสารเพิ่มเติม เราก็ต้องขยายไปในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้น แต่ถ้าสรุปได้ในเดือนมกราคม ก็เสร็จในเดือนมกราคม อย่าเพิ่งสันนิษฐาน ขอให้รอดูข้อเท็จจริงดีกว่า”
ผู้สื่อข่าวพยายามถามต่อว่า สถานะของบุคคลที่ พล.อ.ประวิตรอ้าง เป็นเพื่อนหรือเป็นอะไร นายวรวิทย์กล่าวว่า รายละเอียดขอไม่เปิดเผย
สำหรับคำชี้แจงเรื่องแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตรนั้น นายวรวิทย์กล่าวว่า ได้ประสานให้ พล.อ.ประวิตรชี้แจงเพิ่มเติมในเรื่องนี้ โดยเพิ่งส่งหนังสือเชิญท่านมาชี้แจงในสัปดาห์นี้ และกำหนดตอบกลับภายใน 15 วัน ซึ่งจะมีเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
เมื่อถามว่า ตามข้อมูลระบุว่า พล.อ.ประวิตรมีรายได้ 1.7 ล้านบาท แต่ที่แจ้ง ป.ป.ช.คือ 8 แสนบาท รายได้ห่างกันมาก ตรงนี้ ป.ป.ช.จะเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดอยู่แล้ว อย่างเรื่องรายการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ก็จะต้องมีการนำมาเปรียบเทียบกันว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้อย่างไร ซึ่งเป็นการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินตามปกติของ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
ด้านเพจเฟซบุ๊ก “CSI LA” เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ได้เผยแพร่ภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะสวมใส่นาฬิกาหรู โดยเรือนนี้ถูกนำมาเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เป็นเรือนที่ 16 แล้ว โดยระบุว่า “เรือนที่ 16 เรือนนี้ถ่ายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น Rolex Day-Date 36 ทำด้วยทองคำ18 K rose gold - รหัส 118205 ราคาตลาด 1,200,000 ล้านบาท ภาพนี้มาจาก Getty Image เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะเยือนนครฮานอย ประเทศเวียดนาม วันที่ 11 ตุลาคม 2553 ต้องขอบคุณเซียนนาฬิกาที่เข้ามาท้วงติงว่า เรือนนี้ไม่ใช่ Day Date 40 อย่างที่ลงไปก่อนหน้านี้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. เพจ “CSI LA” ได้โพสต์ภาพการวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ พล.อ.ประวิตร สวมใส่นาฬิกาหรู โดยพบว่า มีการใส่หลากหลายเรือนหลังจากช่วงที่รัฐบาลอนุมัติซื้อเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2560 ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ พล.อ.ประวิตร ใส่นาฬิกาซ้ำไปซ้ำมาแค่ไม่กี่เรือน
ล่าสุด วันนี้ (6 ม.ค.) เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่ภาพนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร เรือนที่ 17 เป็นนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ รุ่น GMT Master II ทำจากทองคำขาว 18K ราคาตลาดอยู่ที่ 1.36 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร ใส่แหวนเพชร ซึ่งเฉพาะเพชรเม็ดกลาง ขนาดอย่างน้อย 2.5-3.0 กะรัต ราคาเกิน 1 ล้านบาทแน่นอน
4.ศาลฎีกาฯ เลือกองค์คณะพิจารณาคดีลับหลัง “ทักษิณ” 1 คดีแล้ว ด้าน “ศรีวราห์” ยันภาพ “ยิ่งลักษณ์” ถ่ายคู่หญิงไทยที่อังกฤษ ของจริง!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าคดีของนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ และจำเลยหลายคดีว่า หลังจากที่อัยการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้พิจารณาคดีลับหลัง 2 คดี คือ การปฏิบัติหน้าที่มิชอบเอื้อประโยชน์เอกชนในการออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต และร่วมทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ที่ผ่านมาศาลได้เลือกองค์คณะมารับผิดชอบ 1 คดีแล้ว คือ คดีแปลงภาษีสรรพสามิต ซึ่งต้องรอคำสั่งศาล ส่วนอัยการมีคณะทำงานรับผิดชอบอยู่แล้วเช่นกัน ทั้งอัยการคดีพิเศษ และอัยการคดีปราบปรามการทุจริต
สำหรับการติดตามตัวนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 5 ปีคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า อัยการมีสำนักงานต่างประเทศดำเนินการเรื่องคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งมีอัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลาง โดยอัยการจะแอกชั่นได้ก็ต้องมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพนักงานสอบสวน ที่จะหาที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือจำเลย และกระทรวงการต่างประเทศที่จะช่วยหาได้ว่าจะต้องส่งปลายทางประเทศใด แล้วทั้งหมดรวบรวมเอกสารที่พร้อมส่งให้อัยการ เพื่อจะดำเนินการในฐานะผู้ประสานงานกลางต่อไป ทั้งแบบประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน และไม่มี ก็ต้องปฏิบัติตามแบบวิธีของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น เพิ่งถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี คดีจำนำข้าว เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 ซึ่งศาลออกหมายจับไว้แล้วโดยระหว่างการหลบหนีคดี จะไม่มีการนับอายุความ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้านความมั่นคงยืนยันว่า ตำรวจยังคงติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอด เพื่อนำตัวมารับโทษตามคำตัดสินของศาล และได้สอบถามไปยังคนใกล้ชิด หรืออดีตผู้ติดตามตลอด ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ไม่มีใครยืนยันเลยว่าอยู่ที่ไหน เมื่อปรากฏภาพออกมา 2 ภาพ โดยภาพล่าสุดที่เป็นภาพถ่ายคู่ก็ค่อนข้างยืนยันได้ว่าเป็นภาพจริง กองพิสูจน์หลักฐานชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าไม่ใช่ภาพตัดต่อ ก็ต้องสอบถามไปยังประเทศอังกฤษอีกครั้งเกี่ยวกับการพบตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์มองว่า การปรากฏภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์บ่อยครั้งในช่วงนี้ ไม่มีนัยใด และมองว่าไม่เป็นการท้าทายการติดตามตัวของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
