เช็กอินเมืองดานัง หรือ “นครดานัง” แห่งเวียดนาม ชมความงามและความพัฒนาที่รุดหน้าไม่แพ้เมืองไหนๆ ด้วยต้นทุนทางภูมิทัศน์ รวมทั้งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่พร้อมจะยกระดับให้ดานังเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายปลายทางแห่งเอเชีย...
ดานัง...
จากเมืองท่าเล็กๆ
สู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ
จากเมืองเล็กๆ ที่เป็นเมืองท่าหลักของประเทศ และมีความสงบร่มรื่นมาโดยตลอด วันนี้ “ดานัง” เริ่มขยับตัวขึ้นเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่ “บุ๋ย เกียน ถั่น” อดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งกล่าวถึงเมืองท่าแห่งนี้ในการประชุมเอเปคเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
“เมืองต่างๆ ของเวียดนาม ส่วนใหญ่แล้วเป็นภูเขา อีกทั้งช่วงประมาณสิบปีที่แล้ว ฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงแค่ทุ่งข้าว แล้วจากนั้น ดานังจึงสร้างสะพานครั้งแรก ส่วนอีกฟากก็มีการสร้างสะพานขึ้นมาเชื่อมต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดการของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นเป็นอย่างไร คุณจะเห็นได้ว่าถนนในเมืองดานังนั้นสะอาดและเหมาะต่อการเพาะปลูก อย่าลืมว่าถ้าหากคุณไปเยี่ยมเมืองอื่นในเวียดนามมาแล้ว จะได้ยินเสียงแตรทั้งจากรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ แต่ที่นี่ไม่มีนะ ดังนั้น เมืองดานังจึงเป็นเมืองที่น่าจะต้อนรับแขกที่มาจากทั่วทุกมุมโลกได้ และเป็นเมืองที่เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่จัดประชุมด้วยเช่นกัน
“อีกด้านหนึ่ง ดานังก็เป็นเมืองที่เฟื่องฟูทางด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว และประชากรของเมืองก็มีคุณภาพ ทั้งฉลาดและทำงานหนัก ผู้คนที่นี่มีความกล้าหาญแรงกล้า แถมเยาวชนของที่นี่ก็มีความฉลาด เรียนเก่ง ทำงานดี จึงทำให้คุณภาพประชากรของดานังมีคุณภาพ และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามอีกด้วย
“ผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะผลักดันเศรษฐกิจของเวียดนาม เพราะถ้าเทียบกับประเทศที่เป็นสมาชิกเอเปคด้วยกัน เราก็ยังเป็นสัดส่วนที่เล็กอยู่ แต่ทางรัฐบาลก็มีนโยบายหลายด้านเช่นกันที่จะส่งเสริมทางด้านการลงทุนและการค้าขาย อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้เน้นในเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว เราก็ต้องมีการพัฒนาทางด้านสังคม วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ เพื่อบูรณาการให้เข้ากับเศรษฐกิจของโลกด้วย
“โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะเป็นผู้นำได้นะ เพราะว่าเราทำงานกันอย่างหนัก ซึ่งผลพลอยได้ก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้อีกด้วย อีกทั้งเราก็จะปฏิรูปเศรษฐกิจในแต่ละส่วนไปด้วยกัน ซึ่งเวียดนามก็พร้อมเปิดใจรับที่จะเรียนรู้ และทำให้มันดีกับชาติสมาชิกทั้งหมด”
“พร้อม” ในทุกด้าน
ด้วยศักยภาพระดับสากล
จากการประชุมที่เวียดนามเป็นครั้งแรกในปี 2006 ผ่านเวลามา 11 ปี ในการจัดการประชุมครั้งนี้ เวียดนามก็ได้แสดงถึงเหตุผล ทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่เจ้าภาพต้องการที่จะเผยแพร่ออกไป ซึ่งทาง “วู้ ฮง นาม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ก็ได้เผยถึงประโยชน์ของเวียดนามกับการประชุมดังกล่าวนี้
“ในฐานะที่เวียดนามได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการประชุมเอเปค เราจะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ หนึ่ง เป็นการแสดงนโยบายที่เปิดกว้างของเวียดนาม ทั้งในภูมิภาค และระดับโลก และในการจับมือกัน มีความสามัคคีกัน เพื่อสันติภาพ ในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในส่วนของเราและอีก 20 เขตเศรษฐกิจ ก็จะแสดงถึงนโยบาย เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของเอเปคด้วย สอง เราจะได้แสดงถึงความคิดริเริ่มในด้านต่างๆ ด้วย เช่น การเผยตัวตนต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ รวมถึงการค้าขายกับต่างชาติ ซึ่งแสดงถึงบทบาทของเวียดนามอย่างแท้จริง
“อีกอย่างที่สำคัญ คือเราอยากแสดงศักยภาพของเวียดนามในการจัดการประชุมระดับโลก ซึ่งก็ได้แสดงให้เห็นแล้วจากการประชุมเอเปคในครั้งนี้ว่า เวียดนามมีความพร้อมในการจัดการต่างๆ เราได้เลือกมาจัดที่นครดานังซึ่งเป็นเมืองที่สวยงาม มีทั้งภูเขาและทะเล เป็นการแสดงถึงภาพลักษณ์ของเวียดนามต่อสายตาชาวโลก และจะช่วยเรื่องการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวด้วย ขณะที่คนเวียดนามก็มีการต้อนรับและเป็นมิตรกับคนทุกชาติ”
ไทย - เวียดนาม สัมพันธ์รุดหน้า
ไปมาหาสู่ ดุจบ้านเกิดเมืองนอน
“ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามนั้น ปัจจุบันก็มีการพัฒนาอย่างดี และมีการพัฒนาร่วมกันในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ การค้าขาย วัฒนธรรม รวมไปถึงมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ” วู้ ฮง นาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเวียดนาม
“ผมเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ของเราจะเจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ เนื่องจากจะมีบุคคลระดับผู้นำของทั้งสองประเทศได้มีการเยือนประเทศซึ่งกันและกัน และหลังจากงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และมีในหลวงรัชกาลที่ 10 เวียดนามก็จะมีตัวแทนผู้นำจากรัฐบาลไปเยือนประเทศไทย ขณะที่ทางฝั่งไทยก็จะมาเยือนเวียดนามด้วย และอีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกันในเร็วๆ นี้
“สำหรับด้านการค้าและการลงทุน ถือได้ว่าเวียดนามเป็นตลาดใหญ่ของไทย เป็นที่นิยมของนักลงทุนชาวไทย มีสินค้าไทยเข้าสู่เวียดนามเป็นจำนวนมาก มูลค่าในการค้าขายมีสูงถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ผมคิดว่า ดานังมีความคล้ายคลึงกับทางภาคตะวันออกของไทย ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้ามีการนำเสนอข่าวของเมือง ผ่านทางสื่อมวลชนของไทย ผมเชื่อว่าคนไทยจะเห็นถึงความสวยงามของเมืองนี้มากขึ้น และจะทำให้การเชื่อมโยงกันระหว่างไทยกับเวียดนามมีความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การท่องเที่ยวและการค้าขายจะสะดวกมากขึ้น”
บินลัดฟ้า ไปหาความงาม
ด้วย “เวียดเจ็ทแอร์”
นับเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ที่ทางสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง “เวียดเจ็ทแอร์” ได้เปิดให้บริการ ซึ่งนับว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ จนถือได้ว่าเป็นสายการบินที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย โดย “เหวียน ถิ ถวิ บิ่ง” รองประธานสายการบินเวียดเจ็ท และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยเวียดเจ็ท ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
“ด้วยความที่เวียดนามมีประชากร 100 ล้านคน ขณะที่ไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน ทั้งสองประเทศจะมีประชากรรวมกันที่ 170 ล้านคน แต่เป็นที่น่าตกใจที่จำนวนนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางระหว่างสองประเทศ มีตัวเลขที่น้อยกว่านั้นมาก คือน้อยกว่า 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของสองประเทศ
“ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขนักเดินทางจากเวียดนามไปสู่ไทย มีประมาณ 715,000 คน ซึ่งเราคิดว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ดังนั้น เราจึงต้องการจะเพิ่มช่องทางและโอกาสสำหรับชาวไทยและชาวเวียดนามที่จะเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศ
“ในปี 2013 เราเปิดเส้นทางการบินแรกจากโฮจิมินห์ มายังกรุงเทพ จนมาถึงปัจจุบันนี้ เวียดเจ็ทแอร์ มีเส้นทางการบินกว่า 50 เส้นทาง รวมถึงมีเส้นทางหลักอยู่ 3 แห่ง คือ โฮจิมินห์ ฮานอย และไฮฟอง ซึ่งมีเส้นทางการบินจากโฮจิมินห์ ฮานอย และไฮฟอง บินตรงสู่กรุงเทพฯ เราเล็งเห็นว่าน่าจะมีช่องทางอีกหลายช่องทางในการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างจีนและเวียดนาม อีกทั้งหุ้นส่วนทางการค้าของเราอย่างไทยเวียตเจ็ท อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากเราจะมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยแล้ว เรายังมีเส้นทางการบินจากกรุงเทพ สู่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงราย
“นอกจากนี้ เรามีแผนที่จะเปิดเส้นทางการบินใหม่จากกรุงเทพสู่ดาลัด ซึ่งเป็นจุดหมายที่สวยงาม ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ในเวียดนาม ในเดือนหน้า โดยผู้ที่มาเยือนจะได้เพลิดเพลินกับสถานที่อันสวยงาม นี่เป็นโอกาสอันดีของชาวเวียดนามที่จะได้เดินทางมายังไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เพลิดเพลินกับกรุงเทพฯ แต่ยังได้มีโอกาสที่จะท่องเที่ยวในภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงรายด้วย
“ในอนาคตข้างหน้า เราอาจมีโอกาสที่จะนำชาวเวียดนามที่จะเดินทางท่องเที่ยวไม่เพียงแต่จะนำไปยังจุดหมายปลายทางดังกล่าว แต่จะนำไปสู่จุดหมายอื่นที่เวียดเจ็ท แอร์จะขยายเส้นทางในอนาคตอีกด้วย สำหรับคนไทย นอกจากจะได้เดินทางไปเยือนเมืองใหญ่ๆในเวียดนามอย่าง ฮานอย สู่ไฮฟอง แล้ว ในเดือนหน้า จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เที่ยวชมจุดหมายปลายทางอย่างดาลัด ที่มีความสวยงามดังคำเปรียบเปรยว่าเป็นปารีสแห่งเอเชีย
“นี่เป็นเพียงก้าวแรกที่จะเปิดช่องทางใหม่ๆ สำหรับประสบการณ์การท่องเที่ยวของชาวไทย และชาวเวียดนาม”
เรื่อง / ภาพ : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ดานัง...
จากเมืองท่าเล็กๆ
สู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ
จากเมืองเล็กๆ ที่เป็นเมืองท่าหลักของประเทศ และมีความสงบร่มรื่นมาโดยตลอด วันนี้ “ดานัง” เริ่มขยับตัวขึ้นเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่ “บุ๋ย เกียน ถั่น” อดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งกล่าวถึงเมืองท่าแห่งนี้ในการประชุมเอเปคเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
“เมืองต่างๆ ของเวียดนาม ส่วนใหญ่แล้วเป็นภูเขา อีกทั้งช่วงประมาณสิบปีที่แล้ว ฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงแค่ทุ่งข้าว แล้วจากนั้น ดานังจึงสร้างสะพานครั้งแรก ส่วนอีกฟากก็มีการสร้างสะพานขึ้นมาเชื่อมต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การจัดการของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นเป็นอย่างไร คุณจะเห็นได้ว่าถนนในเมืองดานังนั้นสะอาดและเหมาะต่อการเพาะปลูก อย่าลืมว่าถ้าหากคุณไปเยี่ยมเมืองอื่นในเวียดนามมาแล้ว จะได้ยินเสียงแตรทั้งจากรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ แต่ที่นี่ไม่มีนะ ดังนั้น เมืองดานังจึงเป็นเมืองที่น่าจะต้อนรับแขกที่มาจากทั่วทุกมุมโลกได้ และเป็นเมืองที่เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่จัดประชุมด้วยเช่นกัน
“อีกด้านหนึ่ง ดานังก็เป็นเมืองที่เฟื่องฟูทางด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว และประชากรของเมืองก็มีคุณภาพ ทั้งฉลาดและทำงานหนัก ผู้คนที่นี่มีความกล้าหาญแรงกล้า แถมเยาวชนของที่นี่ก็มีความฉลาด เรียนเก่ง ทำงานดี จึงทำให้คุณภาพประชากรของดานังมีคุณภาพ และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามอีกด้วย
“ผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะผลักดันเศรษฐกิจของเวียดนาม เพราะถ้าเทียบกับประเทศที่เป็นสมาชิกเอเปคด้วยกัน เราก็ยังเป็นสัดส่วนที่เล็กอยู่ แต่ทางรัฐบาลก็มีนโยบายหลายด้านเช่นกันที่จะส่งเสริมทางด้านการลงทุนและการค้าขาย อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้เน้นในเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว เราก็ต้องมีการพัฒนาทางด้านสังคม วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ เพื่อบูรณาการให้เข้ากับเศรษฐกิจของโลกด้วย
“โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเวียดนามน่าจะเป็นผู้นำได้นะ เพราะว่าเราทำงานกันอย่างหนัก ซึ่งผลพลอยได้ก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้อีกด้วย อีกทั้งเราก็จะปฏิรูปเศรษฐกิจในแต่ละส่วนไปด้วยกัน ซึ่งเวียดนามก็พร้อมเปิดใจรับที่จะเรียนรู้ และทำให้มันดีกับชาติสมาชิกทั้งหมด”
“พร้อม” ในทุกด้าน
ด้วยศักยภาพระดับสากล
จากการประชุมที่เวียดนามเป็นครั้งแรกในปี 2006 ผ่านเวลามา 11 ปี ในการจัดการประชุมครั้งนี้ เวียดนามก็ได้แสดงถึงเหตุผล ทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่เจ้าภาพต้องการที่จะเผยแพร่ออกไป ซึ่งทาง “วู้ ฮง นาม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ก็ได้เผยถึงประโยชน์ของเวียดนามกับการประชุมดังกล่าวนี้
“ในฐานะที่เวียดนามได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการประชุมเอเปค เราจะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ หนึ่ง เป็นการแสดงนโยบายที่เปิดกว้างของเวียดนาม ทั้งในภูมิภาค และระดับโลก และในการจับมือกัน มีความสามัคคีกัน เพื่อสันติภาพ ในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในส่วนของเราและอีก 20 เขตเศรษฐกิจ ก็จะแสดงถึงนโยบาย เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของเอเปคด้วย สอง เราจะได้แสดงถึงความคิดริเริ่มในด้านต่างๆ ด้วย เช่น การเผยตัวตนต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ รวมถึงการค้าขายกับต่างชาติ ซึ่งแสดงถึงบทบาทของเวียดนามอย่างแท้จริง
“อีกอย่างที่สำคัญ คือเราอยากแสดงศักยภาพของเวียดนามในการจัดการประชุมระดับโลก ซึ่งก็ได้แสดงให้เห็นแล้วจากการประชุมเอเปคในครั้งนี้ว่า เวียดนามมีความพร้อมในการจัดการต่างๆ เราได้เลือกมาจัดที่นครดานังซึ่งเป็นเมืองที่สวยงาม มีทั้งภูเขาและทะเล เป็นการแสดงถึงภาพลักษณ์ของเวียดนามต่อสายตาชาวโลก และจะช่วยเรื่องการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวด้วย ขณะที่คนเวียดนามก็มีการต้อนรับและเป็นมิตรกับคนทุกชาติ”
ไทย - เวียดนาม สัมพันธ์รุดหน้า
ไปมาหาสู่ ดุจบ้านเกิดเมืองนอน
“ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามนั้น ปัจจุบันก็มีการพัฒนาอย่างดี และมีการพัฒนาร่วมกันในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ การค้าขาย วัฒนธรรม รวมไปถึงมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ” วู้ ฮง นาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเวียดนาม
“ผมเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ของเราจะเจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ เนื่องจากจะมีบุคคลระดับผู้นำของทั้งสองประเทศได้มีการเยือนประเทศซึ่งกันและกัน และหลังจากงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และมีในหลวงรัชกาลที่ 10 เวียดนามก็จะมีตัวแทนผู้นำจากรัฐบาลไปเยือนประเทศไทย ขณะที่ทางฝั่งไทยก็จะมาเยือนเวียดนามด้วย และอีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกันในเร็วๆ นี้
“สำหรับด้านการค้าและการลงทุน ถือได้ว่าเวียดนามเป็นตลาดใหญ่ของไทย เป็นที่นิยมของนักลงทุนชาวไทย มีสินค้าไทยเข้าสู่เวียดนามเป็นจำนวนมาก มูลค่าในการค้าขายมีสูงถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ผมคิดว่า ดานังมีความคล้ายคลึงกับทางภาคตะวันออกของไทย ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้ามีการนำเสนอข่าวของเมือง ผ่านทางสื่อมวลชนของไทย ผมเชื่อว่าคนไทยจะเห็นถึงความสวยงามของเมืองนี้มากขึ้น และจะทำให้การเชื่อมโยงกันระหว่างไทยกับเวียดนามมีความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การท่องเที่ยวและการค้าขายจะสะดวกมากขึ้น”
บินลัดฟ้า ไปหาความงาม
ด้วย “เวียดเจ็ทแอร์”
นับเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ที่ทางสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง “เวียดเจ็ทแอร์” ได้เปิดให้บริการ ซึ่งนับว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ จนถือได้ว่าเป็นสายการบินที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย โดย “เหวียน ถิ ถวิ บิ่ง” รองประธานสายการบินเวียดเจ็ท และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยเวียดเจ็ท ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
“ด้วยความที่เวียดนามมีประชากร 100 ล้านคน ขณะที่ไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน ทั้งสองประเทศจะมีประชากรรวมกันที่ 170 ล้านคน แต่เป็นที่น่าตกใจที่จำนวนนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางระหว่างสองประเทศ มีตัวเลขที่น้อยกว่านั้นมาก คือน้อยกว่า 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของสองประเทศ
“ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขนักเดินทางจากเวียดนามไปสู่ไทย มีประมาณ 715,000 คน ซึ่งเราคิดว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ดังนั้น เราจึงต้องการจะเพิ่มช่องทางและโอกาสสำหรับชาวไทยและชาวเวียดนามที่จะเดินทางระหว่างทั้งสองประเทศ
“ในปี 2013 เราเปิดเส้นทางการบินแรกจากโฮจิมินห์ มายังกรุงเทพ จนมาถึงปัจจุบันนี้ เวียดเจ็ทแอร์ มีเส้นทางการบินกว่า 50 เส้นทาง รวมถึงมีเส้นทางหลักอยู่ 3 แห่ง คือ โฮจิมินห์ ฮานอย และไฮฟอง ซึ่งมีเส้นทางการบินจากโฮจิมินห์ ฮานอย และไฮฟอง บินตรงสู่กรุงเทพฯ เราเล็งเห็นว่าน่าจะมีช่องทางอีกหลายช่องทางในการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างจีนและเวียดนาม อีกทั้งหุ้นส่วนทางการค้าของเราอย่างไทยเวียตเจ็ท อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากเราจะมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยแล้ว เรายังมีเส้นทางการบินจากกรุงเทพ สู่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงราย
“นอกจากนี้ เรามีแผนที่จะเปิดเส้นทางการบินใหม่จากกรุงเทพสู่ดาลัด ซึ่งเป็นจุดหมายที่สวยงาม ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ในเวียดนาม ในเดือนหน้า โดยผู้ที่มาเยือนจะได้เพลิดเพลินกับสถานที่อันสวยงาม นี่เป็นโอกาสอันดีของชาวเวียดนามที่จะได้เดินทางมายังไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เพลิดเพลินกับกรุงเทพฯ แต่ยังได้มีโอกาสที่จะท่องเที่ยวในภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงรายด้วย
“ในอนาคตข้างหน้า เราอาจมีโอกาสที่จะนำชาวเวียดนามที่จะเดินทางท่องเที่ยวไม่เพียงแต่จะนำไปยังจุดหมายปลายทางดังกล่าว แต่จะนำไปสู่จุดหมายอื่นที่เวียดเจ็ท แอร์จะขยายเส้นทางในอนาคตอีกด้วย สำหรับคนไทย นอกจากจะได้เดินทางไปเยือนเมืองใหญ่ๆในเวียดนามอย่าง ฮานอย สู่ไฮฟอง แล้ว ในเดือนหน้า จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เที่ยวชมจุดหมายปลายทางอย่างดาลัด ที่มีความสวยงามดังคำเปรียบเปรยว่าเป็นปารีสแห่งเอเชีย
“นี่เป็นเพียงก้าวแรกที่จะเปิดช่องทางใหม่ๆ สำหรับประสบการณ์การท่องเที่ยวของชาวไทย และชาวเวียดนาม”
เรื่อง / ภาพ : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช