xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจผู้ใช้หัวใจนำทาง “บุญชัย บุญนพพรกุล” โรงเรียนเครื่องหนังแฮนด์เมดเบอร์ต้นๆ ของไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“M HA Art & Craft” ในแวดวงเครื่องหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามนี้ เพราะนอกจากการันตีด้วยฝีไม้ลายมือที่ไม่เป็นสองรองใคร การเรียนการสอนยังจัดเต็มชนิดไม่มีกั๊กความรู้ จนหลายๆ คนต่อยอดสร้างธุรกิจระดับหลักร้อยล้าน

นั่นทำให้ “บุญชัย บุญนพพรกุล” หรือ “แบงค์” ศิลปินอิสระผู้มีชื่อเสียงระดับสากลคนหนึ่งของเมืองไทย ไม่เพียงเชื่อว่า “ศิลปะสร้างชีวิต” แต่ชีวิตที่มีศิลปะยังสร้างสังคมแวดล้อมที่งดงามได้อีกด้วย

เขาคือผู้ทำให้คำว่า “ธุรกิจ” หลอมรวมเข้ากับ “วิถีชีวิต” ผสานไปด้วยกัน เดินร่วมกันไปได้ แบบงดงามลงตัว

• จุดเริ่มต้นงานอาร์ตและคราฟต์

ทั้งหมดทั้งมวลเริ่มต้นจากการเป็นลูกหลานฝั่งธน ย่านเจริญรัถ คือผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ วิ่งเล่นที่นี่ จุดเริ่มต้นกว่าจะมาเป็นวันนี้ได้ ถ้าย้อนไปวัยเยาว์ ผมรักและชอบศิลปะตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่ทำให้รู้ว่าเรารักศิลปะขนาดนี้เลย ตัวอย่างก็คือช่วงนั้นเด็กรุ่นเดียวกันทั่วไป เวลาพักก็ไปเล่นฟุตบอล ไปเล่นกีฬา แต่เราไปหาครูศิลปะ เพราะอยากเรียน ไปบอกเขาตรงๆ เขาก็ให้เรานั่งวาดรูป อยู่กับเขาตลอด

คือการที่เรารู้ตัวเองตั้งแต่เด็ก ทำให้เราไม่เขวเลย เดินหน้ามาทางนี้เต็มที่ มาทางนี้ตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในสาขาคอมมูนิเคชั่น อาร์ตแอนด์ดีไซน์ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก คิดว่าเป็นการเรียนสอนวาดรูปบนคอมพิวเตอร์หรือเปล่า แต่จริงๆ เขาสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ เราจะรู้สึกเลยว่าชีวิตกับศิลปะมันเรื่องเดียวกัน

• หลังจากได้รับการประสิทธิประสาทวิชาแล้ว เราเริ่มกระโดดเข้าสู่แวดวงการงานทางด้านนี้อย่างไร

ช่วงตอนปี 3 รับงานทำปกซีดีเพลง ก็มีทั้งของ เบเกอรี่ มิวสิค อินดี้คาเฟ่ แกรมมี่ โซนี่ มิวสิค หลังจากทำซีดีตรงนี้ไประยะหนึ่ง บังเอิญพี่บรรณาธิการนิตยสาร Room ได้ชักชวนให้ไปร่วมงาน เนื่องจากขาดตำแหน่งอาร์ตไดเรกเตอร์ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนในชีวิตเลย ทำให้ได้ฟูมฟักความเข้มแข็งและรู้จักเรื่องของแบรนด์ รู้จักเรื่องสไตล์ศิลปะ เป็นคนทำงานแบรนด์จริงๆ

เพราะว่านิตยสารหนึ่งเล่มมันครบทุกอย่างเลย ตั้งแต่หน้าปกยันไปจนถึงเนื้อใน ภาพ สไตล์ ทุกอย่าง ทำให้ผมปลูกฝังแข็งแรงเรื่องสไตล์ ภาพลักษณ์ และสตอรี่ ทีนี้ เราทำตรงนี้ได้ งานยากอีกงานหนึ่งที่เขยิบขึ้นมา คืองานสร้างภาพลักษณ์ในองค์กร แบรนด์สินค้า มันก็ขยายมาจากจุดจุดนี้ ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเราในวันนี้

