MAYDAY! คือกลุ่มคนที่มีความสนใจ แก้ปัญหาระบบขนส่งสาธารณะด้วยการนำข้อมูลและความคิดสร้างสรรค์มาสร้างการเปลี่ยนแปลง
หากใครก็ตามที่ใช้รถโดยสารประจำทางเป็นพาหนะไว้เป็นจุดหมายแล้ว ย่อมคำนึงถึงเป้าหมายที่จะไป แต่ติดปัญหาที่ว่า ระหว่างทางนั้นเกิดไม่ทราบถึงรถเมล์ในแต่ละสายว่า สายนี้ไปทางไหนบ้าง แล้วในช่วงสายนั้นผ่านอะไร ซึ่งถ้าเจอปัญหาดังกล่าวนี้ ป้ายบอกสายรถเมล์ จากกลุ่ม ‘เมล์เดย์’ กลุ่มสัญญาณขอความช่วยเหลือเรื่องสายรถเมล์ ที่ร่วมกันสร้างผลงานไว้ในจุดต่างๆ รอบกรุงเทพฯ อาจจะช่วยตอบโจทย์ให้กับคุณในเรื่องนี้ได้ !!!

จากกลุ่มคนที่มีความถนัดในหลายๆ ด้าน ที่ได้มารวมกลุ่มเพื่อช่วยระบบขนส่งสาธารณะโดยภาคประชาชน จนก่อให้เกิดกลุ่ม “เมล์เดย์” ขึ้นมา โดยเริ่มด้วยการทำป้ายบอกเส้นทางรถเมล์ในกรุงเทพฯ และนำไปติดในจุดต่างๆ จนได้เสียงตอบรับที่ดี จากทั้งผู้ใช้ และโดยรวม ซึ่งทางกลุ่มได้มีสมาชิกคือ เนย-สุวิชา พิทักษ์กาญจนกุล, ศา-ศานนท์ หวังสร้างบุญ, หนูลี-สุชารีย์ รวิชธรธาดา, อุ้ม-วิภาวี กิตติเธียร, แวน-วริทธิ์ธร สุขสบาย และ พลอย-เพียงพลอย จิตรปิยธรรม
โดยพวกเขาคาดหวังกับโปรเจกต์นี้ว่า อยากจะร่วมกับกลุ่มต่างๆ ให้มาช่วยกันยกระดับให้กับระบบโดยสารดังกล่าว ให้เป็นทางการกว่าที่เป็นอยู่ ให้ได้ในสักวันหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้านั้น โครงการที่พวกเขาได้เริ่มต้นจะสำเร็จดังที่หวัง แต่พวกเขาก็ขอเป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงจากภาคประชาชน ที่จะผลักดันให้โปรเจกต์อื่นที่เกี่ยวข้อง ดำเนินก้าวหน้าอย่างไม่สะดุดต่อไป

• อยากให้ช่วยเล่าถึงตัวโปรเจกต์นี้หน่อยว่า มีที่มาที่ไปยังไงบ้างครับ
วิภาวี : จริงๆ เราเริ่มทำงานมาได้ 1 ปีแล้วค่ะ คือรวมกลุ่มกัน แล้วเริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว คือมีน้องในทีมคือ แวน ที่รักรถเมล์มาก แล้วก็ขึ้นรถเมล์เป็นประจำอยู่แล้ว แล้วเมื่อช่วงเดือนตุลาปีที่แล้ว ก็จะมีงานของในหลวง ร.9 เราเห็นว่ามีวันที่เคลื่อนพระบรมศพ แวนเขาสังเกตว่า คนที่มาร่วมงานนั้น เข้ามาในพื้นที่ลำบากมาก แล้วพอไปขึ้นรถประจำทาง ก็ได้ไปเห็น คนที่ใช้เป็นผู้บริหารบริษัทที่เขาเคยฝึกงานมาก่อน ก็มองว่า ความจริงแล้ว เราสามารถพัฒนาศักยภาพระบบขนส่งสาธารณะได้ หรือว่าในตัวรถเมล์เอง เราเลยมาคุยกับคนในทีมว่า เราอยากจะทำอะไรเกี่ยวกับมันมั้ย ก็เลยเกิดการพัฒนาเป็นโครงการต่างๆ ก็เลยเริ่มจากจุดนั้นค่ะ
อย่างโดยส่วนตัวเราทำงานเกี่ยวกับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์มาหลากหลายส่วน เช่น กลุ่มที่เน้นการท่องเที่ยวในเกาะ คือทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสาธารณะอย่างงี้อยู่แล้ว ซึ่งมองว่าระบบขนส่งสาธารณะก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ อย่างตัวเราเองก็เรียนจบทางด้านผังเมืองมา ก็เป็นเรื่องระบบขนส่งโดยเฉพาะ ก็ค่อนข้างมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่ เราเลยมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะลองทำดูมั้ย จากบทบาทของภาคประชาชนค่ะ
• ในเรื่องปัญหาของระบบ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกลุ่มนี้ด้วย
วิภาวี : ส่วนหนึ่งค่ะ อย่างตัวเราเองที่อยากจะเริ่มทำ เรามองว่า เราไม่อยากเคยชินกับปัญหาที่เรามีอยู่ค่ะ คือถ้ามีการแก้เล็กแก้น้อย อย่างน้อยก็มีการช่วยแก้ คือมันจะส่งผลมากหรือเปล่า เราก็ทำเท่าที่จะทำได้ เหมือนจริงๆ เรื่องระบบขนส่งสาธารณะ มันนำไปสู่ปัญหาจราจร นำไปสู่รถติด ระบบขนส่งสาธารณะไม่ดี คนเลิกใช้ แล้วมาใช้รถส่วนตัวมากกว่า รถติด แล้วเรื่องนี้ ต่อให้คุณเป็นใครในสังคม ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือ เป็นคนที่มีรายได้แตกต่างกัน ก็ต้องเจอปัญหานี้อยู่แล้ว คือมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนทุกกลุ่มจริงๆ เรามองว่าเป็นการวางระบบที่ไม่ได้คิดจากความต้องการของประชาชนมากกว่า หรือ ตอบโจทย์ของประชาชนได้ไม่ครบถ้วน คือเหมือนกับรู้สึกว่า มันลำบากต่อการใช้ชีวิต เราก็จะไปเลือกทางเลือกที่เราสามารถเลือกได้เองมากกว่า

• ทีนี้ อยากให้ช่วยเล่าถึงการทำงานตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกลุ่มนี้หน่อยครับ
วิภาวี : เราก็เริ่มคุยกันก่อนค่ะ เราก็มีการจัดเหมือนเวิร์กชอปเล็กๆ ชวนคนมาคุยกันเรื่องรถเมล์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ก็ได้เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ที่เห็นว่ามีปัญหาอย่างงั้นอย่างงี้ ทุกคนมีภาพตรงกันว่า รถเมล์มันสามารถมีศักยภาพได้สูงมาก คือตัวเส้นทางการวิ่งของรถเมล์เอง หรือตัวระบบเอง สามารถสร้างประสิทธิภาพให้กับเมืองได้สูงมาก เราเลยมองว่าเป็นศักยภาพ เราก็เลยมานั่งคุยกัน แล้วก็เริ่มมีไอเดียที่ว่า ในเรื่องการสื่อสารจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการเดินทางมั้ย เพราะเรามองว่าคนที่เดินทางมาที่เกาะในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นคนภายนอก คนต่างจังหวัดบ้าง หรือคนส่วนอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้คุ้นชินในการเดินทางมาในบริเวณนี้ คือถ้าเขาไม่เข้าใจ โบกแท็กซี่แน่นอน แบบไปยังไง โบกแท็กซี่ดีกว่า แต่ว่าถ้าเขาเข้าใจ หรือ แค่มีป้ายว่าคุณนั่งรถเมล์สายนี้ที่เชื่อมต่อบริเวณอื่นๆ ได้นะ มันก็จะเป็นการสร้างทางเลือกให้กับเขาได้ค่ะ ตัวป้ายนี้ก็เลยเกิดขึ้นมาก่อน
แล้วในขณะเดียวกัน มันมีงานนิทรรศการหนึ่ง ที่จะพูดถึงงานระบบราง คือทั้งงานก็จะมีพูดถึงระบบรางเชื่อมต่อเมืองทั้งระบบ เราก็เลยไปขอบูทหนึ่งขึ้นมา ก็เลยเอาป้ายนี้ไปนำเสนอเขา แล้วก็ค่อนข้างได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐ ว่าป้ายนี้มันก็น่าสนใจนะ ก็เริ่มมีคนติดต่อเข้ามา แล้วเราก็นำป้ายนี้ไปเสนอทาง สจส. (สำนักจราจรและขนส่งกรุงเทพฯ) ว่าเรามีไอเดียที่อยากจะทำอันนี้ขึ้นมา ขอพื้นที่เขาทำสัก 2 ที่ ตรงแยกคอกวัว กับ หน้ากองสลาก เขาก็ให้โอกาสมาติดตั้ง โดยช่วงระหว่างนั้น เราก็คอยแอบไปดูคนว่า ผู้ใช้งานเขาเข้าใจหรือเปล่า หรือว่า รู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อเขามั้ย คือทุกครั้งที่ผ่าน เราก็เห็นคนที่มาอ่านป้ายนะคะ ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็รู้สึกว่า มันก็สร้างประโยชน์ให้เขาส่วนหนึ่ง
หลังจากนั้น เราก็เริ่มคุยกับทาง สจส. ว่า ขอผลักดันป้ายนี้ให้เกิดขึ้นในอีกหลายๆ จุดได้มั้ย ก็คืออีก 118 ป้าย ในเกาะรัตนโกสินทร์เนี่ยค่ะ แต่ว่าด้วยความที่ว่าเราก้ไม่ได้แน่ใจในตัวเองขนาดนั้น ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ เราไม่รู้ว่า วิธีการของเราดีที่สุดหรือเปล่า ก็เลยขอการมีส่วนร่วมจากส่วนอื่นๆ ด้วย เราได้รับอาสาสมัครจากกลุ่ม ted-ex Bangkok ค่ะ ในการมาเก็บตำแหน่งป้ายว่าแต่ละป้ายที่อยู่ในเกาะนี้ ในแต่ละจุดน่ะคะ ว่ามันมีในตำแหน่งไหนบ้าง แล้วเขาเรียกชื่อในจุดจุดนั้นว่าอะไร เหมือนกับที่เราตั้งชื่อป้ายน่ะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้คนหลงทาง (ชี้ไปที่ป้าย) ซึ่งป้ายรุ่นแรก เราก็ได้ ted-ex Bangkok มาช่วยเพิ่มตำแหน่งป้าย แล้วในส่วนของการออกแบบ เราได้กลุ่มไทก้า (Thaiga) ก็มาช่วยออกแบบว่า การออกแบบที่ดี สีที่ใช้ หรือ ตัวอักษรที่ใช้ มันควรจะเป็นลักษณะไหน ที่ควรจะเข้าใจได้ง่าย แล้วเราก้ได้ลิขสิทธิ์ตัวอักษรไทยจาก Tab ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาให้ลิขสิทธิ์ตัวอักษรไทยมา แล้วจากทางกลุ่มไทก้า และด้วยที่ป้ายมีจำนวนเยอะมาก และในกลุ่มเรามีแค่ไม่กี่คน 118 ใบ เราทำกันไม่ไหวแน่นอน ทางไทก้า ก็ได้มาช่วยหาอาสาสมัคร มาช่วยออกแบบป้าย 118 ป้าย อันนี้ก็คือในส่วนของโครงการป้าย ให้ข้อมูลที่เราได้ผลักดันไป
