คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจ ม.44 แก้ กม.พรรคการเมือง-รีเซตสมาชิกพรรค อ้างเปิดทางให้เปลี่ยนใจได้ !
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุม คสช.ได้พิจารณากรณีที่หลายพรรคหลายกลุ่มการเมืองทำหนังสือถึง คสช. รัฐบาล คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้หาวิธีแก้ปัญหาเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่กำหนดระยะเวลาให้พรรคการเมืองปรับฐานข้อมูลสมาชิกพรรคภายใน 90 วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 5 ม.ค.2561 ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องหาวิธีแก้ปัญหา ที่ประชุม คสช.จึงคิดว่า ในขั้นต้นอาจต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ปัญหานี้ เพื่อขยายเวลาที่บังคับไว้ในกฎหมายพรรคการเมือง ดังนั้นทั้งประชาชน พรรคการเมืองเก่า และพรรคการเมืองใหม่ ไม่ต้องกังวล ยังมีโอกาสที่จะดำเนินการทางธุรการต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวจะมีการตั้งพรรคทหารและให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อด้วยว่า ยังไม่เห็นมีทหารที่ไหนตั้งพรรคการเมืองให้ ใครตั้งก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวกับตน และว่า ได้ถามนายสมคิดว่า ไปตั้งพรรคทหารหรือ นายสมคิดบอกว่า ไม่ได้ตั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ใช้อำนาจตาม ม.44 เรื่อง การดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองแล้ว ทั้งนี้ คำสั่งสรุปว่า กิจกรรมที่กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองต้องดำเนินการนั้นล้วนมีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองทั้งสิ้น เพราะมุ่งจะให้พรรคการเมืองทั้งที่จัดตั้งขึ้นแล้ว และที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองของประชาชน คือ สมาชิกมีความผูกพันกับพรรคการเมือง มีการชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ฯลฯ
ดังนั้น เพื่อให้มาตรการเกี่ยวกับพรรคการเมืองได้ผลในการปฏิรูป และเพื่อให้การจัดทำทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง พร้อมทั้งการแสดงหลักฐานยืนยันตัวบุคคล ที่อยู่ เจตนารมณ์ และการชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อย ไม่สับสนหรือเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นก่อนแล้ว กับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ จึงควรให้เสรีภาพแก่บุคคลในการที่จะทบทวนการตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง โดยรอบคอบ ชัดเจน อิสระและสมัครใจ ไม่อยู่ภายใต้ความกดดันหรือข้อผูกพันใดๆ ด้วยการเป็นฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ โดยไม่ได้มีการสลายสมาชิกภาพแล้วเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแต่อย่างใด หัวหน้า คสช.จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 โดยความเห็นชอบของ คสช.มีคำสั่งให้ยกเลิกข้อความบางส่วนในมาตรา 140 มาตรา 141 และมาตรา 142 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และแก้ไขใหม่ในบางประเด็น เช่น
ให้สมาชิกพรรคการเมืองซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 24 และประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นต่อไป มีหนังสือยืนยันการเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรคการเมืองนั้น พร้อมทั้งแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม และชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว สมาชิกผู้ใดมิได้มีหนังสือแจ้งยืนยันการเป็นสมาชิก ให้ถือว่าพ้นจากสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น และให้พรรคการเมืองแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
ส่วนพรรคการเมืองต้องจัดให้มีทุนประเดิมจำนวน 1 ล้านบาท และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561, จัดให้สมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามจำนวนไม่น้อยกว่า 500 คนชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองสำหรับปี 2561 ภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 และให้พรรคการเมืองแจ้งให้คณะกรรมการทราบพร้อมด้วยหลักฐานการชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองสำหรับปีที่ พ.ร.ป.นี้ใช้บังคับภายใน 15 วันนับแต่วันพ้นระยะเวลาชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าว
ให้พรรคการเมืองจัดให้สมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ชำระเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 5 พันคนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 และให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคนภายใน 4 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เมื่อพ้นระยะเวลา 4 ปีดังกล่าวแล้ว ให้สมาชิกภาพของสมาชิกที่มิได้ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองเป็นอันสิ้นสุดลง และให้นายทะเบียนสมาชิกแจ้งให้นายทะเบียนทราบ ตามรายการและวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด
ให้พรรคการเมืองจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับและจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ป.นี้ และเลือกหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการพรรคการเมือง เหรัญญิกพรรคการเมือง นายทะเบียนสมาชิก และกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมือง ตามข้อบังคับของพรรคการเมืองที่แก้ไขใหม่ภายใน 90 วันนับแต่วันที่มีการยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้ พ.ร.ป.บางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองใดยังดำเนินการตามมาตรา 141 ที่แก้ไขใหม่ไม่ครบ พรรคการเมืองนั้นจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ และห้ามมิให้จัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้แก่พรรคการเมืองนั้นด้วย
นอกจากนี้ เพื่อให้การจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่สามารถดำเนินการทางธุรการและมีโอกาสเตรียมการเพื่อเข้าสู่ช่วงเวลาการทำกิจกรรมทางการเมืองไปพร้อมกับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นก่อนแล้ว ให้ผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ดำเนินการตามหมวด 1 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 แต่การประชุมเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองตามมาตรา 10 ต้องได้รับอนุญาตจาก คสช.และให้ดำเนินกิจกรรมได้เท่าที่ได้รับอนุญาตหรือตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด
ส่วนกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือคำสั่งนี้ ให้หารือคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) หรือ คสช. แล้วแต่กรณี
เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ให้เหตุผลที่ยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติด้วยว่า เพื่อไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาสอ้างการดำเนินการตามกฎหมายไปกระทำกิจกรรมทางการเมืองอื่น ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในบ้านเมือง และกระทบต่อบรรยากาศความสามัคคีปรองดอง
2.ครอบครัว “น้องเมย” เมินผลสอบกองทัพ เดินหน้าแจ้งความตำรวจ หวังได้รับความเป็นธรรม!
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่มี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นประธาน แถลงสรุปการเสียชีวิตของน้องเมยว่า เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่มีผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้ายจนเป็นเหตุให้น้องเมยเสียชีวิตแต่อย่างใด พร้อมให้เหตุผลที่ไม่ได้เชิญครอบครัวน้องเมยเข้ารับฟังการแถลงเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ว่า เพราะไม่ใช่คู่กรณีกัน จึงไม่อยากเห็นการตอบโต้กัน แต่จะเชิญครอบครัวน้องเมยเข้ารับฟังการชี้แจงในวันที่ 18 ธ.ค.นั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.อ.อ.ชวรัตน์เผยว่า ยังไม่ทราบว่าญาติของน้องเมยตอบรับมาฟังผลการสอบสวนของคณะกรรมการหรือไม่ แต่อยากให้ญาติมาฟังคำชี้แจง ส่วนที่มารดาน้องเมยติดใจภาพจากกล้องวงจรปิดที่หายไป 4 ชั่วโมง และภาพช่วงที่น้องเมยตกบันไดนั้น พล.อ.อ.ชวรัตน์ชี้แจงว่า บริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน หรือตลอด 24 ชั่วโมง แต่คณะกรรมการมีหลักฐาน และพยานแวดล้อมที่สอดคล้องกับคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์ “กองบัญชาการกองทัพไทยก็หัวอกเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ คือเป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะมาตีหรือให้ข้อมูลโต้ตอบไปมา เพียงแต่สงสัยอะไร ขอให้มาคุยกัน อยากได้ความกระจ่างในจุดไหน... สุดท้ายแล้ว หากเรื่องดังกล่าวต้องจบที่กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องว่ากันด้วยพยาน หลักฐาน เหตุผลทั้งหมด ไม่ใช่อิงกระแสสังคม การโฆษณา หรือการตอบโต้กันผ่านสื่อ”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ทางครอบครัวของน้องเมยไม่ได้เข้าฟังการชี้แจงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของน้องเมยตามที่มีการเชิญแต่อย่างใด จากนั้น วันต่อมา 19 ธ.ค. นายพิเชษฐ และนางสุกัญญา ตัญกาญจน์ พร้อมทั้ง น.ส.สุพิชชา บิดามารดาและพี่สาวน้องเมย ได้เข้าพบ พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกรณีน้องเมยเสียชีวิต
ต่อมา น.ส.สุพิชชา พี่สาวน้องเมยเผยว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งความ แต่ในข้อหาอะไร ขอเก็บข้อมูลไว้ให้พนักงานสอบสวนก่อน ส่วนการตรวจสอบดีเอ็นเอของน้องเมย ทางครอบครัวยังไม่ทราบผลการตรวจสอบ น.ส.สุพิชชายังได้ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจครอบครัวมาโดยตลอด พร้อมยืนยัน ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเสมอ
วันเดียวกัน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่า มารดาของ นตท.ภคพงศ์ พร้อมญาติได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เพื่อให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครนายก และ สภ.บ้านนา โดยได้นำพยานหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย
พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวด้วยว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยอาศัยพยานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ และยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิต ขอให้มั่นใจกระบวนการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสังคมต่อไป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงกรณีที่ครอบครัวน้องเมยไม่เข้าฟังผลสรุปของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของน้องเมยว่า ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอน ทางครอบครัวระบุว่า ยังไม่ว่างจึงยังไม่เดินทางมา หรือหากทางครอบครัวมีข้อสงสัยก็ถามมาได้ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ยืนยัน กองทัพไม่ปกปิดหรือปกป้อง ส่วนการแก้ปัญหาต่อไปนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หากแก้ด้วยความรู้สึกคงแก้ไม่ได้ ต้องแก้ด้วยกฎหมายและหลักการ พร้อมย้ำ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ซึ่งต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
3.ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง “นพรัตน์-พนม” อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กับพวก กรณีทุจริตเงินทอนวัดพนัญเชิง 13 ล้าน!
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กับพวก ร่วมกันทุจริตงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดของ พศ.ที่อนุมัติให้แก่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ประจำปีงบประมาณ 2557 และ 2558 จากการไต่สวนพบว่า พฤติการณ์ของขบวนการทุจริตเงินทอนวัด ได้มีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน โดยจะมีกลุ่มบุคคลทำหน้าที่ติดต่อวัดต่างๆ โดยแจ้งว่าจะมอบเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ และการพัฒนาวัด แต่มีเงื่อนไขว่า วัดจะต้องมอบเงินกลับคืนส่วนหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ในกิจการของ พศ. แต่ในทางปฏิบัติ กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว
โดยการทุจริตปีงบประมาณ 2557 น.ส.ประนอม คงพิกุล ขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.กองพุทธศาสนสถาน ได้ติดต่อทางวัดพนัญเชิงว่า จะจัดสรรเงินอุดหนุนจำนวน 10 ล้านบาท แต่เมื่อวัดได้รับแล้ว ให้โอนเงิน 8 ล้านบาทกลับเข้าบัญชีเงินฝากของนางชมพูนุท จันฤาไชย ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดของนายนพรัตน์ ขณะที่นายนพรัตน์ เป็นผู้อนุมัติเงินอุดหนุน 10 ล้านบาทที่ น.ส.ประนอมเสนอมา
ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญานายนพรัตน์และ น.ส.ประนอม รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ส่วนนางชมพูนุทไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นผู้สนับสนุนในการทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนการทุจริตในปีงบประมาณ 2558 น.ส.ประนอมได้ไปติดต่อวัดพนัญเชิงอีกครั้ง แล้วแจ้งว่าจะโอนเงินอุดหนุนให้กับวัด 10 ล้านบาท แต่ครั้งนี้มีเงื่อนไขว่า วัดจะต้องคืนเงินสด 5 ล้านบาทให้กับ น.ส.ประนอม หลังจากนั้น น.ส.ประนอมได้จัดทำเอกสารการขออนุมัติเงินอุดหนุนให้นายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนผู้อำนวยการ พศ.เป็นผู้อนุมัติ เมื่อทางวัดได้รับเงิน 10 ล้านบาท จึงได้นำเงินสด 5 ล้านบาทมอบให้กับ น.ส.ประนอม โดยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญานายพนม และ น.ส.ประนอม รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ส่วนขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.จะส่งรายงานและเอกสาร พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อศาลต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนวนการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตเงินทอนวัดใน ป.ป.ช.ขณะนี้ยังเหลืออีกกี่สำนวน นายวรวิทย์กล่าวว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ส่งมา 2 ล็อต รวม 35 คดี และยังมีที่ประชาชนร้องเรียนกรณีทุจริตเงินทอนวัดปีงบประมาณ 2557-2558 อีก 62 แห่ง รวมทั้งสิ้น 97 คดี ไต่สวนไปแล้ว 8 คดี โดยพฤติกรรมการทุจริตมีลักษณะคล้ายกัน และตัวละครเดียวกัน จึงคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาคดีที่เหลือไม่นาน โดย ป.ป.ช.จะค่อยๆ ทยอยดำเนินการไปทีละวัด
4.โจรใต้นับสิบเหิม ยึดรถทัวร์เบตง-กทม. ไล่ผู้โดยสารลง ก่อนเผารถเหลือแต่ซาก ด้าน จนท.รวบ 4 ผู้ต้องสงสัยแล้ว!
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เวลาประมาณ 14.20 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงรถทัวร์โดยสาร วิ่งระหว่างเบตง-กทม. เหตุเกิดบนถนนสาย 410 (บันนังสตา-เบตง) เขตรอยต่อหมู่ 5 บ้านกาโสด ต.บันนังสตา จ.ยะลา ส่งผลให้รถทัวร์ได้รับความเสียหาย โชคดีที่กลุ่มคนร้ายไม่ทำอะไรผู้โดยสารและคนขับรถ
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบต้นเหรียงขนาดใหญ่ถูกโค่นล้มขวางถนน มีตะปูเรือใบที่ตัดจากเหล็กเส้นกระจายเกลื่อนถนนเป็นระยะๆ รวมทั้งยางรถยนต์ถูกเผากลางถนน โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บตะปูเรือใบพ้นเส้นทาง รวมน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม ขณะที่รถทัวร์ได้ถูกเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง จึงประสานรถดับเพลิงเข้าควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบ
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ รถทัวร์คันดังกล่าว ซึ่งมีนายอับดุลเลาะ สะแบโบ เป็นคนขับ ได้ขับรถรับผู้โดยสารออกจากเขตเทศบาลเมืองเบตงมุ่งหน้าสู่ กทม. เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ พบคนร้ายประมาณ 10-15 คน แต่งกายคล้ายทหาร แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด แต่ละคนมีอาวุธครบมือ ชุดแรกใช้เลื่อยตัดต้นเหรียงโค่นล้มขวางถนน ชุดที่สองขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนโปรยตะปูเรือใบบนถนน ส่วนอีกชุดออกไปสกัดให้รถทัวร์หยุด จากนั้นได้บังคับให้นายมะรอวี ดิง พนักงานประจำรถเปิดประตู แล้วคนร้ายได้ขึ้นไปบนรถ ก่อนพูดภาษามลายูว่า ให้ผู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 15 คนลงจากรถ แล้วจะไม่ทำอะไร หลังจากทุกคนลงจากรถ คนร้ายได้ราดน้ำมันเบนซินใส่รถพร้อมจุดไฟเผา จนได้รับความเสียหายทั้งคัน จากนั้นคนร้ายได้เดินเข้าป่าหลบหนีไป
ด้านนางพวงสุดา โลแพทย์ อายุ 65 ปี ชาวเบตง 1 ในผู้โดยสาร เล่าว่า ได้นั่งรถทัวร์ดังกล่าวมาจาก อ.เบตง เพื่อไปพบแพทย์ที่กรุงเทพฯ เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ตอนแรกคิดว่าเป็นการเผายางของชาวบ้าน เนื่องจากราคายางตกต่ำ จากนั้นคนร้ายได้ขึ้นมาบนรถทัวร์ พร้อมบอกให้ทุกคนลงจากรถทั้งหมด โดยกลุ่มคนร้ายเข้ามาช่วยหิ้วกระเป๋าให้ พร้อมบอกว่าไม่เอาชีวิต จะเอารถอย่างเดียว ตนตกใจและกลัวมาก จึงลงจากรถอย่างรวดเร็วเข้าไปหลบบริเวณป่าข้างทาง โดยผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ได้วิ่งไปหลบในป่าเป็นเวลาเกือบชั่วโมง โชคดีที่คนร้ายไม่เอาชีวิต
วันต่อมา 18 ธ.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เบื้องต้นทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลในพื้นที่ แต่ยังไม่ขอเจาะจงว่าเป็นกลุ่มใด แต่ได้มีการเฝ้าจับตากลุ่มของนายอาหะมะ ลือแบซา แกนนำอาร์เคเคในพื้นที่ อ.บันนังสตา ที่มีลักษณะการก่อเหตุเป็นขบวนการ และเชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้เป็นเพียงการข่มขู่ให้ตกใจกลัวเท่านั้น
วันเดียวกัน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้นำทีมแถลงว่า จากการตรวจสอบพฤติกรรมของคนร้ายพบว่า มุ่งทำลายทรัพย์สินเป็นหลัก สอดคล้องกับภาพข่าวความเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.บันนังสตาในช่วงที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มคนร้ายยังคงพยายามสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อทำลายความเชื่อมั่น ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาตามโครงการ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของรัฐบาล ที่ได้รับกระแสตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นทิ้ง โดยเฉพาะปัญหาภัยแทรกซ้อน หรือความขัดแย้งอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจให้คนร้ายเลือกก่อเหตุครั้งนี้
ทั้งนี้ มีรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ว่า จากการวิเคราะห์และจากการลงพื้นที่หาข่าว พบว่า ปัจจัยสำคัญที่คนร้ายเลือกปฏิบัติการครั้งนี้ อาจเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่จากกรณีเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายซอบรี เจ๊ะแว แกนนำระดับปฏิบัติการในพื้นที่ อ.บันนังสตา พร้อมพวกอีก 5 คน ในพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนายซอบรี เป็นมือขวาของนายอับดุลเลาะ ตาเป๊าะโต๊ะ หัวหน้าฝ่ายกองกำลัง รับผิดชอบพื้นที่ อ.บันนังสตา อ.ธารโต และ อ.กรงปินัง
นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ 4 รายแล้ว ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภาค 9 ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องและรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์กรณีคนร้ายไล่ผู้โดยสารลงจากรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพฯ ก่อนจุดไฟเผา พร้อมทั้งเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ก่อนเผยว่า จากการสอบสวนพยาน จำนวน 20 ปาก พบว่าพยานได้ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งเรื่องความมั่นคง ความขัดแย้งผลประโยชน์ หรือการฝึกกำลังพลใหม่ของกลุ่มขบวนการ
ส่วนเรื่องการทิ้งใบปลิวหลังเกิดเหตุนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ เบื้องต้นยังไม่ทราบที่มา สำหรับผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว 4 คน อยู่ระหว่างการสอบสวน โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อมต่างๆให้มากที่สุด
5.หยุดยาวปีใหม่ ผ่อนผันนั่งกระบะ หากเมาแล้วขับถึงขั้นยึดรถ ฉลองปีใหม่ห้ามยิงปืน-จุดประทัด-ดอกไม้เพลิง-ปล่อยโคมลอย!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2561 และเผยหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ปีนี้เจ้าหน้าที่เน้นบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับ เพิ่มด่านตรวจตามนโยบายลดอุบัติเหตุ และว่า ปีใหม่นี้ยังผ่อนผันเรื่องการนั่งท้ายรถกระบะ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ให้อำนวยความสะดวกกับประชาชน ยกเว้นกรณีที่ส่อให้เกิดอันตราย เช่น นั่งบนขอบกระบะ หรือมีการดื่มสุราจนมึนเมา แบบนี้ผ่อนผันไม่ได้ ส่วนกรณีเมาแล้วขับ จะร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงตั้งจุดสกัดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หากพบว่าผู้ขับขี่รายใดดื่มสุราเกินกว่ากฎหมายกำหนด จะยึดรถไว้ชั่วคราว ก่อนที่เจ้าของจะนำเอกสารมาขอรับคืนในภายหลัง
ส่วนมาตรการนำร่องสวมหมวกนิรภัย 100% ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลก่อนบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ โดยช่วงแรก หากตำรวจตั้งด่านพบผู้ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อค จะว่ากล่าวตักเตือน และไม่ให้ขับขี่ต่อ จนกว่าผู้ขับขี่จะหาหรือนำหมวกกันน็อคมาใส่ ยืนยันว่า ตำรวจไม่มีอำนาจยึดรถผู้ขับขี่ที่กระทำผิดไม่สวมหมวกนิรภัยได้ แต่หากมีเหตุให้สงสัยว่า ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายข้ออื่น ตำรวจก็จะใช้ดุลพินิจตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบได้ ยืนยัน มาตรการดังกล่าวไม่ได้เปิดช่องให้ตำรวจเรียกรับผลประโยชน์
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นวันหยุดยาว ได้สั่งการและกำชับให้ทุกหน่วยในสังกัดระดมกวาดล้างอาชญากรรม ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งขอความร่วมมือสถานที่ต่างๆ ที่จัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้แจ้งเตือนประชาชนห้ามยิงปืน จุดประทัด ดอกไม้เพลิง หรือปล่อยโคมลอย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการห้ามดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่หรือขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถอย่างเข้มงวด นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยให้ทุกสถานีตำรวจเปิดรับฝากบ้านจากประชาชนตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2560-3 ม.ค.2561
1.“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจ ม.44 แก้ กม.พรรคการเมือง-รีเซตสมาชิกพรรค อ้างเปิดทางให้เปลี่ยนใจได้ !
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุม คสช.ได้พิจารณากรณีที่หลายพรรคหลายกลุ่มการเมืองทำหนังสือถึง คสช. รัฐบาล คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้หาวิธีแก้ปัญหาเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่กำหนดระยะเวลาให้พรรคการเมืองปรับฐานข้อมูลสมาชิกพรรคภายใน 90 วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 5 ม.ค.2561 ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องหาวิธีแก้ปัญหา ที่ประชุม คสช.จึงคิดว่า ในขั้นต้นอาจต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ปัญหานี้ เพื่อขยายเวลาที่บังคับไว้ในกฎหมายพรรคการเมือง ดังนั้นทั้งประชาชน พรรคการเมืองเก่า และพรรคการเมืองใหม่ ไม่ต้องกังวล ยังมีโอกาสที่จะดำเนินการทางธุรการต่างๆ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวจะมีการตั้งพรรคทหารและให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อด้วยว่า ยังไม่เห็นมีทหารที่ไหนตั้งพรรคการเมืองให้ ใครตั้งก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวกับตน และว่า ได้ถามนายสมคิดว่า ไปตั้งพรรคทหารหรือ นายสมคิดบอกว่า ไม่ได้ตั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ใช้อำนาจตาม ม.44 เรื่อง การดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองแล้ว ทั้งนี้ คำสั่งสรุปว่า กิจกรรมที่กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองต้องดำเนินการนั้นล้วนมีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองทั้งสิ้น เพราะมุ่งจะให้พรรคการเมืองทั้งที่จัดตั้งขึ้นแล้ว และที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองของประชาชน คือ สมาชิกมีความผูกพันกับพรรคการเมือง มีการชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ฯลฯ
ดังนั้น เพื่อให้มาตรการเกี่ยวกับพรรคการเมืองได้ผลในการปฏิรูป และเพื่อให้การจัดทำทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง พร้อมทั้งการแสดงหลักฐานยืนยันตัวบุคคล ที่อยู่ เจตนารมณ์ และการชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อย ไม่สับสนหรือเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นก่อนแล้ว กับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ จึงควรให้เสรีภาพแก่บุคคลในการที่จะทบทวนการตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง โดยรอบคอบ ชัดเจน อิสระและสมัครใจ ไม่อยู่ภายใต้ความกดดันหรือข้อผูกพันใดๆ ด้วยการเป็นฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ โดยไม่ได้มีการสลายสมาชิกภาพแล้วเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแต่อย่างใด หัวหน้า คสช.จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 โดยความเห็นชอบของ คสช.มีคำสั่งให้ยกเลิกข้อความบางส่วนในมาตรา 140 มาตรา 141 และมาตรา 142 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และแก้ไขใหม่ในบางประเด็น เช่น
ให้สมาชิกพรรคการเมืองซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 24 และประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นต่อไป มีหนังสือยืนยันการเป็นสมาชิกต่อหัวหน้าพรรคการเมืองนั้น พร้อมทั้งแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม และชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว สมาชิกผู้ใดมิได้มีหนังสือแจ้งยืนยันการเป็นสมาชิก ให้ถือว่าพ้นจากสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น และให้พรรคการเมืองแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
ส่วนพรรคการเมืองต้องจัดให้มีทุนประเดิมจำนวน 1 ล้านบาท และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561, จัดให้สมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามจำนวนไม่น้อยกว่า 500 คนชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองสำหรับปี 2561 ภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 และให้พรรคการเมืองแจ้งให้คณะกรรมการทราบพร้อมด้วยหลักฐานการชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองสำหรับปีที่ พ.ร.ป.นี้ใช้บังคับภายใน 15 วันนับแต่วันพ้นระยะเวลาชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองดังกล่าว
ให้พรรคการเมืองจัดให้สมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ชำระเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 5 พันคนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 และให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคนภายใน 4 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เมื่อพ้นระยะเวลา 4 ปีดังกล่าวแล้ว ให้สมาชิกภาพของสมาชิกที่มิได้ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองเป็นอันสิ้นสุดลง และให้นายทะเบียนสมาชิกแจ้งให้นายทะเบียนทราบ ตามรายการและวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด
ให้พรรคการเมืองจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับและจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ป.นี้ และเลือกหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการพรรคการเมือง เหรัญญิกพรรคการเมือง นายทะเบียนสมาชิก และกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมือง ตามข้อบังคับของพรรคการเมืองที่แก้ไขใหม่ภายใน 90 วันนับแต่วันที่มีการยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้ พ.ร.ป.บางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองใดยังดำเนินการตามมาตรา 141 ที่แก้ไขใหม่ไม่ครบ พรรคการเมืองนั้นจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ และห้ามมิให้จัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้แก่พรรคการเมืองนั้นด้วย
นอกจากนี้ เพื่อให้การจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่สามารถดำเนินการทางธุรการและมีโอกาสเตรียมการเพื่อเข้าสู่ช่วงเวลาการทำกิจกรรมทางการเมืองไปพร้อมกับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นก่อนแล้ว ให้ผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ดำเนินการตามหมวด 1 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 แต่การประชุมเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองตามมาตรา 10 ต้องได้รับอนุญาตจาก คสช.และให้ดำเนินกิจกรรมได้เท่าที่ได้รับอนุญาตหรือตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด
ส่วนกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือคำสั่งนี้ ให้หารือคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) หรือ คสช. แล้วแต่กรณี
เป็นที่น่าสังเกตว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ให้เหตุผลที่ยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติด้วยว่า เพื่อไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาสอ้างการดำเนินการตามกฎหมายไปกระทำกิจกรรมทางการเมืองอื่น ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในบ้านเมือง และกระทบต่อบรรยากาศความสามัคคีปรองดอง
2.ครอบครัว “น้องเมย” เมินผลสอบกองทัพ เดินหน้าแจ้งความตำรวจ หวังได้รับความเป็นธรรม!
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่มี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นประธาน แถลงสรุปการเสียชีวิตของน้องเมยว่า เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่มีผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้ายจนเป็นเหตุให้น้องเมยเสียชีวิตแต่อย่างใด พร้อมให้เหตุผลที่ไม่ได้เชิญครอบครัวน้องเมยเข้ารับฟังการแถลงเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ว่า เพราะไม่ใช่คู่กรณีกัน จึงไม่อยากเห็นการตอบโต้กัน แต่จะเชิญครอบครัวน้องเมยเข้ารับฟังการชี้แจงในวันที่ 18 ธ.ค.นั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.อ.อ.ชวรัตน์เผยว่า ยังไม่ทราบว่าญาติของน้องเมยตอบรับมาฟังผลการสอบสวนของคณะกรรมการหรือไม่ แต่อยากให้ญาติมาฟังคำชี้แจง ส่วนที่มารดาน้องเมยติดใจภาพจากกล้องวงจรปิดที่หายไป 4 ชั่วโมง และภาพช่วงที่น้องเมยตกบันไดนั้น พล.อ.อ.ชวรัตน์ชี้แจงว่า บริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน หรือตลอด 24 ชั่วโมง แต่คณะกรรมการมีหลักฐาน และพยานแวดล้อมที่สอดคล้องกับคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์ “กองบัญชาการกองทัพไทยก็หัวอกเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ คือเป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะมาตีหรือให้ข้อมูลโต้ตอบไปมา เพียงแต่สงสัยอะไร ขอให้มาคุยกัน อยากได้ความกระจ่างในจุดไหน... สุดท้ายแล้ว หากเรื่องดังกล่าวต้องจบที่กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องว่ากันด้วยพยาน หลักฐาน เหตุผลทั้งหมด ไม่ใช่อิงกระแสสังคม การโฆษณา หรือการตอบโต้กันผ่านสื่อ”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ทางครอบครัวของน้องเมยไม่ได้เข้าฟังการชี้แจงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของน้องเมยตามที่มีการเชิญแต่อย่างใด จากนั้น วันต่อมา 19 ธ.ค. นายพิเชษฐ และนางสุกัญญา ตัญกาญจน์ พร้อมทั้ง น.ส.สุพิชชา บิดามารดาและพี่สาวน้องเมย ได้เข้าพบ พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกรณีน้องเมยเสียชีวิต
ต่อมา น.ส.สุพิชชา พี่สาวน้องเมยเผยว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งความ แต่ในข้อหาอะไร ขอเก็บข้อมูลไว้ให้พนักงานสอบสวนก่อน ส่วนการตรวจสอบดีเอ็นเอของน้องเมย ทางครอบครัวยังไม่ทราบผลการตรวจสอบ น.ส.สุพิชชายังได้ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจครอบครัวมาโดยตลอด พร้อมยืนยัน ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเสมอ
วันเดียวกัน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่า มารดาของ นตท.ภคพงศ์ พร้อมญาติได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เพื่อให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครนายก และ สภ.บ้านนา โดยได้นำพยานหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย
พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวด้วยว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยอาศัยพยานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ และยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิต ขอให้มั่นใจกระบวนการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสังคมต่อไป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงกรณีที่ครอบครัวน้องเมยไม่เข้าฟังผลสรุปของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของน้องเมยว่า ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอน ทางครอบครัวระบุว่า ยังไม่ว่างจึงยังไม่เดินทางมา หรือหากทางครอบครัวมีข้อสงสัยก็ถามมาได้ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ยืนยัน กองทัพไม่ปกปิดหรือปกป้อง ส่วนการแก้ปัญหาต่อไปนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หากแก้ด้วยความรู้สึกคงแก้ไม่ได้ ต้องแก้ด้วยกฎหมายและหลักการ พร้อมย้ำ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ซึ่งต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
3.ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง “นพรัตน์-พนม” อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กับพวก กรณีทุจริตเงินทอนวัดพนัญเชิง 13 ล้าน!
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กับพวก ร่วมกันทุจริตงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดของ พศ.ที่อนุมัติให้แก่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ประจำปีงบประมาณ 2557 และ 2558 จากการไต่สวนพบว่า พฤติการณ์ของขบวนการทุจริตเงินทอนวัด ได้มีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน โดยจะมีกลุ่มบุคคลทำหน้าที่ติดต่อวัดต่างๆ โดยแจ้งว่าจะมอบเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ และการพัฒนาวัด แต่มีเงื่อนไขว่า วัดจะต้องมอบเงินกลับคืนส่วนหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ในกิจการของ พศ. แต่ในทางปฏิบัติ กลับนำไปใช้เป็นการส่วนตัว
โดยการทุจริตปีงบประมาณ 2557 น.ส.ประนอม คงพิกุล ขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.กองพุทธศาสนสถาน ได้ติดต่อทางวัดพนัญเชิงว่า จะจัดสรรเงินอุดหนุนจำนวน 10 ล้านบาท แต่เมื่อวัดได้รับแล้ว ให้โอนเงิน 8 ล้านบาทกลับเข้าบัญชีเงินฝากของนางชมพูนุท จันฤาไชย ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดของนายนพรัตน์ ขณะที่นายนพรัตน์ เป็นผู้อนุมัติเงินอุดหนุน 10 ล้านบาทที่ น.ส.ประนอมเสนอมา
ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญานายนพรัตน์และ น.ส.ประนอม รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ส่วนนางชมพูนุทไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นผู้สนับสนุนในการทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนการทุจริตในปีงบประมาณ 2558 น.ส.ประนอมได้ไปติดต่อวัดพนัญเชิงอีกครั้ง แล้วแจ้งว่าจะโอนเงินอุดหนุนให้กับวัด 10 ล้านบาท แต่ครั้งนี้มีเงื่อนไขว่า วัดจะต้องคืนเงินสด 5 ล้านบาทให้กับ น.ส.ประนอม หลังจากนั้น น.ส.ประนอมได้จัดทำเอกสารการขออนุมัติเงินอุดหนุนให้นายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนผู้อำนวยการ พศ.เป็นผู้อนุมัติ เมื่อทางวัดได้รับเงิน 10 ล้านบาท จึงได้นำเงินสด 5 ล้านบาทมอบให้กับ น.ส.ประนอม โดยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญานายพนม และ น.ส.ประนอม รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ส่วนขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช.จะส่งรายงานและเอกสาร พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อศาลต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนวนการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตเงินทอนวัดใน ป.ป.ช.ขณะนี้ยังเหลืออีกกี่สำนวน นายวรวิทย์กล่าวว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ส่งมา 2 ล็อต รวม 35 คดี และยังมีที่ประชาชนร้องเรียนกรณีทุจริตเงินทอนวัดปีงบประมาณ 2557-2558 อีก 62 แห่ง รวมทั้งสิ้น 97 คดี ไต่สวนไปแล้ว 8 คดี โดยพฤติกรรมการทุจริตมีลักษณะคล้ายกัน และตัวละครเดียวกัน จึงคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาคดีที่เหลือไม่นาน โดย ป.ป.ช.จะค่อยๆ ทยอยดำเนินการไปทีละวัด
4.โจรใต้นับสิบเหิม ยึดรถทัวร์เบตง-กทม. ไล่ผู้โดยสารลง ก่อนเผารถเหลือแต่ซาก ด้าน จนท.รวบ 4 ผู้ต้องสงสัยแล้ว!
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เวลาประมาณ 14.20 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงรถทัวร์โดยสาร วิ่งระหว่างเบตง-กทม. เหตุเกิดบนถนนสาย 410 (บันนังสตา-เบตง) เขตรอยต่อหมู่ 5 บ้านกาโสด ต.บันนังสตา จ.ยะลา ส่งผลให้รถทัวร์ได้รับความเสียหาย โชคดีที่กลุ่มคนร้ายไม่ทำอะไรผู้โดยสารและคนขับรถ
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบต้นเหรียงขนาดใหญ่ถูกโค่นล้มขวางถนน มีตะปูเรือใบที่ตัดจากเหล็กเส้นกระจายเกลื่อนถนนเป็นระยะๆ รวมทั้งยางรถยนต์ถูกเผากลางถนน โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บตะปูเรือใบพ้นเส้นทาง รวมน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม ขณะที่รถทัวร์ได้ถูกเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง จึงประสานรถดับเพลิงเข้าควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบ
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ รถทัวร์คันดังกล่าว ซึ่งมีนายอับดุลเลาะ สะแบโบ เป็นคนขับ ได้ขับรถรับผู้โดยสารออกจากเขตเทศบาลเมืองเบตงมุ่งหน้าสู่ กทม. เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ พบคนร้ายประมาณ 10-15 คน แต่งกายคล้ายทหาร แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด แต่ละคนมีอาวุธครบมือ ชุดแรกใช้เลื่อยตัดต้นเหรียงโค่นล้มขวางถนน ชุดที่สองขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนโปรยตะปูเรือใบบนถนน ส่วนอีกชุดออกไปสกัดให้รถทัวร์หยุด จากนั้นได้บังคับให้นายมะรอวี ดิง พนักงานประจำรถเปิดประตู แล้วคนร้ายได้ขึ้นไปบนรถ ก่อนพูดภาษามลายูว่า ให้ผู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 15 คนลงจากรถ แล้วจะไม่ทำอะไร หลังจากทุกคนลงจากรถ คนร้ายได้ราดน้ำมันเบนซินใส่รถพร้อมจุดไฟเผา จนได้รับความเสียหายทั้งคัน จากนั้นคนร้ายได้เดินเข้าป่าหลบหนีไป
ด้านนางพวงสุดา โลแพทย์ อายุ 65 ปี ชาวเบตง 1 ในผู้โดยสาร เล่าว่า ได้นั่งรถทัวร์ดังกล่าวมาจาก อ.เบตง เพื่อไปพบแพทย์ที่กรุงเทพฯ เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ตอนแรกคิดว่าเป็นการเผายางของชาวบ้าน เนื่องจากราคายางตกต่ำ จากนั้นคนร้ายได้ขึ้นมาบนรถทัวร์ พร้อมบอกให้ทุกคนลงจากรถทั้งหมด โดยกลุ่มคนร้ายเข้ามาช่วยหิ้วกระเป๋าให้ พร้อมบอกว่าไม่เอาชีวิต จะเอารถอย่างเดียว ตนตกใจและกลัวมาก จึงลงจากรถอย่างรวดเร็วเข้าไปหลบบริเวณป่าข้างทาง โดยผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ได้วิ่งไปหลบในป่าเป็นเวลาเกือบชั่วโมง โชคดีที่คนร้ายไม่เอาชีวิต
วันต่อมา 18 ธ.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เบื้องต้นทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลในพื้นที่ แต่ยังไม่ขอเจาะจงว่าเป็นกลุ่มใด แต่ได้มีการเฝ้าจับตากลุ่มของนายอาหะมะ ลือแบซา แกนนำอาร์เคเคในพื้นที่ อ.บันนังสตา ที่มีลักษณะการก่อเหตุเป็นขบวนการ และเชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้เป็นเพียงการข่มขู่ให้ตกใจกลัวเท่านั้น
วันเดียวกัน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้นำทีมแถลงว่า จากการตรวจสอบพฤติกรรมของคนร้ายพบว่า มุ่งทำลายทรัพย์สินเป็นหลัก สอดคล้องกับภาพข่าวความเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.บันนังสตาในช่วงที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มคนร้ายยังคงพยายามสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อทำลายความเชื่อมั่น ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาตามโครงการ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของรัฐบาล ที่ได้รับกระแสตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นทิ้ง โดยเฉพาะปัญหาภัยแทรกซ้อน หรือความขัดแย้งอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจให้คนร้ายเลือกก่อเหตุครั้งนี้
ทั้งนี้ มีรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ว่า จากการวิเคราะห์และจากการลงพื้นที่หาข่าว พบว่า ปัจจัยสำคัญที่คนร้ายเลือกปฏิบัติการครั้งนี้ อาจเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่จากกรณีเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายซอบรี เจ๊ะแว แกนนำระดับปฏิบัติการในพื้นที่ อ.บันนังสตา พร้อมพวกอีก 5 คน ในพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนายซอบรี เป็นมือขวาของนายอับดุลเลาะ ตาเป๊าะโต๊ะ หัวหน้าฝ่ายกองกำลัง รับผิดชอบพื้นที่ อ.บันนังสตา อ.ธารโต และ อ.กรงปินัง
นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ 4 รายแล้ว ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภาค 9 ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องและรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์กรณีคนร้ายไล่ผู้โดยสารลงจากรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพฯ ก่อนจุดไฟเผา พร้อมทั้งเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ก่อนเผยว่า จากการสอบสวนพยาน จำนวน 20 ปาก พบว่าพยานได้ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งเรื่องความมั่นคง ความขัดแย้งผลประโยชน์ หรือการฝึกกำลังพลใหม่ของกลุ่มขบวนการ
ส่วนเรื่องการทิ้งใบปลิวหลังเกิดเหตุนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ เบื้องต้นยังไม่ทราบที่มา สำหรับผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว 4 คน อยู่ระหว่างการสอบสวน โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อมต่างๆให้มากที่สุด
5.หยุดยาวปีใหม่ ผ่อนผันนั่งกระบะ หากเมาแล้วขับถึงขั้นยึดรถ ฉลองปีใหม่ห้ามยิงปืน-จุดประทัด-ดอกไม้เพลิง-ปล่อยโคมลอย!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2561 และเผยหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ปีนี้เจ้าหน้าที่เน้นบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับ เพิ่มด่านตรวจตามนโยบายลดอุบัติเหตุ และว่า ปีใหม่นี้ยังผ่อนผันเรื่องการนั่งท้ายรถกระบะ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ให้อำนวยความสะดวกกับประชาชน ยกเว้นกรณีที่ส่อให้เกิดอันตราย เช่น นั่งบนขอบกระบะ หรือมีการดื่มสุราจนมึนเมา แบบนี้ผ่อนผันไม่ได้ ส่วนกรณีเมาแล้วขับ จะร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงตั้งจุดสกัดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หากพบว่าผู้ขับขี่รายใดดื่มสุราเกินกว่ากฎหมายกำหนด จะยึดรถไว้ชั่วคราว ก่อนที่เจ้าของจะนำเอกสารมาขอรับคืนในภายหลัง
ส่วนมาตรการนำร่องสวมหมวกนิรภัย 100% ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลก่อนบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ โดยช่วงแรก หากตำรวจตั้งด่านพบผู้ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อค จะว่ากล่าวตักเตือน และไม่ให้ขับขี่ต่อ จนกว่าผู้ขับขี่จะหาหรือนำหมวกกันน็อคมาใส่ ยืนยันว่า ตำรวจไม่มีอำนาจยึดรถผู้ขับขี่ที่กระทำผิดไม่สวมหมวกนิรภัยได้ แต่หากมีเหตุให้สงสัยว่า ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายข้ออื่น ตำรวจก็จะใช้ดุลพินิจตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบได้ ยืนยัน มาตรการดังกล่าวไม่ได้เปิดช่องให้ตำรวจเรียกรับผลประโยชน์
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นวันหยุดยาว ได้สั่งการและกำชับให้ทุกหน่วยในสังกัดระดมกวาดล้างอาชญากรรม ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งขอความร่วมมือสถานที่ต่างๆ ที่จัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้แจ้งเตือนประชาชนห้ามยิงปืน จุดประทัด ดอกไม้เพลิง หรือปล่อยโคมลอย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้จะบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการห้ามดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่หรือขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถอย่างเข้มงวด นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยให้ทุกสถานีตำรวจเปิดรับฝากบ้านจากประชาชนตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2560-3 ม.ค.2561