MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง mgronline.com และเฟซบุ๊ก MGR Online Live แฮชแท็ก #MGROnline #MGRTOP7
หมายเหตุ : เนื่องจากเว็บไซต์ MGR Online กำลังปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ ต้องการชมเนื้อหาย้อนหลัง คลิก https://bit.ly/mgrtop7 ขออภัยในความไม่สะดวก
สรุปข่าวประจำวันที่ 9 - 15 ธ.ค. 2560
อันดับ 1 : ตกบันได 8 ขั้นตาย? ผลสอบ "น้องเมย" กองทัพไทยอ้างหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การเสียชีวิตของ "น้องเมย" นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 แม้ผลการชันสูตรจะยังไม่ครบถ้วน เพราะอวัยวะภายในที่ได้รับมาเพิ่มเติมถูกแช่ฟอร์มาลีนจนเสื่อมสภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ต้องส่งให้โรงพยาบาลรามาธิบดีไปตรวจพิสูจน์อีกครั้ง แต่เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งมี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธาน ระบุว่าในวันที่ 17 ต.ค. นตท.ภคพงศ์ มีอาการคล้ายไฮเปอร์เวนติเลชั่น และมีอาการเครียดสูง ไม่ได้ถูกลงโทษหรือทำร้ายร่างกาย ส่วนวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งมีรอยฟกช้ำตามร่างกายนั้น นตท.ภคพงศ์ลื่นเสียหลักตกบันได 8 ขั้นจากชั้น 2 ก่อนนอนตะแคงซ้าย มือกุมหน้าอก แต่เมื่อเอกซเรย์ไม่พบการบาดเจ็บภายใน ก่อนที่จะกลับมาพักที่บ้าน
หลังกลับเข้าโรงเรียน คืนวันที่ 15 ต.ค. นักเรียนบังคับบัญชาเห็นว่ายังมีวินัยไม่ดี จึงปลุกให้ไปออกกำลังกายในห้องเซานา ส่วน นตท.ภคพงษ์และเพื่อนอีก 2 คนที่ป่วย แยกตัวสั่งยึดพื้นกว่า 1 ชั่วโมง เช้าวันที่ 16 ต.ค. เห็นว่านักเรียนทั้งกองร้อยเดินแถวไม่เรียบร้อย จึงสั่งลงโทษวิ่งรอบโรงอาหาร 100 เมตร แต่ นตท.ภคพงศ์ วิ่งช้า จึงสั่งให้กระโดดกบ 20 เมตร และสั่งเลิกพร้อมทำให้เข้าแถว เพื่อให้คำขอบคุณ แต่ นตท.ภคพงศ์ ไม่พอใจ จึงนำตัวไปที่โต๊ะอาหารและสั่งให้พุ่งหลัง 1-2 นาที จนมีอาการฟุบลงไป แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้มีอาการต่อเนื่องจนเสียชีวิต สรุปไม่มีใครสั่งลงโทษ ทำร้าย แต่เกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ถึงกระนั้น ทั้งมารดาและพี่สาวเห็นว่า สิ่งที่กองทัพไทยได้แถลงรู้อยู่แล้วว่าต้องออกมาแถลงแบบนี้ กำลังรอผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์ และเตรียมเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองนครนายกเร็วๆ นี้
อันดับ 2 : ลดราวาศอก! "ประยุทธ์" ป้อง "บิ๊กป้อม" สวมแหวนเพชร-นาฬิกาหรู ขู่สื่อจะดุกว่าเดิม
กรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สวมนาฬิกายี่ห้อ ริชาร์ด มิลล์ และแหวนทองคำขาวหัวเพชร ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านบาท แต่ไม่ระบุในรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วนที่เป็นทรัพย์สินมูลค่าเกิน 200,000 บาท ทำให้สังคมยังคงเคลือบแคลงสงสัย แต่เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอร้องสื่อมวลชนให้ลดราวาศอกกันบ้าง กฎหมายว่าอย่างไร ก็ไปว่ากันตามขั้นตอน อย่ามองในทางที่แย่ทั้งหมด พร้อมกับชี้ว่าชี้ว่า สื่อต้องการตีให้แตกออกจากตน และขู่ว่า ยิ่งไม่มีคนอยู่ด้วยก็จะยิ่งดุ กว่าเดิม จะใช้อำนาจอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม แม้ พล.อ.ประวิตรจะเลี่ยงตอบคำถามสื่อมานานกว่า 1 สัปดาห์ อีกทั้ง ป.ป.ช. ก็ยังไม่ได้รับคำชี้แจง แต่เฟซบุ๊ก CSI LA โพสต์ภาพ พล.อ.ประวิตรสวมนาฬิกาหรูที่ข้อมือขวาอีกเรือนขณะกำลังลูบศีรษะเด็กนักเรียน เป็นยี่ห้อเดียวกัน พร้อมโพสต์ข้อความว่า เจออีกแล้ว นักสืบโซเชียลทำงานกันหนักแล้วเจอริชาร์ด มิลล์ รุ่นอาร์เอ็ม 30 มูลค่า 4 ล้านบาท อีกเรือนที่ใส่ไปจันทบุรี วันที่ 11 ก.ย. 2560 ในฐานะประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด นำคณะมอบเงินสินไหมทดแทนเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติช้างป่า และทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
อันดับ 3 : จับ "ฟลุ๊กศรี มณีเด้ง" สะเทือนบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจฟันแหลก-ผิดกฎหมาย
เน็ตไอดอลชื่อดังถูกจับกุม สะเทือนไปถึงบุหรี่ไฟฟ้าครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อตีห้า วันที่ 10 ธ.ค. ด่านตรวจความมั่นคง ถนนพัทยากลาง เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พบ น.ส.มนุษยา เยาวรัตน์ อายุ 29 ปี หรือ "ฟลุ้กศรี มณีเด้ง" เน็ตไอดอลชื่อดัง ขับรถยี่ห้อมิตซูบิชิ สีดำ ทะเบียน ขร 7454 ชลบุรี ตรวจค้นพบบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมน้ำยา ซุกซ่อนอยู่ภายในคอลโซลรถยนต์ เจ้าตัวจึงคว้าโทรศัพท์มือถือมาถ่ายคลิป พร้อมกับโวยวายต่อว่าด้วยความไม่พอใจ เมื่อมาถึง สภ.เมืองพัทยา พูดจาโวยวายไม่ยอมให้ควบคุมตัวเข้าห้องขัง ลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวฟ้องศาล และศาลได้ให้ประกันตัวผู้ต้องหาออกมาในวงเงิน 1 แสนบาท ขณะที่ฟลุ้กศรีได้โพสต์ภาพลงโซเชียลมีเดียว่า ถูกตำรวจกระชากคอ กระชากหัว และเลสข้อมือหายไป
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตำรวจ ยืนยันว่า ตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ได้ทำร้ายผู้ต้องหา และระบุอีกด้วยว่า บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ผู้ใดจำหน่ายหรือครอบครองมีความผิดตามกฎหมาย ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์ข้อความกล่าวหาให้ตำรวจได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ตำรวจหลายพื้นที่ได้จับกุมผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก อาทิ สภ.เมืองพัทยา จับกุมบุหรี่ไฟฟ้า 37 เครื่อง และน้ำยา 542 ขวด ได้ที่ ซอยเทพประสิทธิ์ 7 หรือจะเป็นชุดป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดโดยใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ต จับกุมบุหรี่ไฟฟ้า 40 เครื่อง และน้ำยา 3,500 ขวด จากพ่อค้าบนเฟซบุ๊กที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นต้น
อันดับ 4 : หวยอลเวง! สางปม 5 คดีใครเศรษฐีตัวจริง หนุ่มบุรีรัมย์ฝันสลายดีเอ็นเอไม่พบ
คดีการอ้างสิทธิ์ในสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลที่ 1 ตำรวจสอบสวนกลางยังคงคลี่คลายคดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีล่าสุดอย่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ ที่ถูกรางวัล 30 ล้านบาท และถูกนายปรีชา ใคร่ครวญ ข้าราชการครูแจ้งความกล่าวหาว่าสลากกินแบ่งถูกขโมย โดยมีแม่ค้ามายืนยัน ตำรวจกองปราบปรามได้สอบสวนทั้งสองฝ่าย ซึ่ง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ยังมีคดีในลักษณะเดียวกันอีก 4 คดี ประกอบด้วยคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์, อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี, เขตประเวศ กรุงเทพฯ และ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี โดยสั่งให้สืบสวนขยายผล เพราะเชื่อว่าแต่ละคดีน่าจะมีเบื้องหลัง เป็นไปได้ที่อาจจะมีการวางแผนการกระทำความผิดอย่างเป็นขบวนการ
ส่วนคดีที่นายพันธุ์ศักดิ์ เสือชุมแสง เข้าแจ้งความกับ สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลของตนที่ถูกรางวัล 12 ล้านบาท ถูกขโมย และมีสองสามีภรรยาชาว จ.ร้อยเอ็ดเป็นผู้ไปขึ้นเงินรางวัล แต่ทั้งคู่เข้าให้ปากคำว่าถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 3 คู่ไม่ใช่ 2 คู่ ได้เงินรางวัล 18 ล้านบาทนั้น ผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งดีเอ็นเอและลายนิ้วแฝงไม่พบลายนิ้วมือแฝงของนายพันธ์ศักดิ์ แต่มีลายนิ้วมือของนายวิทยา และนางขวัญศิริ ซึ่งนายพันธ์ศักดิ์ ยอมรับผลการตรวจดีเอ็นเอ และอยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสลากกินแบ่งรัฐบาลของตนได้หายไปจริง ไม่มีเจตนาใส่ร้าย
อันดับ 5 : ทวงหนี้โหด! จุดไฟเผาบ้าน เหตุไม่ใช้คืน 1 หมื่น เจ้าตัวอ้างแค่ขู่ให้กลัว
กลายเป็นการทวงหนี้โหดแบบโจ๋งครึ่ม เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. โลกโซเชียลวิจารณ์คลิปเฟซบุ๊กไลฟ์ของ "ท็อป ฮาวดี้" หนุ่มเจ้าหนี้รายหนึ่ง ขณะเดินทางไปบ้านของลูกหนี้ แต่ลูกหนี้ไม่ออกจากบ้านนำเงินมาคืน จึงได้ให้เพื่อนเฟซบุ๊กไลฟ์ขณะที่ตัวเองด่าทอ ก่อนใช้น้ำมันราดเผาบ้านลูกหนี้ทันที จนฝาบ้านได้รับความเสียหาย ต่อมาทราบชื่อคือ นายอาทิตย์ จักรคุ้ม อายุ 26 ปี ก่อเหตุเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 7 บ้านกาละโก ต.แคนดง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ สาเหตุเนื่องจาก นายวรายุทธ โพธิ์เงิน อายุ 29 ปี ไม่ยอมใช้หนี้คืน 10,000 บาท ก่อนที่บิดาของนายวรายุทธซึ่งเป็นเจ้าของบ้านแจ้งความ และขออำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์อนุมัติหมายจับนายอาทิตย์ ต่อมาวันที่ 13 ธ.ค. ตำรวจจับกุมตัวนายอาทิตย์ได้ที่บ้านแฟนสาว และจับกุมนายคมสัน พรมสุรินทร์ อายุ 27 ปี คนที่ถือมือถือถ่ายคลิปในวันเกิดเหตุ
นายอาทิตย์สารภาพว่า ที่ไปจุดไฟเผาบ้านเพราะต้องการข่มขู่ให้นายวรายุทธ ลูกหนี้หวาดกลัว จะได้นำเงินที่ยืมไปล่าสุดเมื่อ 3 เดือนก่อนจำนวน 10,000 บาท มาคืนให้เท่านั้น ที่ผ่านมาเมื่อยืมแล้วไม่ยอมนำเงินมาคืนตามที่สัญญา และไม่เคยติดต่อกลับด้วย จึงเกิดความโมโห ประกอบกับเมาสุรา แต่ไม่ได้มีเจตนาจะเผาบ้านทั้งหลังให้เสียหาย ซึ่งหากทำจริงคงไหม้หมดทั้งหลังแล้ว ยอมรับว่าภาพที่ปรากฏออกไปอาจจะดูรุนแรง จึงอยากฝากขอโทษสังคมที่ทำตัวอย่างไม่ดี หากย้อนกลับไปได้ก็คงไม่คิดทำ เพราะไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ด้านนายวรายุทธ ระบุว่า ไม่ได้กู้ยืมเงิน แต่ติดเงินมารดานายอาทิตย์ ที่ช่วยประกันตัวในคดีเสพสารเสพติด เมื่อวันที่ 10 ต.ค. และได้กรีดยางเพื่อใช้หนี้ไปแล้ว แต่แม่นายอาทิตย์ให้หยุด จึงไปทำงานรับจ้างอย่างอื่น ไม่ได้มีเจตนาจะเบี้ยว และอยากถามว่าถ้าเป็นเพื่อนกันจริงไม่น่าทำรุนแรงขนาดนี้
อันดับ 6 : นักข่าวหลอน! เฟซบุ๊กอ้าง "เสี่ย" เสนอ 2 แสนแลกเป็นเมียเก็บ
นักข่าวสาวถูกคุกคามทางเพศคราวนี้ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. น.ส.กาลเวลา เสาเรือน หรือปอเปี๊ยะ อายุ 31 ปี ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ เข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) หลังจากพบผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ยื่นข้อเสนอให้เป็นภรรยาลับ สัญญาจ้าง 6 เดือน โดยให้เงิน 220,000 บาท ต่อเดือน มีเงื่อนไขว่าต้องเจอกันเดือนละ 3 ครั้งในวันที่ 5, 15 และ 25 ของเดือน นัดเซ็นสัญญากันในวันที่ 11 ธ.ค. ต่อมาเริ่มมีวีดีโอคอล และออกอุบายว่าให้เปิดกล้องแสดงตัวตน กระทั่งผู้ก่อเหตุเสนอเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังส่งภาพโป๊เปลือยของผู้หญิงคนอื่น อ้างว่าเป็นผู้หญิงที่กำลังดูแลอยู่ และส่งรูปอวัยวะเพศสำเร็จความใคร่ จึงได้เข้าแจ้งความดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังแจ้งความพบว่า ผู้ก่อเหตุยังวิดีโอคอลมาอีก จึงบังหน้ากล้องแล้วพูดถามไป ก่อนใช้มือถือถ่ายอัดคลิปไปด้วย แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมเปิดหน้า หรือพูดคุยส่งเสียงอะไรมาเลย นานอยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนตัดสายไป และเมื่อไปเปิดดู เฟซบุ๊กปรากฏว่าปิดไปแล้ว หลังจากเป็นข่าว มีผู้หญิง 3-4 คน ขอปรึกษากรณีโดนบุคคลในเฟซบุ๊กมายื่นข้อเสนอเงินหลักแสน เพื่อแลกกับการเป็นภรรยาน้อยเหมือนกัน ซึ่งตนให้คำปรึกษาว่าให้เก็บรวบรวมหลักฐาน และจะปรึกษาหารือว่าควรต้องรวมตัวกันออกมาร้องเรียนตำรวจหรือหน่วยงานอื่นๆ ตนมองว่าอาจเป็นขบวนการแบล็กเมล์ หากเหยื่อสาวหลงเชื่อ ส่งรูปโป๊เปลือย หรือเปิดวิดีโอให้เป็นภาพขณะเปลือยอาจถูกแคปหน้าจอ สุดท้ายอาจถูกข่มขู่เรียกเงินทีหลังก็เป็นได้
อันดับ 7 : ปิดตำนาน 37 ปี "คู่สร้างคู่สม" นิตยสารคู่แม่บ้าน "ดำรง" ขอพักผ่อนไปใช้เงิน
เป็นที่ชัดเจนว่าจะปิดตัวลงแล้ว สำหรับนิตยสารคู่สร้างคู่สม ซึ่งตีพิมพ์ยาวนานถึง 37 ปี เมื่อมีข่าวสะพัดในแวดวงหนังสือว่า จะตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นฉบับสุดท้ายในวันที่ 20 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ สอดคล้องกับทายาทร้านหนังสือในจังหวัดพิษณุโลก ระบุเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่า "เรื่องช็อกอันดับท็อป ๆ ของปีนี้ คู่สร้างคู่สม กล่าวอำลา เป็นหัวหนังสือที่คิดว่าจะไปเป็นคนสุดท้าย ทำไมทำกันอย่างนี้" สอดคล้องกับรายงานข่าว จากเอเย่นต์และสายส่งหนังสือ ว่า นิตยสารคู่สร้างคู่สมจะหยุดวางแผงในเดือนนี้่
กระทั่งวันที่ 16 ธ.ค. นายดำรง พุฒตาล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้ก่อตั้งนิตยสารคู่สร้างคู่สม เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2561 จะไม่มีนิตยสารวางตลาดอีกต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา แผงหนังสือหายไป เพราะผู้บริโภคไม่ซื้อหนังสือ หันไปอ่านเนื้อหาจากโซเชียลมีเดีย ทำให้กระทบกับสายส่ง เอเย่นต์ขาดทุน โรงพิมพ์ต้องเลิกจ้างพนักงาน นอกจากนี้ยังประสบปัญหาคอลัมน์ดูดวงถูกละเมิดลิขสิทธิ์ คัดลอกลงในโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม ตนไม่คิดจะทำสื่อออนไลน์ต่อ ขอปล่อยวางเนื่องจากอายุ 70 ปีแล้ว ส่วนพนักงานที่มีอยู่เดิมจะชดเชยให้ 10 เท่าของเงินเดือน และโบนัสอีก 2-3 เดือน