xs
xsm
sm
md
lg

“พี่สาวเมย” วอนอย่าโจมตี “เตรียมทหาร” ย้ำกังขาก่อนตายเกิดอะไรขึ้น - หมอทหารแจง “ท่าหัวปัก” ไม่อันตราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พบโลกโซเชียลศิษย์เก่าเตรียมทหารโพสต์แสดงพลัง ภูมิใจโรงเรียน “หมอทหาร” แจงท่าหัวปักไม่อันตราย เพราะกล้ามเนื้อคอได้รับการฝึกฝนมาแล้ว แนะเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ด้านพี่สาวน้องเมย วอนอย่าโจมตีโรงเรียนเตรียมทหาร แค่สงสัยว่าก่อนตายน้องเกิดอะไรขึ้น วอนเจาะจงเป็นรายบุคคลดีกว่า

จากกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา หนึ่งในข้อสงสัยต่อสังคม ก็คือ การลงโทษที่เรียกว่า “การธำรงวินัย” หรือ การซ่อม การแดก จากรุ่นพี่ ถึงแม้ว่าศิษย์เก่าจากโรงเรียนเตรียมทหาร โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.), พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม รวมทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังสร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่สังคม

MGR Online ตรวจสอบพบว่า บรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารได้ขึ้นสเตตัสบนโซเชียลมีเดียของตน เพื่อแสดงพลังปกป้องสถาบันที่เคยศึกษาเล่าเรียน หลังจากสังคมวิพากษ์วิจารณ์โรงเรียนเตรียมทหาร ถึงการธำรงวินัย จนทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเกิดความเสียหาย โดยต่างก็รู้สึกภูมิใจที่จบจากสถาบันดังกล่าว พร้อมอธิบายว่า “เคยผ่านการธำรงวินัย (ลงโทษ) มาหมดแล้ว ทั้งโรงเรียนเตรียมทหาร ทั้งโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โหดทุกที่ แต่รักทุกสถาบัน ภูมิใจที่ผ่านมาได้ สร้างคนให้แข็งแกร่งทั้งกายและใจ”

ด้าน พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน หรือ หมอภาคย์ นายทหารประจำกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ภาคย์ โลหารชุน” ระบุว่า ในมุมมองทางการแพทย์ ย่อมมีความเป็นห่วง “ท่าหัวปัก” เป็นธรรมดา เพราะอาจเป็นอันตรายกับคนที่มีโรคประจำตัว หรือ คนที่ไม่เคยฝึกอาจได้รับบาดเจ็บ กล้ามเนื้อ หรือกระดูกต้นคอหากผิดพลาด แต่ในมุมมองของผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมา ก็ถือว่าเป็นท่าปกติธรรมดา เพราะกล้ามเนื้อคอได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ใครๆ ก็ทำได้ นานเป็นชั่วโมงก็ยังได้ แล้วในระยะยาว รุ่นพี่ที่ผ่านหลักสูตรรบพิเศษ ที่ผ่านการฝึกท่าหัวปัก มาอย่างโชกโชน จนอายุมาก หรือ เกษียณไปแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาสุขภาพจากท่านี้

แต่ท่าหัวปักก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยในระยะยาว เพราะหากแก่ตัวไปกระดูกเริ่มเปราะบาง หรือ เริ่มมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน หลอดเลือดสมอง ถึงกระนั้น ในโลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ และไม่มีอะไรแน่นอน ปัจจัยตัวบุคคลแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความเห็นและมุมมองมันย่อมแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา เกิดจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลสะสมมา

“ไม่มีประโยชน์ที่จะไปหาว่าใครถูกใครผิด เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ไม่ดีแน่หากความเห็นต่างนำมาซึ่งความเบียดเบียน หรือ เกลียดชังกัน สุดท้ายแตกแยกทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ต่างคนต่างมุมมองคือธรรมชาติของมนุษย์ ยอมรับธรรมชาติข้อนี้แล้วปรับตัวเข้าหากันที่จุดกึ่งกลาง สามัคคีกันไว้ประเทศชาติจะได้สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง เอาเวลาที่จะดราม่า ไปทำประโยชน์ต่อส่วนรวมแบบ พี่ตูน บอดี้สแลม ดีกว่า แล้วจะค้นพบความสุขที่แท้จริงในจิตใจ แล้วจะภาคภูมิใจไปตลอดกาลนาน” พ.ท.นพ.ภาคย์ กล่าว

พ.ท.นพ.ภาคย์ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่กล่าวถึงท่าหัวปักนั้น ไม่ต้องการให้เกิดการเข้าใจผิดระหว่าง ทหาร และแพทย์ เพราะท่านี้เกิดอันตรายได้จริง หากมีโรคประจำตัวบางอย่าง หรือ ทำผิดจังหวะคออาจเคล็ด ถ้ารุนแรงอาจถึงเป็นอัมพาต แต่ก็อย่าฟันธงว่าท่านี้อันตรายมากจนเกินไป จนต้องยกเลิกท่านี้ เพราะการออกกำลังกาย หรือ ท่าฝึกใดๆ ไม่ใช่เฉพาะของทหาร ก็อันตรายทั้งนั้น ถ้าทำเกินความพอดี ซึ่งความพอดีของแต่ละบุคคล แต่ละอาชีพ แต่ละสังคมวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงท่าหัวปักนั้น ไม่ได้เชื่อมโยงถึงเรื่องการเสียชีวิตของน้องเมย สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตให้รอผลการพิสูจน์และการดำเนินการทางด้านกฎหมาย ซึ่งหากมีผู้กระทำผิดก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครชอบความไม่เป็นธรรมในสังคม ทุกคนต้องการให้สังคมดีขึ้นโดยมีความเป็นธรรมในทุกองค์กรทุกสถาบัน แต่ให้ระมัดระวัง อย่าให้เกิดความเกลียดชังอันเกิดจากความเห็นต่าง

“เราคนไทยควรจะรักและเคารพซึ่งกันและกัน ปรับเข้าหากันที่จุดกึ่งกลาง อย่าเอาผิดเอาถูกเอาชนะกันทางความคิดเห็น ไม่เช่นนั้นพอถึงจุดที่ขัดแย้งกันสุดๆ อาจเกิดการใช้สัญชาตญาณดิบเข้าห้ำหั่นกัน เช่น การศึกสงครามหรือความไม่สงบที่ผ่านมา คนไทยรักกันไว้ สามัคคีกันไว้ สุขและสร้างสรรค์ กว่าการแตกแยกกันแน่นอน ทุกการกระทำย่อมมีผลของการกระทำนั้น ใครทำอะไรก็ได้รับผลของการกระทำนั้นเช่นกัน ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในโซเชียลเพื่อให้สังคเป็นธรรม ก็เป็นประโยชน์ในระดับหนึ่ง และยิ่งเต็มที่กับการทำงานในหน้าที่ของตนเองให้ดีเยี่ยมแล้วจะยิ่งให้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นไปอีก สุดท้ายนี้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องเมยกับการสูญเสีย” พ.ท.นพ.ภาคย์ กล่าว







อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กส่วนตัวของ น.ส.สุพิชญา ตัญกาญจน์ โพสต์ข้อความระบุว่า ขอความกรุณาทุกท่าน อย่าโจมตีชื่อเสียงของโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะที่นี่คือสถาบันอันทรงเกียรติ และเป็นสถาบันหลักที่ผลิตกำลังของประเทศ ตอนนี้ที่ตนทำ คือ ออกมาหาความจริงว่าเหตุใดน้องชายถึงเสียชีวิต ทราบว่าเสียชีวิตที่กองพยาบาล ซึ่งไม่มีใครขึ้นไปธำรงวินัยได้ แต่ก่อนหน้าวันที่ 17 ต.ค. เกิดเหตุอะไรขึ้นกับน้องเมย เพราะตนได้รับเอกสารชันสูตรทางสถาบันพยาธิ เขียนว่า “หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน” เท่านั้น ผลจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ระบุว่า มีส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงอวัยวะภายในหลักๆ มีซี่โครงหักหนึ่งที่ ม้ามมีเลือดอีกหนึ่งที่

แต่ผลฉบับที่ 2 นั้น ยังทำไม่เสร็จเพราะได้นำอวัยวะส่วนที่เหลือไปให้ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เมื่อวาน (23 พ.ย.) ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และทางสถาบัน จะตรวจสอบดีเอ็นเอให้ว่า ใช่ชิ้นส่วนของน้องเมยจริงหรือไม่ สุดท้ายนี้ ถ้าทุกคนประสงค์จะตั้งประเด็นคำถาม หรือ มีข้อสงสัย เจาะจงเป็นบุคคลที่อยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอพักก่อน โดยได้โพสต์ภาพชูสองนิ้วในห้องพักผู้ป่วยโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พร้อมกับสายน้ำเกลือ และยังมีริสแบรนด์ “เตรียมทหาร 60” อยู่ในข้อมืออีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น