เมื่อพูดถึง “พระบรมรูปทรงม้า” ทุกคนจะนึกถึงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ซึ่งเป็นวันวางพวงมาลาที่พระบรมราชานุสรณ์แห่งนี้ เนื่องในวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราช
แต่ที่จริงแล้ววันสำคัญของพระบรมรูปทรงม้าก็คือวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเปิดและมีการสมโภชติดต่อกัน ๓ วัน ๓ คืน
อนุสาวรีย์ทั่วไป จะสร้างเมื่อบุคคลที่เป็นอนุสาวรีย์ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่พระบรมรูปทรงม้าเป็นพระราช ดำริในพระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราชเอง และลงมือสร้างในขณะที่พระองค์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ โดยเสด็จไปประทับเป็นหุ่นปั้นที่ประเทศฝรั่งเศส และเสด็จมาทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง
ต้นเหตุที่จะสร้างพระบรมรูปทรงม้านี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์เล่าไว้ว่า
“พระบรมรูปทรงม้านั้นเกิดแต่กรณี ๒ เรื่องประกอบกัน กรณีที่ ๑ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จไปยุโรปครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เวลานั้นทรงสร้างถนนราชดำเนินเสร็จแล้ว และได้ลงมือสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ทั้งคิดแผนผังสนามใหญ่เชื่อมถนนราชดำเนินกับบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคมแล้ว
กรณีที่ ๒ เวลานั้นยังอีกปีเศษจะถึงอภิลักขิตมงคลซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินนับได้ ๔๒ ปี รัชกาลยืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นบรรดาได้ปกครองประเทศสยามแต่ปางก่อนทั้งสิ้น กำหนดว่าจะมีการสมโภชน์เป็นการใหญ่ ดำรัสสั่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ให้ทรงปรึกษากับเสนาบดี คิดกะโครงการพิธีรัชมังคลว่าจะทำอย่างไรเสียแต่ในเวลาเสด็จไม่อยู่ แล้วกราบทูลไปอย่ารอให้เสียเวลา”
ในการจัดงานเฉลิมฉลองและสร้างสนามใหญ่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเชื่อมกับถนนราชดำเนินนี้ คณะกรรมการฯได้บอกบุญเรี่ยไรให้ราษฎรร่วมบริจาคด้วย แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะสร้างสิ่งใด ก็พอดีมีโทรเลขจากยุโรปแจ้งมาว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จทอดพระเนตรพระราชวังแวร์ซายส์ที่ฝรั่งเศส ทรงสนพระทัยพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่ทรงม้าอยู่ลานหน้าพระราชวัง ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงเล่าถึงตอนนี้ว่า
“ในเวลาเมื่อกำลังบอกบุญอยู่นั้น ได้ทราบข่าวมาแต่ยุโรปว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตรวังเวอซายในประเทศฝรั่งเศส โปรดพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงม้าหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ อันตั้งไว้ในลานข้างหน้าพระราชวัง ทรงปรารภว่า ถ้ามีพระบรมรูปของพระองค์ทรงม้าตั้งไว้ในสนามที่ถนนราชดำเนินต่อกับบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม จะเป็นสง่างามดีเหมือนเช่นเขามีกันตามประเทศต่างๆ ในยุโรป สืบราคาสร้างพระบรมรูปเช่นนั้นราว ๒๐๐,๐๐๐ บาท ได้ข่าวที่กล่าวมาประจวบเวลากับที่ได้เค้าว่ามีคนยินดีถวายเงินเฉลิมพระขวัญแพร่หลายจะได้เงินมาก ที่ประชุมเสนาบดีจึงลงมติแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกราบทูลขอถวายพระบรมรูปทรงม้านั้นเป็นของประชาชนชาวสยาม สนองพระเดชพระคุณในงานรัชมงคล ก็โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต จึงเกิดมีพระบรมรูปทรงม้าขึ้นด้วยประการฉะนี้”
