เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าพระเจ้าตากสินมีเชื้อจีน ก็เลยมีคำกล่าวขยายความกันต่อไปว่า การกู้ชาติของพระเจ้าตากสินนั้นได้รับการสนับสนุนจากคนจีนทั้งในและนอกประเทศ ทหารของพระเจ้าตากก็มีคนจีนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเงินที่นำมาซื้อหาอาวุธตลอดจนใช้สร้างกรุงธนบุรี ก็มาจากบรรดาพ่อค้าจีน ขุนนางจีน ตลอดจนถึงฮ่องเต้
แต่หลักฐานในพงศาวดารทั้งของไทยและจีนปรากฏว่าตรงกันข้าม
กองกำลังของพระเจ้าตากสินที่นำมาป้องกันกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นกองกำลังจากเมืองตาก อาจจะมีทหารเชื้อสายจีนอยู่บ้างก็คงเป็นส่วนน้อย และทหารกองนี้ที่ติดตามพระเจ้าตากแหวกวงล้อมของพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยาก็มีเพียง ๕๐๐ คนเท่านั้น แต่คนจีนส่วนใหญ่ในกรุงศรีอยุธยากลับอยู่ใต้บังคับบัญชาของ หลวงอภัยพิพัฒน์ ขุนนางจีน ซึ่งนำคนจีน ๒,๐๐๐ คนไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านสวนพลู ป้องกันพระนครด้านใต้ คนละด้านกับพระยาตาก
ก่อนกรุงแตก ทหารจีนจากค่ายสวนพลูนี้จำนวน ๓๐๐ คนได้แหวกวงล้อมออกไปจากกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน แต่ไม่ได้มาร่วมกับพระยาตาก กลับมุ่งไปที่พระพุทธบาทสระบุรี ลอกเอาทองคำที่หุ้มพระมณฑปน้อย และแผ่นเงินที่คาดพระมณฑปใหญ่ แบ่งปันกัน แล้วเผามณฑปพระพุทธบาทเพื่อทำลายหลักฐาน
กองกำลังของพระเจ้าตากที่เป็นคนจีนทั้งกองก็มี คือเหล่าลูกเรือสำเภาที่ปากน้ำเมืองตราด เมื่อรบแพ้พระเจ้าตากแล้ว ไต้ก๋งเจียม ซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่สำเภา ได้นำบรรดาลูกเรือสวามิภักดิ์รวมตัวกันตั้งเป็น “หน่วยภักดีอาสา” เข้าประจำการที่ค่ายบางกุ้ง จังหวัดสมุทรสงคราม
ส่วนจีนนอกประเทศ ทั้งขุนนางจีนและจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ต่างก็ไม่ยอมรับพระเจ้าตากสิน
จดหมายเหตุของจีนบันทึกไว้ว่า ใน พ.ศ.๒๓๑๑ พระเจ้าตากสินได้ส่งทูตนำเครื่องราชบรรณาการพร้อมพระราชสาส์นมาถวายเฉียนหลงฮ่องเต้ และลงพระนามในพระราชสาส์นว่า “เจิ้นเจ้า” ซึ่งหมายถึงกษัตริย์แซ่เจิ้น รายงานให้ทราบว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าทำลายจนย่อยยับแล้ว ราษฎรตกอยู่ในความลำบากยากแค้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย บัดนี้พระองค์ได้ต่อสู้กับพม่าจนมีชัยชนะ แต่ก็ยังไม่สามารถหากษัตริย์และพระอนุชา ๒ องค์ที่หลบหนีพม่าไปได้ ดังนั้นจึงขอการสนับสนุนจากพระเจ้ากรุงจีนเพื่อให้เป็นที่ยำเกรงเคารพของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งเสนอตัวเป็นข้าบาท ถ้าฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้ส่งกองทัพไปปราบปรามพม่า ก็จะทำตามพระบัญชา ทั้งนี้ก็เพราะพระเจ้าตากสินทรงทราบว่าจีนกำลังมีปัญหากับพม่า และเคยขอให้ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วยป้องกันกษัตริย์พม่าหนีมาไทยเมื่อจีนเข้าโจมตี
