xs
xsm
sm
md
lg

รัฐประหารในกรุงธนบุรี ใครกันแน่ล้มราชบัลลังก์! รับสั่งไม่ให้สู้ “สิ้นบุญเราแล้ว อย่าทำเลย”!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

พระบรมรูปพระเจ้าตากสินประทับวิปัสสนาที่วัดอินทาราม
ปลายรัชสมัยพระเจ้าตากสิน บ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ระส่ำระสายอีกครั้ง ราษฎรตลอดจนขุนนางข้าราชการ แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ร้อนรุ่มขวัญผวาไปตามกัน

จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีบันทึกไว้ว่า

“พื้นแผ่นดินร้อน ราษฎรเหมือนผลไม้ เมื่อต้นแผ่นดินเย็นด้วยพระบารมี ปลายแผ่นดินแสนร้อนรุมสุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน ด้วยสิ้นพระบารมีแต่เพียงนั้น”

เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ และพระเจ้าลูกยาเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ พร้อมด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนยกทัพไปตีเมืองเขมรแล้ว ทางกรุงธนบุรีก็ไม่มีผู้มีอำนาจเหลืออยู่นอกจากพระเจ้ากรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว เหตุการณ์ในบ้านเมืองก็เริ่มระส่ำระสายหนัก

ส่วนทางกรุงศรีอยุธยาก็ถูกเผาทำลายกันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือพม่าข้าศึก แต่เป็นฝีมือคนไทยเราเองออกล่าสมบัติ บาทหลวงคอร์เขียนรายงานฉบับลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๓๑๒ ว่า

“เมื่อปีก่อนและในปีนี้ พวกจีนและไทยไม่ได้หากินอย่างอื่น นอกจากเที่ยวทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์...” และว่า

“...ในเมืองไทยทุกวันนี้คงจะไม่มีเงินใช้เป็นแน่ เพราะพวกพม่าได้ขนไปจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้นการที่ได้มีการค้าขายกันในทุกวันนี้ก็เป็นด้วยพวกจีนได้ไปเที่ยวขุดเงินทองที่ฝังไว้ตามดินและบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้นเอง เมื่อพวกจีนได้ทำลายวัดภูไทยซึ่งเป็นวัดใหญ่อยู่ใกล้กับโรงเรียนสามเณรนั้น ข้าพเจ้าได้กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ในวัดนี้เมื่อทำลายลงแล้ว พวกจีนได้พบทองเป็นอันมากพอบรรทุกเรือยาวได้ถึงสามลำ ในวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงผนวชเรียกวัดประดู่ วัดเดียวเท่านั้นได้พบเงินถึง ๕ ไห และในวัดอื่นๆก็มีเงินทุกวัดมากบ้างน้อยบ้าง”

ทรัพย์สมบัติที่ชาวอยุธยาฝังไว้มีจำนวนมหาศาล เจ้าของที่รอดชีวิตก็กลับมาขุดเอาของตัวไป แต่ส่วนใหญ่ก็ตายหรือถูกกวาดต้อนเป็นเชลย สมบัติที่ฝังไว้ก็ตกเป็นเหยื่อของชาวบ้านที่ออกขุดค้นหากันโกลาหล ขุนนางผู้หนึ่งคือ พระยาวิชิตณรงค์ จึงยื่นขอผูกขาดขุดหาสมบัติไม่มีเจ้าของ โดยจะส่งเงินเข้าหลวงปีละ ๕๐๐ ชั่ง ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีก็พระราชทานอนุญาต แต่พระยาวิชิตณรงค์ไม่แค่ขุดหา ยังตามไปริบทรัพย์สมบัติของชาวบ้าน ทำให้เดือดร้อนและโกรธแค้นกันไปทั่ว ถึงขั้นก่อการจลาจล นายบุนนาก นายบ้านแม่ลา แขวงกรุงเก่า ได้คบคิดกับขุนสุระ ชักชวนชาวบ้านว่า พระเจ้าแผ่นดินไม่เป็นธรรม ข่มเหงเบียดเบียนราษฎรเร่งเอาทรัพย์ เมื่อแผ่นดินเป็นทุจริตดังนี้จะละไว้มิชอบ ควรจะไปตีกรุงธนบุรีจับพระเจ้าแผ่นดินสำเร็จโทษ แล้วถวายราชสมบัติแก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข มีคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก นายบุนนากกับขุนสุระจึงยกพวกจากนครหลวงมากรุงศรีอยุธยาในคืนนั้น เข้าปล้นจวนพระยาวิชิตณรงค์ ผู้รักษากรุง จับพระยาวิชิตณรงค์และลูกชายพร้อมด้วยกรมการเมืองฆ่าเสีย ที่หนีรอดไปได้ก็ไปรายงานทางกรุงธนบุรี