พล.ต.อ.ศรีวราห์ยอมรับด้วยว่า “การติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีความคืบหน้า หลังจากล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. ตำรวจสากลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ตอบว่า พบข้อมูลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากยูเออี โดยแจ้งปลายทางไปยังสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากตำรวจสากลในอังกฤษว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปหรือพักในอังกฤษหรือไม่ โดยในการสอบถามผ่านช่องทางตำรวจสากล ได้ถามถึงประเด็นการขอลี้ภัยทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ยังไม่มีข้อมูลตอบกลับมาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตำรวจสากลให้ความร่วมมือกับทางการไทยเป็นอย่างดี การติดตามก็เป็นไปตามขอบเขต เราไปเร่งรัดเขาไม่ได้”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ได้เห็นภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เดินอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ส่ายหน้า แล้วเดินจากไป
5.สรุป 7 วันอันตราย ตาย 423 ลดลง 11% ด้านตำรวจดำเนินคดี “เสก โลโซ” ฐานเสพยา-ยิงปืนขึ้นฟ้า!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 หรือช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2560 -3 ม.ค.2561 ว่า เกิดอุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 4,005 คน ผู้เสียชีวิต 423 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ นครราชสีมา 17 ราย ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยมี 7 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยนาท, นครนายก, นราธิวาส, ยะลา,ระนอง, น่าน และหนองบัวลำภู
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ร้อยละ 43.66 รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 25.23 ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 78.91 รองลงมาคือ รถปิกอัพ ร้อยละ 6.84
นายสุธี กล่าวว่า ปีนี้ยอดอุบัติเหตุลดลงกว่า 2% ยอดผู้เสียชีวิตลดลงประมาณ 11.5% และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความสูญเสียและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และทางน้ำด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้การสูญเสียลดลง เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายและคำสั่ง คสช.อย่างเคร่งครัดและเข้มข้น รวมถึงการตรวจจับความเร็วที่มีการตรวจจับค่อนข้างมาก
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.ได้แถลงสรุปมาตรการอำนวยความสะดวกประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า มีการยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทั้งสิ้น 6,326 คัน แยกเป็นรถจักรยานยนต์ 4,823 คัน และรถยนต์ 1,503 คัน ยึดใบอนุญาตขับขี่ 18,190 ใบ
สำหรับความผิดที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบมีหลายลักษณะ เช่น ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัด ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ดื่มสุราแล้วขับรถ ขับรถย้อนศร เป็นต้น
ด้าน พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปภาพรวมช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ได้จับกุมและดำเนินคดีผู้กระทำผิดที่ยิงปืนขึ้นฟ้าจำนวน 12 รายทั่วประเทศ โดย 1 ใน 12 ราย มีนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ อายุ 43 ปี ที่ยิงปืนขึ้นฟ้าภายในวัดเขาขุนพนม พื้นที่ สภ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช รวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ เสกได้ยิงปืนขึ้นฟ้า 10 นัด หน้าพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายในวัดเขาขุนพนมเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า เป็นการยิงสลุตเพื่อถวายแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยความจงรักภักดี โดยมีการไลฟ์สดการยิงปืนดังกล่าว
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชออกหมายจับเสก ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน หลังจากนั้น เสกได้ถูกตำรวจ สน.คันนายาวจับกุมที่บ้านพักย่านสุขาภิบาล 5 ก่อนได้ประกันตัวออกไป
ขณะที่ผลตรวจปัสสาวะสีม่วงของเสกพบว่า มีสารเมทแอมเฟตามีน อยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทยาไอซ์หรือยาบ้า และสารเอ็มดีเอ็มเอ อยู่ในกลุ่มประเภทยาอี ซึ่งอยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภทที่ 1 โดยตำรวจ สน.คันนายาวได้ออกหมายเรียกให้เสกมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 12 ม.ค.นี้ เวลา 13.00 น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 โดยผิดกฎหมาย รวมทั้งจะติดตามสืบสวนสอบสวนว่า สารเสพติดที่เสกเสพนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้ขายให้ด้วย
ด้านว่าที่ร้อยตรี มงคลวิจิตร์ ธนะโสภณ ทนายความของเสก ได้ออกมายืนยันว่า เสกเป็นโรคไบโพลาร์(โรคอารมณ์สองขั้ว) โดยต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือดีเจเคนโด้ นักจัดรายการวิทยุและพิธีกรหลายรายการ เจ้าของฉายา ดีเจเทวดา ได้ออกมายอมรับว่า ตัวเองก็เคยเป็นโรคไบโพลาร์ แต่หายแล้ว พร้อมยืนยันว่า เสกป่วยเป็นโรคไบโพลาร์จริง โดยทราบอาการป่วยจากทนายของเสก และว่า อาการของโรคนี้ จะมีอารมณ์ 2 แบบ บางช่วงจะมีภาวะแมเนีย หรือคึกคักมากกว่าปกติ จะออกแนวล้นๆ ทำตัวกร่าง ไม่กลัวคน ขณะที่บางช่วงจะมีภาวะซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ไม่อยากทำอะไร และว่า การรักษาโรคนี้ นอกจากต้องกินยาเพื่อปรับเคมีในสมองแล้ว ยังต้องใช้จิตบำบัดหรือพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยดีเจเคนโด้ เผยว่า จากการคุยกับทนายของเสกทราบว่า เสกรักษามา 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่หาย เพราะไม่มีวินัยในการรักษา