เมื่อตกลงจะสร้างพระบรมรูปทรงม้าแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ยังคงประทับอยู่ในฝรั่งเศส จึงได้ทรงเลือกจ้างบริษัท ซูส เฟรส ฟองดูรส์ เป็นผู้หล่อ และเสด็จไปที่บริษัทในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๕๐ เพื่อให้ช่างถ่ายรูปเป็นต้นแบบปั้น ทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานมายังสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอู่ทองขัตติยนารี ราชเลขาธิการฝ่ายใน มีความตอนหนึ่งว่า
“เวลาบ่าย ๔ โมงจึงได้ออกจากสถานทูตไปถ่ายรูปก่อน การถ่ายรูปนี้ก็เพื่อจะทำสเตชซู เขาขอให้ถ่ายสี่ด้าน และอยากจะให้แต่งยูนิฟอร์มใหม่ แต่ผเอินยูนิฟอร์มไม่อยู่หมด เขาเอาไปทำตัวอย่างตัดยูนิฟอร์มใหม่ เหตุด้วยของเก่านั้นคับใช้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอ้วนอย่างเดียว เพราะเสื้อในหนาด้วย ที่ซึ่งถ่ายรูปนี้ ถ้าถ่ายในเมืองแล้วอาการหนัก ไปเห็นที่สตราสเบิคมันถ่ายอยู่ชั้นยอด ได้ออกปากแล้วว่าอ้ายนี่ขืนให้ขึ้นไปถ่ายรูปไม่ถ่ายจริงๆ แต่ที่ไหนวันนี้ถูกเหมือนกันกับที่ว่าจะไม่ถ่ายนั้นเอง มันขึ้นไปอยู่ถึงชั้น ๗ นับแต่ชั้นพื้นขึ้นไปเป็นชั้นหลังคา เพราะความจริงถ้าจะไม่ขึ้นไปอยู่เช่นชั้นนั้นไม่มีแดด แต่รอดตัวที่มีลิฟต์ขึ้นตั้งแต่ชั้นพื้นดินทีเดียวตลอดถึงชั้น ๗ ดุ๊กกับจรูญไปด้วย ถูกขึ้นกะไดเกือบตาย ถ่าย ๔ ด้านแล้วเขาขอถ่ายสำหรับร้านเองต่างหากด้วย”
พระบรมฉายาลักษณ์ที่ถ่ายครั้งนั้น ทรงฉลองพระองค์ในเครื่องแบบจอมพลทหารบก ทรงคทาช้างสามเศียร สวมพระมาลาประดับขนนก ทั้งในท่ายืนและนั่ง
นอกจากนี้ยังเสด็จไปที่สตูดิโอมากอตตี เพื่อให้นายคาโรรัส ดูรัง ช่างเขียนชาวฝรั่งเศส เขียนภาพในฉลองพระองค์ชุดเดียวกับที่ทรงถ่ายเพื่อปั้นพระบรมรูปทรงม้า ทรงมีพระราชหัตถเลขา ตอนหนึ่งว่า
“...ความจริงเขาเขียนด้วยความกล้าเป็นอันมาก ตั้งใจจะอวดผีมือว่าช่างเขียนผู้อื่นจะทำได้โดยยาก ฤาทำไม่ได้ทีเดียว เพราะเลือกเอาสีเหลืองหมดทั้งแผ่น ดาดหลังก็ใช้กำมะหยี่สีเหลือง พื้นก็ใช้เหลือง เครื่องแต่งตัวครุยก็เป็นสีเหลือง สายตะพายและตราทั้งปวงก็เปนสีเหลือง ผิวหน้าก็เหลือง คงที่ตัดสีแต่กางเกงดำกับสีแดงที่หัวไหล่เท่านั้น แกอยากจะอวดเขามาก จึงขออนุญาตที่จะเอาไปตั้งในสะลองสัก ๗ วัน พ่อก็อนุญาต”
ส่วนทางด้านภาพปั้นพระบรมรูปทรงม้านั้น ได้ปั้นหุ่นจำลองขนาดเล็กแล้วขยายเป็นขนาดใหญ่ ทรงเสด็จไปเป็นแบบให้นายช่างปั้นหุ่นเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ดังมีพระราชหัตถเลขาเล่าว่า