พระเจ้าตากสินทรงทราบก็รับสั่งให้พระยาสรรค์บุรี ซึ่งมาติดต่อราชการที่กรุงธนบุรีพอดี ยกไปปราบกบฏ แต่พระยาสรรค์ถูกขุนแก้ว ซึ่งเป็นน้องชาย และเป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏเกลี้ยกล่อม จึงไปเข้ากับกบฏ นายบุนนากและขุนสุระได้มอบให้พระยาสรรค์เป็นนายทัพยกลงมาตีกรุงธนบุรี โดยให้ทหารใส่มงคลแดงเป็นเครื่องหมายของฝ่ายกบฏ

จดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวีเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ว่า

“ลุศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลู ตรีนิศก รับสั่งให้พระยาสรรค์ไปจับผู้ร้ายที่เผาบ้านผู้รักษากรุง พระยาสรรค์ขึ้นไป น้องพระยาสรรค์เป็นกองผู้ร้าย จับพระยาสรรค์ตั้งเป็นแม่ทัพลงมา วันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เพลาตี ๑๐ ทุ่ม ตั้งค่ายมั่นลองรามัญ ยิงระดมลูกปืนตกในกำแพงเสียงสนั่นหวั่นไหว ข้างในตกใจร้องอื้ออึง ประทมตื่นคว้าได้พระแสง ทรงเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งเย็น ตรัสเรียกฝรั่งที่ประจำป้อม ฝรั่งได้รับสั่งยิงปืนใหญ่ออกไปถูกเรือข้าศึกล่ม เขาไปจับบุตรภรรยาฝรั่งมาให้ฝรั่งยิง พอรุ่งสว่างเห็นหน้าว่าเป็นใคร ฝรั่งโจนกำแพงลงไปหากัน ผู้คนเบาบางร่วงโรยนัก
เสด็จออกหน้าวินิจฉัย ทราบว่าพระยาสรรค์มาปล้นตีเมือง ให้จำภรรยากับบุตรไว้ เสด็จเข้ามาฟันตะรางปล่อยคนโทษข้างใน พระยาธิเบศร์ พระยารามัญ พระยาอำมาตย์ ต่อสู้ลากปืนจ่ารงขึ้นป้อม ข้าศึกถอยหนี เสด็จกลับออกไปมีรับสั่งห้าม ว่าสิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย พระยาธิเบศร์ พระยารามัญ พระยาอำมาตย์ มิให้สู้จะอยู่ตายด้วยเจ้าข้าวแดง”

เมื่อพระเจ้าตากสินไม่ต่อสู้แล้ว พระยาสรรค์ก็ไม่ได้บุกเข้าพระราชวัง แต่ได้นิมนต์พระราชาคณะเข้าเฝ้าถวายพระพร ขอให้ทรงบรรพชาชำระพระเคราะห์เมือง ๓ เดือน เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งใฝ่ทางธรรมมาตลอด ได้ฟังข้อเรียกร้องเช่นนี้ ถึงกับทรงพระสรวลตบพระเพลา แล้วว่า

“เอหิภิกขุลอยมาถึงแล้ว...”

ทรงบรรพชาที่วัดแจ้ง ในวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ หลังอยู่ในราชสมบัติ ๑๔ ปีกับ ๔ เดือน

การรัฐประหารล้มราชบัลลังก์พระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะจบลงแต่เพียงนี้ แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถ์เลขาบันทึกไว้ว่า เมื่อ พระยาสุริยอภัย หลานของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา ทราบข่าวการจลาจลทางเมืองธนบุรี จึงไปแจ้งข่าวให้สมเด็จเจ้าพระยาซึ่งตั้งทัพอยู่ที่เมืองเสียมราฐทราบ สมเด็จเจ้าพระยาจึงให้พระยาสุริยอภัยยกทัพเข้ามาดูเหตุการณ์ก่อน จะยกทัพหลวงตามไปภายหลัง

เมื่อพระยาสุริยอภัยมาถึงกรุงธนบุรี พระยาสรรค์ก็เชิญไปพบ แจ้งว่าจะจัดแจงบ้านเมืองไว้ถวายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แล้วสึกพระเจ้าตากสินออกมาจองจำไว้

ต่อมาพระยาสรรค์เกิดเปลี่ยนใจ คบคิดกับพระยามหาเสนาและพระยารามัญวงศ์ เบิกเงินในท้องพระคลังออกมาแจกจ่ายขุนนางข้าราชการขุนทหารเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่นิยมสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและคิดว่าพระยาสรรค์จะชิงราชย์สมบัติเสียเอง ก็ไม่ยอมรับเงินหว่านหาเสียงของพระยาสรรค์ อีกทั้งเมื่อพระยาสรรค์จัดให้มีเทศนาขึ้นในท้องพระโรง ก็เกิดไฟไหม้ม่านทำให้ตกอกตกใจกันมาก เจ้าของเทียนที่ทำไฟไหม้ม่านเป็นฝ่ายพระยาสุริยอภัย พระยาสรรค์จึงคิดจะกำจัดเสี้ยนหนามรายนี้