• M HA Art & Craft โรงเรียนสอนทำเครื่องหนังแฮนด์เมดเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย

ทีนี้ก็ไม่อยากเก่งแค่ในบ้านตัวเองแล้ว มองไปยังระดับโลกว่าเขามองเรายังไง เพราะในขณะที่แบรนด์มาร์เกตติ้งได้การยอมรับ ได้ไปร่วมอยู่กับองค์กรใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ทิ้งงานศิลปะของตัวเอง เคยส่งไป ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศด้วย ไปโชว์งานส่วนตัว ภูมิใจมาก คือตอนนั้นเราถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราทำงานในประเทศจนรู้สึกว่าต่างชาติชอบงานเราหรือเปล่า มันเกิดคำถาม ช่วงนั้นผมทำปกซีดีเดือนหนึ่ง 30 แผ่น เยอะมาก ใครๆ ก็อยากให้ผมทำ แล้วผมอยากรู้ว่า ต่างชาติเขารู้สึกอย่างนี้หรือไม่

หลังจากคิดเบื้องต้น ทางโซนี่ มิวสิค ประเทศญี่ปุ่น เขามีผลงานอัลบั้ม Made in Japan เขาติดต่อให้ทำ งานนั้นผมเลยได้มีโอกาส ก็โชว์ภาพประกอบเพียวๆ เลย ไม่มีศิลปิน มีแต่งานอาร์ตเราอยู่ในปกเขา ปรากฏว่าเขาชอบมาก เขียนจดหมายมาหา บอกว่างานคุณศิลปะมาก เราก็รู้สึกว่าเขาชมเราขนาดนี้ ก็เลยเอางานศิลปะชุดนี้ 3- 4 ภาพส่งไปที่นิตยสารศิลปะ ปรากฏว่าก็เหนือความขาดหมายอีกเช่นกัน เขาของาน 4 ชิ้นนี้ไปโชว์ก่อนที่ประเทศเยอรมนี จากนั้นรุ่งขึ้นก็ยิ่งเหนือความคาดหมายขึ้นไปอีก เขาโทรศัพท์มาบอกว่าให้เราไปร่วมงานด้วย คำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ว่า ในสากล เรามีที่ยืนหรือเปล่า คำตอบมันก็ปรากฏชัดแจ้ง

การเริ่มต้นของเรา ก็คือเรามีคำถาม เราไม่อยากเก่งแค่ในบ้านตัวเอง แค่นั้นเอง แต่ปรากฏว่าพอเขามองกลับมา เขาอยากเจอเรา แล้วไปถึงที่โน่น เขาก็ให้ความสำคัญกับเรามาก คือคนทำงานศิลปะเมืองไทย ไม่ใช่ศิลปินรุ่นพี่ดังๆ ถ้าไม่สุดก็เป็นคนดังเล็กๆ ทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติเลย ซึ่งกลับกัน จากต่างประเทศ คนทำงานศิลปะ คือคนที่เหนือคนมาก ความคิดอ่านเขาอยากเรียนรู้

• ส่วนตัวเคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมบ้านเราถึงมองค่าของงานศิลปะต่างไปมากเพียงนี้

อยู่ที่คนเรียน คนเรียนต้องเคารพสิ่งที่ตัวเองเรียน บางคนเรียนศิลปะเพราะไม่อยากเรียนเลข อันนั้นแหละผิด เพราะต้องรักมันจริง จะส่งผลให้คุณค่าของสิ่งที่เราเรียน มันเกิด คือเราไม่ได้เลือกเพียงเพราะไม่มีทางเลือก แต่เราเลือกเพราะเรารักสิ่งนี้

ดังนั้น ผมคิดว่าคนที่เขาไม่เคยเห็นคนที่ตั้งใจทำงานศิลปะจริงๆ และตั้งใจทำจริงๆ ถ้าเขาลองได้สัมผัสคนกลุ่มนี้ จะรู้ได้ทันที เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มคนที่น่ารักกว่าคนกลุ่มอาชีพสาขาอื่นเลย เพราะชีวิตเขาจะมีสีสัน มีเสน่ห์ มีเสียงหัวเราะ ที่สำคัญคือมีวิธีการคิดที่ไม่เหมือนใคร และเขาก็มีวิธีการทำงานที่ไม่เหมือนใคร จนกระทั่ง...ถ้าคุณได้ใกล้ชิด จะรู้สึกเหมือนกับว่า อ้าว มันมีอย่างนี้ด้วยหรือ

ทีนี้ หลังจากทำธุรกิจที่อยากจะทำ คือร้านเสื้อผ้าที่สยามสแควร์ วันหนึ่ง ผมไปเดินเล่นแถวบ้านแล้วรู้สึกว่าชุมชนมันเปลี่ยน เสน่ห์มันเริ่มน้อยลง ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันน้อยลง เราเริ่มเห็นว่าออนไลน์มันจะมาเปลี่ยนหลายเรื่องให้มันไม่ใช่อย่างที่เป็น

คือผมชอบที่จะเห็นชุมชนเป็นชุมชนที่มีชีวิต มีการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เรายังเห็นอาเฮีย อาเจ๊ นั่งขายแผ่นหนัง ขายซาลาเปา ไม่ใช่ทุกอย่างขึ้นห้างหมด ไม่ใช่สเปกที่ทุกอย่างถูกจัดตั้งวางให้ทุกคนมาอยู่ มันโตของมันเอง เรามานั่งคุยกับคนแถวนี้ สนุกมาก ความรู้เยอะมาก แต่ไม่เคยมีใครรู้

ผมคิดกับตัวเองว่าจะดีไหม ถ้าเกิดเราทำโรงเรียนสักโรงเรียนแล้วพานักเรียนพวกนี้มารู้จักสังคม มารู้จักสิ่งแวดล้อมตรงนี้ ก็เลยเกิดเป็นโรงเรียนสอนทำเครื่องหนังที่ต่อยอดขึ้นมา โดยเปิดจากแถวนี้ก่อน เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำพาคนไม่รู้จักมาทำความรู้จัก เราพาเขาไป พานักเรียนเดินทัวร์ทุกวันเสาร์เพื่อที่เขาจะได้รู้

• มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไรบ้าง

เกิดเป็นสเปซชุมชน คือหลังจากเราเข้ามา นอกจากนักเรียนได้เรียนรู้ชุมชน ชุมชนเองก็เรียนรู้ว่าการขายของกับคนพวกนี้เขาต้องทำอย่างไร เราจะมาใช้อะไรตรงนี้ก็ได้หมด อยากจะมารู้จักอะไรได้หมด บางคนบางร้านค้าเอาของมาให้เรายืมใช้ เราก็ยินดีเพราะเราอยากให้นักเรียนได้ทดลองใช้ของของคุณ ทดลองแล้วเกิดความรู้สึกชอบก็ไปซื้อต่อ ชุมชนก็อยู่ได้ ทุกๆ คนก็แฮปปี้กับการเป็นคนขายของตรงนี้อยู่ เราก็แฮปปี้กับการเป็นครู

สังเกตเลยว่าเราจะไม่ขายของนะ เราจะสอนอย่างเดียว และพอเรียนเสร็จ ไปซื้อแถวนี้ พาไปรู้จัก หรือบางที่ เดี๋ยวนี้ผมไปเลกเชอร์ตามร้านคนอื่น ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วม เจ้าของร้านก็สนุก แนะนำอะไรเพิ่มเติมเราตลอด สินค้าอันนี้มาใหม่นะ ผมว่าถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ ทุกๆ ที่ใกล้บ้านคุณจะเป็นที่ท่องเที่ยวหมดเลย จะเป็นที่ที่มีสีสัน มีความเป็นตัวของตัวเอง

• กล่าวได้ว่า ทิศทางของการก่อร่างสร้างโรงเรียน ยังคำนึงถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชุมชนด้วย

ถ้าถามว่าทิศทางการดำเนินงานเป็นอย่างไร... ในส่วนของโรงเรียน เราจะเน้นสอนงานหนังเป็นส่วนใหญ่ แล้วเราก็อยากจะให้คนที่อยากจะเริ่มธุรกิจนี้มาเรียนกับเรา ทั้งคนที่มองว่ามันคืองานอดิเรกอย่างหนึ่ง หรือกระทั่งคนที่ทำธุรกิจแล้วเป็นเจ้าของธุรกิจว่างานหนังจริงๆ คืออะไร เรามีคลาสตั้งแต่เริ่มต้น 16 ชั่วโมง เรียนแล้วเป็นเลย ค่าเรียน 5,700 บาท มีอุปกรณ์ทั้งหมดเตรียมพร้อมให้ เสร็จแล้วกระเป๋าเป็นของคุณ ราคานี้ไม่เคยปรับตั้งแต่เปิดมา เพราะเราไม่ได้อยากจะร่ำรวยจากการสอน แต่เราอยากส่งเสริมเรื่องการเรียนมากกว่า

โดยการเรียนหลักจะผ่านงานกระเป๋า 4 ใบ 4 แบบ ซึ่งเป็นการฝึกหัดที่ทำได้ จะทำกระเป๋าแบบไหนก็ได้ เนื่องจากงานหนังจริงๆ ถ้าสอนแบบจริงใจเขาเรียกว่าสอนแบบให้เทคนิคไป มันก็จะวนกันอยู่แค่ 4 แบบนี้ มันไม่ต้องไปสอนเป็นใบๆ ถ้าเขารู้ทริกแล้ว รู้ขั้นตอนการทำงาน และจบเป็น ที่เหลือจากนั้น เขาออกแบบได้หมดเลย

• ภาพรวมธุรกิจในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง

เติบโตดีครับ...ซึ่งเรื่องการเติบโตมันเป็นเหมือนยาชูกำลังเรา หลังจากนั้นเราเริ่มต้นให้เขา เขาไปไกลกว่าเราอีก บางคนไปเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออกหลักร้อยล้านบาท บางคนอยู่เกาะสมุย นั่งทำกระเป๋าขายฝรั่ง นั่นก็เพื่อนเรา บางคนทุกวันนี้ก็เรียนส่งออกขายในออนไลน์ แต่ความสุขของเราจริงๆ คือเราเห็นนักเรียน เจอนักเรียน เหมือนเรามีเพื่อนมากขึ้น คือทุกคนกลับมาหาเรา ไม่ใช่กลับมาเรียนเพิ่มอย่างเดียว กลับมาหาเราโดยที่ว่ายังผูกพันกับเราอยู่ บางคนไม่รู้ไปไหนก็มา

• ปีนี้ปีที่ 5 จาก M HA Art & Craft กลายเป็น WYH hostel & The KAFE ที่เพิ่มขึ้นมาต่อยอดพื้นที่พัฒนาศิลปะกับชีวิต

อย่างที่บอกไป เขามาเพราะเขาผูกพันกับเรา มีคำคำหนึ่งซึ่งมีคนเคยบอกเราและเราชอบมาก คนที่บอกนั้นเขาเป็นครูมหาวิทยาลัย เขาบอกว่าให้ใส่ชื่อท้ายว่า “ที่ของความสุข” คุยเล่นกับเรา เราก็อิ่มเอมใจ ไม่รู้ต้องมา มาแล้วสนุก มาแล้วเจอเพื่อน ทีมงาน ทุกคนเฟรนด์ลี่ เรามานั่งคิดถึงข้อนี้ เขาสุข เราอยากให้สุขยิ่งกว่า ทำอย่างไรดี ผมก็เลยตัดสินใจทำพื้นที่นี้ดีกว่า ให้มีที่ต้อนรับเขา มีกาแฟดีๆ ให้เขาดื่ม มีที่นั่งคุยกัน

ส่วนในพาร์ตของโฮสเทล เรารู้สึกว่าเหมือนเพื่อนมาบ้าน บางทีเรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเรียน ไหนๆ ก็ไหนๆ มาเรียนแล้ว ก็พักที่นี่ด้วยเลย เราจะได้ดูแลเขา พาเขาไปเที่ยว ไปเดินเล่น เรารู้สึกอย่างหนึ่งว่ามันคือชุมชนที่เราโต ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เด็กๆ ถนนเจริญรัถ วัดอรุณฯ ผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียนใหญ่) แนะนำเขาว่าคือ The Great King เรามีเมืองไทยเพราะพระองค์ท่าน เขาก็จะตื่นเต้นอยากเรียนรู้ เราก็เหมือนเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง

• ทั้งหมดทั้งมวลคือความคุ้มทุนของเราที่นอกเหนือเงินตรามาตรวัด

ผมเป็นคนเรียนศิลปะ บางทีจะปวดหัวมากกับการที่คิดอะไรลึกๆ ซึ่งจริงๆ แล้วความคุ้มทุนของเรา ไม่รู้หรอกว่าชีวิตเราจะไปทางไหน แต่ที่แน่ๆ ทุกๆ วันเรามีความสุข ความคุ้มทุนของเราอยู่ที่ว่า เรายังเห็นนักเรียนยิ้มอยู่ ไม่ได้พูดประโลมโลก เรารู้สึกจริงๆ แล้วเราเสพติดมันด้วย เราจะเห็นคนมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ เราเห็นเขามาแล้วก็ยังมาอีก เราเห็นเขาแฮปปี้ยังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ มันคือความสุขที่วัดด้วยเงินไม่ได้

คือเราเชื่อในตัวเราเอง ส่วนตัวเราเชื่อในการออกไปเจอประสบการณ์ เรามาเริ่มดูชุมชนแถวนี้เปลี่ยนเยอะเลย การก่อสร้างเดี๋ยวนี้ทำไมมันมีคอนโดผุดขึ้นมา ที่แพง สักพักอ้าวพี่คนนี้ไม่ได้ขายของแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้ ต่อไปวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนไปกว่านี้อีก เราก็อยากจะให้มันคงอยู่

โดยส่วนตัว เราคิดว่าการเจอประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่าการได้ยินจากคนอื่นเล่า เราเป็นคนค้นพบ มันมีพลังมหาศาลกว่าการที่เราไปนั่งฟังคนอื่น อยากฝากบอกว่า ลองออกมาเดินเล่น ออกมาเจอ โลกใบนี้มีอะไรอีกเยอะที่วันหนึ่งถ้าคุณเจอแล้วคุณจับมันได้ คุณอยู่กับมันได้ทั้งชีวิตเลย จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่มีพลังของคนรุ่นใหม่ มีเพาเวอร์ มีพลังงานมากที่จะช่วยในสิ่งที่คนรุ่นเก่าหมดแรงไปแล้วอย่างที่เขาบอกว่า 'สถานที่จะเลือกคน และคนก็จะเลือกสถานที่' ตรงนี้ผมว่าถ้านึกถึงมันดีๆ ถ้าทุกคนทำมันได้ ประเทศไทยจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเยอะแยะ ถ้าในแต่ละชุมชนช่วยกันสานต่อกันไปเรื่อยๆ

คือไม่ได้หมายความว่าทำแบบคนรุ่นเก่านะ คุณเอาความคิดแบบคนรุ่นใหม่มาทำให้คนรุ่นใหม่ด้วยกันรู้ว่าตรงนี้ทำเพื่อเขา แล้วดึงให้มันไปถึงเรื่องเก่าๆ ดึงไปถึงยุคเก่าที่มันเป็นเนเจอร์สวยจริงๆ และจะดีมาก ถ้ามีหลายๆ คนทำแบบนี้ เพราะศิลปะมันไม่ใช่แค่วิชา มันคือการใช้ชีวิต

แต่สิ่งที่เหนือกว่าสิ่งนั้นจริงๆ คือความเชื่อมั่น คือผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าวันนี้จะมาถึง แต่เมื่อย้อนไปแล้วเกิดความภูมิใจ 20 ปีที่แล้ว ผมไม่ทิ้งศิลปะและผมเชื่อมั่นในตัวมันมากๆ ว่าศิลปะมันคือหนึ่งอาชีพ มันเป็นสิ่งที่วิเศษมากในการที่คนคนหนึ่งจะมีมัน และศิลปะมันก็ทำให้เรามีเรา มาจนวันนี้

เรื่องและภาพ : รายการ คนล่าฝัน (DreamChaser)
เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล

กำลังโหลดความคิดเห็น