พร้อมกับส่งพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้ากรุงจีนครั้งนี้ พระเจ้าตากสินทรงมีไปถึง หลี่ซือเหยา ผู้ว่าราชการมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ซึ่งเป็นมณฑลหน้าด่านทางทะเลก่อนจะไปปักกิ่งด้วย หลี่ซือเหยาได้ถวายความเห็นต่อฮ่องเต้ว่า เจิ้นเจ้าเป็นสามัญชน เร่ร่อนไปอย่างโจรสลัด ไม่ควรเปรียบตัวเองเป็นกษัตริย์ แม้ราชอาณาจักรไทยจะอยู่ในอันตราย และเจิ้นเจ้าสามารถกู้เอกราชไว้ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์ ซึ่งเฉียนหลงฮ่องเต้ก็เห็นด้วย จึงมอบให้หลี่ซือเหยาเป็นผู้ตอบสาส์นเจิ้นเจ้า
สาส์นของหลี่ซือเหยาที่มีมาถึงพระเจ้าตากสินมีความว่า การที่เจิ้นเจ้าจะให้จีนยอมรับเป็นกษัตริย์และพระราชทานตราตำแหน่งมาให้นั้น จีนไม่สามารถให้ได้ เพราะไม่ได้เป็นไปตามประเพณีเดิม ที่ถูกต้องแล้ว เจิ้นเจ้าควรที่จะสืบหาองค์รัชทายาทและช่วยพระองค์ให้กอบกู้ประเทศชาติอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เจิ้นเจ้าก็มิได้ทำเช่นนี้ กลับคิดตั้งตนเป็นกษัตริย์เอง ทางจีนจึงไม่เห็นด้วยกับความไม่ถูกต้องและผิดศีลธรรมเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีรัฐอื่นๆ อีก ๓ รัฐที่ยังต่อสู้และต่อต้านท่านอยู่ ทั้งนี้เพราะท่านมิได้เป็นองค์รัชทายาท ท่านควรจะเคารพต่อกษัตริย์บรรพบุรุษเดิม ดังนั้นจึงขอให้ท่านสืบค้นหาองค์รัชทายาทและช่วยพระองค์กอบกู้ประเทศชาติ
เหตุที่จีนไม่ยอมรับพระเจ้าตากสินทั้งยังมองในแง่ร้าย ก็เพราะได้รับรายงานจาก เจ้าพระฝาง แห่งเมืองสวางคบุรี ซึ่งตั้งก๊กขึ้นมาทั้งๆที่ยังเป็นพระ มีตำแหน่งเป็นสังฆราชแห่งเมืองสวางคบุรี และจีนเห็นว่าเป็นผู้มีกำลังอำนาจเข้มแข็งพอจะรบกับพม่าได้ ทั้งเจ้าพระฝางยังมีความจงรักภักดีต่อจีน แม่ทัพใหญ่ของจีนที่ไปรบกับพม่าเป็นผู้ทูลรายงานฮ่องเต้ชมเชยเจ้าพระฝางไปมากว่าพยายามจะกู้ชาติ
ที่สำคัญ จีนยึดถือตรารับรองความเป็นกษัตริย์สยามที่จีนมอบมาให้ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สำหรับประทับลงในพระราชสาส์นที่จะส่งไปถวายเครื่องราชบรรณาการพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งตราสำคัญนี้จะตกทอดองค์รัชทายาทต่อๆมา แต่ได้หายไปในตอนกรุงแตก หลังจากส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีครั้งแรกไม่สำเร็จแล้ว พระเจ้าตากสินก็ยังทรงติดต่อกับจีนอีกหลายครั้ง เพื่อขอซื้อเหล็ก ซื้อกำมะถัน อันเป็นยุทธปัจจัยที่ไทยไม่สามารถผลิตได้ ผลิตได้แต่ดินประสิว จนถึงกับส่งเชลยพม่าที่จับได้ไปให้จีนเพื่อแสดงความเป็นศัตรูกับพม่าเช่นเดียวกับจีน บางครั้งก็ส่งพระราชสาส์นไปกับพ่อค้าโดยไม่มีราชทูตไปด้วย แต่จีนก็ยังไม่ยอมรับรองความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าตากสินอยู่ดี
ต่อมาเมื่อพระเจ้าตากได้ปราบก๊กเจ้าพระฝางราบคาบแล้ว และจีนได้รับรายงานจากพ่อค้าที่เดินทางไปมาแจ้งให้ทราบว่า ราษฎรสยามยอมรับนับถือในความเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าตากสินซึ่งเป็นผู้กู้ชาติ ที่สำคัญจีนก็ต้องการมิตรที่เป็นศัตรูกับพม่าด้วยกัน ฉะนั้นใน พ.ศ.๒๓๑๒ จีนกลับเป็นฝ่ายแจ้งมาทางไทยให้พระเจ้าตากสินส่งเครื่องราชบรรณาการไปได้
อย่างไรก็ตาม ณัฏฐภัทร จันทวิช แห่งกองพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ผู้แปลจดหมายเหตุจีนในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและกรุงธนบุรี ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ใน “ข้อระวังในการใช้เอกสารและจดหมายเหตุจีน” ว่า จีนจะบันทึกข้อความในทำนองยกตัวเองไว้สูงกว่าชาติอื่นๆเสมอ ด้วยคิดว่าจีนเป็นอาณาจักรกลางของโลก ส่วนอาณาบริเวณที่อยู่นอกกำแพงเมืองจีนออกไปเป็นดินแดนของพวก “คนป่า” ซึ่งไกลออกไปมากก็ถือว่าเป็นดินแดนของภูตผีปีศาจเลย กษัตริย์จีนจึงยกพระองค์เองเป็นเทพเจ้าที่สูงสุดไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ผู้ใดต้องการมาติดต่อกับจีน จีนจะคิดเสมอว่าพวกนั้นต้องการมานอบน้อมสวามิภักดิ์และต้องการความช่วยเหลือ
ในกรณีของพระเจ้าตากสิน จดหมายเหตุของจีนกล่าวว่า ที่พระเจ้าตากสินยอมอ่อนน้อมเอาอกเอาใจฮ่องเต้ก็เพราะ แม้ราษฎรจะยอมรับพระเจ้าตากสินอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับได้รับคำประกาศแต่งตั้งจากพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ประเทศรอบด้านยอมรับนับถือ
จดหมายเหตุของจีนยังกล่าวอีกว่า แม้จีนจะเชื้อเชิญให้พระเจ้าตากสินส่งเครื่องบรรณาการไปได้ แต่พระเจ้าตากสินกลับส่งขุนนางถือสาส์นมากับเรือพ่อค้าแจ้งว่า ยังไม่พร้อมที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งเฉียนหลงฮ่องเต้ได้ให้ผู้ว่าราชการมณฑลกวางตุ้ง-กวางสีตอบไปว่า พระเจ้ากรุงจีนทราบดีว่าไทยกำลังมีศึกสงครามกับพม่า แต่ก็ขัดกับที่พระเจ้าตากสินส่งสาส์นมาครั้งแรกว่าจะขอส่งเครื่องราชบรรณาการ ทั้งขุนนางที่นำสาส์นมายังแจ้งว่าได้เตรียมเครื่องราชบรรณาการไว้พร้อมแล้ว พระเจ้ากรุงจีนจึงไม่เข้าพระทัยในความตั้งใจจริง
แต่อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ.๒๓๒๔ หลังจากขึ้นครองราชย์มา ๑๔ ปี
พระเจ้าตากสินก็ทรงส่งคณะทูตนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีนตามคำเชิญชวนของราชสำนักจีน โดยมีพระยาสุนทรอภัยราชา เป็นราชทูต หลวงพิชัยเสน่หา เป็นอุปทูต พร้อมด้วยขุนนางรวม ๖ คน มีขบวนเรือถึง ๑๑ ลำ ออกเดินทางไปในเดือนมิถุนายน
ในขบวนเรือราชทูตนี้ นอกจากจะนำเครื่องราชบรรณการไปแล้ว ยังมีสินค้าที่จะนำไปขาย และขอซื้อเครื่องสำริดพร้อมอุปกรณ์ก่อสร้างกลับมาในเรือเปล่าด้วย ทั้งยังขอผู้นำทางเดินทางต่อไปญี่ปุ่นเพื่อซื้อทองแดง ซึ่งทางจีนก็ต้อนรับคณะทูตเป็นอย่างดี แต่ปฏิเสธที่จะให้ผู้นำทางไปญี่ปุ่น
จักรพรรดิเฉียนหลงมีกระแสรับสั่งข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งกวางสีว่า
“สิ่งของนอกบรรณาการให้รับไว้เฉพาะงาช้างและนอแรดรวมสองชนิด และให้นำส่งกระทรวงพิธีการพร้อมสิ่งของบรรณาการ นอกจากพระราชทานสิ่งของตามธรรมเนียมแล้ว ให้เพิ่มสิ่งของรางวัลเป็นพิเศษ เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ที่ประสงค์ให้การรับมีจำนวนน้อยกว่าการให้ บรรณาการนอกนั้นอนุญาตให้ขายที่กวางตุ้งตามอำเภอใจ สิ่งของเหล่านั้นรวมทั้งอับเฉาเรือ ให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีทั้งหมด”
จักรพรรดิเฉียนหลงได้จัดงานเลี้ยงรับรองคณะทูตที่ห้อง “ซันเกาสุ่ยฉาง” แต่ต่อมาพระยาสุทรอภัยราชาเกิดป่วยด้วยโรคระบบหายใจที่ปักกิ่ง จีนได้ส่งหมอมาช่วยดูแลอย่างดี แต่ท่านทูตมีอายุมากแล้ว ทั้งยังเป็นโรคกระเพาะ จึงเสียชีวิตลง ซึ่งพระเจ้ากรุงจีนได้เสด็จไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดด้วยพระองค์เอง
ขณะที่ราชทูตคณะนี้เดินทางกลับ พระเจ้าตากสินได้สิ้นรัชกาลไปแล้ว กองเรือคณะทูตได้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างกลับมามากเพื่อเตรียมสร้างกรุงธนบุรี จึงได้ใช้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์
จดหมายเหตุของจีนกล่าวว่า ในปีสุดท้ายของรัชกาล พระเจ้าตากสินทรงประชวรด้วยโรคอัมพาต ดังนั้นพระราชบุตรเขยจึงควบคุมดูแลไว้ โดยเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเป็นพระราชบุตรเขย และยังบันทึกต่อไปอีกว่า บางกระแสก็ว่าวิกลจริต คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า จึงให้พระสงฆ์กราบไหว้ พระสงฆ์องค์ใดขัดขืนก็ให้เฆี่ยน
แต่อย่างไรก็ดีทางจีนไม่เชื่อเรื่องนี้นัก และคิดว่าเจิ้นเจ้าถูกปลงพระชนม์นั้น เป็นปัญหาทางการทหาร
นอกจากราชสำนักจีนจะยอมรับพระเจ้าตากสินเป็นกษัตริย์สยามในช่วงปลายรัชกาลแล้ว ยังใช้พระนามกษัตริย์ในรัชกาลต่อๆมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ในราชวงศ์ “เจิ้น” ไปด้วย คือ
รัชกาลที่ ๑ จีนใช้พระนามว่า เจิ้นหัว หมายถึง ผู้ดำรงความยิ่งใหญ่
รัชกาลที่ ๒ จีนใช้พระนามว่า เจิ้นฝู หมายถึง ผู้ดำรงในบุญ
รัชกาลที่ ๓ จีนใช้พระนามว่า เจิ้นฟู่ หมายถึง ผู้ดำรงในธรรม
รัชกาลที่ ๔ จีนใช้พระนามว่า เจิ้นหมิง หมายถึง ผู้สว่างไสว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุประจำราชสำนักจีนว่า ในเดือนที่ ๑๑ ปีที่ ๔๒ ของรัชกาลพระเจ้าเฉียนหลง คือใน พ.ศ.๒๓๒๐ พระเจ้าตากสินได้ส่งทูตไปเมืองหลวงของจีนเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน และกราบทูลขอเจ้าหญิงจีนมาอภิเษกสมรสด้วย
ส่วนเอกสารฝ่ายไทย “จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี” ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“ให้แต่งสำเภาทรงพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าปักกิ่ง ว่าจะขอลูกสาวพระเจ้าปักกิ่ง ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชผู้เถ้า กับหลวงนายฤทธิ หลวงนายศักดิ์ เป็นราชทูต หุ้มแพรมหาดเล็กเลวไปมาก แต่งเครื่องบรรณาการไปกล่าวขอลูกสาวเจ้าปักกิ่ง”
แต่ทว่าในพงศาวดารไทยหรือแม้แต่พงศาวดารจีนไม่มีกล่าวถึงเรื่องนี้