คืนนั้นพระยาสรรค์ได้ปล่อยตัวกรมขุนอนุรักษ์สงคราม หลานพระเจ้าตากสิน ซึ่งตัวเองจับจองจำไว้ให้ออกมา ตั้งให้เป็นแม่ทัพคุมขุนนางและไพร่พลไปตีบ้านพระยาสุริยอภัย กรมขุนอนุรักษ์ออกจากที่คุมขังก็ตรงไปที่โบสถ์วัดแจ้งที่คุมขังพระเจ้าตากสิน ขอให้ออกมาบัญชาการรบ แต่พระเจ้ากรุงธนรับสั่งว่า

“สิ้นบุญเราแล้ว อย่าทำเลย”

ทั้งยังรับสั่งว่าคงไม่รอด บ้านเมืองเป็นของสองพี่น้องเขานั่น ถ้ายังไม่ตายก็ฝากตัวกับเขาให้ดีเถิด

กรมขุนอนุรักษ์ไม่ฟัง ยกไปตีบ้านพระยาสุริยอภัยด้วยวิธีจุดไฟเผา หวังจะให้ลามไปถึงบ้านพระยาสุริยอภัย โดยกรมขุนอนุรักษ์ตีลงมาจากทางเหนือ พระยาสรรค์ตีจากทางใต้ขึ้นไป ขุนนางข้าราชการก็แตกเป็นสองฝ่าย ขุนแก้วน้องพระยาสรรค์เองกลับไปเข้าข้างพระยาสุริยอภัย ช่วยพระยาเจ่ง พระยาราม ลากปืนใหญ่ไปยิงฝ่ายกรมขุนอนุรักษ์ ส่วนมอญอีกข้าง พระยารามัญวงศ์กับพระยากลางเมือง หันไปสนับสนุนพระยาสรรค์ บุคคลสำคัญที่ไม่มีใครคาดถึงอีกคน ก็คือ ท่านผู้หญิงรจนา ภรรยาของเจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่ รวบรวมพวกมอญเป็นกองเรือช่วยฝ่ายพระยาสุริยอภัยตีขนาบ พอใกล้สว่างลมเปลี่ยนทิศ ไฟไม่ไปถึงบ้านพระยาสุริยอภัย แต่กรมขุนอนุรักษ์กลับไปอยู่ใต้ลมจึงต้องถอยทัพ พระยาสรรค์รู้ว่ากรมขุนอนุรักษ์ถอยแล้วก็เลยถอยด้วย พระยาสุริยอภัยตามไปจับกรมขุนอนุรักษ์ได้ที่วัดยาง นำมาจำขังไว้

ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ให้พระยาสุริยอภัยล่วงหน้ามาแล้ว ก็แต่งหนังสือแจ้งเรื่องจลาจลให้เจ้าพระยาสุรสีห์ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่พนมเปญทราบ ให้กองทัพเขมรของพระยายมราชเข้าล้อมทัพกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้อย่าให้รู้เรื่อง แล้วเลิกทัพกลับกรุงธนบุรี ส่วนเจ้าพระยาสุรสีห์ให้เลิกทัพรีบตามไปด้วย
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จข้ามมาถึงกรุงธนบุรี ประทับบนศาลาลูกขุนมหาดไทย ข้าราชการทั้งหลายมาเฝ้ากราบถวายบังคม ฝ่ายพระยาสรรค์และพรรคพวกมิรู้จะหนีจะสู้ประการใดก็มาเฝ้าด้วย ทรงไต่สวนเรื่องราวแล้วตรัสถามพระเจ้ากรุงธนให้ชี้แจงเหตุผลที่กระทำต่อพระสงฆ์และราษฎร ตลอดจนครอบครัวของทหารที่ไปราชการสงคราม ให้ต้องรับโทษโดยไม่มีความผิด ซึ่งพระเจ้ากรุงธนก็ยอมรับผิดทุกประการ

ทรงปรึกษาด้วยมุขมนตรีทั้งหลายว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นอาสัตย์อาธรรมดังนี้ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด มุขมนตรีทั้งหลายก็กราบทูลว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินละสุจริตธรรมเสียฉะนี้ เห็นว่าเป็นเสี้ยนหนามหลักตออันใหญ่อยู่ในแผ่นดิน จะละไว้เสียมิได้ ควรจะสำเร็จโทษเสีย จึงมีรับสั่งให้เอาตัวไปประหาร

พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า ขณะที่เพชฌฆาตกับผู้คุมเอาตัวขึ้นแคร่หามไปพร้อมกับเครื่องพันธนาการนั้น พระเจ้าตากสินจึงบอกกับผู้คุมและเพชฌฆาตว่า

“ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายอยู่แล้ว ช่วยพาเราไปแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการด้วยเถิด จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ”

เมื่อผู้คุมหามเข้าไป สมเด็จเจ้าพระยาก็โบกพระหัตถ์มิให้นำเข้าเฝ้า ผู้คุมและเพชฌฆาตจึงหามออกนอกวัง ไปประหารชีวิตที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ แล้วรับสั่งให้เอาศพไปฝังไว้ที่วัดบางยี่เรือ

พระเจ้าตากสินสวรรคตในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ ขณะมีพระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา.


กำลังโหลดความคิดเห็น