แม้ว่าจะมีสภาพร่างกายไม่ครบ 32 ประการ ขาดแขน และมีขาสั้นข้าง ยาวข้างมาตั้งแต่กำเนิด แต่ “ฝ้าย-บุญธิดา ชินวงษ์” สาวน้อยอายุ 17 ปี ก็ไม่ได้ย่อท้อกับสิ่งที่ต้องเผชิญ เพราะเธอสามารถพลิกผันเอาจุดด้อยมาสร้างจุดเด่นให้เกิดประโยชน์ โดยใช้เท้าแทนมือ ‘แต่งหน้า’ นำรายได้จากการรับจ้างรีวิวมาแบ่งเบาภาระครอบครัวได้
• ไม่มีแขน ขาสั้นข้าง ยาวข้าง ความผิดปกติทางด้านร่างกายนี้เป็นมาตั้งแต่เกิด
น้องฝ้าย : ตอนแรก แม่ไปอัลตราซาวด์ดู ก็รู้ว่าปกติดี พอไปอัลตราซาวด์อีก คุณหมอกบอกว่าไม่ต้องไปหรอก เพราะว่าปกติดีอยู่แล้ว แต่พอเราเกิดมา กลับไม่ปกติ
คุณแม่ : พอเขาเกิดมาผิดปกติ ทีแรกแม่ก็ตกใจนะคะ แม่ก็คิดว่าทำไมลูกเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย ตอนแรกน้องออกมา คุณหมอบอกว่าลูกคุณผิดปกตินะ แขนสองข้างไม่มี ขาสั้นข้างนึง ยาวข้างนึง คุณหมอเขาก็ชูลูกให้แม่ดู แต่แม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะเป็นเยอะขนาดนี้ คิดว่าจะเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ คุณหมอเขาก็เลยเอาน้องฝ้ายไปเข้าตู้อบ 2 คืน หลังจากนั้นคุณหมอก็มาถามแม่ว่า แม่ทำใจได้หรือยัง เดี๋ยวจะอุ้มลูกมาให้ พอเขาอุ้มลูกมาให้ เปิดออกดู แม่ตกใจมากเลยค่ะ ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขนาดนี้
• การเลี้ยงดูลูกของคุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ
น้องฝ้าย : คือแม่จะเลี้ยงหนูเหมือนเด็กปกติเลยค่ะ ไม่ได้เลี้ยงแบบว่าประคบประหงมมากเป็นพิเศษอะไร ถ้าดื้อก็มีตีบ้าง
คุณแม่ : ถึงร่างกายเขาจะไม่ปกติแต่ว่าเขาเลี้ยงง่ายนะคะ เราจะเลี้ยงเขาแบบเด็กปกติ ก็จะพาเขาไปทำงานด้วย แม่ทำงานรับจ้างรีดผ้า ก่อนจะรีดผ้าเราก็จะอุ้มเขาไปวางตรงราวผ้าแล้วก็รีดผ้าไปด้วย เวลาเขาหิวนม แม่ก็จะชงนมให้แล้วก็เอาผ้ารอง นำขวดนมมาวางไว้ตรงหน้าอกเขา พอช่วงเข้าโรงเรียน ถามว่าลำบากไหม ก็เริ่มลำบากนะคะ เพราะว่าแม่จะต้องไปส่งเขาไปโรงเรียน ตอนเช้าแม่ต้องไปส่งแล้วก็ต้องรอ แรกๆ แม่ต้องไปอยู่กับน้องฝ้ายทั้งวัน ต้องไปดูแลเขาทั้งวันเลย พอนานเข้าก็มีเจ้าหน้าที่บอกให้แม่เอาลูกไปฝากดีไหม ประมาณว่าปิดเทอมก็ไปรับครั้งหนึ่ง เหมือนเป็นโรงเรียนประจำ คือที่มูลนิธิจะมีทั้งแบบไปกลับและแบบประจำ สุดท้ายแม่ก็ไม่ให้ลูกอยู่แบบประจำ เพราะว่าเราเลี้ยงเขามาแล้ว เราก็อยากเลี้ยงเองต่อไป
น้องฝ้าย : เพราะว่าอยู่ที่มูลนิธิจะค่อนข้างลำบากค่ะ เนื่องจากเด็กในมูลนิธิเยอะ พี่เลี้ยงหรือบริบาลก็ค่อนข้างน้อย เวลาป่วยเขาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง คือส่วนตัวหนูมีปัญหาเกี่ยวกับปอดด้วย ซึ่งถ้าไม่สบายนิดหน่อยแล้วปล่อยทิ้งไว้ ปอดจะติดเชื้อ ปอดอักเสบได้ แม่เลยให้ไปกลับดีกว่า มันโอเคกว่าค่ะ
คุณแม่ : แต่พอเข้าปีสองปี แม่ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะคะ เพราะเราต้องทำมาหากินด้วย หลังๆ แม่ก็เลยหาพี่เลี้ยงที่เขารับจ้างเลี้ยงเด็ก เลยตัดสินใจให้คุณครูหาให้ ครูก็สงสาร เขาเลยหาพี่เลี้ยงที่เป็นพี่เลี้ยง 1 คนต่อเด็ก 2 คน ขอเขาว่าจ้างวันละ 80-100 บาทได้ไหมให้ดูแลเด็กคนนี้ เพราะน้องฝ้ายเขาจะเลี้ยงไม่ลำบากอะไร แต่จะลำบากเรื่องการเข้าห้องน้ำแค่นั้นเองค่ะ
น้องฝ้าย : ชีวิตประจำวันหนูจะมีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำ เรื่องอาบน้ำ เป็นส่วนใหญ่ ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งก็คือการใส่เสื้อผ้า มัดผม ที่หนูจะทำเองไม่ได้ เพราะหนูไม่ได้ฝึกตั้งแต่เด็ก ตอนเข้าไปเรียนศรีสังวาลย์ หนูก็อนุบาล 3 แล้ว ไปฝึกอะไรก็ฝึกไม่ได้แล้วค่ะ แข็งไปหมดแล้ว พอเขาฝึกให้ก็ทำไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ก็เลยทำเท่าที่ทำได้ อย่างเช่น ตื่นขึ้นมาหนูก็ให้แม่เอาข้าวมาให้ หนูกินข้าวเองได้ แปรงฟัน ล้างหน้า ล้างจานจะทำได้ค่ะ แต่หนูจะพยายามทำเท่าที่หนูทำได้ นักกายภาพบำบัดจะช่วยฝึกเท่าที่หนูทำได้ซึ่งหนูก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หลายอย่างค่ะ
• การเรียนล่ะคะเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าตอนนี้เรียนมัธยมปลายแล้ว
น้องฝ้าย : ตอนเรียนชั้นประถมศึกษาถึงตอนมัธยมต้น หนูจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะว่าหนูเรียนอยู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ เป็นโรงเรียนของคนพิการทางด้านร่างกายโดยเฉพาะ แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจมาเรียนมัธยมปลายค่ะ ตอนแรกหนูจะไม่ได้เรียน ม.ปลายนะคะเพราะแม่ไม่กล้าให้มาเรียน กลัวว่าจะไม่มีเพื่อน แม่จะให้ไปเรียนศูนย์คอมพ์ กับเพื่อนเก่าจากศรีสังวาลย์ ก็จะเป็นแนวๆ โรงเรียนอาชีพ แต่หนูรู้สึกว่าหนูไม่อยากเรียน ถามว่ามันโอเคไหม มันก็โอเคนะคะ แต่หนูอยากเปลี่ยนสังคมดู อยากอยู่กับสังคมปกติ จะดูว่าหนูอยู่ได้ไหม แล้วอาจารย์ที่ศรีสังวาลย์ก็บอกว่าลองเรียนดูก่อนปีนึง ถ้าไม่ไหวก็ค่อยลาออกมาเรียนศูนย์คอมพ์ แต่พอเรามาเรียนก็โอเค ไม่มีเพื่อนล้อด้วย คือหนูก็เหมือนคนปกติคนหนึ่งที่เพื่อนๆ มอง
หนูอยากเปลี่ยนสังคม เพราะถ้าเกิดหนูอยู่ในสังคมคนพิการ ก็จะมีแต่คนให้ มีแต่คนมาบริจาคของ คือเหมือนว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกความจริง ถ้าเกิดเรามาอยู่ในสังคมปกติเราจะเผชิญโลกความจริงมากกว่าว่าสังคมข้างนอกเป็นยังไง มันต้องเผชิญกับคนยังไงบ้าง คนเอาเปรียบอย่างนั้นอย่างนี้ คือในโรงเรียนปกติจะมีหลายรูปแบบ การเปลี่ยนสังคม หนูก็เจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ซึ่งพอมาอยู่จริงๆ แล้วเราก็อยู่ได้ ปัจจุบันหนูก็เรียนมัธยมปลายโรงเรียนปกติที่โรงเรียนปากเกร็ด เป็นโรงเรียนใหญ่ปกติค่ะ
• เปลี่ยนสังคมใหม่จากโรงเรียนเด็กพิการโดยเฉพาะมาเรียนโรงเรียนปกติ? เป็นยังไงบ้าง สังคมเพื่อนๆ ปฏิบัติกับเรายังไง
น้องฝ้าย : พอเข้าเรียนมัธยมปลายถามว่ามีปัญหาไหมก็ไม่มีนะคะ เพราะว่าเพื่อนก็ไม่เคยล้ออะไร หนูจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องถูกล้อเลียน เพราะที่นี่เขาจะรับคนพิการเรียนร่วมอยู่แล้ว มีพี่มีน้องมีเพื่อนที่หนูรู้จักก็มาเรียน ซึ่งก็ไม่มีใครมองว่าเราแตกต่างอะไร แต่เขาจะทึ่งอย่างหนึ่งก็คือตอนนั้นเราเข้าไปเรียนครั้งแรกตอน ม.4 เพื่อนก็จะมาบอกประมาณว่าเห็นเราครั้งแรกตอนเราสอบเข้า ม.ปลาย เขาก็แอบมองว่าหนูจะเขียนหนังสือยังไง พอเห็นหนูใช้เท้าเขียน เขาก็งง ไม่คิดว่าเราจะเขียนได้ แล้วพอได้อยู่ห้องเดียวกัน ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาไม่คิดว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกับหนู แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งเขาก็บอกหนูว่าหนูไม่เหมือนคนพิการเลย เหมือนคนปกติทั่วไป หนูก็จะเดินเล่นทั่วห้อง เดี๋ยวแวบไปหน้าห้อง แวบไปหลังห้องบ้าง อะไรอย่างนี้ค่ะ จะไม่ค่อยนั่งรถเข็น รถเข็นส่วนมากเพื่อนจะนั่งแทนค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนคาบ ก็จะนั่งรถเข็นค่ะ (หัวเราะ)
หนูจะพยายามปรับตัวนะคะ อย่างตอนแรกที่หนูเข้า ม.ปลาย หนูคิดว่าเพื่อนอาจจะเดินเข้ามาหาเราเอง แต่ว่าไม่เลยค่ะ ดังนั้น หนูเลยเข้าไปหาเพื่อนก่อน จำได้เลยว่าตอนนั้นเรียนวิชาพลศึกษาอยู่ ต่อจากวิชาพละคือจะเป็นพักกลางวัน หนูก็คิดแล้วว่าเราจะทำยังไงดี ซึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไปเรียนพร้อมกับหนู เขาค่อนข้างจะคุณหนูหน่อยๆ เขาจะไม่เข้ากับใครเลยค่ะ จะอยู่แต่กับแม่เขา ไปกินข้าวกับแม่เขา หนูก็คิดแล้วว่าเราจะมาอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เพราะว่าแม่ต้องทำงานด้วย สุดท้ายหนูก็ทักทายเพื่อนๆ เลยว่า “แกๆ ไปกินข้าวด้วยนะ” เพื่อนก็บอกว่า “ได้ดิ” เราก็เลยได้เพื่อนมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
เราต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อน อย่างตอนอยู่มูลนิธิศรีสังวาลย์ (โรงเรียนสอนคนพิการโดยเฉพาะ) หนูอาจจะเด่น เพราะหนูจะทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ แต่พอมาอยู่โรงเรียนปกติ เราอยู่ระดับล่างเลยนะคะ เราไม่ได้เด่น ก็เลยต้องอาศัยเข้าหาเพื่อนๆ ก่อน เข้าหาแรกๆ ก็ไม่ยากนะคะ เพราะหนูคิดว่าหนูปกติ แรกๆ ก็ยังไม่ได้มีกลุ่มอะไร เพราะหนูจะไปทั่วเลย แต่หลังๆ ก็ได้กลุ่มเพื่อนมา ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มก็มี 8 คนค่ะ
ตอนแรกแม่ก็ไปเฝ้าที่โรงเรียนนะคะ แม่อยู่ที่โรงเรียนครึ่งวัน แต่เพื่อนก็บอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องเฝ้านะ เดี๋ยวพวกหนูดูเอง ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็ไม่ได้มาเฝ้าอีกเลยค่ะ ซึ่งแม่ก็ให้เงินเพื่อนๆ นะคะ แต่เพื่อนๆ ก็ไม่เอา ไม่มีใครเอาอะไรเลย
คุณแม่ : แม่กล้าปล่อย เพราะไปเห็นเพื่อนๆ เขาดูแลดี ถึงเวลาเลิกแถวเพื่อนก็จะรับขึ้นห้อง แม่ก็สบายใจ ก็เลยถามเพื่อนเขาว่าเขาเอาน้องฝ้ายเข้าห้องน้ำได้ไหม เขาก็บอกเอาเข้าได้แม่ เราก็เลยโล่งใจ เพราะที่แม่ต้องไปเฝ้า แม่กลัวเขาปวดท้อง กลัวไม่มีใครพาเขาเข้าห้องน้ำ แต่พอเพื่อนเขาบอกทำได้ แม่ก็สบายใจ ทำงานได้ปกติ
น้องฝ้าย : เพื่อนช่วยเหลือหนูทุกอย่าง เช่น ไปซื้อข้าวให้เพราะว่าถ้าไปซื้อเองจะค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีเด็กปกติเยอะ คือพักกลางวันจะพักพร้อมกันหลายชั้น เด็กก็จะเยอะ หนูก็เลยจะมีหน้าที่นั่งเฝ้าโต๊ะให้เพื่อนซื้อให้ พอกินข้าวเสร็จ เพื่อนก็จะพาเข้าห้องน้ำค่ะ คือถ้าหนูต้องการเข้าห้องน้ำ ก็จะบอกเพื่อนว่าพาไปหน่อย เพื่อนก็จะพาไปตลอด เขาก็จะบอกว่าไม่ต้องบอกหรอก เราไปอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้ค่ะ (หัวเราะ)
อย่างล่าสุดหนูติด 0 วิชาคณิตศาสตร์ เพื่อนก็พาไปสอบซ่อม พาไปหาอาจารย์ พาไปติดต่อห้องวิชาการ คือเราจะไปกันเป็นกลุ่มๆ เวลาไปไหนก็จะไปกัน อย่างไปเที่ยวเพื่อนก็จะชวนไปนะคะ มีวันหนึ่งไปให้อาหารปลาที่วัดสลักเหนือ หนูก็ได้ไปด้วย ชวนไปกินนู่นกินนี่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ ค่ะ
• แล้วด้วยสภาพร่างกายมีผลอะไรต่อการเรียนบ้างไหมคะ
น้องฝ้าย : ก็มีนะคะ อย่างหน้าหนาวปีที่แล้วจะมีช่วงหนึ่งที่หนาวมากๆ แล้วหนูก็ไอติดต่อกันเป็นเดือน ไม่ได้ไปหาหมอเลย ทำให้ปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบก็เลยต้องหยุดเรียนเข้าโรงพยาบาล แล้วก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นนักศึกษาฝึกสอนเขาไม่รู้ เขาบอกว่าหนูไม่ได้เข้าเรียนวิชาเขาเลย เทอมที่แล้วหนูเรียนแอโรบิกแล้ว หนูไม่ได้เต้น ซึ่งอาจารย์ไม่ทราบ เพราะเขาเป็นอาจารย์นักศึกษา ไม่ใช่อาจารย์เก่าแก่ เพราะถ้าเป็นอาจารย์เก่าแก่จะรู้ว่าถึงหนูไม่ได้เต้น เขาจะเช็กชื่อให้ แต่อาจารย์ฝึกสอนไม่ทราบเลยจะเช็กชื่อเฉพาะคนที่สอบเต้น ถามว่าเข้าไหม หนูเข้าตลอดนะคะ หนูเลยได้ มส.กับ 0 มา
ช่วงหลังๆ อาจารย์ก็เริ่มรู้ ก็ให้เราทำงานส่ง แล้วก็มีช่วง ม.5 เทอมแรกที่ติด 0 วิชาคณิตศาสตร์ คือหนูจะไม่ค่อยเก่งวิชานี้ หนูจะถนัดทางด้านภาษามากกว่า ก็เกรดตกลงมาบ้างเพราะอาการป่วย ทำให้เรียนไม่ทัน ส่งงานไม่ทัน เนื่องจากบางวิชาจะให้เขียนงานเป็นเล่มๆ แต่หนูจะนั่งเขียนนานๆ ไม่ได้ เพราะว่าหลังหนูคด ต้องไปบอกอาจารย์ อาจารย์ก็จะให้เกรดตามงานที่หนูส่ง ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประมาณนี้ค่ะ
• เห็นว่าความฝันสูงสุดคือเรียนต่อมหาวิทยาลัยใช่ไหมคะ
น้องฝ้าย : ใช่ค่ะ เป้าหมายหนูอยากเรียนจบปริญญาตรี อยากรับปริญญา ม.ปลายหนูก็เลือกเรียนทางด้านภาษา เลยเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนปากเกร็ด เพราะหนูมีความฝันว่าอยากจะเรียนคณะนิเทศศาสตร์ อยากเรียนการแสดง อยากเป็นพิธีกร อยากทำงานในวงการ หนูชอบทางด้านนี้มากค่ะ
• เป็นคนหนึ่งที่ถึงแม้จะขาด แต่ก็มีความฝันและไม่ย่อท้อกับชีวิตเลย เพราะนอกจากเรื่องอยากเรียนสูงๆ แล้ว ยังสามารถหารายได้จากการรับรีวิวแต่งหน้าด้วย
น้องฝ้าย : ใช่ค่ะ มีช่วงหนึ่ง คุณพ่อป่วยและคุณแม่ต้องทำงานคนเดียว ตรงนี้ก็มีส่วนที่ทำให้หนูอยากช่วยแบ่งเบาภาระ งานหนึ่งก็ได้ประมาณหลักพัน ตรงนี้มันเริ่มมาจากที่หนูทำเล่นๆ เพราะเห็นว่าบล็อกเกอร์หลายคนลงคลิปแต่งหน้าซึ่งเขาก็ใช้มือแต่งหน้า หนูเลยคิดว่าเราลองใช้เท้าแต่งบ้างดีกว่า ก็เลยลองทำและลงคลิปดู
• ใช้เท้าแต่งหน้า? ฝึกฝนยังไง เพราะไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะคะ
น้องฝ้าย : ตอนแรกก็ไม่เก่งเลยนะคะ ตาเหมือนโดนต่อยมา คิ้วก็โก่งเป็นสะพานพระราม 8 พระราม 9 ตอนแรกก็แต่งได้ไม่โอเคเท่าไหร่ ก็ต้องอาศัยฝึกฝนไปเรื่อยๆ หนูจะชอบดูคลิปของบิวตี้บล็อกเกอร์ฝรั่ง เขาก็จะมีวิธีการเขียนคิ้วที่ละเอียดมาก แล้วพอหนูดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มซึมซับ ตอนนี้หนูก็จะชอบแต่งสาย ฝ.(สายฝรั่ง) อย่างการคอนทัวร์หน้า การเบรนหน้า การไฮไลต์จมูกจะทำยังไงให้โด่ง หรือการคัดเบ้ายังไงให้สวย คือเราก็จะฝึกฝนมาจากตรงนี้ค่ะ หนูจะชอบดูและทำตาม สมมติว่าวันนี้จะอัดคลิป ก็จะดูก่อน พอดูเสร็จก็จะลงมือแต่งเลย
การกรีดตาด้วยอายไลเนอร์กับติดขนตาเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับหนู ตอนแรกหนูนึกว่าเขียนคิ้วจะยากกว่า ที่ไหนได้ การเขียนคิ้ว ทาลิปสติก ทาแก้ม ทาตา จะง่ายที่สุด ตอนแรกหนูใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ตอนนี้ก็ใส่ได้
หนูจะชอบจำจากคลิป มีหลายคนบอกว่าไปเรียนมาหรือเปล่า ถึงทำได้ แต่หนูไม่ได้ไปเรียนเลยค่ะ ซึ่งจริงๆ มีโรงเรียนสอนแต่งหน้าของ sister makeup ที่น้องแพรพาเพลินไปเรียน ติดต่อมาจะให้หนูไปเรียน แต่โรงเรียนค่อนข้างไกลก็เลยไม่สามารถไปเรียนได้ ก็เลยจะอาศัยแต่งตามคลิปและแต่งกับตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการครีเอตเอาเองค่ะ ตอนนี้ฝีมือก็โอเคขึ้นจากตอนแรกๆ ถ้าวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็จะอยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ ขาดอีก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือกรีดอายไลเนอร์ ติดขนตาและเลือกรองพื้นต่างๆ
• กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง
น้องฝ้าย : กระแสตอบรับดีมากค่ะ มีคนเข้ามาชื่นชมให้หนูแต่งลุคนั้นลุคนี้ไปเรื่อยๆ หลายคนก็บอกให้หนูแต่งหน้าไปเที่ยวแล้วให้ได้ผู้ชายกลับบ้านหน่อยสิ อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่หนูก็ทำนะคะ พอทำแล้ว กระแสตอบรับก็ออกมาดี คือสไตล์หนูจะไม่ได้เรียบร้อยมาก เราก็จะเป็นสไตล์ของเราไป ซึ่งคนที่อายุมากหน่อยก็จะมองว่าไม่เหมาะสมเพราะเราเป็นเด็ก แต่อันนี้หนูถือว่าเป็นคาแรกเตอร์ของหนู คนที่มาจ้างหนูเพราะว่าหนูเป็นแบบนี้ สนุกสนาน ตลกเฮฮา เป็นตัวของตัวเองและรีวิวตามความรู้สึกจริง คนก็จะชอบกันค่ะ ก็เริ่มมีคนส่งเครื่องสำอางมาให้เยอะขึ้น เราก็เลยพัฒนาฝีเท้าตัวเอง ซึ่งพี่นุ่น นพลักษณ์ บิวตี้บล็อกเกอร์ก็ติดต่อมาบอกว่าอยากส่งเครื่องสำอางมาให้ เขาก็ส่งมาให้หนูกล่องใหญ่มากเลย แล้วพี่เขาก็แชร์คลิปหนู แฟนคลับของพี่เขาเห็น ก็เลยได้ไปออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ค่ะ หลังจากนั้นก็ได้ออกรายการเรื่อยๆ ล่าสุดก็เป็นรายการ ตีสิบ ค่ะที่ทำให้คนรู้จักเราเยอะขึ้น
• แบรนด์แรกที่เข้ามาจ้างรีวิว คือแบรนด์อะไร
น้องฝ้าย : cc คุชชั่นค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนวันสงกรานต์ เขาก็มาจ้างให้หนูทำคลิปแต่งหน้าเล่นน้ำสงกรานต์ยังไงไม่ให้หลุด หนูก็เอาสิ่งที่เขาส่งมา มารีวิวทำคลิปในแบบของเรา ส่วนแบรนด์ที่สองเป็นลิปสติกซึ่งเขาเห็นหนูจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เขาจ้างมาหลายพันอยู่นะคะ ให้เราแต่งหน้าวันฮัลโลวีน หลังจากนั้นก็มีเครื่องสำอางส่งมาให้รีวิวเรื่อยๆ แต่ว่าก็ไม่ถึงกับว่าเข้ามาเยอะ 1 เดือนก็จะมี 1-2 งาน ก็ยังถือว่าน้อยอยู่นะคะ หรือบางแบรนด์ก็มาถ่ายถึงที่บ้านก็มีค่ะ ซึ่งงานรีวิวตอนนี้ก็ยังรับอยู่ตลอด แต่ว่ารีวิวเครื่องสำอางต้องหน้าใส ต้องผิวใส งานถึงไม่ค่อยเข้า แต่ก็มีบางส่วนที่เขาอยากให้หนูรีวิวให้ ส่วนมากที่จ้างเข้ามาจะเป็นลิปสติกแบบแมตต์และเครื่องสำอางแบบปกปิดเพราะว่าหน้าหนูเป็นสิว ถ้าหนูใช้แล้วปกปิด คนก็จะซื้อตามค่อนข้างเยอะ ส่วนมากก็จะเป็นประมาณนั้นค่ะ
ล่าสุดหนูก็ลองขอสปอนเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Maybelline, ศรีจันทร์, คอลเลคชั่น, 4U2, Kate ด้วยนะคะ ซึ่งเขาก็ให้มา คือหนูไม่ได้หวังว่าจะได้เงินอะไร แต่หนูหวังแค่อยากได้สปอนเซอร์จากแบรนด์ใหญ่ๆ มาเพื่อพัฒนาตัวเอง และเพื่อให้ลูกค้าเห็นด้วยว่าเรามีแบรนด์ดังๆ นะ ซึ่งที่มาแบบปังๆ เลยจะเป็นตอนแบรนด์ของพี่ใบเตยอาร์สยามที่เขาส่งมาให้ ซึ่งเราก็ขอสปอนเซอร์ไปเหมือนกัน แล้วก็มีแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์ Sivanna ที่ได้ไปถ่ายแบบให้เขาด้วยและส่งของมาให้ทำคลิปให้ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ก็มีคนมาจ้างให้หนูแต่งหน้าให้นะคะ แต่ว่าหนูยังไม่รับงานนี้ เพราะว่ายังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหนูแต่งได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะรับแต่งค่ะเพราะการแต่งหน้าคนอื่นค่อนข้างยากกว่า กลัวว่าเขาจะไม่สวย แต่มีครั้งหนึ่ง หนูได้แต่งให้นักกีฬาฟุตซอลทีมชาติหญิงซึ่งพี่เขามาหาเราถึงบ้านเลยค่ะ เพราะพี่เขาเจอหนูในกลุ่มกลุ่มหนึ่งและอยากมาเจอ (ยิ้ม)
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานนี้ไปเรื่อยๆ อยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่ด้วย อยากมีงานเข้ามาเยอะๆ อยากให้มีคนจ้างงานเยอะๆ หนูไม่เกี่ยงงานค่ะ เพราะหนูอยากมีบ้านให้คุณพ่อคุณแม่อยู่ อยากให้เขาสบายขึ้น
• ดูเหมือนว่าศักยภาพของเราก็ไม่ด้อยไปกว่าคนปกติเลย ได้อะไรจากสิ่งที่ทำบ้าง
น้องฝ้าย : ตั้งแต่ทำงานรีวิวมา หนูก็ได้โอกาสอะไรหลายๆ อย่างเลยนะคะ อย่างเรื่องศัลยกรรมก็เหมือนกัน หนูก็ได้สิทธิทำจมูกฟรีจากคุณหมอ เดี๋ยวปิดเทอมหน้า คุณหมอจะให้ไปทำปากด้วยค่ะ ก็มีโอกาสดีๆ หลายๆ อย่างเข้ามาค่ะ แต่ถามว่ามีคนหลอกไหม ก็มีนะคะ เขาบอกว่าจะมารับไปถ่ายแบบเป็นสครับตัว แต่หนูก็งงว่าจะมาเอาหนูไปถ่ายจริงๆ เหรอ สครับต้องจ้างคนปกติที่ผิวดีๆ สิ เพราะเป็นงานโชว์ผิว ซึ่งเราก็มองว่าไม่ใช่แล้ว มันไม่ตรงกับคอนเซ็ปต์งาน เขาก็คุยงานกับคุณแม่เป็นกิจจะลักษณะ สุดท้ายถึงวันนั้นมีคนแฉเขาว่าเขาชอบหลอกคนไปทั่ว สุดท้ายเขาก็ไลน์มาหาว่าเขาติดธุระว่าเขามาไม่ได้ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเราเห็นที่เขาโดนแฉแล้วนะ อะไรแบบนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• นอกเหนือไปจากสภาพร่างกายที่เราต้องฝึกฝนความสามารถแล้ว ตรงนี้ยังมีเรื่องของสภาพจิตใจด้วย แบบนี้มีวิธีสร้างกำลังใจให้กับตัวเองยังไงบ้างคะ
น้องฝ้าย : เราต้องออกมาจากจุดนั้น เราจะได้มีความสุข คือหนูจะยกตัวอย่างให้ฟังว่าตอน ม.1 ม.2 หนูได้ไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ของโครงการสมเด็จพระเทพรัตนฯ เขาก็จะเอาคนพิการที่อยู่ในโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนฯ มารวมกัน เป็นการเข้าค่าย แล้วก็มีคนหนึ่ง น่าจะอยู่ที่ศรีสังวาลย์ ขอนแก่น เขาเป็นเหมือนหนูเลยค่ะ แต่เขาจะเป็นหนักกว่าหนูก็คือขาเขาสั้นทั้งสองข้างเลย แล้วก็มีช่างภาพคนหนึ่งเขาจับภาพ หนูกับพี่คนนั้นก็เลยเอาขาจับกัน คนอื่นเขาจับมือกัน แต่เราเอาขาจับกัน ช่างภาพก็จับภาพนั้นพอดี ซึ่งหนูเห็นว่ารูปนั้นน่ารักดีก็เลยเอามาลงในเฟซบุ๊กแล้วแท็กหาพี่คนนั้น แต่พี่เขาบอกให้เราลบเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเขาไม่เคยถ่ายรูปเต็มตัว เขาไม่เคยให้ใครในเฟซบุ๊กรู้ว่าเขาพิการ แต่ส่วนตัวหนูมองว่าเราก็ต้องยอมรับไหมว่าเราพิการ อย่างตัวหนู รูปหนูทุกรูปในเฟซบุ๊ก หนูไม่เคยถ่ายแต่หน้าเลยนะคะ หนูจะถ่ายเต็มตัวตลอด เราต้องเปิดเผยแต่แรก เราจะรับมันได้
การที่หนูเป็นแบบนี้หนูว่ามันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวนะคะ เราไม่ต้องสนใจว่าเราจะเป็นยังไง เหมือนหนูไปถ่ายแบบของแบรนด์แบรนด์หนึ่ง เราต้องใส่เสื้อเกาะอก แม่บอกว่ามันเห็นหลัง มันไม่สวย ดูตัวอ้วน เพราะหลังหนูมันโก่ง แต่หนูก็บอกแม่ว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็เป็นเอกลักษณ์ของเรา ซึ่งหนูจะเฉยๆ ชิลๆ กับสิ่งที่เป็นอยู่มากๆ
ส่วนตัวหนูก็เคยโดนสังคมภายนอกมองเราเป็นตัวประหลาดก็มี อย่างเวลาที่หนูไปเที่ยวกับเพื่อน ไปห้างสรรพสินค้า ตอนไปแรกๆ ก็มีคนมองนะคะ ซึ่งทีแรกแม่ก็ไม่กล้าให้ไปคนเดียวเท่าไหร่ แต่หนูก็บอกว่าหนูอยู่ได้ พอไปก็เจอสายตามองประมาณว่าทำไมที่บ้านปล่อยให้มาคนเดียว แต่หนูก็ไม่ได้สนใจอะไร ซึ่งถ้าเราไม่สนใจ เราจะอยู่ในโลกภายนอกได้ แต่ถ้าเราเอาทุกคำพูด เอาทุกสายตาเก็บมาคิด เราจะอยู่ไม่ได้ เราต้องปล่อยมันไป
หรืออย่างมีครั้งหนึ่งไปทะเล ส่วนตัวหนูชอบแต่งตัว วันนั้นก็ใส่เสื้อเกาะอก นึกว่าแม่จะไม่ให้ใส่ แต่แม่ให้ใส่ แต่ให้เสื้อยีนส์คลุมทับ พอถึงทะเลก็ถอดเสื้อยีนส์ออก คนมองทั้งหาดเลยค่ะ หนูก็ถ่ายรูปของหนูไปชิลๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็มีทหารที่หาดน้ำใสจำได้มาขอถ่ายรูปด้วย แต่ก็มีคนที่เขาไม่รู้จักเราด้วย เขาก็งงๆ ว่าเราเป็นใคร บางคนก็มองแบบเหยียดๆ ว่าเราแต่งตัวไม่ดูสภาพตัวเอง แต่เราก็ไม่สนใจอะไร (หัวเราะ) ซึ่งแต่ก่อนแม่จะไม่ให้แต่งตัวแบบนี้ จะให้แต่งตัวปิดๆ ตลอด แต่ว่าพอเราสามารถทำงานได้ ก็สามารถแต่งได้แล้วค่ะ (ยิ้ม)
คุณแม่ : แม่จะพยายามบอกเขาอยู่เรื่อยๆ ว่าช่างเถอะ ถ้ามีคนมอง ซึ่งถ้ามองมากๆ แม่ก็จะบอกว่าปล่อยเขามอง ไม่เป็นไรหรอก ฝ้ายสวยซะอย่าง ให้ลูกคิดแบบนี้ ไม่ต้องไปแคร์คน บางคนชอบถามว่าไม่อายเหรอ แม่ก็ไม่อายนะ ภูมิใจด้วยซ้ำ ในประเทศเราเด็กพิการค่อนข้างเยอะ น้องฝ้ายเป็นเด็กพิการเหมือนกัน แต่ว่าเขาก็เป็นจุดเด่นของคนอื่น
แม่ว่าบางคนเขาไม่รู้ เขาเห็นคนพิการก็จะมองว่าเราขังอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว เขาเห็นเราส่งลูกไปเรียน เขาก็จะบอกว่าจะส่งลูกเรียนไปทำไม ไม่สงสารตัวเองเหรอ ต้องมาลำบากส่งลูก แล้วไหนต้องไปทำงานอีก แต่ว่าเราเป็นแม่ เห็นลูกมีความสุข จะลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทนเอา หรือบางคนเขาเห็นเราอุ้มลูกไปหาหมอ เขาก็จะบอกว่าเป็นเวรกรรม เขาจะมองว่าเราไปทำบาปอะไรมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พ่อแม่ต้องมีบาปมีกรรมแน่ๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าเราทำบาปกรรมอะไรไว้ เพียงแต่ชาตินี้เราพยายามทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว แม่จะคิดและสอนให้ลูกคิดแบบนั้นมาตลอด
น้องฝ้าย : เพราะหนูมีกำลังใจจากพ่อแม่ มีกำลังใจจากไอดอลหลายคนเลยค่ะ อย่างพี่นุ่น นพลักษณ์ บิวตี้บล็อกเกอร์ พี่ตูน บอดี้สแลม โดยเฉพาะพี่ตูนหนูคลั่งพี่เขามากเพราะว่าพี่เขาฝากหมวกและเซ็นลายเซ็นมาให้ ซึ่งพี่ตูนก็จะให้กำลังใจอยู่ตลอด อย่างตอนที่หนูไปแข่งคอมพิวเตอร์ในโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนฯ พี่ตูนก็บอกให้หนูสู้ๆ ทำได้อยู่แล้ว ถ้าได้เหรียญมา ถ่ายรูปให้พี่เขาดูด้วยนะ ทำให้เรามีแรงฮึด ซึ่งไปแข่งมา หนูก็ได้ที่ 2 มาค่ะ อย่างมีครั้งหนึ่ง หนูก็ไปแข่งคัดลายมือระดับประเทศตอน ม. 3 แข่งกับเด็กพิการเหมือนกัน แต่เขาจะใช้มือกัน แต่หนูใช้เท้าเขียน ซึ่งหนูก็ชนะเลิศได้ที่ 1 ได้เหรียญทองมาค่ะ หนูก็แท็กรูปคล้องเหรียญให้พี่ตูนดู พี่ตูนก็บอกว่ามีรูปมุมเดียวกับพี่เลย และเคยถ่ายเกียรติบัตรให้พี่ตูนดู พี่เขาก็บอกว่าเก็บสะสมไปเรื่อยๆ นะ ซึ่งหนูก็ได้กำลังใจจากจุดจุดนี้เหมือนกันค่ะ
• ในฐานะที่เราถึงแม้จะมีร่างกายไม่ครบ 32 ประการ แต่สภาพจิตใจกลับเต็มร้อย ตรงนี้อยากให้ฝากให้กำลังใจคนพิการคนอื่นๆ ที่ยังท้อแท้ในชีวิตหน่อยค่ะ
น้องฝ้าย : บางคนก็คิดฆ่าตัวตาย อย่างมีคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของพี่สาวโดนรถทับขาขาด พิการทางอุบัติเหตุ ซึ่งพี่สาวให้หนูช่วยอัดคลิปให้กำลังใจเขาหน่อยเพราะเขารับไม่ได้ เขาอยากฆ่าตัวตาย ไม่ยอมมาเรียนเลย ไม่ไปไหน จะเก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด ซึ่งหนูก็ฝากบอกเขาว่าอย่าไปท้อ มีคนที่แย่กว่าเรา เป็นหนักกว่าเราอีกเยอะ อย่างตัวหนูเอง หนูว่าหนูเป็นหนักแล้วนะ แต่ก็ยังมีคนที่เป็นหนักกว่าหนูก็ยังมี ทั้งพูดไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยก็มี แต่หนูยังทำนู่นทำนี่ได้ ยังไปเรียนได้ คนที่เขาไม่ได้มีโอกาสตรงนี้มีเยอะกว่า ให้มองว่าเรายังดีกว่าคนอื่น อย่าไปจมปลัก เราต้องลุกขึ้นและหาจุดเด่นให้กับตัวเอง เราถนัดอะไรให้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เราถนัด ถึงแม้ว่าเราจะขาดสิ่งที่เคยมีหรือควรมีไป เราก็ใช้สิ่งที่เราเหลือให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เหมือนหนูไม่มีแขนแต่หนูยังมีขาหนูก็ใช้ขาแทน เราอย่าไปนึกว่าเราพิการ เราทำไม่ได้ อย่าไปคิดอะไรแบบนั้น
• ท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงคนที่ยังมองว่าคนพิการไม่มีความสามารถบ้างไหมคะ
น้องฝ้าย : หนูว่าคนแบบนี้เขายังไม่เปิดโลก หลายๆ คนจะบอกว่าคนพิการน่าสงสาร หนูไม่ชอบให้ใช้คำว่าสงสารนะคะ อย่าพูดคำว่าสงสาร เช่น เห็นว่าสงสารนะ ก็เลยให้เงินเพิ่ม แต่หนูอยากให้ใช้คำว่าต้องการความช่วยเหลือดีกว่า เพราะคนพิการเขาแค่ขาดหาย แค่ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือเป็นพิเศษแค่นั้นเอง คือคนปกติอาจจะเดิน แต่คนพิการก็นั่งรถเข็นก็แทนขาไป แค่อยากให้เปิดโอกาส มองเห็นถึงความสามารถของเรา เห็นโอกาสของเรา เพราะคนพิการก็เป็นคน มีหน้า มีตา หู จมูก ปากเหมือนกัน กินข้าวเหมือนกัน
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยตอนนี้ยังไม่มีรถเมล์สำหรับคนพิการ ยังไม่มีการเดินทางสำหรับคนพิการ สะพานลอยก็ยังเป็นสะพานลอยคนปกติซะส่วนใหญ่ คืออุบัติเหตุหรืออะไรที่เกี่ยวกับคนพิการค่อนข้างมีเยอะ ก็อยากให้สร้างทางลาดสำหรับคนพิการ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการให้มากขึ้นค่ะ อีกอย่าง ที่จอดรถสำหรับคนพิการก็กลายเป็นคนที่ใจพิการมาจอด ซึ่งหนูเจอแบบนี้มาแล้ว สุดท้ายหนูอยากให้คนในประเทศไทยยอมรับเราให้มากขึ้น เพราะว่าหลายๆ คนก็ยังไม่ยอมรับพวกเรา อยากให้หันมามองเห็นพวกเราค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย และ Facebook : buntida chinnawong
• ไม่มีแขน ขาสั้นข้าง ยาวข้าง ความผิดปกติทางด้านร่างกายนี้เป็นมาตั้งแต่เกิด
น้องฝ้าย : ตอนแรก แม่ไปอัลตราซาวด์ดู ก็รู้ว่าปกติดี พอไปอัลตราซาวด์อีก คุณหมอกบอกว่าไม่ต้องไปหรอก เพราะว่าปกติดีอยู่แล้ว แต่พอเราเกิดมา กลับไม่ปกติ
คุณแม่ : พอเขาเกิดมาผิดปกติ ทีแรกแม่ก็ตกใจนะคะ แม่ก็คิดว่าทำไมลูกเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย ตอนแรกน้องออกมา คุณหมอบอกว่าลูกคุณผิดปกตินะ แขนสองข้างไม่มี ขาสั้นข้างนึง ยาวข้างนึง คุณหมอเขาก็ชูลูกให้แม่ดู แต่แม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะเป็นเยอะขนาดนี้ คิดว่าจะเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ คุณหมอเขาก็เลยเอาน้องฝ้ายไปเข้าตู้อบ 2 คืน หลังจากนั้นคุณหมอก็มาถามแม่ว่า แม่ทำใจได้หรือยัง เดี๋ยวจะอุ้มลูกมาให้ พอเขาอุ้มลูกมาให้ เปิดออกดู แม่ตกใจมากเลยค่ะ ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขนาดนี้
• การเลี้ยงดูลูกของคุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ
น้องฝ้าย : คือแม่จะเลี้ยงหนูเหมือนเด็กปกติเลยค่ะ ไม่ได้เลี้ยงแบบว่าประคบประหงมมากเป็นพิเศษอะไร ถ้าดื้อก็มีตีบ้าง
คุณแม่ : ถึงร่างกายเขาจะไม่ปกติแต่ว่าเขาเลี้ยงง่ายนะคะ เราจะเลี้ยงเขาแบบเด็กปกติ ก็จะพาเขาไปทำงานด้วย แม่ทำงานรับจ้างรีดผ้า ก่อนจะรีดผ้าเราก็จะอุ้มเขาไปวางตรงราวผ้าแล้วก็รีดผ้าไปด้วย เวลาเขาหิวนม แม่ก็จะชงนมให้แล้วก็เอาผ้ารอง นำขวดนมมาวางไว้ตรงหน้าอกเขา พอช่วงเข้าโรงเรียน ถามว่าลำบากไหม ก็เริ่มลำบากนะคะ เพราะว่าแม่จะต้องไปส่งเขาไปโรงเรียน ตอนเช้าแม่ต้องไปส่งแล้วก็ต้องรอ แรกๆ แม่ต้องไปอยู่กับน้องฝ้ายทั้งวัน ต้องไปดูแลเขาทั้งวันเลย พอนานเข้าก็มีเจ้าหน้าที่บอกให้แม่เอาลูกไปฝากดีไหม ประมาณว่าปิดเทอมก็ไปรับครั้งหนึ่ง เหมือนเป็นโรงเรียนประจำ คือที่มูลนิธิจะมีทั้งแบบไปกลับและแบบประจำ สุดท้ายแม่ก็ไม่ให้ลูกอยู่แบบประจำ เพราะว่าเราเลี้ยงเขามาแล้ว เราก็อยากเลี้ยงเองต่อไป
น้องฝ้าย : เพราะว่าอยู่ที่มูลนิธิจะค่อนข้างลำบากค่ะ เนื่องจากเด็กในมูลนิธิเยอะ พี่เลี้ยงหรือบริบาลก็ค่อนข้างน้อย เวลาป่วยเขาอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง คือส่วนตัวหนูมีปัญหาเกี่ยวกับปอดด้วย ซึ่งถ้าไม่สบายนิดหน่อยแล้วปล่อยทิ้งไว้ ปอดจะติดเชื้อ ปอดอักเสบได้ แม่เลยให้ไปกลับดีกว่า มันโอเคกว่าค่ะ
คุณแม่ : แต่พอเข้าปีสองปี แม่ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วนะคะ เพราะเราต้องทำมาหากินด้วย หลังๆ แม่ก็เลยหาพี่เลี้ยงที่เขารับจ้างเลี้ยงเด็ก เลยตัดสินใจให้คุณครูหาให้ ครูก็สงสาร เขาเลยหาพี่เลี้ยงที่เป็นพี่เลี้ยง 1 คนต่อเด็ก 2 คน ขอเขาว่าจ้างวันละ 80-100 บาทได้ไหมให้ดูแลเด็กคนนี้ เพราะน้องฝ้ายเขาจะเลี้ยงไม่ลำบากอะไร แต่จะลำบากเรื่องการเข้าห้องน้ำแค่นั้นเองค่ะ
น้องฝ้าย : ชีวิตประจำวันหนูจะมีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำ เรื่องอาบน้ำ เป็นส่วนใหญ่ ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งก็คือการใส่เสื้อผ้า มัดผม ที่หนูจะทำเองไม่ได้ เพราะหนูไม่ได้ฝึกตั้งแต่เด็ก ตอนเข้าไปเรียนศรีสังวาลย์ หนูก็อนุบาล 3 แล้ว ไปฝึกอะไรก็ฝึกไม่ได้แล้วค่ะ แข็งไปหมดแล้ว พอเขาฝึกให้ก็ทำไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ก็เลยทำเท่าที่ทำได้ อย่างเช่น ตื่นขึ้นมาหนูก็ให้แม่เอาข้าวมาให้ หนูกินข้าวเองได้ แปรงฟัน ล้างหน้า ล้างจานจะทำได้ค่ะ แต่หนูจะพยายามทำเท่าที่หนูทำได้ นักกายภาพบำบัดจะช่วยฝึกเท่าที่หนูทำได้ซึ่งหนูก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หลายอย่างค่ะ
• การเรียนล่ะคะเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าตอนนี้เรียนมัธยมปลายแล้ว
น้องฝ้าย : ตอนเรียนชั้นประถมศึกษาถึงตอนมัธยมต้น หนูจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะว่าหนูเรียนอยู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ เป็นโรงเรียนของคนพิการทางด้านร่างกายโดยเฉพาะ แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจมาเรียนมัธยมปลายค่ะ ตอนแรกหนูจะไม่ได้เรียน ม.ปลายนะคะเพราะแม่ไม่กล้าให้มาเรียน กลัวว่าจะไม่มีเพื่อน แม่จะให้ไปเรียนศูนย์คอมพ์ กับเพื่อนเก่าจากศรีสังวาลย์ ก็จะเป็นแนวๆ โรงเรียนอาชีพ แต่หนูรู้สึกว่าหนูไม่อยากเรียน ถามว่ามันโอเคไหม มันก็โอเคนะคะ แต่หนูอยากเปลี่ยนสังคมดู อยากอยู่กับสังคมปกติ จะดูว่าหนูอยู่ได้ไหม แล้วอาจารย์ที่ศรีสังวาลย์ก็บอกว่าลองเรียนดูก่อนปีนึง ถ้าไม่ไหวก็ค่อยลาออกมาเรียนศูนย์คอมพ์ แต่พอเรามาเรียนก็โอเค ไม่มีเพื่อนล้อด้วย คือหนูก็เหมือนคนปกติคนหนึ่งที่เพื่อนๆ มอง
หนูอยากเปลี่ยนสังคม เพราะถ้าเกิดหนูอยู่ในสังคมคนพิการ ก็จะมีแต่คนให้ มีแต่คนมาบริจาคของ คือเหมือนว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกความจริง ถ้าเกิดเรามาอยู่ในสังคมปกติเราจะเผชิญโลกความจริงมากกว่าว่าสังคมข้างนอกเป็นยังไง มันต้องเผชิญกับคนยังไงบ้าง คนเอาเปรียบอย่างนั้นอย่างนี้ คือในโรงเรียนปกติจะมีหลายรูปแบบ การเปลี่ยนสังคม หนูก็เจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ซึ่งพอมาอยู่จริงๆ แล้วเราก็อยู่ได้ ปัจจุบันหนูก็เรียนมัธยมปลายโรงเรียนปกติที่โรงเรียนปากเกร็ด เป็นโรงเรียนใหญ่ปกติค่ะ
• เปลี่ยนสังคมใหม่จากโรงเรียนเด็กพิการโดยเฉพาะมาเรียนโรงเรียนปกติ? เป็นยังไงบ้าง สังคมเพื่อนๆ ปฏิบัติกับเรายังไง
น้องฝ้าย : พอเข้าเรียนมัธยมปลายถามว่ามีปัญหาไหมก็ไม่มีนะคะ เพราะว่าเพื่อนก็ไม่เคยล้ออะไร หนูจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องถูกล้อเลียน เพราะที่นี่เขาจะรับคนพิการเรียนร่วมอยู่แล้ว มีพี่มีน้องมีเพื่อนที่หนูรู้จักก็มาเรียน ซึ่งก็ไม่มีใครมองว่าเราแตกต่างอะไร แต่เขาจะทึ่งอย่างหนึ่งก็คือตอนนั้นเราเข้าไปเรียนครั้งแรกตอน ม.4 เพื่อนก็จะมาบอกประมาณว่าเห็นเราครั้งแรกตอนเราสอบเข้า ม.ปลาย เขาก็แอบมองว่าหนูจะเขียนหนังสือยังไง พอเห็นหนูใช้เท้าเขียน เขาก็งง ไม่คิดว่าเราจะเขียนได้ แล้วพอได้อยู่ห้องเดียวกัน ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาไม่คิดว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกับหนู แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งเขาก็บอกหนูว่าหนูไม่เหมือนคนพิการเลย เหมือนคนปกติทั่วไป หนูก็จะเดินเล่นทั่วห้อง เดี๋ยวแวบไปหน้าห้อง แวบไปหลังห้องบ้าง อะไรอย่างนี้ค่ะ จะไม่ค่อยนั่งรถเข็น รถเข็นส่วนมากเพื่อนจะนั่งแทนค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนคาบ ก็จะนั่งรถเข็นค่ะ (หัวเราะ)
หนูจะพยายามปรับตัวนะคะ อย่างตอนแรกที่หนูเข้า ม.ปลาย หนูคิดว่าเพื่อนอาจจะเดินเข้ามาหาเราเอง แต่ว่าไม่เลยค่ะ ดังนั้น หนูเลยเข้าไปหาเพื่อนก่อน จำได้เลยว่าตอนนั้นเรียนวิชาพลศึกษาอยู่ ต่อจากวิชาพละคือจะเป็นพักกลางวัน หนูก็คิดแล้วว่าเราจะทำยังไงดี ซึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไปเรียนพร้อมกับหนู เขาค่อนข้างจะคุณหนูหน่อยๆ เขาจะไม่เข้ากับใครเลยค่ะ จะอยู่แต่กับแม่เขา ไปกินข้าวกับแม่เขา หนูก็คิดแล้วว่าเราจะมาอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เพราะว่าแม่ต้องทำงานด้วย สุดท้ายหนูก็ทักทายเพื่อนๆ เลยว่า “แกๆ ไปกินข้าวด้วยนะ” เพื่อนก็บอกว่า “ได้ดิ” เราก็เลยได้เพื่อนมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
เราต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อน อย่างตอนอยู่มูลนิธิศรีสังวาลย์ (โรงเรียนสอนคนพิการโดยเฉพาะ) หนูอาจจะเด่น เพราะหนูจะทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ แต่พอมาอยู่โรงเรียนปกติ เราอยู่ระดับล่างเลยนะคะ เราไม่ได้เด่น ก็เลยต้องอาศัยเข้าหาเพื่อนๆ ก่อน เข้าหาแรกๆ ก็ไม่ยากนะคะ เพราะหนูคิดว่าหนูปกติ แรกๆ ก็ยังไม่ได้มีกลุ่มอะไร เพราะหนูจะไปทั่วเลย แต่หลังๆ ก็ได้กลุ่มเพื่อนมา ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มก็มี 8 คนค่ะ
ตอนแรกแม่ก็ไปเฝ้าที่โรงเรียนนะคะ แม่อยู่ที่โรงเรียนครึ่งวัน แต่เพื่อนก็บอกแม่ว่าแม่ไม่ต้องเฝ้านะ เดี๋ยวพวกหนูดูเอง ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็ไม่ได้มาเฝ้าอีกเลยค่ะ ซึ่งแม่ก็ให้เงินเพื่อนๆ นะคะ แต่เพื่อนๆ ก็ไม่เอา ไม่มีใครเอาอะไรเลย
คุณแม่ : แม่กล้าปล่อย เพราะไปเห็นเพื่อนๆ เขาดูแลดี ถึงเวลาเลิกแถวเพื่อนก็จะรับขึ้นห้อง แม่ก็สบายใจ ก็เลยถามเพื่อนเขาว่าเขาเอาน้องฝ้ายเข้าห้องน้ำได้ไหม เขาก็บอกเอาเข้าได้แม่ เราก็เลยโล่งใจ เพราะที่แม่ต้องไปเฝ้า แม่กลัวเขาปวดท้อง กลัวไม่มีใครพาเขาเข้าห้องน้ำ แต่พอเพื่อนเขาบอกทำได้ แม่ก็สบายใจ ทำงานได้ปกติ
น้องฝ้าย : เพื่อนช่วยเหลือหนูทุกอย่าง เช่น ไปซื้อข้าวให้เพราะว่าถ้าไปซื้อเองจะค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีเด็กปกติเยอะ คือพักกลางวันจะพักพร้อมกันหลายชั้น เด็กก็จะเยอะ หนูก็เลยจะมีหน้าที่นั่งเฝ้าโต๊ะให้เพื่อนซื้อให้ พอกินข้าวเสร็จ เพื่อนก็จะพาเข้าห้องน้ำค่ะ คือถ้าหนูต้องการเข้าห้องน้ำ ก็จะบอกเพื่อนว่าพาไปหน่อย เพื่อนก็จะพาไปตลอด เขาก็จะบอกว่าไม่ต้องบอกหรอก เราไปอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้ค่ะ (หัวเราะ)
อย่างล่าสุดหนูติด 0 วิชาคณิตศาสตร์ เพื่อนก็พาไปสอบซ่อม พาไปหาอาจารย์ พาไปติดต่อห้องวิชาการ คือเราจะไปกันเป็นกลุ่มๆ เวลาไปไหนก็จะไปกัน อย่างไปเที่ยวเพื่อนก็จะชวนไปนะคะ มีวันหนึ่งไปให้อาหารปลาที่วัดสลักเหนือ หนูก็ได้ไปด้วย ชวนไปกินนู่นกินนี่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ ค่ะ
• แล้วด้วยสภาพร่างกายมีผลอะไรต่อการเรียนบ้างไหมคะ
น้องฝ้าย : ก็มีนะคะ อย่างหน้าหนาวปีที่แล้วจะมีช่วงหนึ่งที่หนาวมากๆ แล้วหนูก็ไอติดต่อกันเป็นเดือน ไม่ได้ไปหาหมอเลย ทำให้ปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบก็เลยต้องหยุดเรียนเข้าโรงพยาบาล แล้วก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นนักศึกษาฝึกสอนเขาไม่รู้ เขาบอกว่าหนูไม่ได้เข้าเรียนวิชาเขาเลย เทอมที่แล้วหนูเรียนแอโรบิกแล้ว หนูไม่ได้เต้น ซึ่งอาจารย์ไม่ทราบ เพราะเขาเป็นอาจารย์นักศึกษา ไม่ใช่อาจารย์เก่าแก่ เพราะถ้าเป็นอาจารย์เก่าแก่จะรู้ว่าถึงหนูไม่ได้เต้น เขาจะเช็กชื่อให้ แต่อาจารย์ฝึกสอนไม่ทราบเลยจะเช็กชื่อเฉพาะคนที่สอบเต้น ถามว่าเข้าไหม หนูเข้าตลอดนะคะ หนูเลยได้ มส.กับ 0 มา
ช่วงหลังๆ อาจารย์ก็เริ่มรู้ ก็ให้เราทำงานส่ง แล้วก็มีช่วง ม.5 เทอมแรกที่ติด 0 วิชาคณิตศาสตร์ คือหนูจะไม่ค่อยเก่งวิชานี้ หนูจะถนัดทางด้านภาษามากกว่า ก็เกรดตกลงมาบ้างเพราะอาการป่วย ทำให้เรียนไม่ทัน ส่งงานไม่ทัน เนื่องจากบางวิชาจะให้เขียนงานเป็นเล่มๆ แต่หนูจะนั่งเขียนนานๆ ไม่ได้ เพราะว่าหลังหนูคด ต้องไปบอกอาจารย์ อาจารย์ก็จะให้เกรดตามงานที่หนูส่ง ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประมาณนี้ค่ะ
• เห็นว่าความฝันสูงสุดคือเรียนต่อมหาวิทยาลัยใช่ไหมคะ
น้องฝ้าย : ใช่ค่ะ เป้าหมายหนูอยากเรียนจบปริญญาตรี อยากรับปริญญา ม.ปลายหนูก็เลือกเรียนทางด้านภาษา เลยเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนปากเกร็ด เพราะหนูมีความฝันว่าอยากจะเรียนคณะนิเทศศาสตร์ อยากเรียนการแสดง อยากเป็นพิธีกร อยากทำงานในวงการ หนูชอบทางด้านนี้มากค่ะ
• เป็นคนหนึ่งที่ถึงแม้จะขาด แต่ก็มีความฝันและไม่ย่อท้อกับชีวิตเลย เพราะนอกจากเรื่องอยากเรียนสูงๆ แล้ว ยังสามารถหารายได้จากการรับรีวิวแต่งหน้าด้วย
น้องฝ้าย : ใช่ค่ะ มีช่วงหนึ่ง คุณพ่อป่วยและคุณแม่ต้องทำงานคนเดียว ตรงนี้ก็มีส่วนที่ทำให้หนูอยากช่วยแบ่งเบาภาระ งานหนึ่งก็ได้ประมาณหลักพัน ตรงนี้มันเริ่มมาจากที่หนูทำเล่นๆ เพราะเห็นว่าบล็อกเกอร์หลายคนลงคลิปแต่งหน้าซึ่งเขาก็ใช้มือแต่งหน้า หนูเลยคิดว่าเราลองใช้เท้าแต่งบ้างดีกว่า ก็เลยลองทำและลงคลิปดู
• ใช้เท้าแต่งหน้า? ฝึกฝนยังไง เพราะไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะคะ
น้องฝ้าย : ตอนแรกก็ไม่เก่งเลยนะคะ ตาเหมือนโดนต่อยมา คิ้วก็โก่งเป็นสะพานพระราม 8 พระราม 9 ตอนแรกก็แต่งได้ไม่โอเคเท่าไหร่ ก็ต้องอาศัยฝึกฝนไปเรื่อยๆ หนูจะชอบดูคลิปของบิวตี้บล็อกเกอร์ฝรั่ง เขาก็จะมีวิธีการเขียนคิ้วที่ละเอียดมาก แล้วพอหนูดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มซึมซับ ตอนนี้หนูก็จะชอบแต่งสาย ฝ.(สายฝรั่ง) อย่างการคอนทัวร์หน้า การเบรนหน้า การไฮไลต์จมูกจะทำยังไงให้โด่ง หรือการคัดเบ้ายังไงให้สวย คือเราก็จะฝึกฝนมาจากตรงนี้ค่ะ หนูจะชอบดูและทำตาม สมมติว่าวันนี้จะอัดคลิป ก็จะดูก่อน พอดูเสร็จก็จะลงมือแต่งเลย
การกรีดตาด้วยอายไลเนอร์กับติดขนตาเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับหนู ตอนแรกหนูนึกว่าเขียนคิ้วจะยากกว่า ที่ไหนได้ การเขียนคิ้ว ทาลิปสติก ทาแก้ม ทาตา จะง่ายที่สุด ตอนแรกหนูใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ตอนนี้ก็ใส่ได้
หนูจะชอบจำจากคลิป มีหลายคนบอกว่าไปเรียนมาหรือเปล่า ถึงทำได้ แต่หนูไม่ได้ไปเรียนเลยค่ะ ซึ่งจริงๆ มีโรงเรียนสอนแต่งหน้าของ sister makeup ที่น้องแพรพาเพลินไปเรียน ติดต่อมาจะให้หนูไปเรียน แต่โรงเรียนค่อนข้างไกลก็เลยไม่สามารถไปเรียนได้ ก็เลยจะอาศัยแต่งตามคลิปและแต่งกับตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการครีเอตเอาเองค่ะ ตอนนี้ฝีมือก็โอเคขึ้นจากตอนแรกๆ ถ้าวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็จะอยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ ขาดอีก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือกรีดอายไลเนอร์ ติดขนตาและเลือกรองพื้นต่างๆ
• กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง
น้องฝ้าย : กระแสตอบรับดีมากค่ะ มีคนเข้ามาชื่นชมให้หนูแต่งลุคนั้นลุคนี้ไปเรื่อยๆ หลายคนก็บอกให้หนูแต่งหน้าไปเที่ยวแล้วให้ได้ผู้ชายกลับบ้านหน่อยสิ อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่หนูก็ทำนะคะ พอทำแล้ว กระแสตอบรับก็ออกมาดี คือสไตล์หนูจะไม่ได้เรียบร้อยมาก เราก็จะเป็นสไตล์ของเราไป ซึ่งคนที่อายุมากหน่อยก็จะมองว่าไม่เหมาะสมเพราะเราเป็นเด็ก แต่อันนี้หนูถือว่าเป็นคาแรกเตอร์ของหนู คนที่มาจ้างหนูเพราะว่าหนูเป็นแบบนี้ สนุกสนาน ตลกเฮฮา เป็นตัวของตัวเองและรีวิวตามความรู้สึกจริง คนก็จะชอบกันค่ะ ก็เริ่มมีคนส่งเครื่องสำอางมาให้เยอะขึ้น เราก็เลยพัฒนาฝีเท้าตัวเอง ซึ่งพี่นุ่น นพลักษณ์ บิวตี้บล็อกเกอร์ก็ติดต่อมาบอกว่าอยากส่งเครื่องสำอางมาให้ เขาก็ส่งมาให้หนูกล่องใหญ่มากเลย แล้วพี่เขาก็แชร์คลิปหนู แฟนคลับของพี่เขาเห็น ก็เลยได้ไปออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ค่ะ หลังจากนั้นก็ได้ออกรายการเรื่อยๆ ล่าสุดก็เป็นรายการ ตีสิบ ค่ะที่ทำให้คนรู้จักเราเยอะขึ้น
• แบรนด์แรกที่เข้ามาจ้างรีวิว คือแบรนด์อะไร
น้องฝ้าย : cc คุชชั่นค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนวันสงกรานต์ เขาก็มาจ้างให้หนูทำคลิปแต่งหน้าเล่นน้ำสงกรานต์ยังไงไม่ให้หลุด หนูก็เอาสิ่งที่เขาส่งมา มารีวิวทำคลิปในแบบของเรา ส่วนแบรนด์ที่สองเป็นลิปสติกซึ่งเขาเห็นหนูจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เขาจ้างมาหลายพันอยู่นะคะ ให้เราแต่งหน้าวันฮัลโลวีน หลังจากนั้นก็มีเครื่องสำอางส่งมาให้รีวิวเรื่อยๆ แต่ว่าก็ไม่ถึงกับว่าเข้ามาเยอะ 1 เดือนก็จะมี 1-2 งาน ก็ยังถือว่าน้อยอยู่นะคะ หรือบางแบรนด์ก็มาถ่ายถึงที่บ้านก็มีค่ะ ซึ่งงานรีวิวตอนนี้ก็ยังรับอยู่ตลอด แต่ว่ารีวิวเครื่องสำอางต้องหน้าใส ต้องผิวใส งานถึงไม่ค่อยเข้า แต่ก็มีบางส่วนที่เขาอยากให้หนูรีวิวให้ ส่วนมากที่จ้างเข้ามาจะเป็นลิปสติกแบบแมตต์และเครื่องสำอางแบบปกปิดเพราะว่าหน้าหนูเป็นสิว ถ้าหนูใช้แล้วปกปิด คนก็จะซื้อตามค่อนข้างเยอะ ส่วนมากก็จะเป็นประมาณนั้นค่ะ
ล่าสุดหนูก็ลองขอสปอนเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Maybelline, ศรีจันทร์, คอลเลคชั่น, 4U2, Kate ด้วยนะคะ ซึ่งเขาก็ให้มา คือหนูไม่ได้หวังว่าจะได้เงินอะไร แต่หนูหวังแค่อยากได้สปอนเซอร์จากแบรนด์ใหญ่ๆ มาเพื่อพัฒนาตัวเอง และเพื่อให้ลูกค้าเห็นด้วยว่าเรามีแบรนด์ดังๆ นะ ซึ่งที่มาแบบปังๆ เลยจะเป็นตอนแบรนด์ของพี่ใบเตยอาร์สยามที่เขาส่งมาให้ ซึ่งเราก็ขอสปอนเซอร์ไปเหมือนกัน แล้วก็มีแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์ Sivanna ที่ได้ไปถ่ายแบบให้เขาด้วยและส่งของมาให้ทำคลิปให้ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ก็มีคนมาจ้างให้หนูแต่งหน้าให้นะคะ แต่ว่าหนูยังไม่รับงานนี้ เพราะว่ายังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหนูแต่งได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะรับแต่งค่ะเพราะการแต่งหน้าคนอื่นค่อนข้างยากกว่า กลัวว่าเขาจะไม่สวย แต่มีครั้งหนึ่ง หนูได้แต่งให้นักกีฬาฟุตซอลทีมชาติหญิงซึ่งพี่เขามาหาเราถึงบ้านเลยค่ะ เพราะพี่เขาเจอหนูในกลุ่มกลุ่มหนึ่งและอยากมาเจอ (ยิ้ม)
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานนี้ไปเรื่อยๆ อยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่ด้วย อยากมีงานเข้ามาเยอะๆ อยากให้มีคนจ้างงานเยอะๆ หนูไม่เกี่ยงงานค่ะ เพราะหนูอยากมีบ้านให้คุณพ่อคุณแม่อยู่ อยากให้เขาสบายขึ้น
• ดูเหมือนว่าศักยภาพของเราก็ไม่ด้อยไปกว่าคนปกติเลย ได้อะไรจากสิ่งที่ทำบ้าง
น้องฝ้าย : ตั้งแต่ทำงานรีวิวมา หนูก็ได้โอกาสอะไรหลายๆ อย่างเลยนะคะ อย่างเรื่องศัลยกรรมก็เหมือนกัน หนูก็ได้สิทธิทำจมูกฟรีจากคุณหมอ เดี๋ยวปิดเทอมหน้า คุณหมอจะให้ไปทำปากด้วยค่ะ ก็มีโอกาสดีๆ หลายๆ อย่างเข้ามาค่ะ แต่ถามว่ามีคนหลอกไหม ก็มีนะคะ เขาบอกว่าจะมารับไปถ่ายแบบเป็นสครับตัว แต่หนูก็งงว่าจะมาเอาหนูไปถ่ายจริงๆ เหรอ สครับต้องจ้างคนปกติที่ผิวดีๆ สิ เพราะเป็นงานโชว์ผิว ซึ่งเราก็มองว่าไม่ใช่แล้ว มันไม่ตรงกับคอนเซ็ปต์งาน เขาก็คุยงานกับคุณแม่เป็นกิจจะลักษณะ สุดท้ายถึงวันนั้นมีคนแฉเขาว่าเขาชอบหลอกคนไปทั่ว สุดท้ายเขาก็ไลน์มาหาว่าเขาติดธุระว่าเขามาไม่ได้ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเราเห็นที่เขาโดนแฉแล้วนะ อะไรแบบนี้ค่ะ (ยิ้ม)
• นอกเหนือไปจากสภาพร่างกายที่เราต้องฝึกฝนความสามารถแล้ว ตรงนี้ยังมีเรื่องของสภาพจิตใจด้วย แบบนี้มีวิธีสร้างกำลังใจให้กับตัวเองยังไงบ้างคะ
น้องฝ้าย : เราต้องออกมาจากจุดนั้น เราจะได้มีความสุข คือหนูจะยกตัวอย่างให้ฟังว่าตอน ม.1 ม.2 หนูได้ไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ของโครงการสมเด็จพระเทพรัตนฯ เขาก็จะเอาคนพิการที่อยู่ในโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนฯ มารวมกัน เป็นการเข้าค่าย แล้วก็มีคนหนึ่ง น่าจะอยู่ที่ศรีสังวาลย์ ขอนแก่น เขาเป็นเหมือนหนูเลยค่ะ แต่เขาจะเป็นหนักกว่าหนูก็คือขาเขาสั้นทั้งสองข้างเลย แล้วก็มีช่างภาพคนหนึ่งเขาจับภาพ หนูกับพี่คนนั้นก็เลยเอาขาจับกัน คนอื่นเขาจับมือกัน แต่เราเอาขาจับกัน ช่างภาพก็จับภาพนั้นพอดี ซึ่งหนูเห็นว่ารูปนั้นน่ารักดีก็เลยเอามาลงในเฟซบุ๊กแล้วแท็กหาพี่คนนั้น แต่พี่เขาบอกให้เราลบเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเขาไม่เคยถ่ายรูปเต็มตัว เขาไม่เคยให้ใครในเฟซบุ๊กรู้ว่าเขาพิการ แต่ส่วนตัวหนูมองว่าเราก็ต้องยอมรับไหมว่าเราพิการ อย่างตัวหนู รูปหนูทุกรูปในเฟซบุ๊ก หนูไม่เคยถ่ายแต่หน้าเลยนะคะ หนูจะถ่ายเต็มตัวตลอด เราต้องเปิดเผยแต่แรก เราจะรับมันได้
การที่หนูเป็นแบบนี้หนูว่ามันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวนะคะ เราไม่ต้องสนใจว่าเราจะเป็นยังไง เหมือนหนูไปถ่ายแบบของแบรนด์แบรนด์หนึ่ง เราต้องใส่เสื้อเกาะอก แม่บอกว่ามันเห็นหลัง มันไม่สวย ดูตัวอ้วน เพราะหลังหนูมันโก่ง แต่หนูก็บอกแม่ว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็เป็นเอกลักษณ์ของเรา ซึ่งหนูจะเฉยๆ ชิลๆ กับสิ่งที่เป็นอยู่มากๆ
ส่วนตัวหนูก็เคยโดนสังคมภายนอกมองเราเป็นตัวประหลาดก็มี อย่างเวลาที่หนูไปเที่ยวกับเพื่อน ไปห้างสรรพสินค้า ตอนไปแรกๆ ก็มีคนมองนะคะ ซึ่งทีแรกแม่ก็ไม่กล้าให้ไปคนเดียวเท่าไหร่ แต่หนูก็บอกว่าหนูอยู่ได้ พอไปก็เจอสายตามองประมาณว่าทำไมที่บ้านปล่อยให้มาคนเดียว แต่หนูก็ไม่ได้สนใจอะไร ซึ่งถ้าเราไม่สนใจ เราจะอยู่ในโลกภายนอกได้ แต่ถ้าเราเอาทุกคำพูด เอาทุกสายตาเก็บมาคิด เราจะอยู่ไม่ได้ เราต้องปล่อยมันไป
หรืออย่างมีครั้งหนึ่งไปทะเล ส่วนตัวหนูชอบแต่งตัว วันนั้นก็ใส่เสื้อเกาะอก นึกว่าแม่จะไม่ให้ใส่ แต่แม่ให้ใส่ แต่ให้เสื้อยีนส์คลุมทับ พอถึงทะเลก็ถอดเสื้อยีนส์ออก คนมองทั้งหาดเลยค่ะ หนูก็ถ่ายรูปของหนูไปชิลๆ ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็มีทหารที่หาดน้ำใสจำได้มาขอถ่ายรูปด้วย แต่ก็มีคนที่เขาไม่รู้จักเราด้วย เขาก็งงๆ ว่าเราเป็นใคร บางคนก็มองแบบเหยียดๆ ว่าเราแต่งตัวไม่ดูสภาพตัวเอง แต่เราก็ไม่สนใจอะไร (หัวเราะ) ซึ่งแต่ก่อนแม่จะไม่ให้แต่งตัวแบบนี้ จะให้แต่งตัวปิดๆ ตลอด แต่ว่าพอเราสามารถทำงานได้ ก็สามารถแต่งได้แล้วค่ะ (ยิ้ม)
คุณแม่ : แม่จะพยายามบอกเขาอยู่เรื่อยๆ ว่าช่างเถอะ ถ้ามีคนมอง ซึ่งถ้ามองมากๆ แม่ก็จะบอกว่าปล่อยเขามอง ไม่เป็นไรหรอก ฝ้ายสวยซะอย่าง ให้ลูกคิดแบบนี้ ไม่ต้องไปแคร์คน บางคนชอบถามว่าไม่อายเหรอ แม่ก็ไม่อายนะ ภูมิใจด้วยซ้ำ ในประเทศเราเด็กพิการค่อนข้างเยอะ น้องฝ้ายเป็นเด็กพิการเหมือนกัน แต่ว่าเขาก็เป็นจุดเด่นของคนอื่น
แม่ว่าบางคนเขาไม่รู้ เขาเห็นคนพิการก็จะมองว่าเราขังอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว เขาเห็นเราส่งลูกไปเรียน เขาก็จะบอกว่าจะส่งลูกเรียนไปทำไม ไม่สงสารตัวเองเหรอ ต้องมาลำบากส่งลูก แล้วไหนต้องไปทำงานอีก แต่ว่าเราเป็นแม่ เห็นลูกมีความสุข จะลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทนเอา หรือบางคนเขาเห็นเราอุ้มลูกไปหาหมอ เขาก็จะบอกว่าเป็นเวรกรรม เขาจะมองว่าเราไปทำบาปอะไรมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พ่อแม่ต้องมีบาปมีกรรมแน่ๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าเราทำบาปกรรมอะไรไว้ เพียงแต่ชาตินี้เราพยายามทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว แม่จะคิดและสอนให้ลูกคิดแบบนั้นมาตลอด
น้องฝ้าย : เพราะหนูมีกำลังใจจากพ่อแม่ มีกำลังใจจากไอดอลหลายคนเลยค่ะ อย่างพี่นุ่น นพลักษณ์ บิวตี้บล็อกเกอร์ พี่ตูน บอดี้สแลม โดยเฉพาะพี่ตูนหนูคลั่งพี่เขามากเพราะว่าพี่เขาฝากหมวกและเซ็นลายเซ็นมาให้ ซึ่งพี่ตูนก็จะให้กำลังใจอยู่ตลอด อย่างตอนที่หนูไปแข่งคอมพิวเตอร์ในโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนฯ พี่ตูนก็บอกให้หนูสู้ๆ ทำได้อยู่แล้ว ถ้าได้เหรียญมา ถ่ายรูปให้พี่เขาดูด้วยนะ ทำให้เรามีแรงฮึด ซึ่งไปแข่งมา หนูก็ได้ที่ 2 มาค่ะ อย่างมีครั้งหนึ่ง หนูก็ไปแข่งคัดลายมือระดับประเทศตอน ม. 3 แข่งกับเด็กพิการเหมือนกัน แต่เขาจะใช้มือกัน แต่หนูใช้เท้าเขียน ซึ่งหนูก็ชนะเลิศได้ที่ 1 ได้เหรียญทองมาค่ะ หนูก็แท็กรูปคล้องเหรียญให้พี่ตูนดู พี่ตูนก็บอกว่ามีรูปมุมเดียวกับพี่เลย และเคยถ่ายเกียรติบัตรให้พี่ตูนดู พี่เขาก็บอกว่าเก็บสะสมไปเรื่อยๆ นะ ซึ่งหนูก็ได้กำลังใจจากจุดจุดนี้เหมือนกันค่ะ
• ในฐานะที่เราถึงแม้จะมีร่างกายไม่ครบ 32 ประการ แต่สภาพจิตใจกลับเต็มร้อย ตรงนี้อยากให้ฝากให้กำลังใจคนพิการคนอื่นๆ ที่ยังท้อแท้ในชีวิตหน่อยค่ะ
น้องฝ้าย : บางคนก็คิดฆ่าตัวตาย อย่างมีคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของพี่สาวโดนรถทับขาขาด พิการทางอุบัติเหตุ ซึ่งพี่สาวให้หนูช่วยอัดคลิปให้กำลังใจเขาหน่อยเพราะเขารับไม่ได้ เขาอยากฆ่าตัวตาย ไม่ยอมมาเรียนเลย ไม่ไปไหน จะเก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด ซึ่งหนูก็ฝากบอกเขาว่าอย่าไปท้อ มีคนที่แย่กว่าเรา เป็นหนักกว่าเราอีกเยอะ อย่างตัวหนูเอง หนูว่าหนูเป็นหนักแล้วนะ แต่ก็ยังมีคนที่เป็นหนักกว่าหนูก็ยังมี ทั้งพูดไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยก็มี แต่หนูยังทำนู่นทำนี่ได้ ยังไปเรียนได้ คนที่เขาไม่ได้มีโอกาสตรงนี้มีเยอะกว่า ให้มองว่าเรายังดีกว่าคนอื่น อย่าไปจมปลัก เราต้องลุกขึ้นและหาจุดเด่นให้กับตัวเอง เราถนัดอะไรให้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เราถนัด ถึงแม้ว่าเราจะขาดสิ่งที่เคยมีหรือควรมีไป เราก็ใช้สิ่งที่เราเหลือให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เหมือนหนูไม่มีแขนแต่หนูยังมีขาหนูก็ใช้ขาแทน เราอย่าไปนึกว่าเราพิการ เราทำไม่ได้ อย่าไปคิดอะไรแบบนั้น
• ท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงคนที่ยังมองว่าคนพิการไม่มีความสามารถบ้างไหมคะ
น้องฝ้าย : หนูว่าคนแบบนี้เขายังไม่เปิดโลก หลายๆ คนจะบอกว่าคนพิการน่าสงสาร หนูไม่ชอบให้ใช้คำว่าสงสารนะคะ อย่าพูดคำว่าสงสาร เช่น เห็นว่าสงสารนะ ก็เลยให้เงินเพิ่ม แต่หนูอยากให้ใช้คำว่าต้องการความช่วยเหลือดีกว่า เพราะคนพิการเขาแค่ขาดหาย แค่ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือเป็นพิเศษแค่นั้นเอง คือคนปกติอาจจะเดิน แต่คนพิการก็นั่งรถเข็นก็แทนขาไป แค่อยากให้เปิดโอกาส มองเห็นถึงความสามารถของเรา เห็นโอกาสของเรา เพราะคนพิการก็เป็นคน มีหน้า มีตา หู จมูก ปากเหมือนกัน กินข้าวเหมือนกัน
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยตอนนี้ยังไม่มีรถเมล์สำหรับคนพิการ ยังไม่มีการเดินทางสำหรับคนพิการ สะพานลอยก็ยังเป็นสะพานลอยคนปกติซะส่วนใหญ่ คืออุบัติเหตุหรืออะไรที่เกี่ยวกับคนพิการค่อนข้างมีเยอะ ก็อยากให้สร้างทางลาดสำหรับคนพิการ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการให้มากขึ้นค่ะ อีกอย่าง ที่จอดรถสำหรับคนพิการก็กลายเป็นคนที่ใจพิการมาจอด ซึ่งหนูเจอแบบนี้มาแล้ว สุดท้ายหนูอยากให้คนในประเทศไทยยอมรับเราให้มากขึ้น เพราะว่าหลายๆ คนก็ยังไม่ยอมรับพวกเรา อยากให้หันมามองเห็นพวกเราค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย และ Facebook : buntida chinnawong