“...วันนี้ไม่เปนอันที่จะทำอะไร ได้เร่งการอะไรที่คั่งค้างเล็กๆ น้อยๆ แต่มันหลายอย่างเข้ามันก็เลยมาก แล้วต้องมานั่งให้ช่างปั้นรูปจนกระทั่งบ่าย ๕ โมงจึงออกจากเรือนไปดูรูปม้าที่ช่างปั้นจะทำรูป ทางอยู่ข้างจะไกล ไปด้วยรถโมเตอร์คาร์ ทางแขวงมองต์ปาร์นัสส์ ซึ่งเปนตอนที่คนจนอยู่ ที่ซึ่งช่างปั้นอยู่นั้นเขาเรียกว่าถนนช่าง มีช่างเขียนช่างปั้นอยู่แถบนั้น โดยมากเปนที่เงียบ โรงที่ปั้นนั้นลึกเข้าไปจากถนนใหญ่อีกชั้นหนึ่ง เขาปั้นม้างาม แต่รูปข้างบนนั้นใช้ไม่ได้ ผอมด้วยเอารูปคิงออฟสเปนมาเปนตัวอย่าง ในเรื่องปั้นรูปยังไม่เปนการเลย ทั้งรูปสำหรับจะขี่ม้าแลรูปที่สำหรับจะหล่อเล็กๆ เรื่องปั้นรูปนี้จะทำตามรูปถ่ายไม่ได้เปนอันขาด เพราะรูปปั้นมันนูนขึ้นมาไม่พอ รูปเล็กที่ทำไว้แบนไปหมด รูปใหญ่แก้มตอบแลเหี่ยวเปนกลีบๆ ปากตุ่ยๆ แต่ช่างปั้นมันดีเสียจริงๆ พอพ่อลงไปนั่ง ฉวยดินปับก็แตะหัวก่อน แก้หัวเสร็จแล้วจึงมาแก้น่า ถมแก้มที่ลึกให้ตื้น ปะขมับที่ทำรัดไว้ให้นูนขึ้น ลดกลีบ น่าแก้คิ้ว ที่ประดักประเดิดมากอยู่ที่ปาก เมื่อแรกพ่อ
ออกจะฉุนๆ ว่าต้องไปนั่ง แต่พอเห็นมันแตะเข้าสองสามแตะก็รู้ทีเดียวว่ามันดี เลยหายฉุน นั่งดูเพลิน เขาขอชั่วโมงเดียว พ่อนั่งให้กว่า ๒ ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอาดีไม่ได้ เวลาไม่พอต้องมาทำที่ฮอมเบิคต่อไปอีก แต่รูปม้านั้นทีเดียวได้เพราะมีตัวอย่าง รูปปั้นพ่อออกจะยอมเสียแล้วว่าฝรั่งเศสไวกว่าอิตาเลียนมาก ฝีมือที่ทำมันเล่นข้างเหมือนมากกว่าอิตาเลียน อิตาเลียนเล่นข้างขาดัดจริต...”
พระบรมรูปทรงม้านี้หล่อด้วยทองบรอนซ์หรือที่เรียกว่าสัมฤทธิ์ ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริงเท่าครึ่ง ม้าพระที่นั่งยืนอยู่บนแท่นโลหะทองบรอนซ์เช่นกันหนา ๒๕ เซนติเมตร ส่วนฐานเป็นแท่นหินอ่อนสูง ๖ เมตร กว้าง ๒.๕ เมตร ยาว ๕.๕ เมตร และยังมีแท่นโลหะที่รองรับฐานนี้อีก กว้าง ๓.๕ เมตร ยาว ๖.๕ เมตร ส่วนบนของฐานประดับขอบโลหะเป็นลวดลายจักรี คือตราจักรกับตรีศูล อยู่ระหว่างลายใบไม้ประกอบเครื่องเถาอย่างฝรั่ง โดยมีรูปราชสีห์ และคชสีห์ หันหน้าออกปกป้องคุ้มครองตราจักรี ตอนล่างของฐานหินอ่อน หล่อเป็นฐานบัวคว่ำอย่างฝรั่งมีลายใบเทศประกอบสวยงาม รอบฐานหินอ่อนนี้มีเสาโลหะทรงสี่เหลี่ยม ๑๐ ต้นล้อมอยู่ โยงถึงกันด้วยโซ่ขนาดใหญ่ หน้าเสามีตราแผ่นดินประดับอยู่
ที่ฐานด้านขวา มีอักษรจารึกชื่อช่างปั้น และช่างหล่อไว้ว่า
C. MASSON SEULP 1908 G. Paupg Statuare
ด้านซ้ายเป็นชื่อบริษัทที่ทำการหล่อ คือ SUSSE Fres Fondeurs. PARIS
แท่นหินอ่อนด้านหน้ามีแผ่นโลหะจารึกอักษรภาษาไทยติดอยู่ มีข้อความเฉลิมพระเกียรติยศ
เมื่อบริษัทได้หล่อพระบรมรูปทรงม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำส่วนต่างๆ บรรจุในลังไม้ขนาดใหญ่ส่งมาทางเรือ และส่งช่างมาดำเนินการประดิษฐานให้ด้วย แล้วเสร็จทันกำหนดเปิดในวันพระราชพิธีสมโภชพระบรมรูปทรงม้าในวันพุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิดพระบรมรูปแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง
แม้พระบรมรูปทรงม้าจะมีพระราชพิธีเปิดในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง ๒ ปี วันสำคัญของพระบรมราชานุสรณ์แห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคม เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พสกนิกรจึงได้ถือเอาวันนี้เป็นวันระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และนำพวงมาลามาวางสักการะ ณ พระบรมรูปทรงม้า ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน