จากอดีตพนักงานสายการบินไทย ที่มีความสนใจทางด้านศิลปะอยู่ในตัว จนตัดสินใจลาออกจากงานที่รัก เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของที่บ้านในด้านการทอผ้า มาในวันนี้ “มีชัย แต้สุจริยา” หรือ “อาจารย์เถ่า” แห่งผ้าไหมบ้านคำปุน ก็ได้สานต่อศิลปะในการทอผ้าดังกล่าว ออกมาให้เป็นอีกหนึ่งของดีขึ้นชื่อแห่งเมืองอุบลฯ ที่เขานับว่าเป็นบ้าน และมีเจตนารมณ์ที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดในด้านที่ตนเองถนัดต่อไป

ลูกหลานแห่งการทอผ้า
จุดเริ่มต้นของความสนใจ
ด้วยความที่มีชัย ได้คลุกคลีกับกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงทำให้เขาเริ่มสนใจและรักในศิลปะแห่งการทอผ้า แต่ด้วยความเชื่อบางอย่างที่อาจจะขัดต่อความชอบของเขา นั่นจึงทำให้เด็กน้อยในวันนั้น จึงกลายเป็นลูกมือของที่บ้านในการทำผ้าแต่ละผืนไปก่อนในวันนี้
“จริงๆ แล้ว คนอีสานทุกคน ที่เกิดมาในรุ่นราวคราวเดียวกับผมเนี่ย จะเห็นเรื่องกี่ทอผ้า เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่พิเศษหน่อย คือ คุณยายน้อย สีใส ซึ่งเป็นคุณยายของผม ท่านเป็นคนที่ทำผ้าเยอะ เรียกเพื่อนบ้านมาทำแบบเอสเอ็มอี ในปัจจุบัน ยายก็ให้แต่ละคนทำ ก็รวมกลุ่มทอผ้า
“ในส่วนตัวผมเอง ถามว่ามาทำเรื่องผ้าเลยมั้ย โดยส่วนตัวก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน ว่าจะมาทำงานที่ยายทำ เพราะว่าอย่างหนึ่งคือ คนอีสานเขาห้ามผู้ชายทอผ้า สิ่งที่คุณยายทำได้คือ ทำกี่ทอผ้า ทำฟืนทอผ้าให้ ทีนี้สิ่งที่เป็นธรรมเนียม ก็คือ เคยเอาเครื่องมือทอผ้าของคุณยายมาซ่อม เป็นของเก่าที่คุณยายได้ตกทอดมาอีกทีหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 แล้วผมก็เป็นรุ่นที่ 4 ปรากฏว่าเครื่องมือที่เขาเรียกว่าเก็บเส้นไหมเนี่ย เป็นงานที่ประณีตมาก แกะสลักเป็นพญานาคแล้วปิดทอง อันนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงอยู่ในครอบครัวเรา แล้วงานทอผ้าถ้าใครไม่ขยันเนี่ย เป็นงานที่น่ากลัวครับ เพราะว่าฟืนมันจะทำให้น้ำตาไหล แต่ว่าการที่เราเข้าไปคลุกคลี เพราะว่าสงสารยาย ไปช่วยยาย และก็ให้ยายได้มีโอกาสที่คนอื่นทำงานให้ซึ่งประยุกต์ได้มากกว่านี้ ก็เลยถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยยาย

“เราก็คิดว่าทำยังไงที่จะเอาความเป็นเด็กของเราเอามาช่วยยายได้ เราก็ได้เปรียบยาย ได้เปรียบป้า แล้วอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ที่ไม่เคยเข้าใจสังคมคนเมืองเลย ก็เลยเกิดความคิดที่จะทำ เห็นสังคมที่ไกลจากชาวไร่ชาวนาที่นี่ แล้วก็ทราบว่าท่านต้องการอะไร สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสะพานเชื่อม แต่ว่าเราจะเชื่อมถึงยายได้ยังไง ก็เหมือนกับการเป็นดีไซเนอร์ในตอนเป็นเด็ก เราบอกให้แม่ คุณป้า คุณยาย ที่ทอผ้าตามชนบทนั้น จะไปรับใช้สังคมได้ยังไง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญมาก
ขอเลือกงานศิลปะที่บ้าน
ตัดสินใจลาจากงานประจำ
เมื่อได้เข้าสู่โลกแห่งการทำงาน มีชัยก็ได้เข้าไปทำงานในส่วนของพนักงานของการบินไทย ซึ่งนับว่าเป็นความชอบในการทำงานด้วยเช่นกัน แต่เมื่อความเป็นศิลป์เข้ามาอยู่ในใจของเขาจนต้องตัดสินใจที่จะเลือกในช่วงระหว่างทางของชีวิต ผลลัพธ์ครั้งนั้น คือ การขอลาออกจากอีกด้านของงานที่รัก เพื่อสืบทอดเจตนาของทางบ้าน และทิ้งช่วงเวลากว่า 3 ปี กับการบินไทยไว้เป็นเบื้องหลัง
“ที่จริงตอนที่ไปทำครั้งแรก ทำตามที่กำหนดขั้นต่ำ คือ 3 ปี ถึงจะไม่โดนปรับ ก็จะทำสัก 3-4 ปีแล้วกัน แล้วเราก็จะกลับมาทำผ้าเราต่อ เพราะว่าเป็นงานอื่นที่ไม่มี ก็คือ ความอิสระ เราสามารถคิดในสิ่งที่เราฝันได้ ว่าเราอยากจะทำผ้า อย่างๆ งี้ ก็มีหลายๆ ท่านที่ยอมรับในความคิดเรา และก็มีหลายๆ คนที่ไม่ได้คิดว่าเราจะทำอะไรต่อ ส่วนตัวเราเองก็คิดว่า เดี๋ยวเราก็กลับมาทำงานนี้ แล้วพอเราคิดว่าเราจะกลับมา เราก็คิดถึงว่าที่นี่คือบ้านเรา ซึ่งตอนแรก เพื่อนก็ชวนไปอยู่ลอนดอน เราก็ลังเล เพราะก็คิดว่าทำงานศิลปะได้หลายอย่าง แต่พอกลับมาบ้านทีไร มันก็เป็นที่ของเรา อุบลคือที่ที่จะต้องกลับ ฉะนั้นเราก็ต้องกลับมาที่นี่ เพราะที่นี่มีใครครับ มีพ่อแม่ที่จะต้องมาดูแล แล้วก็มีเวลาที่น้อยลงทุกที เลยตัดสินใจว่าลาออก ทั้งๆ ที่รักงานการบินไทยมาก

“ถ้าทำงานที่เรารัก เราก็ไม่มีวันเหนื่อยหน่าย แล้วเวลาของเรามีค่ามาก ทำยังไงที่จะให้เราทำงานได้เป็นอย่างดี ก็เป็นที่มาที่ไปที่เราขอพ่อว่า กลับมาแล้วเราจะขอเปลี่ยนชื่อร้านได้มั้ย จากชื่อร้าน แต้ห่วงหมง ซึ่งตอนนี้ก็ไม่เหมาะแล้ว ที่จะทำผ้าขาย มันควรจะมีแบรนด์เป็นชื่อแม่ เป็น คำปุน แล้วเราก็เอาสิ่งที่เรามีอยู่เนี่ยครับ มาเป็นกำลังให้เราสามารถทำต่อไปได้ ในที่สุดก็เกิดชื่อ โรงงานทอผ้าคำปุน ซึ่งความตั้งใจแรก เราไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นในส่วนของแหล่งท่องเที่ยว แต่เป็นที่ที่จะให้พ่อแม่เราอยู่อย่างสุขสบาย แล้วก็ใช้เดินออกกำลังกาย พ่อก็ใช้สนามแห่งนี้เป็นที่ออกกำลัง จนได้สมความตั้งใจ ได้ทำให้คนที่เรารักได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
“ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เราทำและคุ้มค่าคือ ได้ทำงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นให้กับบ้านเกิด แต่ที่อุบลเราที่บอกว่าเป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรมสูง แล้วด้านสถาปัตย์ของเราอยู่ไหน คือมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจมากเกินไป จนลืมสถาปัตย์ด้านนี้ ลืมเรื่องศิลปะท้องถิ่น ลืมเรื่องกี่ทอผ้าไปแล้ว ก็อยากจะให้ที่นี่ได้ฝากให้กับคนรุ่นหลังว่า เรามีศิลปวัฒนธรรมนะ เช่นเดียวกับวันนี้ ที่เราทำดอกผึ้ง เป็นพื้นฐานของคนอุบลที่ก่อนที่จะทำงานเทียนยิ่งใหญ่ เราต้องรู้รากเหง้าของเราเองว่า เราคือใคร แล้วสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราไม่ได้อีโก้ แต่เป็นสิ่งที่เป็นกำลังใจให้เราทำเพื่อบ้านเกิดเราได้ แล้วกำลังนี้เป็นแรงผลักดันให้เราทำได้มากกว่าเงิน ถึงแม้ว่าจะทำงานอื่น มีรายได้มาก แต่สิ่งที่เราทำ อาจจะมีปีติยินดีในใจที่ได้ทำเพื่อบ้านเกิดเรา

วิถีดั้งเดิมแห่งการทอผ้า
รักษาความเป็นตัวตนไว้
เมื่อได้เข้ามาสืบทอดเจตนารมณ์ของครอบครัว เขากับผ้าไหมบ้านคำปุน จึงได้ย้อนเวลาให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของการทอผ้า ซึ่งทางมีชัยก็บอกว่า ถ้าโลกอุตสาหกรรมหยุดชะงักไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้ายังมีการทอผ้าแบบในอดีต อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ต่อลมหายใจในการดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา พร้อมกับการจัดงานบุญต่างๆ เพื่อนำรายได้มาจุนเจือบ้านผ้าไหมแห่งนี้ ให้มีชีวิตในการทอผ้าของเมืองอุบลต่อไป
“คงต้องเรียกว่าโรงงานทอผ้านะครับ เพราะว่าที่นี่คือทำงานปกติ ปกติเราจะมีช่างประมาณ 20-30 คน แล้วทุกคนก็รับผิดชอบกี่ทอผ้าของตัวเองครับ อย่างเวลาที่เริ่มต้นทุกครั้งในการทอผ้า ก็จะเป็นเส้นยืน คอจะต้องมาต่อทุกครั้ง ก็มาต่อทีละจุดทั้งเส้นเก่าและเส้นใหม่ แล้วเอามาต่อ เพื่อบิดให้พันกัน เหมือนกับการขึ้นผ้าน่ะครับ แล้วที่นี่ก็ใช้เครื่องมือแบบเก่าหมด ซึ่งก็ใช้เส้นไหมแบบธรรมชาติ อันนี้เราค่อยๆ มาทีละนิด เนื่องจากว่า ต้องฝึกให้มีสมาธิกับงาน ช้าๆ และมีความละเอียด เพราะว่างานต่อไปจะยากขึ้นกว่านี้อีก ถ้าเราทำงานแบบนี้ไม่ได้ เราก็จะทำงานยากไม่ได้
“ส่วนในการจะนำเทคโนโลยีมาช่วยนั้น ถามว่าทำไมถึงยังรักษาวิธีการรูปแบบดั้งเดิม เพราะสิ่งดังกล่าวไม่ใช่เป้าหมายเรา เพราะว่าถ้าเกิดสักวันหนึ่ง ที่มีการปิดประเทศ ที่นี่ก็ยังทอผ้าได้ แค่มีไม้ กับ ไม้ไผ่ ก็สามารถสร้างงานประณีตมีค่า สามารถที่จะทำงานโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกได้เลย อันนี้เป็นเรื่องภูมิปัญญาที่จะต้องรักษา ที่นี่อาจจะทำงานแบบไดโนเสาร์ แต่เราพร้อมที่จะทำงานแบบนี้ แล้วให้คนอื่นมาดูว่า แค่มีความเพียรพยายาม และมีใจที่ไม่ย่อท้ออย่างเดียว เราก็สามารถที่จะทำงานในลักษณะนี้ได้

“คือเราก็เอางานของเราเนี่ยครับ เราก็เอารายได้ที่เราทำบุญ ซึ่งที่จัดมาไม่ใช่ปีละครั้ง เรามีหน้าที่ที่จะดูแลเรื่องวัดวาอารามอยู่แล้ว เพราะว่า นับตั้งแต่ที่เราจัดงานครั้งแรก เมื่อประมาณ 18 ปีก่อน เราจัดมาเพื่อไปหาทุนไปซ่อมแซมศาลาการเปรียญหลังหนึ่ง ที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมมาก นั่นก็เป็นจุดกำเนิดของทางบ้านคำปุน โดยมี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ เสด็จมาเปิดพิพิธภัณฑ์ ที่นี่ก็เหมือนกับให้คนรุ่นใหม่ได้มาศึกษา เพราะสิ่งที่เราทำมา ไม่ได้สูญเปล่าเลยครับ จะเห็นได้ว่า เราได้สร้าง รักษา สมบัติที่มีค่าของชาติ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ ก็เป็นกำลังใจให้บ้านคำปุน
“ก็เริ่มแรกคือ จัดงานเพื่อซ่อมแซมวัดต่างๆ ตอนหลัง เราคิดได้ว่า ไม่ใช่มีแค่วัดอย่างเดียว เราก็หารายได้มาเพื่อเด็กๆ ด้วย ก็เลยเกิดโครงการอาหารกลางวันให้เด็กๆ คือสิ่งเหล่านี้ ต้องการรายได้เพื่อการกุศล ก็ไม่ใช่ แต่ที่บ้านคำปุนอยู่ได้ คือผ้าที่นี่มีชื่อเสียง เพราะว่าเราทำงานมานาน ทำด้วยมือ และมีดีไซน์ที่ไม่ซ้ำแบบ และสิ่งที่เราทำก็มีคุณค่าให้มีผู้สนับสนุนหลายท่าน รอผ้าเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปีละผืน หรือ 2 ปีต่อ หนึ่งผืนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นรายได้ ที่ไม่ได้หาเลี้ยงแต่บ้านคำปุน แต่เราสามารถที่จะทำคืนให้สังคมด้วย และเราก็ไม่ได้เอาเปรียบสังคม แต่ว่าเราก็จะช่วยให้มีความสุขึ้นได้ สิ่งที่เราได้ทำไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เรานึกถึง มันก็มีความสุขทุกครั้ง เรียกว่ากุศลไม่ได้หายไปไหนเลย
รูปแบบในการนำเสนอ
คือปัจจัยหลักของบ้านคำปุน
เช่นเดียวกัน ด้วยความที่ผ้าไหมบ้านคำปุน มีการจัดแสดงในส่วนของพิพิธภัณฑ์และส่วนในการจัดแสดงไปด้วย นั่นจึงทำให้มีชัย เริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดการของสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง เพื่อผลงานที่ทางบ้านผ้าไหมแห่งนี้ ได้ผ่านการรังสรรค์อย่างมีคุณภาพให้สมกับเป็นผ้าไหมแห่งเมืองอุบลนั่นเอง

“เราสร้างมาเพื่อให้ทุกๆ อาคารเป็นเป้าหมายตำแหน่งเฉพาะ อย่างโรงทอผ้า ราเรียกตรงนี้ว่าโรงงาน แล้วอีก 2 หลัง เป็นที่พักอาศัย ส่วนตรงกลาง เรียกว่าห้องพระ ที่อาจจะใหญ่นิดนึง ที่นี่ตั้งใจสร้างเพื่อเป็นที่ทำบุญเลี้ยงพระประจำปี เช่นวันเกิดแม่ มันเหมือนห้องที่ทำงานการกุศลโดยเฉพาะของครอบครัว ยามที่คุณพ่อผมเสีย เราก็ตั้งศพไว้ที่นี่ เราก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัย แล้วที่สำคัญอย่างหนึ่ง ก็มีส่วนพื้นที่รับรองแขกไว้ดูงานทอตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรียกว่าเป็นห้องรับแขก ห้องเทศกาลชั่วคราว แล้วต่อไปก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งถ้าภายภาคหน้าเสร็จ ที่นี่อาจจะรับแขกน้อยลงก็ได้ เพราะว่าต้องรักษาความสงบและส่วนตัวมากขึ้น
“ผมคิดว่าเงินมันจะทำให้มีความสุขได้ตลอดนะครับ อย่างเช่นว่าถ้าเราพร้อมก็จะช่วยเหลือเขา แค่อาหารกลางวัน 1 มื้อ อาจจะมากกว่าการสร้างอะไรใหญ่โตสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง อันนี้คือการได้ไปทำกิจกรรมที่เราได้ช่วยเหลือโรงเรียนและกิจกรรมอื่นๆ ตลอดมา
“อันนี้คือเราจะเปลี่ยนนิทรรศการไปเรื่อยๆ ครับ แต่ปีนี้มันจะซ้ำกันตรงที่ว่า เราอยู่ในช่วงที่ได้รับรางวัลระดับโลกครับ ชิ้นนี้คือผ้าที่ทำมาเมื่อ 30 ปีก่อนครับ ส่วนผ้าที่ออกแบบมาอุบลเลย คือผ้าลายดอกบัวครับ เรียกว่าผ้าลายกาบบัว ก็จะรวมเทคนิคต่างๆ ซึ่งชื่อศัพท์นี้ มันแปลว่า ผ้าลายของอุบล ก็จะเป็นเทคนิคเฉพาะของที่นี่ เราแค่เอาเทคนิค 4 อย่าง คือ เส้นซิ่นทิว แล้วมีเส้นหางกระรอกเล็กๆ เรียกว่ามับไม และเรียกว่ามัดหมี่ และมีขิด เรียกว่ามี 4 เทคนิคนี้ ก็เรียกว่าผ้ากาบบัวครับ
“จริงๆ แล้ว เทคนิค 4 อย่างที่รวมกัน ช่างอาจจะเลือกเทคนิคเดียวกันนี้ แต่เป็นลายอื่น เรียกว่าเราต้องการรักษาภูมิปัญญามากกว่าลวดลาย เพราะว่าลวดลายสามารถเข้ากับยุคสมัยได้ ซึ่งเมื่อปี 2557 ที่เราออกแบบภาพกาบบัวมา 17 ปี แล้วได้รับการขึ้นทะเบียกกระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาของชาติ แต่ว่าสิ่งที่เรามีความสุขในการทำผ้ากาบบัว ก็คือ ให้คนที่ทำอาชีพทอผ้าแบบเดียวกับเรา หรือว่าคนอุบลคนอื่นก็ตาม ให้ได้มีอาชีพทอผ้า สามารถนำไปสร้างรายได้จากสัมมาอาชีพได้ อันนี้คือเรื่องที่น่าภูมิใจ”

อุปสรรคผ่านไปได้
ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ
นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ ผ้าไหมบ้านคำปุน ได้รับใช้ในแง่สถาปัตย์ศิลปะทางด้านการทอผ้าให้กับเมืองอุบลฯ และประเทศไทย จนเป็นที่ยมอมรับในวงกว้างในที่สุด ซี่งแน่นอนว่า การเดินทางในระหว่างทางของมีชัยและผ้าไหมบ้านคำปุนก็ต้องเจอปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่เขาก็มีคติต่อสิ่งนี้ที่ว่า ถ้ามีความรักต่อสิ่งที่ทำ ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จเอง ซึ่งจากที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดนั้น ก็ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันนั่นเอง
“อย่างหนึ่งเราเป็นชาวพุทธนะครับ เรามีครูบาอาจารย์ เราก็รู้สึกว่า ทำไมงานเราถึงปรุงแต่งแล้วคิดว่าต้องงาม อยากให้คนอื่นเห็นว่างามด้วย เราจะคิดว่ามันดีมั้ย ถ้าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทำสัมมาอาชีพ ถามว่าเราสามารถทำมันได้มั้ย แล้วงานนี้มันมีฉันทะ มีความสุขความพอใจในการทำงาน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ทุกๆ ท่านไม่ว่าจะอยากสร้างอะไร อยากจะเป็นดารา หรืออยากจะเป็นใครซักคนหนึ่ง ก็ขอให้ทำด้วยความไม่ฝืน แล้วจะทำให้งานนั้นมีความสุขได้ อันที่หนึ่งคือ ต้องเกิดประโยชน์ของเรา อาจจะหมายถึง พ่อแม่เราด้วย
อันที่สองคือผู้ร่วมงานของเรา หรือคนที่เป็นลูกน้องเราที่เราต้องดูแล เรียกว่าพอเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน แล้วมีความรักในงาน มีความเพียรทำในสิ่งที่ยาก เอาชนะความเกียจคร้านได้ นั่นคือความสำเร็จในการทำงานเลยครับ ซึ่งในแต่ละท่าน ไม่ว่าจะล่าฝันยังไงก็ตาม ก็ขอฝากในเรื่องการดำรงชีวิตในการทำงาน ความคิดที่ว่า ถ้าท่านทำในสิ่งที่ท่านรัก สิ่งนั้นเป็นความสำเร็จในการทำงานครับ

“ผมคิดว่าสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิต ก็เป็นเรื่องที่เราทำหลายอย่างมาก งานทุกอย่างมันมีอุปสรรค มีปัญหาทั้งหมดครับ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่มีกำลังทำงานสานต่อไปได้ก็คือกำลังใจ กำลังใจเราไม่อาจหาจากภายนอกได้นะครับ กำลังใจต้องเกิดจากใจของตัวเอง คือสิ่งที่เราทำงานแล้วรักจากการทำงาน คือใจที่ดีที่สุด เพราะว่าการที่เรารักในการทำงาน เราจะต้องปรับปรุงงานที่เราทำให้มีความก้าวหน้า มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ผมอยากจะบอกว่า นอกจากที่เราทำประโยชน์กับตัวเองแล้ว ก็อาจจะไม่มีความสุขพอ ไม่มีความสำเร็จที่ว่า เราควรจะได้รับแค่นั้นนะครับ
“เพราะว่าถ้าเราทำงานแล้วประโยชน์เกิดขึ้นกับคนอื่นได้ เช่นสิ่งที่ผมทำอยู่นี้ บ้านคำปุนที่สร้างมา ก็จะตอบแทนบ้านเกิดส่วนหนึ่ง เพราะอยากให้ที่นี่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการทอผ้า และสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเรา ให้สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ถึงร่านต่อไป เพราะฉะนั้น ในการทำธุรกิจก็ตาม จะเห็นได้ว่า ถ้าธุรกิจของเราสามารรถสร้างแรงบันดาลใจ แล้วก็สร้างความรักในสิ่งที่เรารักได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งครับ ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากจะฝากก็คือ ขอให้ทุกท่านได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะว่าความรักนั้น เมื่อเราได้ทำแล้ว ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในการทำงานของเราครับ

ข้อมูล : รายการ “คนล่าฝัน”
เรียบเรียง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ลูกหลานแห่งการทอผ้า
จุดเริ่มต้นของความสนใจ
ด้วยความที่มีชัย ได้คลุกคลีกับกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงทำให้เขาเริ่มสนใจและรักในศิลปะแห่งการทอผ้า แต่ด้วยความเชื่อบางอย่างที่อาจจะขัดต่อความชอบของเขา นั่นจึงทำให้เด็กน้อยในวันนั้น จึงกลายเป็นลูกมือของที่บ้านในการทำผ้าแต่ละผืนไปก่อนในวันนี้
“จริงๆ แล้ว คนอีสานทุกคน ที่เกิดมาในรุ่นราวคราวเดียวกับผมเนี่ย จะเห็นเรื่องกี่ทอผ้า เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่พิเศษหน่อย คือ คุณยายน้อย สีใส ซึ่งเป็นคุณยายของผม ท่านเป็นคนที่ทำผ้าเยอะ เรียกเพื่อนบ้านมาทำแบบเอสเอ็มอี ในปัจจุบัน ยายก็ให้แต่ละคนทำ ก็รวมกลุ่มทอผ้า
“ในส่วนตัวผมเอง ถามว่ามาทำเรื่องผ้าเลยมั้ย โดยส่วนตัวก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกัน ว่าจะมาทำงานที่ยายทำ เพราะว่าอย่างหนึ่งคือ คนอีสานเขาห้ามผู้ชายทอผ้า สิ่งที่คุณยายทำได้คือ ทำกี่ทอผ้า ทำฟืนทอผ้าให้ ทีนี้สิ่งที่เป็นธรรมเนียม ก็คือ เคยเอาเครื่องมือทอผ้าของคุณยายมาซ่อม เป็นของเก่าที่คุณยายได้ตกทอดมาอีกทีหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 แล้วผมก็เป็นรุ่นที่ 4 ปรากฏว่าเครื่องมือที่เขาเรียกว่าเก็บเส้นไหมเนี่ย เป็นงานที่ประณีตมาก แกะสลักเป็นพญานาคแล้วปิดทอง อันนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงอยู่ในครอบครัวเรา แล้วงานทอผ้าถ้าใครไม่ขยันเนี่ย เป็นงานที่น่ากลัวครับ เพราะว่าฟืนมันจะทำให้น้ำตาไหล แต่ว่าการที่เราเข้าไปคลุกคลี เพราะว่าสงสารยาย ไปช่วยยาย และก็ให้ยายได้มีโอกาสที่คนอื่นทำงานให้ซึ่งประยุกต์ได้มากกว่านี้ ก็เลยถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยยาย
“เราก็คิดว่าทำยังไงที่จะเอาความเป็นเด็กของเราเอามาช่วยยายได้ เราก็ได้เปรียบยาย ได้เปรียบป้า แล้วอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ที่ไม่เคยเข้าใจสังคมคนเมืองเลย ก็เลยเกิดความคิดที่จะทำ เห็นสังคมที่ไกลจากชาวไร่ชาวนาที่นี่ แล้วก็ทราบว่าท่านต้องการอะไร สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสะพานเชื่อม แต่ว่าเราจะเชื่อมถึงยายได้ยังไง ก็เหมือนกับการเป็นดีไซเนอร์ในตอนเป็นเด็ก เราบอกให้แม่ คุณป้า คุณยาย ที่ทอผ้าตามชนบทนั้น จะไปรับใช้สังคมได้ยังไง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญมาก
ขอเลือกงานศิลปะที่บ้าน
ตัดสินใจลาจากงานประจำ
เมื่อได้เข้าสู่โลกแห่งการทำงาน มีชัยก็ได้เข้าไปทำงานในส่วนของพนักงานของการบินไทย ซึ่งนับว่าเป็นความชอบในการทำงานด้วยเช่นกัน แต่เมื่อความเป็นศิลป์เข้ามาอยู่ในใจของเขาจนต้องตัดสินใจที่จะเลือกในช่วงระหว่างทางของชีวิต ผลลัพธ์ครั้งนั้น คือ การขอลาออกจากอีกด้านของงานที่รัก เพื่อสืบทอดเจตนาของทางบ้าน และทิ้งช่วงเวลากว่า 3 ปี กับการบินไทยไว้เป็นเบื้องหลัง
“ที่จริงตอนที่ไปทำครั้งแรก ทำตามที่กำหนดขั้นต่ำ คือ 3 ปี ถึงจะไม่โดนปรับ ก็จะทำสัก 3-4 ปีแล้วกัน แล้วเราก็จะกลับมาทำผ้าเราต่อ เพราะว่าเป็นงานอื่นที่ไม่มี ก็คือ ความอิสระ เราสามารถคิดในสิ่งที่เราฝันได้ ว่าเราอยากจะทำผ้า อย่างๆ งี้ ก็มีหลายๆ ท่านที่ยอมรับในความคิดเรา และก็มีหลายๆ คนที่ไม่ได้คิดว่าเราจะทำอะไรต่อ ส่วนตัวเราเองก็คิดว่า เดี๋ยวเราก็กลับมาทำงานนี้ แล้วพอเราคิดว่าเราจะกลับมา เราก็คิดถึงว่าที่นี่คือบ้านเรา ซึ่งตอนแรก เพื่อนก็ชวนไปอยู่ลอนดอน เราก็ลังเล เพราะก็คิดว่าทำงานศิลปะได้หลายอย่าง แต่พอกลับมาบ้านทีไร มันก็เป็นที่ของเรา อุบลคือที่ที่จะต้องกลับ ฉะนั้นเราก็ต้องกลับมาที่นี่ เพราะที่นี่มีใครครับ มีพ่อแม่ที่จะต้องมาดูแล แล้วก็มีเวลาที่น้อยลงทุกที เลยตัดสินใจว่าลาออก ทั้งๆ ที่รักงานการบินไทยมาก
“ถ้าทำงานที่เรารัก เราก็ไม่มีวันเหนื่อยหน่าย แล้วเวลาของเรามีค่ามาก ทำยังไงที่จะให้เราทำงานได้เป็นอย่างดี ก็เป็นที่มาที่ไปที่เราขอพ่อว่า กลับมาแล้วเราจะขอเปลี่ยนชื่อร้านได้มั้ย จากชื่อร้าน แต้ห่วงหมง ซึ่งตอนนี้ก็ไม่เหมาะแล้ว ที่จะทำผ้าขาย มันควรจะมีแบรนด์เป็นชื่อแม่ เป็น คำปุน แล้วเราก็เอาสิ่งที่เรามีอยู่เนี่ยครับ มาเป็นกำลังให้เราสามารถทำต่อไปได้ ในที่สุดก็เกิดชื่อ โรงงานทอผ้าคำปุน ซึ่งความตั้งใจแรก เราไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นในส่วนของแหล่งท่องเที่ยว แต่เป็นที่ที่จะให้พ่อแม่เราอยู่อย่างสุขสบาย แล้วก็ใช้เดินออกกำลังกาย พ่อก็ใช้สนามแห่งนี้เป็นที่ออกกำลัง จนได้สมความตั้งใจ ได้ทำให้คนที่เรารักได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
“ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เราทำและคุ้มค่าคือ ได้ทำงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นให้กับบ้านเกิด แต่ที่อุบลเราที่บอกว่าเป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรมสูง แล้วด้านสถาปัตย์ของเราอยู่ไหน คือมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจมากเกินไป จนลืมสถาปัตย์ด้านนี้ ลืมเรื่องศิลปะท้องถิ่น ลืมเรื่องกี่ทอผ้าไปแล้ว ก็อยากจะให้ที่นี่ได้ฝากให้กับคนรุ่นหลังว่า เรามีศิลปวัฒนธรรมนะ เช่นเดียวกับวันนี้ ที่เราทำดอกผึ้ง เป็นพื้นฐานของคนอุบลที่ก่อนที่จะทำงานเทียนยิ่งใหญ่ เราต้องรู้รากเหง้าของเราเองว่า เราคือใคร แล้วสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราไม่ได้อีโก้ แต่เป็นสิ่งที่เป็นกำลังใจให้เราทำเพื่อบ้านเกิดเราได้ แล้วกำลังนี้เป็นแรงผลักดันให้เราทำได้มากกว่าเงิน ถึงแม้ว่าจะทำงานอื่น มีรายได้มาก แต่สิ่งที่เราทำ อาจจะมีปีติยินดีในใจที่ได้ทำเพื่อบ้านเกิดเรา
วิถีดั้งเดิมแห่งการทอผ้า
รักษาความเป็นตัวตนไว้
เมื่อได้เข้ามาสืบทอดเจตนารมณ์ของครอบครัว เขากับผ้าไหมบ้านคำปุน จึงได้ย้อนเวลาให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของการทอผ้า ซึ่งทางมีชัยก็บอกว่า ถ้าโลกอุตสาหกรรมหยุดชะงักไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้ายังมีการทอผ้าแบบในอดีต อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ต่อลมหายใจในการดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา พร้อมกับการจัดงานบุญต่างๆ เพื่อนำรายได้มาจุนเจือบ้านผ้าไหมแห่งนี้ ให้มีชีวิตในการทอผ้าของเมืองอุบลต่อไป
“คงต้องเรียกว่าโรงงานทอผ้านะครับ เพราะว่าที่นี่คือทำงานปกติ ปกติเราจะมีช่างประมาณ 20-30 คน แล้วทุกคนก็รับผิดชอบกี่ทอผ้าของตัวเองครับ อย่างเวลาที่เริ่มต้นทุกครั้งในการทอผ้า ก็จะเป็นเส้นยืน คอจะต้องมาต่อทุกครั้ง ก็มาต่อทีละจุดทั้งเส้นเก่าและเส้นใหม่ แล้วเอามาต่อ เพื่อบิดให้พันกัน เหมือนกับการขึ้นผ้าน่ะครับ แล้วที่นี่ก็ใช้เครื่องมือแบบเก่าหมด ซึ่งก็ใช้เส้นไหมแบบธรรมชาติ อันนี้เราค่อยๆ มาทีละนิด เนื่องจากว่า ต้องฝึกให้มีสมาธิกับงาน ช้าๆ และมีความละเอียด เพราะว่างานต่อไปจะยากขึ้นกว่านี้อีก ถ้าเราทำงานแบบนี้ไม่ได้ เราก็จะทำงานยากไม่ได้
“ส่วนในการจะนำเทคโนโลยีมาช่วยนั้น ถามว่าทำไมถึงยังรักษาวิธีการรูปแบบดั้งเดิม เพราะสิ่งดังกล่าวไม่ใช่เป้าหมายเรา เพราะว่าถ้าเกิดสักวันหนึ่ง ที่มีการปิดประเทศ ที่นี่ก็ยังทอผ้าได้ แค่มีไม้ กับ ไม้ไผ่ ก็สามารถสร้างงานประณีตมีค่า สามารถที่จะทำงานโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกได้เลย อันนี้เป็นเรื่องภูมิปัญญาที่จะต้องรักษา ที่นี่อาจจะทำงานแบบไดโนเสาร์ แต่เราพร้อมที่จะทำงานแบบนี้ แล้วให้คนอื่นมาดูว่า แค่มีความเพียรพยายาม และมีใจที่ไม่ย่อท้ออย่างเดียว เราก็สามารถที่จะทำงานในลักษณะนี้ได้
“คือเราก็เอางานของเราเนี่ยครับ เราก็เอารายได้ที่เราทำบุญ ซึ่งที่จัดมาไม่ใช่ปีละครั้ง เรามีหน้าที่ที่จะดูแลเรื่องวัดวาอารามอยู่แล้ว เพราะว่า นับตั้งแต่ที่เราจัดงานครั้งแรก เมื่อประมาณ 18 ปีก่อน เราจัดมาเพื่อไปหาทุนไปซ่อมแซมศาลาการเปรียญหลังหนึ่ง ที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมมาก นั่นก็เป็นจุดกำเนิดของทางบ้านคำปุน โดยมี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ เสด็จมาเปิดพิพิธภัณฑ์ ที่นี่ก็เหมือนกับให้คนรุ่นใหม่ได้มาศึกษา เพราะสิ่งที่เราทำมา ไม่ได้สูญเปล่าเลยครับ จะเห็นได้ว่า เราได้สร้าง รักษา สมบัติที่มีค่าของชาติ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ ก็เป็นกำลังใจให้บ้านคำปุน
“ก็เริ่มแรกคือ จัดงานเพื่อซ่อมแซมวัดต่างๆ ตอนหลัง เราคิดได้ว่า ไม่ใช่มีแค่วัดอย่างเดียว เราก็หารายได้มาเพื่อเด็กๆ ด้วย ก็เลยเกิดโครงการอาหารกลางวันให้เด็กๆ คือสิ่งเหล่านี้ ต้องการรายได้เพื่อการกุศล ก็ไม่ใช่ แต่ที่บ้านคำปุนอยู่ได้ คือผ้าที่นี่มีชื่อเสียง เพราะว่าเราทำงานมานาน ทำด้วยมือ และมีดีไซน์ที่ไม่ซ้ำแบบ และสิ่งที่เราทำก็มีคุณค่าให้มีผู้สนับสนุนหลายท่าน รอผ้าเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปีละผืน หรือ 2 ปีต่อ หนึ่งผืนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นรายได้ ที่ไม่ได้หาเลี้ยงแต่บ้านคำปุน แต่เราสามารถที่จะทำคืนให้สังคมด้วย และเราก็ไม่ได้เอาเปรียบสังคม แต่ว่าเราก็จะช่วยให้มีความสุขึ้นได้ สิ่งที่เราได้ทำไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เรานึกถึง มันก็มีความสุขทุกครั้ง เรียกว่ากุศลไม่ได้หายไปไหนเลย
รูปแบบในการนำเสนอ
คือปัจจัยหลักของบ้านคำปุน
เช่นเดียวกัน ด้วยความที่ผ้าไหมบ้านคำปุน มีการจัดแสดงในส่วนของพิพิธภัณฑ์และส่วนในการจัดแสดงไปด้วย นั่นจึงทำให้มีชัย เริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดการของสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง เพื่อผลงานที่ทางบ้านผ้าไหมแห่งนี้ ได้ผ่านการรังสรรค์อย่างมีคุณภาพให้สมกับเป็นผ้าไหมแห่งเมืองอุบลนั่นเอง
“เราสร้างมาเพื่อให้ทุกๆ อาคารเป็นเป้าหมายตำแหน่งเฉพาะ อย่างโรงทอผ้า ราเรียกตรงนี้ว่าโรงงาน แล้วอีก 2 หลัง เป็นที่พักอาศัย ส่วนตรงกลาง เรียกว่าห้องพระ ที่อาจจะใหญ่นิดนึง ที่นี่ตั้งใจสร้างเพื่อเป็นที่ทำบุญเลี้ยงพระประจำปี เช่นวันเกิดแม่ มันเหมือนห้องที่ทำงานการกุศลโดยเฉพาะของครอบครัว ยามที่คุณพ่อผมเสีย เราก็ตั้งศพไว้ที่นี่ เราก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัย แล้วที่สำคัญอย่างหนึ่ง ก็มีส่วนพื้นที่รับรองแขกไว้ดูงานทอตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรียกว่าเป็นห้องรับแขก ห้องเทศกาลชั่วคราว แล้วต่อไปก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งถ้าภายภาคหน้าเสร็จ ที่นี่อาจจะรับแขกน้อยลงก็ได้ เพราะว่าต้องรักษาความสงบและส่วนตัวมากขึ้น
“ผมคิดว่าเงินมันจะทำให้มีความสุขได้ตลอดนะครับ อย่างเช่นว่าถ้าเราพร้อมก็จะช่วยเหลือเขา แค่อาหารกลางวัน 1 มื้อ อาจจะมากกว่าการสร้างอะไรใหญ่โตสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง อันนี้คือการได้ไปทำกิจกรรมที่เราได้ช่วยเหลือโรงเรียนและกิจกรรมอื่นๆ ตลอดมา
“อันนี้คือเราจะเปลี่ยนนิทรรศการไปเรื่อยๆ ครับ แต่ปีนี้มันจะซ้ำกันตรงที่ว่า เราอยู่ในช่วงที่ได้รับรางวัลระดับโลกครับ ชิ้นนี้คือผ้าที่ทำมาเมื่อ 30 ปีก่อนครับ ส่วนผ้าที่ออกแบบมาอุบลเลย คือผ้าลายดอกบัวครับ เรียกว่าผ้าลายกาบบัว ก็จะรวมเทคนิคต่างๆ ซึ่งชื่อศัพท์นี้ มันแปลว่า ผ้าลายของอุบล ก็จะเป็นเทคนิคเฉพาะของที่นี่ เราแค่เอาเทคนิค 4 อย่าง คือ เส้นซิ่นทิว แล้วมีเส้นหางกระรอกเล็กๆ เรียกว่ามับไม และเรียกว่ามัดหมี่ และมีขิด เรียกว่ามี 4 เทคนิคนี้ ก็เรียกว่าผ้ากาบบัวครับ
“จริงๆ แล้ว เทคนิค 4 อย่างที่รวมกัน ช่างอาจจะเลือกเทคนิคเดียวกันนี้ แต่เป็นลายอื่น เรียกว่าเราต้องการรักษาภูมิปัญญามากกว่าลวดลาย เพราะว่าลวดลายสามารถเข้ากับยุคสมัยได้ ซึ่งเมื่อปี 2557 ที่เราออกแบบภาพกาบบัวมา 17 ปี แล้วได้รับการขึ้นทะเบียกกระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาของชาติ แต่ว่าสิ่งที่เรามีความสุขในการทำผ้ากาบบัว ก็คือ ให้คนที่ทำอาชีพทอผ้าแบบเดียวกับเรา หรือว่าคนอุบลคนอื่นก็ตาม ให้ได้มีอาชีพทอผ้า สามารถนำไปสร้างรายได้จากสัมมาอาชีพได้ อันนี้คือเรื่องที่น่าภูมิใจ”
อุปสรรคผ่านไปได้
ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ
นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ ผ้าไหมบ้านคำปุน ได้รับใช้ในแง่สถาปัตย์ศิลปะทางด้านการทอผ้าให้กับเมืองอุบลฯ และประเทศไทย จนเป็นที่ยมอมรับในวงกว้างในที่สุด ซี่งแน่นอนว่า การเดินทางในระหว่างทางของมีชัยและผ้าไหมบ้านคำปุนก็ต้องเจอปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่เขาก็มีคติต่อสิ่งนี้ที่ว่า ถ้ามีความรักต่อสิ่งที่ทำ ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จเอง ซึ่งจากที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดนั้น ก็ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันนั่นเอง
“อย่างหนึ่งเราเป็นชาวพุทธนะครับ เรามีครูบาอาจารย์ เราก็รู้สึกว่า ทำไมงานเราถึงปรุงแต่งแล้วคิดว่าต้องงาม อยากให้คนอื่นเห็นว่างามด้วย เราจะคิดว่ามันดีมั้ย ถ้าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทำสัมมาอาชีพ ถามว่าเราสามารถทำมันได้มั้ย แล้วงานนี้มันมีฉันทะ มีความสุขความพอใจในการทำงาน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ทุกๆ ท่านไม่ว่าจะอยากสร้างอะไร อยากจะเป็นดารา หรืออยากจะเป็นใครซักคนหนึ่ง ก็ขอให้ทำด้วยความไม่ฝืน แล้วจะทำให้งานนั้นมีความสุขได้ อันที่หนึ่งคือ ต้องเกิดประโยชน์ของเรา อาจจะหมายถึง พ่อแม่เราด้วย
อันที่สองคือผู้ร่วมงานของเรา หรือคนที่เป็นลูกน้องเราที่เราต้องดูแล เรียกว่าพอเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน แล้วมีความรักในงาน มีความเพียรทำในสิ่งที่ยาก เอาชนะความเกียจคร้านได้ นั่นคือความสำเร็จในการทำงานเลยครับ ซึ่งในแต่ละท่าน ไม่ว่าจะล่าฝันยังไงก็ตาม ก็ขอฝากในเรื่องการดำรงชีวิตในการทำงาน ความคิดที่ว่า ถ้าท่านทำในสิ่งที่ท่านรัก สิ่งนั้นเป็นความสำเร็จในการทำงานครับ
“ผมคิดว่าสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิต ก็เป็นเรื่องที่เราทำหลายอย่างมาก งานทุกอย่างมันมีอุปสรรค มีปัญหาทั้งหมดครับ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่มีกำลังทำงานสานต่อไปได้ก็คือกำลังใจ กำลังใจเราไม่อาจหาจากภายนอกได้นะครับ กำลังใจต้องเกิดจากใจของตัวเอง คือสิ่งที่เราทำงานแล้วรักจากการทำงาน คือใจที่ดีที่สุด เพราะว่าการที่เรารักในการทำงาน เราจะต้องปรับปรุงงานที่เราทำให้มีความก้าวหน้า มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ผมอยากจะบอกว่า นอกจากที่เราทำประโยชน์กับตัวเองแล้ว ก็อาจจะไม่มีความสุขพอ ไม่มีความสำเร็จที่ว่า เราควรจะได้รับแค่นั้นนะครับ
“เพราะว่าถ้าเราทำงานแล้วประโยชน์เกิดขึ้นกับคนอื่นได้ เช่นสิ่งที่ผมทำอยู่นี้ บ้านคำปุนที่สร้างมา ก็จะตอบแทนบ้านเกิดส่วนหนึ่ง เพราะอยากให้ที่นี่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการทอผ้า และสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเรา ให้สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ถึงร่านต่อไป เพราะฉะนั้น ในการทำธุรกิจก็ตาม จะเห็นได้ว่า ถ้าธุรกิจของเราสามารรถสร้างแรงบันดาลใจ แล้วก็สร้างความรักในสิ่งที่เรารักได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งครับ ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากจะฝากก็คือ ขอให้ทุกท่านได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะว่าความรักนั้น เมื่อเราได้ทำแล้ว ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในการทำงานของเราครับ
ข้อมูล : รายการ “คนล่าฝัน”
เรียบเรียง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช