xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 พ.ย.2560

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.โปรดเกล้าฯ ครม.ประยุทธ์ 5 แล้ว “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” ยังอยู่ ด้าน “บิ๊กฉัตร” นั่งรองนายกฯ!
(บนซ้าย) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร พ้นจากรองนายกฯ (บนขวา) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร พ้นจาก รมช.กลาโหม (ล่างซ้าย) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นรองนายกฯ อยู่แล้ว แต่ได้ควบ รมว.ยุติธรรมอีก 1 ตำแหน่ง (ล่างขวา) พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ โยกจาก รมว.เกษตรและสหกรณ์ มาเป็นรองนายกฯ แทน
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 22 พ.ย. โดยยอมรับว่า ได้มีการทูลเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ชุดใหม่ขึ้นไปแล้ว ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตําแหน่ง และสมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี

สำหรับรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่ง ได้แก่ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี,
พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี, นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ส่วนผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ได้แก่ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี, นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์, นายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายลักษณ์ วจนานวัช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นางสาวชุติมา บุณยประภัศร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อีกตําแหน่งหนึ่ง, พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี, นายอุดม คชินทร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสมชาย หาญหิรัญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

สำหรับรัฐมนตรีที่หลุดจากตำแหน่งเลย โดยไม่ได้รับตำแหน่งใหม่ มี 9 คน ประกอบด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร, พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย, นายออมสิน ชีวะพฤกษ์, พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร, นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร, นายพิชิต อัคราทิตย์, นางอภิรดี ตันตราภรณ์, นางอรรชกา สีบุญเรือง และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวต่อที่ประชุม ครม.ถึงความจำเป็นในการปรับ ครม.ว่า “ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ท่านรู้สึกไม่ดีกับ ครม.คนหนึ่งคนใด แต่มีความจำเป็นต้องปรับ ครม.เพื่อให้การทำงานเกิดความฉับไวและมีประสิทธิภาพสูงสุด ฉะนั้นใครอยู่ใครถูกปรับออก ก็อย่าได้น้อยอกน้อยใจ ท่านรู้สึกเสียใจมากกว่าคนอื่น เพราะว่าท่านต้องรับผิดชอบ เมื่อมีความจำเป็นจะต้องปรับ ก็ต้องปรับ”

2.ผบ.ทสส. เด้ง “ผู้การกรม-ผู้พัน” นักเรียนเตรียมทหารเข้ากรุ เหตุ “น้องเมย” เสียชีวิต คาด 7 วันรู้ผลตรวจสาเหตุการตาย!
นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1
ความคืบหน้ากรณีนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนาเมื่อวันที่ 17 ต.ค. หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้เพียง 1 วัน กระทั่งมีการชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต แต่ผลการชันสูตรศพครั้งแรก ระบุเพียงว่า หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทางนายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ บิดามารดานายภคพงศ์ ยังติดใจการเสียชีวิต จึงได้นำศพลูกชายไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อตรวจพิสูจน์อีกครั้ง จึงพบว่า อวัยวะบางส่วนของลูกชายหายไป ร้อนถึงผู้เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงเป็นการใหญ่ ทั้งในแง่อวัยวะที่สูญหายและสาเหตุการเสียชีวิตของนายภคพงศ์

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวว่า ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่เดือน ต.ค. จากรายงานพบว่า เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่รายละเอียดต้องถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และว่า ตนก็เสียใจเพราะเป็นทหารรุ่นหลาน ไม่อยากให้ใครเสียชีวิต ทราบว่าเด็กคนนี้ป่วยบ่อย ต้องดูประวัติการรักษาด้วย แต่ถ้าตายผิดธรรมชาติ ก็ต้องลงโทษ

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีคู่กรณี เพราะนักเรียนเตรียมทหารป่วยอยู่โรงพยาบาลตลอด และมาเรียน กลับไปกลับมา ไม่ใช่เรื่องของการทำโทษ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีเรื่องของซี่โครงหัก โดยบอก ได้เรียกผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาให้ข้อมูลแล้ว ชี้แจงว่า เสียชีวิตเนื่องจากร่างกายอ่อนแอและป่วยเป็นโรคหัวใจ

ขณะที่ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า เมื่อนายภคพงศ์เสียชีวิต ทางโรงเรียนเตรียมทหารได้นำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าและมีการตัดอวัยวะบางส่วนไปพิสูจน์ ซึ่งเป็นเพียงชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีการขโมยอวัยวะแต่อย่างใด

วันเดียวกัน พล.ต.กนกพงศ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร แถลงว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค. หลังจากนายภคพงศ์ล้มลงในเวลา 16.00 น. ได้ส่งตัวไปโรงพยาบาล หัวใจเต้นอ่อน มีการช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ และได้หารือว่าเป็นการตายผิดธรรมชาติ จึงต้องมีการชันสูตร ซึ่งได้คุยกับพ่อแม่ของน้องเมยตลอด และว่า ก่อนเสียชีวิต 1 วัน น้องเมยเป็นลม และมีการพาไปส่งห้องพยาบาล วันต่อมา ช่วงเช้าทำกิจกรรมตามปกติ มีการวิ่งก่อนรับประทหารอาหาร น้องเมยหายใจเร็วกว่าปกติ จึงถูกส่งไปที่กองแพทย์ ช่วงเที่ยงน้องเมยมีการคุยโทรศัพท์ ช่วงบ่ายเดินคุยโทรศัพท์ช่วง 15.00 น. หลังจากนั้น เวลา 16.00 น.ก็เกิดอาการขึ้น พบว่าน้องโทรคุยกับครอบครัว และระหว่างที่ครอบครัวโทรกลับมาหา เจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปให้ที่ห้องพักบริเวณกองแพทย์ น้องก็ทรุดตัวลง มีการช่วยเหลือและส่งโรงพยาบาลทันที

ด้าน พ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ รพ.พระมงกุฏเกล้า เผยว่า ได้รับร่างน้องเมยคืนวันที่ 18 ต.ค. ชันสูตรศพเช้า 19 ต.ค. ไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอก จึงผ่าเปิดภายใน พบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำบริเวณชายโครงขวาและซ้าย แต่กระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ และได้มีการเก็บอวัยวะเพื่อตรวจ คือ สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร เพราะการเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุจะอยู่ที่สมองและหัวใจ โดยได้ออกรายงานให้เจ้าพนักงานว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุ

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พูดถึงการเสียชีวิตของน้องเมยอีกครั้งว่า เกิดจากสุขภาพของตัวเขาเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น และว่า เด็กเป็นโรคฮีทสโตรก ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการซ่อมเกินกำลังคนจะรับได้จะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตรบอกว่า “ผมก็เคยโดนซ่อมจนเกินกำลังจะรับได้ จนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย...” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะแก้ปัญหาพวกนี้อย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร จะเอาคนที่เต็มใจ

ทั้งนี้ คำตอบของ พล.อ.ประวิตร ได้ถูกกระแสสังคมไม่พอใจและได้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม

ด้านสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังได้รับอวัยวะของน้องเมยจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ซึ่งพบว่ามีหลายส่วน ทั้งสมอง ตับ ม้าม กระเพาะ ปอด ได้มีการตั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก 3 สถาบัน คือ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช และ รพ.จุฬาลงกรณ์ จำนวน 6 คน เพื่อตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิต โดยจะตรวจสอบด้วยว่า อวัยวะดังกล่าวตรงกับดีเอ็นเอของน้องเมยหรือไม่ คาดว่าจะทราบผลตรวจสอบภายใน 7 วัน

ขณะที่นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ บิดาของน้องเมย เผยว่า ก่อนที่น้องเมยจะเสียชีวิต น้องเคยถูกรุ่นพี่ทำโทษที่เดินในเส้นทางที่รุ่นพี่กำหนดว่าห้ามเดินผ่าน ด้วยการให้น้องทำท่าแคงการู คือเอาหัวปักไปที่พื้น แล้วให้สลับขา จนลูกชายต้องนอนโรงพยาบาล เพราะเจ็บหัวและตอนหลังเริ่มบวมและมีน้ำเหลืองออกด้วย เหตุเกิดเมื่อ 23 ส.ค. ตอนแรกคิดจะแจ้งความแต่เปลี่ยนใจ ต่อมาน้องเมยเจอเรื่องในลักษณะเดิมๆ กระทั่งวันที่ 10 ต.ค. ลูกชายโทรมาร้องไห้ แจ้งว่าตกบันได จากนั้น 11 ต.ค. จึงไปดูลูก 12 ต.ค. โรงเรียนปล่อยกลับประมาณ 5 โมง 13 ต.ค. พาลูกไปโรงพยาบาล 14.ต.ค.อยู่บ้าน 1 วัน 15 ต.ค.ส่งลูกที่โรงเรียน 16 ต.ค.ได้รับข่าวจากเด็กนักเรียนว่าลูกไปอยู่กองพยาบาลอีกแล้ว ถามว่าเพราะอะไร เขาบอกว่าถูกเพื่อนเดี่ยว(ลงโทษคนเดียว) ที่โรงอาหารของโรงเรียนจนสลบ แล้วถูกหามมาที่กองพยาบาลเพื่อมาให้น้ำเกลือ “ผมไม่รู้ว่าเขาเจออะไร ไม่มีใครกล้ามายืนยันและกล้ารับว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผู้พันบอกว่า จะพาเด็กที่ลงโทษมาคุยกับผม แต่ผมบอกว่าถ้าทำแล้วไม่สบายใจ ไม่ต้องมาหรอก กระทั่งวันที่ 17 ต.ค.น้องเมยเสียชีวิต”

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 พ.ย. มีรายงานว่า พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้ลงนามคำสั่งปรับย้าย พ.อ.ฉัตรชัย ดวงรัตน์ ผู้บังคับการกรมนักเรียน โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการปัองกันประเทศ (ผบ.กรม.นร.รร.ตท.สปท.) ไปอยู่ในตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการประจำ บก.ทท. พร้อมแต่งตั้งให้ พ.อ.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) ข้ามไปเป็น ผบ.กรม.นร.ตท.สปท. (พันเอกพิเศษ) แทน นอกจากนั้นยังย้าย น.ท.นพศิษฐ์ เพียรชอบ ผู้บังคับกองพันนักเรียน กรมนักเรียน โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (ผบ.พัน.นร.กรม นร.รร.ตท.สปท.) ไปประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) และย้าย น.ท.ประเสริฐศิลป์ วรสิษฐ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายสรรพาวุธ นย. มาเป็น ผบ.พัน.นร.กรม นร.รร.ตท.สปท.แทน

ทั้งนี้ แม้คำสั่งดังกล่าวจะไม่ได้ระบุเหตุผลในการย้าย แต่คาดว่าเป็นผลจากการเสียชีวิตของน้องเมย กระทั่งนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงสาเหตุของการเสียชีวิต

3.ศาลอนุมัติหมายจับ “ครูจอมทรัพย์-ครูอ๋อง” 2 ข้อหาหนักอั้งยี่ซ่องโจร-เบิกความเท็จ ล่าสุด รวบตัวครูจอมทรัพย์แล้ว!
(บนขวา) นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือครูจอมทรัพย์ (บนซ้าย) นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง เพื่อนครูจอมทรัพย์ (ล่าง) นายสับ วาปี ผู้ที่เคยให้การว่า ตนขับรถชนคนตาย ไม่ใช่ครูจอมทรัพย์
ความคืบหน้ากรณีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครูชาว จ.สกลนคร จำเลยคดีขับรถชนคนเสียชีวิตที่ จ.นครพนม เมื่อปี 2548 ที่ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน เมื่อปี 2556 ซึ่งหลังจากครูจอมทรัพย์ถูกจำคุก 1 ปี 6 เดือน ได้รับอภัยโทษในปี 2558 และได้ยื่นเรื่องต่อศาลขอให้รื้อฟื้นคดี โดยอ้างว่านายสับ วาปี ยอมรับว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริง กระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลจังหวัดนครพนมพิจารณารื้อคดี โดยได้สืบพยานเมื่อวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่สุดท้าย เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศาลได้พิพากษายกคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ โดยชี้ว่า พยานหลักฐานที่นำสืบไม่น่าเชื่อถือ พร้อมกันนี้ศาลยังเชื่อว่า มีขบวนการรับจ้างรับผิดแทน โดยมีนายสับ และนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง เพื่อนของครูจอมทรัพย์ที่เดินเรื่องให้มีการรื้อฟื้นคดี เป็นผู้ต้องสงสัย หลังจากนั้น พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จ.นครพนม ได้สั่งคัดสำเนาคำฟ้อง คำพิพากษาในคดี พร้อมตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จในคดีดังกล่าว

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย. พ.ต.ท.อิทธิศักดิ์ ชมศรีหาราชพร รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.กุตาไก้ อ.เมืองนครพนม อดีตพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน ซึ่งเป็น 1 ในคณะทำงานของ สภ.จ.นครพนม สอบสวนดำเนินคดีเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลขบวนการสร้างพยานเท็จคดีครูจอมทรัพย์ ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนครพนม สภ.เรณูนคร และ สภ.นาโดน ให้สอบสวนดำเนินคดีขบวนการสร้างพยานเท็จรวม 7 คน ฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 267 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน ประกอบด้วย 1.นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง อายุ 54 ปี เพื่อนของครูจอมทรัพย์ และเป็นบุคคลสำคัญที่มีหลักฐานว่าเป็นคนจัดตั้งขบวนการรับจ้างรับผิดในคดีดังกล่าว 2.นายสับ วาปี อายุ 61 ปี เป็นคนให้การกับตำรวจ รวมถึงเบิกความต่อศาลว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริง 3.นางจัน วาปี อายุ 59 ปี ภรรยานายสับ วาปี 4.นายบุญเทิง วาปี อายุ 63 ปี 5.นายเลิศ วาปี อายุ 66 ปี 6.นายรัน โทนแก้ว อายุ อายุ 60 ปี เป็นญาติของนายสับ วาปี และ 7.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานในคดีที่นางจอมทรัพย์ เป็นผู้ต้องหาขับรถชนคนตาย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวนดำเนินคดี หากรับสารภาพจะทำสำนวนส่งฟ้องศาลภายใน 48 ชั่วโมง หากไม่มารายงานตัวตามกำหนดจะออกหมายจับ

พล.ต.ต.สุวิชาญกล่าวถึงแนวทางการดำเนินคดีด้วยว่า หากผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดให้การซัดทอดถึงบุคคลใด หรือมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน คำให้การกับทางตำรวจ ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน รวมถึงการเบิกความต่อศาลที่เข้าข่ายเป็นเท็จ รวมถึงเชื่อมโยงไปว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย จะต้องดำเนินคดีทุกราย รวมถึงตัวครูจอมทรัพย์ด้วย แต่บุคคลสำคัญที่มีพยานหลักฐานชัดเจนเชื่อว่าเป็นผู้ที่จัดตั้งขบวนการ คือนายสุริยา หรือครูอ๋อง

ทั้งนี้ 2 วันต่อมา(22 พ.ย.) นายสับ วาปี ที่ยอมรับและให้การก่อนหน้านี้ว่าตนเป็นคนขับรถชนคนตาย ไม่ใช่ครูจอมทรัพย์ ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ หลังตกเป็น 1 ใน 7 คนที่ถูกอดีตตำรวจเข้าแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นตำรวจได้ปล่อยตัวชั่วคราว

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสับเผยว่า ได้รับการว่าจ้างให้รับผิดแทน โดยมีครูอ๋องเป็นคนประสานงานว่าจ้าง 4 แสนบาท และยืนยันว่าจะดูแลไม่ให้ตนติดคุก จึงตกลง เพราะต้องการเงินและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยครูอ๋องพาไปสารภาพกับตำรวจ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับค่าจ้าง เมื่อรู้ว่ากระทำผิดก็น้อมรับ พร้อมให้การตามความเป็นจริงทุกอย่าง และว่า มามอบตัวด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ และไม่ต้องการหนี

ต่อมา 23 พ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายสับ ไปชี้จุดประกอบคำรับสารภาพภายหลังครูอ๋องนำเงิน 1.7 แสน ให้นายสับเพื่อจ่ายเยียวยาให้ญาติผู้ถูกรถชนเสียชีวิตที่จังหวัดนครพนม

24 พ.ย. พนักงานสอบสวนชุดใหญ่ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นต่อศาลจังหวัดนครพนม ขออนุมัติหมายจับครูจอมทรัพย์และครูอ๋อง ในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรและเบิกความเท็จต่อศาล โดยไม่ต้องออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับทั้งคู่

และ 25 พ.ย. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรสกลนครกว่า 10 นาย ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 129 บ้านม่วงไข่ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร บ้านพักของครูจอมทรัพย์ ก่อนแสดงหมายศาลและหมายจับ และนำตัวครูจอมทรัพย์ขึ้นรถตู้ตำรวจเดินทางไปยัง สภ.โคกศรีสุพรรณ เพื่อลงบันทึกประจำวัน ก่อนเดินทางต่อไปยังกองบังคับการตำรวจภูธรนครพนม

ส่วนครูอ๋อง เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวัดมุกดาหาร ได้นำหมายเข้าค้นบ้านครูอ๋อง แต่ไม่พบตัว พบแต่ภรรยา โดยภรรยาบอกว่า ครูอ๋องไม่อยู่ ไปกับทนายความ ขอไปตั้งหลักอีก 2-3 วัน จะเข้ามอบตัวพร้อมกับทนายความ

4.“จักรทิพย์-สมยศ” นำทีมแถลงจับขบวนการล้มบอลไทย 12 ราย ชี้ยังมีอีก ด้าน 4 นักเตะราชนาวี ถ้าผิดจริงรับโทษ 2 เท่า!
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย นำทีมแถลงจับกุมขบวนการล้มบอลไทย
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย พร้อมฝ่ายสืบสวนสอบสวน ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมขบวนการล้มบอล หรือล็อคผลการแข่งขันในลีกอาชีพของไทย โดยออกหมายจับผู้กระทำผิดทั้งสิ้น 12 ราย และควบคุมตัวมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

สำหรับผู้ถูกหมายจับทั้ง 12 รายดังกล่าว ประกอบด้วย นักฟุตบอลอาชีพ 5 ราย คือ นายสุทธิพงษ์ เหลาพร นักฟุตบอลทีมราชนาวี เอฟซี, นายณรงค์ วงษ์ทองคำ ผู้รักษาประตูทีมราชนาวี เอฟซี, นายสุวิทยา นำสินหลาก นักฟุตบอลทีมราชนาวี เอฟซี, นายเสกสันต์ ชาวทองหลาง นักฟุตบอลทีมราชนาวี เอฟซี และนายวีระ เกิดพุทซา ผู้รักษาประตูทีมนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี นอกจากนี้มีกรรมการผู้ตัดสิน 2 ราย คือ นายภูมิรินทร์ คำรื่น ไลน์แมน 1 ราย คือ นายธีรจิตร สิทธิศุข ผู้บริหารสโมสร 1 ราย คือ นายเชิดศักดิ์ บุญชู ผู้อำนวยการสโมสรศรีสะเกษ เอฟซี กลุ่มนายทุนหรือตัวแทนนายทุน 4 ราย คือ นายวัลลภ สมาน, นายกิตติภูมิ ปาภูงา, นายมานิตย์ หรือเศรษฐปสิทธิ์ โกมลวัฒนะ และนายภาคภูมิ พันธ์นิกุล

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ทางคณะทำงานสืบสวนสอบสวนมีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อได้พยานหลักฐานแน่นหนาจึงออกหมายจับทั้ง 12 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด "จริงๆ มีมากกว่านี้ แต่ยังรอหลักฐานที่แน่ชัดอีกครั้ง แล้วเราถึงจะออกหมายจับเพิ่มเติมได้ ก็ต้องขอบคุณหลายๆ ฝ่ายที่ให้ความร่วมมือกับทางเราด้วย นี่ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ เราต้องรอดูต่อไปว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ทั้ง 12 คน ถูกควบคุมตัวไว้หมดแล้ว แต่อนุญาตให้ประกันตัวออกไปก่อน"

ด้าน พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า 12 คนที่ถูกออกหมายจับนี้เป็นเพียงแค่ล็อตแรกเท่านั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อออกหมายจับบุคคลนอกเหนือจาก 12 คนนี้อีก "ตอนนี้เราสอบถามผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ซึ่งทุกคนก็ยอมรับว่ามีการล็อคผลการแข่งขันจริง มีมานานแล้วตั้งแต่อดีต มีผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชุดเก่า ร่วมด้วย แต่ก็คงเอ่ยชื่อไม่ได้ การทำงานของตำรวจมันปิดบังอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ได้อะไรมาก็เปิดเผยออกมาอย่างนั้น"

พล.ต.อ.สมยศกล่าวอีกว่า "ที่ผ่านมามีการขู่บังคับต่างๆ นาๆ ทั้งตัวนักฟุตบอลเอง หรือผู้ตัดสินเอง ที่โดนผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการขู่เข็ญตลอด มีการเสนอข้อแลกเปลี่ยนต่างๆ ทุกคนในวงการย่อมรู้ดีว่าเป็นใคร มีการสั่งให้ผู้ตัดสินทำในสิ่งที่ตนต้องการ หากไม่ทำก็จะถูกลงโทษ หรือถูกแบนอย่างไม่มีเหตุผล มีกรรมการหลายท่านที่เคยถูกขู่บังคับ และไม่ร่วมด้วยกับการล็อคผลการแข่งขันมาเล่าให้ผมฟังตลอดว่าพวกเขาเจออะไรมาบ้าง ในส่วนของสมาคมฯ มีข้อบังคับอยู่แล้วในเรื่องของผู้กระทำความผิดที่จะถูกลงโทษ นอกจากนั้นจะมีการลงโทษจากฟีฟ่า และเอเอฟซี อีกด้วย"

วันต่อมา(22 พ.ย.) นายธเนศ เครือรัตน์ ประธานสโมสร “กูปรีอันตราย” ศรีสะเกษ เอฟซี ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีมีชื่อนายเชิดศักดิ์ บุญชู ผู้อำนวยการสโมสรศรีสะเกษ เอฟซี มีส่วนร่วมกับกระบวนการล็อกผลการแข่งขัน โดยขอบคุณนายกสมาคมฯ ผบ.ตร. และตำรวจทุกคนที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้และช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลไทย พร้อมขอโทษแฟนบอลศรีสะเกษทุกคน ที่ทำให้สโมสรต้องมีความเสื่อมเสีย ซึ่งตนไม่คิดว่าจะมีบุคคลในสโมสรมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ และรู้สึกเสียใจมาก พร้อมยืนยันว่า ตนและเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และพร้อมที่จะเอาผิดให้ถึงที่สุด

ด้าน พล.ร.อ.รังสฤษดิ์ สัตยานุกูล หรือบิ๊กโตน ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลราชนาวี ได้นำทีมผู้บริหารสโมสร แถลงข่าวกรณีนักเตะราชนาวีเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการล้มบอลไทยจำนวน 4 นายว่า ทางสโมสรรู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมาก เพราะถือว่าการล้มบอลเป็นการทำผิดอย่างร้ายแรง ทั้งต่อตนเอง ต่ออาชีพ และต่อแฟนบอลทุกคนที่เป็นกำลังใจ และว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา สโมสรได้กำชับและชี้แจงกับนักเตะอยู่เสมอห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว และมีข้อห้ามชัดเจนในสัญญาของนักเตะทุกคน แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ทางสโมสรได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมสั่งให้นักเตะที่กระทำความผิดหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

พล.ร.อ.รังสฤษดิ์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการลงโทษนั้น หากมีการตัดสินว่านักเตะทั้งสี่นายมีความผิดจริง จะต้องรับโทษเป็น 2 เท่า ทั้งทางกฎหมาย ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 และยังเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 โดยเฉพาะมาตรา 64 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 แสน-5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และทางวินัยทหาร มีโทษสูงสุดถึงขั้นปลดออกจากราชการ

5.อัยการสูงสุดมีมติรื้อคดี “ทักษิณ” 2 คดี ยื่นศาลฎีกานักการเมืองพิจารณาคดีลับหลังจำเลยตาม กม.ใหม่!
นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปี คดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ และจำเลยหลายคดี
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายวันชาติ สันติกุญชร โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้นำทีมแถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้พิจารณาคดีต่อไปโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้านายทักษิณ จำเลย ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายใหม่ ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้

โดยนายวันชาติกล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีมติรื้อคดีทักษิณ 2 คดี คือ คดีออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือและดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญา เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ส่วนอีกคดีคือ คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษฎามหานคร ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ นายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1 กับพวก รวม 27 คน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือโดยมิชอบ เป็นกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และประชาชน และเป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่จัดการทรัพย์ ร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันและสนับสนุนเจ้าพนักงาน พนักงานในองค์การของรัฐกระทำผิดดังกล่าว ยักยอกทรัพย์ และเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนรับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สิน กระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น
นายวันชาติกล่าวว่า คณะทำงานร่วมกันประชุมพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า ทั้งสองคดีดังกล่าวมีลักษณะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ จึงเสนออัยการสูงสุดให้มีคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวก่อนหน้านี้ และมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นพ้องตามที่คณะกรรมการเสนอ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ แล้ว

ขณะที่นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเผยถึงขั้นตอนการพิจารณาคดีหลังจากนี้ว่า เป็นอำนาจของศาลฎีกาฯ จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งระหว่างนี้ทางนายทักษิณ สามารถตั้งทนายความขึ้นมาต่อสู้คดีได้ ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดี
กำลังโหลดความคิดเห็น