• ในการสร้างสรรค์งาน ทางกลุ่มเน้นส่วนไหนเป็นหลักที่จะเผยแพร่นำเสนอออกไป
วิภาวี : คือจริงๆ วิธีคิดของเรา เราออกแบบโดยที่เรามองว่า ถ้าเราเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย เราอยากรู้อะไรบ้าง และเราจะไม่หลงทาง คือประเด็นหลักๆ คือ เราอยากให้คนเดินทางเข้ามาและไม่หลงทางในการเดินทางเข้ามาในบริเวณนี้ ออกแบบจากการไม่รู้ก่อน อย่างปัจจัยจากต่างประเทศด้วย พอเราเริ่มที่จะอยากทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ เราก็เปิดเพจในเฟซบุ๊ก แล้วก็แนบตัวที่เราทำลงไป และเราแนบเป็นคำถามปลายเปิดไปค่ะ คืออยากให้คนที่ติดตามเราทั้งกดไลค์และคอมเมนต์ ให้เขาช่วยแนะนำเหมือนกันว่า มีคำแนะนำมั้ย หรือป้ายที่เขาเห็นว่าดีมันมีอะไรบ้าง ซึ่งเราได้ผลตอบรับที่ดีมาก คือมีทั้งคนส่งกรณีตัวอย่างที่เขาไปเที่ยวเมืองนอกมา มีการใช้สัญลักษณ์อย่างนี้ หรือมีการตั้งชื่อป้ายเป็นรหัส เป็นทิศ เราก็นำส่วนนั้นมาพิจารณาแล้วมาทำกับอาสาไทก้าด้วยค่ะ มีทั้งยกเคสจากอังกฤษ จากนิวยอร์กด้วย หรือสิงคโปร์ และไต้หวันที่คนยกมา ก็ได้นำมาประยุกต์ใช้ทั้งในเรื่องของการใช้สี การใช้สัญลักษณ์ การจัดเรียงต่างๆ หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่ควรจะมีในป้ายรถเมล์เนี่ยค่ะ ก็คือนำส่วนเด่นจากแต่ละที่มารวมกัน แล้วก็เลือกส่วนที่มันมีบริบทตรงกับคนไทยที่คนไทยจะเข้าใจด้วย

• บริบทที่ว่านี่คือยังไงครับ
วิภาวี : อย่างที่ชัดเจนที่สุดเลยคือ การตั้งชื่อจุดที่สำคัญ ว่าเราพยายามจะเลือกชื่อที่คนเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าตรงนั้นคือจุดไหน อย่างการตั้งชื่อป้าย เช่นตรงป้ายตรอกสุกร หรือว่าตรอกโรงหมู คือคนทุกคนบอกว่าเป็นชื่อหลัง แต่ว่าชื่อทางการคือชื่อแรก เราก็มีแบบไปถามคนในพื้นที่ ถามทางกลุ่ม bangkokbusclub หรืออาสาที่ไม่ใช่คนพื้นที่ มาคอยสำรวจดู แล้วเลือกกันว่า เราจะเอาชื่อไหนดี
เพียงพลอย : แล้วมันก็เข้าสู่กระบวนการในหลายๆมิติค่ะว่า อย่างงานถวายพระเพลิงล่าสุด สิ่งที่เราไปเจอ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามสื่อสารด้วยทางออนไลน์ หรือ ข้อมูลข่าวสารอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เราค้นพบก็คือ เขาไม่ได้วางแผนล่วงหน้าในการเดินทาง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายเราเหมือนกันว่า ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัวมา เราต้องทำยังไง เพื่อที่จะให้เขาได้รับข้อมูลที่ดีหรือเดินทางได้สะดวกที่สุด เพราะว่าถ้าเขาไม่มีข้อมูลเขาก็จะรู้สึกแบบเดิมว่า รถเมล์ก็ยังไม่ตอบโจทย์เขาเพราะว่ามันลำบาก มันก็ค่อนข้างท้าทายว่า คือเขารู้สึกลำบาก แต่ก็ไม่หาข้อมูลล่วงหน้า ดังนั้น ไอ้การที่ป้ายมันอยู่ตรงนั้น ยังเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เขารู้สึกว่า จากตรงนี้เขาควรจะไปไหนดี ได้ยังไงดี มันก็ทำให้เราตอบคำถามก่อนหน้านี้ด้วยว่า จริงๆ เราโฟกัสอะไร ทั้งมองคนที่ใช้ คนที่ใช้อยู่แล้วที่เขาอยากได้อะไรที่ดีขึ้น ทั้งคนที่ยังไม่ได้ลองใช้ อยากให้กลับมาลองใช้ หรือให้ใช้มากขึ้น เพื่อที่จะลดปัญหา แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องกลับมาโฟกัสในจุดว่าเด่นสุด และก็สามารถสร้างผลกระทบ อย่างพวกเราเองก็ไม่ได้สร้างที่มันยิ่งใหญ่ เราก็อาจจะต้องเลือกเป็นบางจุด ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเลือกโปรไฟล์แบบนี้ ก็คือว่า ก็เน้นพื้นฐานหลักๆ และจุดเด่นๆ พอสมควร
• จากการวิเคราะห์เมื่อกี้ ก็เท่ากับว่าคนไทยเน้นความสะดวกที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางเลย ทางกลุ่มถือว่าเป็นโจทย์ยากด้วยมั้ยครับ
วิภาวี : ใช่ค่ะ ก็ยากอยู่ค่ะ มันเป็นเรื่องของการสื่อสารและการให้ข้อมูล คือจริงๆ เราก็พยายาม มีทั้งเพิ่มในช่องทางออนไลน์ในการบอกทางเลือกเขาว่ามีอะไรบ้าง หรือทำป้ายในกรณีที่คนไม่ได้ใช้เน็ต แต่ว่ามันเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากๆ ที่ยังไม่รู้ ไม่สามารถเข้าถึงได้ คือตอนนี้เราก็ผลักดันอีกหลายๆ โครงการ เราพยายามผลักดันที่จะทำตัวศาลาที่เป็นพื้นหลังด้วย กับทาง สจส. แต่ว่ายังอยู่ในขั้นตอนที่ไปคุยกับเขาอยู่ ว่าเราขอโอกาสในส่วนนี้ได้มั้ย เหมือนพยายามให้การเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นเรื่องง่าย ให้ไม่ซับซ้อนมาก สุดท้ายแล้วถ้าเขารู้ข้อมูล เขาจะยอมเปลี่ยนพฤติกรรมในการเดินทาง ลองเลือกระบบขนส่งสาธารณะในอนาคตยิ่งขึ้น มันเป็นเป้าหมายหลักๆ ของทางกลุ่ม ที่จะเป็นเป้าหมายต่อไป ให้พัฒนาขึ้น

• แล้วในเรื่องอุปสรรคที่ทางกลุ่มได้พบเจอในระหว่างทางนี่คือเป็นยังไงครับ
วิภาวี : จริงๆ เรื่องระบบขนส่งสาธารณะมันก็เป็นเรื่องยาก มันเป็นโครงการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากส่วนกลาง เราเป็นภาคประชาชน เราเป็นคนธรรมดา เราไม่ได้เป็นใครเลย แต่พอทาง สจส. เขาให้โอกาสเราแล้วเนี่ย งานก้อนนี้ที่เราได้รับมา มันก็ค่อนข้างยาก แล้วก็กดดัน แบบอยู่ดีๆ มาเอาของของเราไปตั้งในพื้นที่สาธารณะ คือมันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ รวมไปถึงเรื่องข้อมูลด้วย หรือว่าเรื่องการจัดการ เรื่องคุยกับผู้รับเหมา เรื่องการเลือกวัสดุที่เรารู้สึกว่า อันนี้ถูกต้องดีแล้วหรือเปล่า เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับเราด้วยค่ะ เราเป็นแค่ภาคประชาชนที่เราอยากจะพัฒนา คือเรามองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย แต่เราคิดว่ามันจะส่งผลกระทบให้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งเราก็พยายามจะปิดข้อผิดพลาดของตัวเอง โดยการหาความร่วมมือจากคนหลากหลายฝ่าย หาคนที่ใช้มาทำงานนี้ อย่างเช่นกลุ่มไทก้า คือถ้าเรามองว่า ระบบขนส่งสาธารณะได้รับการออกแบบที่ดีในเรื่องการให้ข้อมูล หรือ เรื่องการใช้สัญลักษณ์ค่ะ มันน่าจะช่วยในเรื่องของการสื่อสารทั้งระบบให้ดีขึ้นได้ค่ะ
เพียงพลอย : สำหรับเรา เราว่าน่าจะเป็นเรื่องข้อมูลนะ คือด้วยความที่ข้อมูลไม่ค่อยได้อัปเดตน่ะค่ะ มันเลยทำให้การทำงานของเรามันล่าช้ามาก คือเราต้องคอยเก็บสำรวจเองด้วย ทั้งข้อมูลเรื่องสายป้าย หรือ ตำแหน่งป้าย คือแทนที่เราจะได้ออกแบบป้าย มันไม่ใช่ มันมีกระบวนการที่จะออกแบบป้ายมาก่อนว่า เราต้องไปเก็บข้อมูลของรถเมล์ ซึ่งเป็นอะไรที่ซับซ้อน เพราะตัวโครงสร้างรถเมล์ซับซ้อนอยู่แล้ว คือต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่า มันมีรถร่วม มีรถแอร์ รถทางด่วน ซึ่งมันมีใครเก็บข้อมูลแล้วออกมาทำได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเราจะทำป้าย 1 ป้าย ในกระบวนการก่อนการออกแบบ เราต้องไปใช้เวลากับข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างมาก ถ้าเป็นอุปสรรคอีกหนึ่งอย่าง ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ด้วย

• จากผลงานรวมของทางกลุ่มที่ทำมา ถือว่าภูมิใจมั้ย
วิภาวี : ใช่ค่ะ เพราะว่าเราได้รับโอกาสที่เราเป็นภาคประชาชน และเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ แล้วส่วนที่สอง เราได้เจอคนที่มีพลังเหมือนเรา เราได้เจอกลุ่มต่างๆ ที่ว่ามา ที่เขามาแล้วไม่ได้อะไรเลย รวมๆ กันแล้ว 50 กว่าคนได้ จากกลุ่มอาสาที่ร่วมกลุ่มกับเรามา เราเลยมองว่า ผลกระทบที่ภาคประชาชนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเมือง เป็นภาพที่เรามองว่ามันจะมีความยั่งยืนต่อเมือง เรารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เป็นเจ้าของเมืองแล้ว เขามองว่าการขึ้นรถเมล์ มันไม่ได้แค่ว่าเป็นการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่เขาช่วยลดปริมาณรถ 1 คันในท้องถนนด้วย และ รักเมืองที่เขาอยู่มากขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวได้
อีกด้านหนึ่ง ภาพรวมจากการทำงานร่วมกันกับกลุ่มอื่นๆ เราได้มุมมองที่หลากหลายมาก คือสุดท้ายแล้วถ้าเป็นงานโครงสร้างสาธารณะ มาจากกลุ่มคนที่มีพื้นฐานอันหลากหลายมาก และทุกคนเข้าใจและได้ผลลัพธ์อันเดียวกัน ซึ่งมันต้องมีคุณภาพมากๆ แน่นอน แปลว่าคนทุกคนเข้าใจ คนทุกคนมองว่า เขาสามารถใช้งานมันได้ เราเลยค่อนข้างที่จะเชื่อมั่นในป้ายของเราพอสมควร
เพียงพลอย : อีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่เราไปร่วมงานกับกลุ่มอื่นๆ มันเหมือนกับว่า แต่ละทีมเขาก็จะมีมุมมองในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน มันเลยทำให้มีการแก้ไปเรื่อยๆ มันเหมือนที่ถามว่า ภูมิใจเรื่องป้ายแล้ว แต่ถามว่ามันสามารถไปได้อีกเต็มไปหมดเลย เพราะว่าพอได้จับป้ายแล้ว เวลาที่ไปทำกับคนอื่น แต่ละคนก็มองเห็นปัญหาแตกต่างกันไป มันก็จะไปได้เรื่อยๆ อย่างที่เมื่อกี้บอกว่า ถ้าคนที่ไม่เคยนั่ง เขาก็จะนึกภาพอะไรไม่ออกเลย บางกลุ่มก็มีเสนอไอเดียว่า เราควรจะทำเหมือน mapping ในหัวคน ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็ควรจะรู้บ้าง เหมือน last mind อย่างน้อยๆ ว่า เวลาจะถึงบ้านตัวเอง มันมีสายอะไรบ้าง เพราะสุดท้าย เห็นอย่างงี้ไปอยู่ที่อื่น สามารถจับโยงได้ อย่างน้อยๆก็รู้ว่า รังสิตอยู่ทิศนี้ แล้วมันไปได้ว่ะ แต่ถ้าสมมติว่า แผนที่ในหัวเราคือไม่มีอะไรเลย มันก็จะไปไหนไม่ได้ ต่อให้มีป้ายมา ก็ไม่ช่วยอะไร คือมันมีเติมกันมาตลอด จากอันนี้มันเลยเป็นจุดประกายมันเลยทำให้มีหลายๆ โอกาส ที่ทำให้คนหลายๆ กลุ่มเข้ามาหาเรา

• แต่ละคนมองปัญหาของระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ยังไงบ้างครับ
วิภาวี : (นิ่งคิด) คือถ้า ณ ตอนนี้ เหมือนรู้สึกว่า สาเหตุของปัญหาคือ เอาแค่ในระบบขนส่งสาธารณะนะคะ อย่างที่บอกว่าที่ผ่านมา มันเป็นการวางระบบแบบ top down มาโดยตลอด อย่างเราที่เรียนทางด้านระบบขนส่งมาโดยตลอด เราจะเข้าใจ เพราะว่าเราจะมองว่า การวางระบบขนส่งสาธารณะมันเป็นการวางรูปแบบเมือง ว่าเมืองกำลังจะขยายตัวไปที่ไหน ทิศไหน อย่างไร และควรเป็นเช่นไร แต่ด้วยความที่ว่า กรุงเทพฯ มันเป็นเมืองที่ควบคุมการขยายได้ยากมาก มันเกิดการขยายในหลากหลายพื้นที่ พัฒนาอย่างไร้ทิศทางจนเลยกรอบวงแหวนมา 2 รอบแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งตัวระบบขนส่งมันไม่ได้โจทย์นี้ตลอด ยกเว้นถ้าเขาจะสร้างรถไฟฟ้าที่มันเป็นขนาดใหญ่ แต่ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ มันยังมีปัญหาย่อยๆ ปัญหาหน่วยเล็กๆ ที่อยู่ในเมือง ที่มันเติบโตแล้วค่ะ คือถ้าเรามองแค่การขยายออกไป หรือ pattern เมืองที่เกิดขึ้นเนี่ย มันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เราก็เลยคิดว่า ตัววิธีคิดของวิธีแบบ bottom up ที่ปกติในการพัฒนาในโครงการหนึ่ง เหลือแค่ 2 ข้อเล็กๆ ในการศึกษาปัญหา มันไม่ได้อยู่ในส่วนของการแก้ไขปัญหา หรือว่าการกำหนดนโยบายใดๆ ขึ้นมา เราเลยมองว่า ถ้ามีกระบวนการส่วนร่วมของภาคประชาชนเนี่ย สามารถมีบทบาทในโครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มากกว่านี้ มันจะมีส่วนช่วยในวิธีการแก้นี้คลี่คลายและยั่งยืนมากขึ้นหรือเปล่า
เพียงพลอย : คือถ้าเสริมก็คงคิดไปในทางเดียวกัน แต่ด้วยความที่เราไม่ได้มี background อย่างที่อุ้มมี สำหรับเรามันคือความรู้สึกอย่างหนึ่งมากกว่า มันมีอารมณ์ร่วมนิดหนึ่ง เป็นเรื่องของการที่คนใช้คาดหวังกับการแก้ตรงนี้ไปแล้ว คิดว่ามันเป็นปัญหาเพราะว่า ถ้าเราหมดหวังกับการแก้ไขไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามันยากไปเลย แล้วพอเราหมดหวังกับมัน สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็คือว่าเราพยายามที่จะชินกับมัน แล้วเราก็จะต้องใช้ในแบบที่มันเป็น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วเราก็อดทนไปกับมัน พูดถึงป้าย ถามว่ามันยากขนาดนั้นเหรอที่จะสร้างขึ้นมาให้เข้าใจง่าย หรือว่า สายรถเมล์ ถ้าให้มานั่งคุยกันจริงๆ มันทำให้มีโครงสร้างที่ดี มันไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น แต่มันเริ่มจะมาจากการที่เราหมดหวังไปแล้วที่จะแก้มัน หรือว่า เรารู้สึกว่ามันซับซ้อนว่ะ มันมีเรื่องสัมปทานว่ะ มันมีเรื่องผลประโยชน์ว่ะ หรือ เรื่องนโยบายที่ทุกคนต่างคิดไปก่อนแล้วว่า เราไม่มีหวังที่จะแก้มัน สุดท้ายจึงไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลย ซึ่งก็ทำให้เราอยู่กันไปอย่างงี้ แล้วเราก็จะส่งต่อกับภูมิปัญญานี้ จากรุ่นสู่รุ่น ไปเรื่อยๆ อันนี้น่าจะเป็นปัญหาของโครงสร้างนี้
• ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันก็ส่งผลในเรื่ององค์ประกอบของทางต้นเหตุของตัวรถเมล์ด้วยมั้ย
เพียงพลอย : คือถ้าถามในเรื่องรถเมล์เก่า เรารู้สึกว่า มันไม่ใช่ปัญหานะ ปัญหามันคือวิธีการคิดเบื้องหลังสิ่งนั้นมากกว่า คือต่อให้เก่าแต่ว่ายังให้บริการได้ มันยังพาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้หรืออะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าเบื้องหลังความคิดอันนั้น ว่ารถเมล์คันนี้ สายนี้ วิ่งแบบนี้ มันมายังไง มันจะไปยังไง อันนี้คือเรื่องน่าคิดมากกว่า มันไม่ใช่ตัวรถ อันนี้คือมุมส่วนตัวของเรา
วิภาวี : คือตัวสภาพทางกายภาพค่ะ มันก็มีส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางหรือไม่ คือถ้าเราเป็นคนที่เริ่มใช้แรกๆ เลยก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยหรือเปล่า หรือมันจะเสียกลางทางมั้ย หรือร้อนมั้ย ถ้าฝนตกกลางทาง จะทำไง คือทางกายภาพรถก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเดินทาง แต่ว่าก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าระบบมันมีปัญหาจากหลายๆ ส่วน สภาพรถก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันอยู่ที่วิธีการว่า เราจะเปลี่ยนยังไง ซึ่งทางเรามีแนวคิดว่า small change big move คือจะเปลี่ยนให้น้อยที่สุด แต่ว่าให้เกิด impact ให้มาก หรือว่าปรับพฤติกรรมอะไรเล็กๆ น้อยๆ คือถ้าให้มองกายภาพรถเนี่ย ถ้าถามตัวเราเอง ศักยภาพอย่างนี้ เราก็ไม่อยากนั่ง (หัวเราะ) คือตอบคำถามไม่ถูกหรอกว่าอันไหนดีหรือไม่ดี แต่ถ้าถามว่ามันส่งผลมั้ย แน่นอนเลยเป็นทางตรงด้วย เพราะว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งด้วยที่เราจะเลือกเดินทาง
วริทธิ์ธร : สำหรับผม ผมก็คิดว่ามีและส่งผลครับ อย่างตัวผมเอง ผมนั่งรถเมล์มาตั้งแต่เด็ก ผมเองก็ยังรู้สึกว่า ภาพที่ผมเห็นรถเมล์มันก็มีบางคันที่ดูไม่น่าขึ้น ดูไม่ปลอดภัย ผมว่ามันเป็นเรื่องแรกๆ ด้วยซ้ำที่คนจะคิดถึง คือถ้าตามตรง คนไทยไม่ได้มีนิสัยของการวางแผนการเดินทาง ไม่ได้คิดว่าจาก A ไป B ทางไหนเร็วสุด อะไรมา ผ่านตรงไหนก็ไป ฉะนั้น แผนตรงนี้เห็นชัดเลยว่า คนไทยไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น แต่คำนึงถึงแค่ว่า รถที่มาข้างหน้าใหม่หรือเปล่า ซึ่งแค่ 2 ข้อแรก ก็เรียบร้อย จบ บางสายก็ถี่ บางสายก็ไม่ แล้วทำไมมันถึงเก่า ซึ่งมันก็เก่าอย่างว่านั่นแหละ แทบจะเท่าเทียมกันแล้ว ซึ่งสมัยก่อนจะแบ่งได้เลย รถใหม่จะเป็นขององค์การ เอกชนก็จะเก่าๆ แต่ปัจจุบันแทบจะแยกกันไม่ออกว่า อันไหนรถร่วม อันไหน ขสมก. นะ เพราะว่าเหมือนกันไปหมด คือปัจจุบันมันมีส่วนอยู่แล้วครับ มันเป็นสิ่งเดียวที่คนจับต้องได้ ในฐานะคนขึ้นทั่วไปนะ ถ้าอย่างเวลา เรามีเรื่องขนส่ง จะเปลี่ยนเลข เปลี่ยนอะไรอย่างงี้ คนจะชอบพูดว่า มึงเอาเวลาไปเปลี่ยนรถดีกว่า แต่ถ้าให้เถียงกันตรงเรื่อง เอาให้จบก่อนว่าเรื่องสายคุณโอเคมั้ย ซึ่งเรื่องรถมันก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้วล่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องสายใหม่ แต่ในเรื่องตรงนี้ คนไทยก็ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ ก็ยังรู้สึกว่า ไม่รู้ล่ะ กูอยากได้รถใหม่ เรื่องอื่นวางไว้ทีหลัง ผมว่าเป็นเรื่องที่จะว่าสำคัญมั้ยก็ใช่ แต่ว่าคนไทยยังคงเห็นสิ่งนี้เป็นน้ำหนักก้อนใหญ่อยู่ ผมว่ามันจับต้องได้ชัด และแทบไม่ต้องใช้ความรู้ใดๆ ในการมองแผนที่หรือรู้เรื่องอะไร แต่ต่อให้ 10 คน หรือเด็กเดินมา เก่า สนิม ผุ พัง ไม่ปลอดภัย มันชัดมาก ส่วนเรื่องอื่นก็ต้องอาศัยความเข้าใจ นู่นนี่นั่น

• ซึ่งก็สะท้อนภาพรวมของคนไทยที่ว่า จุดเมนหลัก มันยังเป็นเรื่องรองมากกว่าภาพลักษณ์
วริทธิ์ธร : ถ้าในมุมผม ผมไม่ได้มองภาพไหนเป็นเรื่องยังไงนะ ทั้งแง่ของทฤษฎี เส้นทาง หรือ การให้บริการรถ ผมให้ความสำคัญเท่าๆ กันไปหมดเลย เพราะว่า ต่อให้เส้นทางดี แต่รถไม่ดี ยังไงก็ไม่ปลอดภัย คนก็ไม่อยากใช้ เหมือน airport link ที่เส้นทางมันดีนะ วิ่งตรงมากลางเมือง แต่คนก็บ่น รอนาน ประตูก็ปิดดัง แล้วถ้าการที่เขาบอกว่า มาในอีก 10 นาที แต่ก็ไม่มา ความรู้สึกเราก็เสียนะ คือมันจะบอกว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ไปด้วยกัน หรือ รถดีแค่ไหน แต่เส้นทางก็พาไปอ้อมโลก คนก็ถามว่าทำไมจะต้องไป อย่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหรือสีม่วงก็ได้ครับ รถดีมากเลย แต่กว่าจะออกจากบางบัวทองมาหัวลำโพง พาไปอ้อมโลกเลย 70 บาท คือมันดูคุ้มแหละ แต่ผ่านทุกที่ ทุกสถานี ขึ้นมา จนหลับไปงีบนึง ตื่นขึ้นมา ถึงแล้วเหรอ คือไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ว่ามันไม่ได้ไปด้วยกัน ผมว่าไปด้วยกันได้น่าจะเวิร์กกว่า
• สมมติว่า โปรเจกต์ในกรุงเทพฯเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางกลุ่มจะขยายงานไปในส่วนอื่นของประเทศด้วยมั้ย
วิภาวี : เป็นไปได้ค่ะ คือกระบวนการของเรา คือ ใครทำก็ได้ อย่างที่บอกว่าเราเป็นภาคประชาชน เราเป็นคนธรรมดา มีการรวมกลุ่มกันอย่างเรา เราก็รู้สึกว่า เราก็เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบ หรืออาจจะไม่ใช่เรื่องระบบขนส่งสาธารณะก็ได้ค่ะ อาจจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ที่เราสามารถมีบทบาทได้ สวนสาธารณะก็ได้ หรือเรื่องอะไรก็ได้ ที่เรามองว่าเป็นของสาธารณะ เป็นงานของรัฐบาล เราเป็นประชาชนธรรมดา แล้วเกี่ยวอะไร คือจริงๆ มันก็เป็นเมืองของเรา มันก็เป็นที่ที่เราอยู่ ที่ที่เราใช้ เราสามารถสร้างบทบาทตัวเองได้ค่ะ ทั้งในการรวมกลุ่มกัน การมีส่วนร่วมในหลายๆ กลุ่ม ชวนกันมารวมความหวัง มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ที่ค่ะ
เพียงพลอย : อย่างที่อุ้มบอกไปตอนต้นว่า แต่ละคนก็สนใจในเรื่องต่างๆ มา แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่มีใครสักคนที่เป็นผู้มีอำนาจ หรือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ว่าสุดท้ายแล้วที่มีจุดร่วมเหมือนกันคือ เราเป็นประชาชนทั่วไป ที่อยู่ในโครงสร้างนี้ทุกๆ วัน เพราะว่าจริงๆ แล้ว รูปแบบนี้มันขึ้นกับทุกอย่างอยู่แล้ว ว่าวันหนึ่งเราก็สามรถที่จะชวนคนให้มาร่วมเหมือนเรา เพราะว่าคนคนหนึ่ง มันมีหลายมิติต่อสิ่งสิ่งนั้น แต่ละวันของเขา ตั้งแต่เช้าไปทำงาน จนถึงกลับบ้านตอนเย็น ที่มีเรื่องราวไปหมด ที่จริงๆ แล้ว อย่างที่บอกว่า มีเรื่องเล็กๆ ที่แก้ได้ ซึ่งโอเคว่าเราแก้ทั้งระบบไม่ได้ แต่ก็มีเรื่องเล็กๆ ที่แก้ได้ ค่อยๆ จุดประกายไป
วริทธิ์ธร : (นิ่งคิด) ใช่ครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก มันไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำมันไม่ได้ใหม่แบบที่ไม่เคยมีใครทำ คือมีความพยายามแหละ แต่วิธีการของแต่ละกลุ่ม แต่ละคน หรือใดๆ ก็ตามในรายละเอียด มันมีลงลึกแตกต่างกันไป คือถ้าเราคิดว่าเราจริงจังกับมันจริงๆ แล้วมันจะต้องทำแล้วไปให้ถึงให้ได้ เพราะว่าต้นแบบที่อยากมีป้ายน่ะมันไม่ใช่เราทำคนแรก ก็มีคนทำมาไม่รู้กี่ครั้ง ก็มีคนทำมาตลอด จนกระทั่งทุกคนมาพยายามทำ หายหมดเลย แล้วพอเรามีโอกาสว่า มา เราลองทำดู เราก็พยายามลอง หาวิธีการ หาเส้นทางที่คนไปต่างๆ ว่า เขาไปเส้นทางไหนแล้วหาย เขาไปในเส้นทางไหนที่จะไม่หายไปแบบเขา แบบไหนไปถามเขาว่า ไปลงทางตรงไหน ไปไม่ได้ตรงไหน กลับมาแล้วจะไปด้วยกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ร่วมกันหาทางไป แค่อาจจะไม่คุ้นชินกับมันเท่าไหร่ แบบการที่ประชาชนลุกขึ้นมาทำ แล้วคนก็มาบ่นว่า เนี่ย รัฐไม่ทำ เลยทำให้ประชาชนขึ้นมาทำ แต่ถ้าคุณบ่นแล้วจบไป มันก็เป็นหมือนหลายๆ เรื่องที่เคยทำมา ก็จะมองเหมือนว่า นั่งดูพี่ตูนวิ่ง แล้วไม่เกิดอะไร แต่ถ้าทุกคนรู้สึกว่า แม้วารัฐบาลจะแย่ยังไงก็ตามแต่สิ่งที่เราทำอยู่ ว่าแต่ละส่วนมีการทำได้ แล้วทุกคนลุกขึ้นมาทำ คือบ่นไปก็ไม่ว่านะ แต่ถ้าคุณเห็นลู่ทางตรงไหนที่อยากทำ ก็ลุกขึ้นมาทำ แต่ละคนก็จะเป็นจิ๊กซอว์กันว่า คนนี้รู้เรื่องนี้ค่อยๆ พูด แล้วช่วยๆ พัฒนาให้ดีขึ้น เราอาจจะอยู่กรุงเทพฯ กันมานาน เรารู้ว่ากรุงเทพฯ น่าจะเติมตรงนี้ๆ ประสบปัญหาตรงนี้ทุกวัน แต่เราไม่สามารถไปพูดแทนว่า ทำไมรถเมล์เชียงใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมรถเมล์โคราชถึงหายไป คนในพื้นที่นั้น คือเขาอาจจะไม่ต้องการรถเมล์ แต่เขาอาจจะต้องการอะไรของเขาในพื้นที่นั้นก็รู้ แล้วถ้าเขารวมกลุ่มกันได้ ร่วมพัฒนากันได้ คนในพื้นที่ คนตรงนั้น อาจจะพัฒนาด้วยกันได้ดีขึ้น หรืออะไรก็ตาม
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา
หากใครก็ตามที่ใช้รถโดยสารประจำทางเป็นพาหนะไว้เป็นจุดหมายแล้ว ย่อมคำนึงถึงเป้าหมายที่จะไป แต่ติดปัญหาที่ว่า ระหว่างทางนั้นเกิดไม่ทราบถึงรถเมล์ในแต่ละสายว่า สายนี้ไปทางไหนบ้าง แล้วในช่วงสายนั้นผ่านอะไร ซึ่งถ้าเจอปัญหาดังกล่าวนี้ ป้ายบอกสายรถเมล์ จากกลุ่ม ‘เมล์เดย์’ กลุ่มสัญญาณขอความช่วยเหลือเรื่องสายรถเมล์ ที่ร่วมกันสร้างผลงานไว้ในจุดต่างๆ รอบกรุงเทพฯ อาจจะช่วยตอบโจทย์ให้กับคุณในเรื่องนี้ได้ !!!
จากกลุ่มคนที่มีความถนัดในหลายๆ ด้าน ที่ได้มารวมกลุ่มเพื่อช่วยระบบขนส่งสาธารณะโดยภาคประชาชน จนก่อให้เกิดกลุ่ม “เมล์เดย์” ขึ้นมา โดยเริ่มด้วยการทำป้ายบอกเส้นทางรถเมล์ในกรุงเทพฯ และนำไปติดในจุดต่างๆ จนได้เสียงตอบรับที่ดี จากทั้งผู้ใช้ และโดยรวม ซึ่งทางกลุ่มได้มีสมาชิกคือ เนย-สุวิชา พิทักษ์กาญจนกุล, ศา-ศานนท์ หวังสร้างบุญ, หนูลี-สุชารีย์ รวิชธรธาดา, อุ้ม-วิภาวี กิตติเธียร, แวน-วริทธิ์ธร สุขสบาย และ พลอย-เพียงพลอย จิตรปิยธรรม
โดยพวกเขาคาดหวังกับโปรเจกต์นี้ว่า อยากจะร่วมกับกลุ่มต่างๆ ให้มาช่วยกันยกระดับให้กับระบบโดยสารดังกล่าว ให้เป็นทางการกว่าที่เป็นอยู่ ให้ได้ในสักวันหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้านั้น โครงการที่พวกเขาได้เริ่มต้นจะสำเร็จดังที่หวัง แต่พวกเขาก็ขอเป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงจากภาคประชาชน ที่จะผลักดันให้โปรเจกต์อื่นที่เกี่ยวข้อง ดำเนินก้าวหน้าอย่างไม่สะดุดต่อไป
• อยากให้ช่วยเล่าถึงตัวโปรเจกต์นี้หน่อยว่า มีที่มาที่ไปยังไงบ้างครับ
วิภาวี : จริงๆ เราเริ่มทำงานมาได้ 1 ปีแล้วค่ะ คือรวมกลุ่มกัน แล้วเริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว คือมีน้องในทีมคือ แวน ที่รักรถเมล์มาก แล้วก็ขึ้นรถเมล์เป็นประจำอยู่แล้ว แล้วเมื่อช่วงเดือนตุลาปีที่แล้ว ก็จะมีงานของในหลวง ร.9 เราเห็นว่ามีวันที่เคลื่อนพระบรมศพ แวนเขาสังเกตว่า คนที่มาร่วมงานนั้น เข้ามาในพื้นที่ลำบากมาก แล้วพอไปขึ้นรถประจำทาง ก็ได้ไปเห็น คนที่ใช้เป็นผู้บริหารบริษัทที่เขาเคยฝึกงานมาก่อน ก็มองว่า ความจริงแล้ว เราสามารถพัฒนาศักยภาพระบบขนส่งสาธารณะได้ หรือว่าในตัวรถเมล์เอง เราเลยมาคุยกับคนในทีมว่า เราอยากจะทำอะไรเกี่ยวกับมันมั้ย ก็เลยเกิดการพัฒนาเป็นโครงการต่างๆ ก็เลยเริ่มจากจุดนั้นค่ะ
อย่างโดยส่วนตัวเราทำงานเกี่ยวกับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์มาหลากหลายส่วน เช่น กลุ่มที่เน้นการท่องเที่ยวในเกาะ คือทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสาธารณะอย่างงี้อยู่แล้ว ซึ่งมองว่าระบบขนส่งสาธารณะก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ อย่างตัวเราเองก็เรียนจบทางด้านผังเมืองมา ก็เป็นเรื่องระบบขนส่งโดยเฉพาะ ก็ค่อนข้างมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่ เราเลยมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะลองทำดูมั้ย จากบทบาทของภาคประชาชนค่ะ
• ในเรื่องปัญหาของระบบ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกลุ่มนี้ด้วย
วิภาวี : ส่วนหนึ่งค่ะ อย่างตัวเราเองที่อยากจะเริ่มทำ เรามองว่า เราไม่อยากเคยชินกับปัญหาที่เรามีอยู่ค่ะ คือถ้ามีการแก้เล็กแก้น้อย อย่างน้อยก็มีการช่วยแก้ คือมันจะส่งผลมากหรือเปล่า เราก็ทำเท่าที่จะทำได้ เหมือนจริงๆ เรื่องระบบขนส่งสาธารณะ มันนำไปสู่ปัญหาจราจร นำไปสู่รถติด ระบบขนส่งสาธารณะไม่ดี คนเลิกใช้ แล้วมาใช้รถส่วนตัวมากกว่า รถติด แล้วเรื่องนี้ ต่อให้คุณเป็นใครในสังคม ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือ เป็นคนที่มีรายได้แตกต่างกัน ก็ต้องเจอปัญหานี้อยู่แล้ว คือมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนทุกกลุ่มจริงๆ เรามองว่าเป็นการวางระบบที่ไม่ได้คิดจากความต้องการของประชาชนมากกว่า หรือ ตอบโจทย์ของประชาชนได้ไม่ครบถ้วน คือเหมือนกับรู้สึกว่า มันลำบากต่อการใช้ชีวิต เราก็จะไปเลือกทางเลือกที่เราสามารถเลือกได้เองมากกว่า
• ทีนี้ อยากให้ช่วยเล่าถึงการทำงานตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกลุ่มนี้หน่อยครับ
วิภาวี : เราก็เริ่มคุยกันก่อนค่ะ เราก็มีการจัดเหมือนเวิร์กชอปเล็กๆ ชวนคนมาคุยกันเรื่องรถเมล์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ก็ได้เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ที่เห็นว่ามีปัญหาอย่างงั้นอย่างงี้ ทุกคนมีภาพตรงกันว่า รถเมล์มันสามารถมีศักยภาพได้สูงมาก คือตัวเส้นทางการวิ่งของรถเมล์เอง หรือตัวระบบเอง สามารถสร้างประสิทธิภาพให้กับเมืองได้สูงมาก เราเลยมองว่าเป็นศักยภาพ เราก็เลยมานั่งคุยกัน แล้วก็เริ่มมีไอเดียที่ว่า ในเรื่องการสื่อสารจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการเดินทางมั้ย เพราะเรามองว่าคนที่เดินทางมาที่เกาะในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นคนภายนอก คนต่างจังหวัดบ้าง หรือคนส่วนอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้คุ้นชินในการเดินทางมาในบริเวณนี้ คือถ้าเขาไม่เข้าใจ โบกแท็กซี่แน่นอน แบบไปยังไง โบกแท็กซี่ดีกว่า แต่ว่าถ้าเขาเข้าใจ หรือ แค่มีป้ายว่าคุณนั่งรถเมล์สายนี้ที่เชื่อมต่อบริเวณอื่นๆ ได้นะ มันก็จะเป็นการสร้างทางเลือกให้กับเขาได้ค่ะ ตัวป้ายนี้ก็เลยเกิดขึ้นมาก่อน
แล้วในขณะเดียวกัน มันมีงานนิทรรศการหนึ่ง ที่จะพูดถึงงานระบบราง คือทั้งงานก็จะมีพูดถึงระบบรางเชื่อมต่อเมืองทั้งระบบ เราก็เลยไปขอบูทหนึ่งขึ้นมา ก็เลยเอาป้ายนี้ไปนำเสนอเขา แล้วก็ค่อนข้างได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐ ว่าป้ายนี้มันก็น่าสนใจนะ ก็เริ่มมีคนติดต่อเข้ามา แล้วเราก็นำป้ายนี้ไปเสนอทาง สจส. (สำนักจราจรและขนส่งกรุงเทพฯ) ว่าเรามีไอเดียที่อยากจะทำอันนี้ขึ้นมา ขอพื้นที่เขาทำสัก 2 ที่ ตรงแยกคอกวัว กับ หน้ากองสลาก เขาก็ให้โอกาสมาติดตั้ง โดยช่วงระหว่างนั้น เราก็คอยแอบไปดูคนว่า ผู้ใช้งานเขาเข้าใจหรือเปล่า หรือว่า รู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อเขามั้ย คือทุกครั้งที่ผ่าน เราก็เห็นคนที่มาอ่านป้ายนะคะ ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็รู้สึกว่า มันก็สร้างประโยชน์ให้เขาส่วนหนึ่ง
หลังจากนั้น เราก็เริ่มคุยกับทาง สจส. ว่า ขอผลักดันป้ายนี้ให้เกิดขึ้นในอีกหลายๆ จุดได้มั้ย ก็คืออีก 118 ป้าย ในเกาะรัตนโกสินทร์เนี่ยค่ะ แต่ว่าด้วยความที่ว่าเราก้ไม่ได้แน่ใจในตัวเองขนาดนั้น ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ เราไม่รู้ว่า วิธีการของเราดีที่สุดหรือเปล่า ก็เลยขอการมีส่วนร่วมจากส่วนอื่นๆ ด้วย เราได้รับอาสาสมัครจากกลุ่ม ted-ex Bangkok ค่ะ ในการมาเก็บตำแหน่งป้ายว่าแต่ละป้ายที่อยู่ในเกาะนี้ ในแต่ละจุดน่ะคะ ว่ามันมีในตำแหน่งไหนบ้าง แล้วเขาเรียกชื่อในจุดจุดนั้นว่าอะไร เหมือนกับที่เราตั้งชื่อป้ายน่ะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้คนหลงทาง (ชี้ไปที่ป้าย) ซึ่งป้ายรุ่นแรก เราก็ได้ ted-ex Bangkok มาช่วยเพิ่มตำแหน่งป้าย แล้วในส่วนของการออกแบบ เราได้กลุ่มไทก้า (Thaiga) ก็มาช่วยออกแบบว่า การออกแบบที่ดี สีที่ใช้ หรือ ตัวอักษรที่ใช้ มันควรจะเป็นลักษณะไหน ที่ควรจะเข้าใจได้ง่าย แล้วเราก้ได้ลิขสิทธิ์ตัวอักษรไทยจาก Tab ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาให้ลิขสิทธิ์ตัวอักษรไทยมา แล้วจากทางกลุ่มไทก้า และด้วยที่ป้ายมีจำนวนเยอะมาก และในกลุ่มเรามีแค่ไม่กี่คน 118 ใบ เราทำกันไม่ไหวแน่นอน ทางไทก้า ก็ได้มาช่วยหาอาสาสมัคร มาช่วยออกแบบป้าย 118 ป้าย อันนี้ก็คือในส่วนของโครงการป้าย ให้ข้อมูลที่เราได้ผลักดันไป
• ในการสร้างสรรค์งาน ทางกลุ่มเน้นส่วนไหนเป็นหลักที่จะเผยแพร่นำเสนอออกไป
วิภาวี : คือจริงๆ วิธีคิดของเรา เราออกแบบโดยที่เรามองว่า ถ้าเราเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย เราอยากรู้อะไรบ้าง และเราจะไม่หลงทาง คือประเด็นหลักๆ คือ เราอยากให้คนเดินทางเข้ามาและไม่หลงทางในการเดินทางเข้ามาในบริเวณนี้ ออกแบบจากการไม่รู้ก่อน อย่างปัจจัยจากต่างประเทศด้วย พอเราเริ่มที่จะอยากทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ เราก็เปิดเพจในเฟซบุ๊ก แล้วก็แนบตัวที่เราทำลงไป และเราแนบเป็นคำถามปลายเปิดไปค่ะ คืออยากให้คนที่ติดตามเราทั้งกดไลค์และคอมเมนต์ ให้เขาช่วยแนะนำเหมือนกันว่า มีคำแนะนำมั้ย หรือป้ายที่เขาเห็นว่าดีมันมีอะไรบ้าง ซึ่งเราได้ผลตอบรับที่ดีมาก คือมีทั้งคนส่งกรณีตัวอย่างที่เขาไปเที่ยวเมืองนอกมา มีการใช้สัญลักษณ์อย่างนี้ หรือมีการตั้งชื่อป้ายเป็นรหัส เป็นทิศ เราก็นำส่วนนั้นมาพิจารณาแล้วมาทำกับอาสาไทก้าด้วยค่ะ มีทั้งยกเคสจากอังกฤษ จากนิวยอร์กด้วย หรือสิงคโปร์ และไต้หวันที่คนยกมา ก็ได้นำมาประยุกต์ใช้ทั้งในเรื่องของการใช้สี การใช้สัญลักษณ์ การจัดเรียงต่างๆ หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่ควรจะมีในป้ายรถเมล์เนี่ยค่ะ ก็คือนำส่วนเด่นจากแต่ละที่มารวมกัน แล้วก็เลือกส่วนที่มันมีบริบทตรงกับคนไทยที่คนไทยจะเข้าใจด้วย
• บริบทที่ว่านี่คือยังไงครับ
วิภาวี : อย่างที่ชัดเจนที่สุดเลยคือ การตั้งชื่อจุดที่สำคัญ ว่าเราพยายามจะเลือกชื่อที่คนเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าตรงนั้นคือจุดไหน อย่างการตั้งชื่อป้าย เช่นตรงป้ายตรอกสุกร หรือว่าตรอกโรงหมู คือคนทุกคนบอกว่าเป็นชื่อหลัง แต่ว่าชื่อทางการคือชื่อแรก เราก็มีแบบไปถามคนในพื้นที่ ถามทางกลุ่ม bangkokbusclub หรืออาสาที่ไม่ใช่คนพื้นที่ มาคอยสำรวจดู แล้วเลือกกันว่า เราจะเอาชื่อไหนดี
เพียงพลอย : แล้วมันก็เข้าสู่กระบวนการในหลายๆมิติค่ะว่า อย่างงานถวายพระเพลิงล่าสุด สิ่งที่เราไปเจอ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามสื่อสารด้วยทางออนไลน์ หรือ ข้อมูลข่าวสารอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เราค้นพบก็คือ เขาไม่ได้วางแผนล่วงหน้าในการเดินทาง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายเราเหมือนกันว่า ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัวมา เราต้องทำยังไง เพื่อที่จะให้เขาได้รับข้อมูลที่ดีหรือเดินทางได้สะดวกที่สุด เพราะว่าถ้าเขาไม่มีข้อมูลเขาก็จะรู้สึกแบบเดิมว่า รถเมล์ก็ยังไม่ตอบโจทย์เขาเพราะว่ามันลำบาก มันก็ค่อนข้างท้าทายว่า คือเขารู้สึกลำบาก แต่ก็ไม่หาข้อมูลล่วงหน้า ดังนั้น ไอ้การที่ป้ายมันอยู่ตรงนั้น ยังเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เขารู้สึกว่า จากตรงนี้เขาควรจะไปไหนดี ได้ยังไงดี มันก็ทำให้เราตอบคำถามก่อนหน้านี้ด้วยว่า จริงๆ เราโฟกัสอะไร ทั้งมองคนที่ใช้ คนที่ใช้อยู่แล้วที่เขาอยากได้อะไรที่ดีขึ้น ทั้งคนที่ยังไม่ได้ลองใช้ อยากให้กลับมาลองใช้ หรือให้ใช้มากขึ้น เพื่อที่จะลดปัญหา แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องกลับมาโฟกัสในจุดว่าเด่นสุด และก็สามารถสร้างผลกระทบ อย่างพวกเราเองก็ไม่ได้สร้างที่มันยิ่งใหญ่ เราก็อาจจะต้องเลือกเป็นบางจุด ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเลือกโปรไฟล์แบบนี้ ก็คือว่า ก็เน้นพื้นฐานหลักๆ และจุดเด่นๆ พอสมควร
• จากการวิเคราะห์เมื่อกี้ ก็เท่ากับว่าคนไทยเน้นความสะดวกที่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางเลย ทางกลุ่มถือว่าเป็นโจทย์ยากด้วยมั้ยครับ
วิภาวี : ใช่ค่ะ ก็ยากอยู่ค่ะ มันเป็นเรื่องของการสื่อสารและการให้ข้อมูล คือจริงๆ เราก็พยายาม มีทั้งเพิ่มในช่องทางออนไลน์ในการบอกทางเลือกเขาว่ามีอะไรบ้าง หรือทำป้ายในกรณีที่คนไม่ได้ใช้เน็ต แต่ว่ามันเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากๆ ที่ยังไม่รู้ ไม่สามารถเข้าถึงได้ คือตอนนี้เราก็ผลักดันอีกหลายๆ โครงการ เราพยายามผลักดันที่จะทำตัวศาลาที่เป็นพื้นหลังด้วย กับทาง สจส. แต่ว่ายังอยู่ในขั้นตอนที่ไปคุยกับเขาอยู่ ว่าเราขอโอกาสในส่วนนี้ได้มั้ย เหมือนพยายามให้การเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นเรื่องง่าย ให้ไม่ซับซ้อนมาก สุดท้ายแล้วถ้าเขารู้ข้อมูล เขาจะยอมเปลี่ยนพฤติกรรมในการเดินทาง ลองเลือกระบบขนส่งสาธารณะในอนาคตยิ่งขึ้น มันเป็นเป้าหมายหลักๆ ของทางกลุ่ม ที่จะเป็นเป้าหมายต่อไป ให้พัฒนาขึ้น
• แล้วในเรื่องอุปสรรคที่ทางกลุ่มได้พบเจอในระหว่างทางนี่คือเป็นยังไงครับ
วิภาวี : จริงๆ เรื่องระบบขนส่งสาธารณะมันก็เป็นเรื่องยาก มันเป็นโครงการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากส่วนกลาง เราเป็นภาคประชาชน เราเป็นคนธรรมดา เราไม่ได้เป็นใครเลย แต่พอทาง สจส. เขาให้โอกาสเราแล้วเนี่ย งานก้อนนี้ที่เราได้รับมา มันก็ค่อนข้างยาก แล้วก็กดดัน แบบอยู่ดีๆ มาเอาของของเราไปตั้งในพื้นที่สาธารณะ คือมันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ รวมไปถึงเรื่องข้อมูลด้วย หรือว่าเรื่องการจัดการ เรื่องคุยกับผู้รับเหมา เรื่องการเลือกวัสดุที่เรารู้สึกว่า อันนี้ถูกต้องดีแล้วหรือเปล่า เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับเราด้วยค่ะ เราเป็นแค่ภาคประชาชนที่เราอยากจะพัฒนา คือเรามองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย แต่เราคิดว่ามันจะส่งผลกระทบให้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งเราก็พยายามจะปิดข้อผิดพลาดของตัวเอง โดยการหาความร่วมมือจากคนหลากหลายฝ่าย หาคนที่ใช้มาทำงานนี้ อย่างเช่นกลุ่มไทก้า คือถ้าเรามองว่า ระบบขนส่งสาธารณะได้รับการออกแบบที่ดีในเรื่องการให้ข้อมูล หรือ เรื่องการใช้สัญลักษณ์ค่ะ มันน่าจะช่วยในเรื่องของการสื่อสารทั้งระบบให้ดีขึ้นได้ค่ะ
เพียงพลอย : สำหรับเรา เราว่าน่าจะเป็นเรื่องข้อมูลนะ คือด้วยความที่ข้อมูลไม่ค่อยได้อัปเดตน่ะค่ะ มันเลยทำให้การทำงานของเรามันล่าช้ามาก คือเราต้องคอยเก็บสำรวจเองด้วย ทั้งข้อมูลเรื่องสายป้าย หรือ ตำแหน่งป้าย คือแทนที่เราจะได้ออกแบบป้าย มันไม่ใช่ มันมีกระบวนการที่จะออกแบบป้ายมาก่อนว่า เราต้องไปเก็บข้อมูลของรถเมล์ ซึ่งเป็นอะไรที่ซับซ้อน เพราะตัวโครงสร้างรถเมล์ซับซ้อนอยู่แล้ว คือต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่า มันมีรถร่วม มีรถแอร์ รถทางด่วน ซึ่งมันมีใครเก็บข้อมูลแล้วออกมาทำได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเราจะทำป้าย 1 ป้าย ในกระบวนการก่อนการออกแบบ เราต้องไปใช้เวลากับข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างมาก ถ้าเป็นอุปสรรคอีกหนึ่งอย่าง ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ด้วย
• จากผลงานรวมของทางกลุ่มที่ทำมา ถือว่าภูมิใจมั้ย
วิภาวี : ใช่ค่ะ เพราะว่าเราได้รับโอกาสที่เราเป็นภาคประชาชน และเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ แล้วส่วนที่สอง เราได้เจอคนที่มีพลังเหมือนเรา เราได้เจอกลุ่มต่างๆ ที่ว่ามา ที่เขามาแล้วไม่ได้อะไรเลย รวมๆ กันแล้ว 50 กว่าคนได้ จากกลุ่มอาสาที่ร่วมกลุ่มกับเรามา เราเลยมองว่า ผลกระทบที่ภาคประชาชนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเมือง เป็นภาพที่เรามองว่ามันจะมีความยั่งยืนต่อเมือง เรารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เป็นเจ้าของเมืองแล้ว เขามองว่าการขึ้นรถเมล์ มันไม่ได้แค่ว่าเป็นการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่เขาช่วยลดปริมาณรถ 1 คันในท้องถนนด้วย และ รักเมืองที่เขาอยู่มากขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวได้
อีกด้านหนึ่ง ภาพรวมจากการทำงานร่วมกันกับกลุ่มอื่นๆ เราได้มุมมองที่หลากหลายมาก คือสุดท้ายแล้วถ้าเป็นงานโครงสร้างสาธารณะ มาจากกลุ่มคนที่มีพื้นฐานอันหลากหลายมาก และทุกคนเข้าใจและได้ผลลัพธ์อันเดียวกัน ซึ่งมันต้องมีคุณภาพมากๆ แน่นอน แปลว่าคนทุกคนเข้าใจ คนทุกคนมองว่า เขาสามารถใช้งานมันได้ เราเลยค่อนข้างที่จะเชื่อมั่นในป้ายของเราพอสมควร
เพียงพลอย : อีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่เราไปร่วมงานกับกลุ่มอื่นๆ มันเหมือนกับว่า แต่ละทีมเขาก็จะมีมุมมองในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน มันเลยทำให้มีการแก้ไปเรื่อยๆ มันเหมือนที่ถามว่า ภูมิใจเรื่องป้ายแล้ว แต่ถามว่ามันสามารถไปได้อีกเต็มไปหมดเลย เพราะว่าพอได้จับป้ายแล้ว เวลาที่ไปทำกับคนอื่น แต่ละคนก็มองเห็นปัญหาแตกต่างกันไป มันก็จะไปได้เรื่อยๆ อย่างที่เมื่อกี้บอกว่า ถ้าคนที่ไม่เคยนั่ง เขาก็จะนึกภาพอะไรไม่ออกเลย บางกลุ่มก็มีเสนอไอเดียว่า เราควรจะทำเหมือน mapping ในหัวคน ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็ควรจะรู้บ้าง เหมือน last mind อย่างน้อยๆ ว่า เวลาจะถึงบ้านตัวเอง มันมีสายอะไรบ้าง เพราะสุดท้าย เห็นอย่างงี้ไปอยู่ที่อื่น สามารถจับโยงได้ อย่างน้อยๆก็รู้ว่า รังสิตอยู่ทิศนี้ แล้วมันไปได้ว่ะ แต่ถ้าสมมติว่า แผนที่ในหัวเราคือไม่มีอะไรเลย มันก็จะไปไหนไม่ได้ ต่อให้มีป้ายมา ก็ไม่ช่วยอะไร คือมันมีเติมกันมาตลอด จากอันนี้มันเลยเป็นจุดประกายมันเลยทำให้มีหลายๆ โอกาส ที่ทำให้คนหลายๆ กลุ่มเข้ามาหาเรา
• แต่ละคนมองปัญหาของระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ยังไงบ้างครับ
วิภาวี : (นิ่งคิด) คือถ้า ณ ตอนนี้ เหมือนรู้สึกว่า สาเหตุของปัญหาคือ เอาแค่ในระบบขนส่งสาธารณะนะคะ อย่างที่บอกว่าที่ผ่านมา มันเป็นการวางระบบแบบ top down มาโดยตลอด อย่างเราที่เรียนทางด้านระบบขนส่งมาโดยตลอด เราจะเข้าใจ เพราะว่าเราจะมองว่า การวางระบบขนส่งสาธารณะมันเป็นการวางรูปแบบเมือง ว่าเมืองกำลังจะขยายตัวไปที่ไหน ทิศไหน อย่างไร และควรเป็นเช่นไร แต่ด้วยความที่ว่า กรุงเทพฯ มันเป็นเมืองที่ควบคุมการขยายได้ยากมาก มันเกิดการขยายในหลากหลายพื้นที่ พัฒนาอย่างไร้ทิศทางจนเลยกรอบวงแหวนมา 2 รอบแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งตัวระบบขนส่งมันไม่ได้โจทย์นี้ตลอด ยกเว้นถ้าเขาจะสร้างรถไฟฟ้าที่มันเป็นขนาดใหญ่ แต่ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ มันยังมีปัญหาย่อยๆ ปัญหาหน่วยเล็กๆ ที่อยู่ในเมือง ที่มันเติบโตแล้วค่ะ คือถ้าเรามองแค่การขยายออกไป หรือ pattern เมืองที่เกิดขึ้นเนี่ย มันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เราก็เลยคิดว่า ตัววิธีคิดของวิธีแบบ bottom up ที่ปกติในการพัฒนาในโครงการหนึ่ง เหลือแค่ 2 ข้อเล็กๆ ในการศึกษาปัญหา มันไม่ได้อยู่ในส่วนของการแก้ไขปัญหา หรือว่าการกำหนดนโยบายใดๆ ขึ้นมา เราเลยมองว่า ถ้ามีกระบวนการส่วนร่วมของภาคประชาชนเนี่ย สามารถมีบทบาทในโครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มากกว่านี้ มันจะมีส่วนช่วยในวิธีการแก้นี้คลี่คลายและยั่งยืนมากขึ้นหรือเปล่า
เพียงพลอย : คือถ้าเสริมก็คงคิดไปในทางเดียวกัน แต่ด้วยความที่เราไม่ได้มี background อย่างที่อุ้มมี สำหรับเรามันคือความรู้สึกอย่างหนึ่งมากกว่า มันมีอารมณ์ร่วมนิดหนึ่ง เป็นเรื่องของการที่คนใช้คาดหวังกับการแก้ตรงนี้ไปแล้ว คิดว่ามันเป็นปัญหาเพราะว่า ถ้าเราหมดหวังกับการแก้ไขไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามันยากไปเลย แล้วพอเราหมดหวังกับมัน สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็คือว่าเราพยายามที่จะชินกับมัน แล้วเราก็จะต้องใช้ในแบบที่มันเป็น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วเราก็อดทนไปกับมัน พูดถึงป้าย ถามว่ามันยากขนาดนั้นเหรอที่จะสร้างขึ้นมาให้เข้าใจง่าย หรือว่า สายรถเมล์ ถ้าให้มานั่งคุยกันจริงๆ มันทำให้มีโครงสร้างที่ดี มันไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น แต่มันเริ่มจะมาจากการที่เราหมดหวังไปแล้วที่จะแก้มัน หรือว่า เรารู้สึกว่ามันซับซ้อนว่ะ มันมีเรื่องสัมปทานว่ะ มันมีเรื่องผลประโยชน์ว่ะ หรือ เรื่องนโยบายที่ทุกคนต่างคิดไปก่อนแล้วว่า เราไม่มีหวังที่จะแก้มัน สุดท้ายจึงไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลย ซึ่งก็ทำให้เราอยู่กันไปอย่างงี้ แล้วเราก็จะส่งต่อกับภูมิปัญญานี้ จากรุ่นสู่รุ่น ไปเรื่อยๆ อันนี้น่าจะเป็นปัญหาของโครงสร้างนี้
• ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันก็ส่งผลในเรื่ององค์ประกอบของทางต้นเหตุของตัวรถเมล์ด้วยมั้ย
เพียงพลอย : คือถ้าถามในเรื่องรถเมล์เก่า เรารู้สึกว่า มันไม่ใช่ปัญหานะ ปัญหามันคือวิธีการคิดเบื้องหลังสิ่งนั้นมากกว่า คือต่อให้เก่าแต่ว่ายังให้บริการได้ มันยังพาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้หรืออะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าเบื้องหลังความคิดอันนั้น ว่ารถเมล์คันนี้ สายนี้ วิ่งแบบนี้ มันมายังไง มันจะไปยังไง อันนี้คือเรื่องน่าคิดมากกว่า มันไม่ใช่ตัวรถ อันนี้คือมุมส่วนตัวของเรา
วิภาวี : คือตัวสภาพทางกายภาพค่ะ มันก็มีส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางหรือไม่ คือถ้าเราเป็นคนที่เริ่มใช้แรกๆ เลยก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยหรือเปล่า หรือมันจะเสียกลางทางมั้ย หรือร้อนมั้ย ถ้าฝนตกกลางทาง จะทำไง คือทางกายภาพรถก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเดินทาง แต่ว่าก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าระบบมันมีปัญหาจากหลายๆ ส่วน สภาพรถก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันอยู่ที่วิธีการว่า เราจะเปลี่ยนยังไง ซึ่งทางเรามีแนวคิดว่า small change big move คือจะเปลี่ยนให้น้อยที่สุด แต่ว่าให้เกิด impact ให้มาก หรือว่าปรับพฤติกรรมอะไรเล็กๆ น้อยๆ คือถ้าให้มองกายภาพรถเนี่ย ถ้าถามตัวเราเอง ศักยภาพอย่างนี้ เราก็ไม่อยากนั่ง (หัวเราะ) คือตอบคำถามไม่ถูกหรอกว่าอันไหนดีหรือไม่ดี แต่ถ้าถามว่ามันส่งผลมั้ย แน่นอนเลยเป็นทางตรงด้วย เพราะว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งด้วยที่เราจะเลือกเดินทาง
วริทธิ์ธร : สำหรับผม ผมก็คิดว่ามีและส่งผลครับ อย่างตัวผมเอง ผมนั่งรถเมล์มาตั้งแต่เด็ก ผมเองก็ยังรู้สึกว่า ภาพที่ผมเห็นรถเมล์มันก็มีบางคันที่ดูไม่น่าขึ้น ดูไม่ปลอดภัย ผมว่ามันเป็นเรื่องแรกๆ ด้วยซ้ำที่คนจะคิดถึง คือถ้าตามตรง คนไทยไม่ได้มีนิสัยของการวางแผนการเดินทาง ไม่ได้คิดว่าจาก A ไป B ทางไหนเร็วสุด อะไรมา ผ่านตรงไหนก็ไป ฉะนั้น แผนตรงนี้เห็นชัดเลยว่า คนไทยไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น แต่คำนึงถึงแค่ว่า รถที่มาข้างหน้าใหม่หรือเปล่า ซึ่งแค่ 2 ข้อแรก ก็เรียบร้อย จบ บางสายก็ถี่ บางสายก็ไม่ แล้วทำไมมันถึงเก่า ซึ่งมันก็เก่าอย่างว่านั่นแหละ แทบจะเท่าเทียมกันแล้ว ซึ่งสมัยก่อนจะแบ่งได้เลย รถใหม่จะเป็นขององค์การ เอกชนก็จะเก่าๆ แต่ปัจจุบันแทบจะแยกกันไม่ออกว่า อันไหนรถร่วม อันไหน ขสมก. นะ เพราะว่าเหมือนกันไปหมด คือปัจจุบันมันมีส่วนอยู่แล้วครับ มันเป็นสิ่งเดียวที่คนจับต้องได้ ในฐานะคนขึ้นทั่วไปนะ ถ้าอย่างเวลา เรามีเรื่องขนส่ง จะเปลี่ยนเลข เปลี่ยนอะไรอย่างงี้ คนจะชอบพูดว่า มึงเอาเวลาไปเปลี่ยนรถดีกว่า แต่ถ้าให้เถียงกันตรงเรื่อง เอาให้จบก่อนว่าเรื่องสายคุณโอเคมั้ย ซึ่งเรื่องรถมันก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้วล่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องสายใหม่ แต่ในเรื่องตรงนี้ คนไทยก็ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ ก็ยังรู้สึกว่า ไม่รู้ล่ะ กูอยากได้รถใหม่ เรื่องอื่นวางไว้ทีหลัง ผมว่าเป็นเรื่องที่จะว่าสำคัญมั้ยก็ใช่ แต่ว่าคนไทยยังคงเห็นสิ่งนี้เป็นน้ำหนักก้อนใหญ่อยู่ ผมว่ามันจับต้องได้ชัด และแทบไม่ต้องใช้ความรู้ใดๆ ในการมองแผนที่หรือรู้เรื่องอะไร แต่ต่อให้ 10 คน หรือเด็กเดินมา เก่า สนิม ผุ พัง ไม่ปลอดภัย มันชัดมาก ส่วนเรื่องอื่นก็ต้องอาศัยความเข้าใจ นู่นนี่นั่น
• ซึ่งก็สะท้อนภาพรวมของคนไทยที่ว่า จุดเมนหลัก มันยังเป็นเรื่องรองมากกว่าภาพลักษณ์
วริทธิ์ธร : ถ้าในมุมผม ผมไม่ได้มองภาพไหนเป็นเรื่องยังไงนะ ทั้งแง่ของทฤษฎี เส้นทาง หรือ การให้บริการรถ ผมให้ความสำคัญเท่าๆ กันไปหมดเลย เพราะว่า ต่อให้เส้นทางดี แต่รถไม่ดี ยังไงก็ไม่ปลอดภัย คนก็ไม่อยากใช้ เหมือน airport link ที่เส้นทางมันดีนะ วิ่งตรงมากลางเมือง แต่คนก็บ่น รอนาน ประตูก็ปิดดัง แล้วถ้าการที่เขาบอกว่า มาในอีก 10 นาที แต่ก็ไม่มา ความรู้สึกเราก็เสียนะ คือมันจะบอกว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ไปด้วยกัน หรือ รถดีแค่ไหน แต่เส้นทางก็พาไปอ้อมโลก คนก็ถามว่าทำไมจะต้องไป อย่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหรือสีม่วงก็ได้ครับ รถดีมากเลย แต่กว่าจะออกจากบางบัวทองมาหัวลำโพง พาไปอ้อมโลกเลย 70 บาท คือมันดูคุ้มแหละ แต่ผ่านทุกที่ ทุกสถานี ขึ้นมา จนหลับไปงีบนึง ตื่นขึ้นมา ถึงแล้วเหรอ คือไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ว่ามันไม่ได้ไปด้วยกัน ผมว่าไปด้วยกันได้น่าจะเวิร์กกว่า
• สมมติว่า โปรเจกต์ในกรุงเทพฯเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางกลุ่มจะขยายงานไปในส่วนอื่นของประเทศด้วยมั้ย
วิภาวี : เป็นไปได้ค่ะ คือกระบวนการของเรา คือ ใครทำก็ได้ อย่างที่บอกว่าเราเป็นภาคประชาชน เราเป็นคนธรรมดา มีการรวมกลุ่มกันอย่างเรา เราก็รู้สึกว่า เราก็เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบ หรืออาจจะไม่ใช่เรื่องระบบขนส่งสาธารณะก็ได้ค่ะ อาจจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ที่เราสามารถมีบทบาทได้ สวนสาธารณะก็ได้ หรือเรื่องอะไรก็ได้ ที่เรามองว่าเป็นของสาธารณะ เป็นงานของรัฐบาล เราเป็นประชาชนธรรมดา แล้วเกี่ยวอะไร คือจริงๆ มันก็เป็นเมืองของเรา มันก็เป็นที่ที่เราอยู่ ที่ที่เราใช้ เราสามารถสร้างบทบาทตัวเองได้ค่ะ ทั้งในการรวมกลุ่มกัน การมีส่วนร่วมในหลายๆ กลุ่ม ชวนกันมารวมความหวัง มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ที่ค่ะ
เพียงพลอย : อย่างที่อุ้มบอกไปตอนต้นว่า แต่ละคนก็สนใจในเรื่องต่างๆ มา แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่มีใครสักคนที่เป็นผู้มีอำนาจ หรือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ว่าสุดท้ายแล้วที่มีจุดร่วมเหมือนกันคือ เราเป็นประชาชนทั่วไป ที่อยู่ในโครงสร้างนี้ทุกๆ วัน เพราะว่าจริงๆ แล้ว รูปแบบนี้มันขึ้นกับทุกอย่างอยู่แล้ว ว่าวันหนึ่งเราก็สามรถที่จะชวนคนให้มาร่วมเหมือนเรา เพราะว่าคนคนหนึ่ง มันมีหลายมิติต่อสิ่งสิ่งนั้น แต่ละวันของเขา ตั้งแต่เช้าไปทำงาน จนถึงกลับบ้านตอนเย็น ที่มีเรื่องราวไปหมด ที่จริงๆ แล้ว อย่างที่บอกว่า มีเรื่องเล็กๆ ที่แก้ได้ ซึ่งโอเคว่าเราแก้ทั้งระบบไม่ได้ แต่ก็มีเรื่องเล็กๆ ที่แก้ได้ ค่อยๆ จุดประกายไป
วริทธิ์ธร : (นิ่งคิด) ใช่ครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก มันไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำมันไม่ได้ใหม่แบบที่ไม่เคยมีใครทำ คือมีความพยายามแหละ แต่วิธีการของแต่ละกลุ่ม แต่ละคน หรือใดๆ ก็ตามในรายละเอียด มันมีลงลึกแตกต่างกันไป คือถ้าเราคิดว่าเราจริงจังกับมันจริงๆ แล้วมันจะต้องทำแล้วไปให้ถึงให้ได้ เพราะว่าต้นแบบที่อยากมีป้ายน่ะมันไม่ใช่เราทำคนแรก ก็มีคนทำมาไม่รู้กี่ครั้ง ก็มีคนทำมาตลอด จนกระทั่งทุกคนมาพยายามทำ หายหมดเลย แล้วพอเรามีโอกาสว่า มา เราลองทำดู เราก็พยายามลอง หาวิธีการ หาเส้นทางที่คนไปต่างๆ ว่า เขาไปเส้นทางไหนแล้วหาย เขาไปในเส้นทางไหนที่จะไม่หายไปแบบเขา แบบไหนไปถามเขาว่า ไปลงทางตรงไหน ไปไม่ได้ตรงไหน กลับมาแล้วจะไปด้วยกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ร่วมกันหาทางไป แค่อาจจะไม่คุ้นชินกับมันเท่าไหร่ แบบการที่ประชาชนลุกขึ้นมาทำ แล้วคนก็มาบ่นว่า เนี่ย รัฐไม่ทำ เลยทำให้ประชาชนขึ้นมาทำ แต่ถ้าคุณบ่นแล้วจบไป มันก็เป็นหมือนหลายๆ เรื่องที่เคยทำมา ก็จะมองเหมือนว่า นั่งดูพี่ตูนวิ่ง แล้วไม่เกิดอะไร แต่ถ้าทุกคนรู้สึกว่า แม้วารัฐบาลจะแย่ยังไงก็ตามแต่สิ่งที่เราทำอยู่ ว่าแต่ละส่วนมีการทำได้ แล้วทุกคนลุกขึ้นมาทำ คือบ่นไปก็ไม่ว่านะ แต่ถ้าคุณเห็นลู่ทางตรงไหนที่อยากทำ ก็ลุกขึ้นมาทำ แต่ละคนก็จะเป็นจิ๊กซอว์กันว่า คนนี้รู้เรื่องนี้ค่อยๆ พูด แล้วช่วยๆ พัฒนาให้ดีขึ้น เราอาจจะอยู่กรุงเทพฯ กันมานาน เรารู้ว่ากรุงเทพฯ น่าจะเติมตรงนี้ๆ ประสบปัญหาตรงนี้ทุกวัน แต่เราไม่สามารถไปพูดแทนว่า ทำไมรถเมล์เชียงใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมรถเมล์โคราชถึงหายไป คนในพื้นที่นั้น คือเขาอาจจะไม่ต้องการรถเมล์ แต่เขาอาจจะต้องการอะไรของเขาในพื้นที่นั้นก็รู้ แล้วถ้าเขารวมกลุ่มกันได้ ร่วมพัฒนากันได้ คนในพื้นที่ คนตรงนั้น อาจจะพัฒนาด้วยกันได้ดีขึ้น หรืออะไรก็ตาม
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา