xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนอดีตพระราชประเพณีลอยกระทง ๓ คืน! ๑๔ ค่ำเครื่องเขียว ๑๕ ค่ำเครื่องขาว แรมค่ำ ๑ เครื่องแดง!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


ในวันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายนนี้ ได้เวียนมาบรรจบเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๑๒ อีกครั้ง ซึ่งจะวันลอยกระทงในฤดูน้ำหลาก ประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี และไม่ใช่เป็นแค่ประเพณีรื่นเริงของราษฎรเท่านั้น แต่ยังเป็นพระราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงลอยด้วย ในกรุงรัตนโกสินทร์สมัยก่อนไม่ได้ลอยกันแค่คืนเดียว แต่ลอยถึง ๓ คืนติดต่อกันเลย

ในหนังสือ “พระราชประเพณีสิบสองเดือน” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงพระราชพิธีลอยพระประทีปไว้ว่า

“การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เปนนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับเปนพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคำว่าลอยโคมลงน้ำเช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเปนพระราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ...”

และกล่าวถึงที่มาของการลอยกระทงไว้ว่า

“ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเปนท้าวสนมเอกแต่ครั้งพระเจ้าอรุณมหาราช คือพระร่วง ซึ่งเปนพระเจ้าแผ่นดินสยามตั้งแต่ตั้งอยู่ ณ เมืองสุโขทัย ได้กล่าวไว้ว่าในฤดูเดือนสิบสองเปนเวลาเสด็จลงประพาสในลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอัครมเหสีและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรการนักขัตฤกษ์ ซึ่งราษฎรเล่นในแม่น้ำตามกำหนดปี เมื่อนางนพมาศได้เข้ามารับราชการจึงได้คิดอ่านทำกระทงถวายพระเจ้าแผ่นดิน เปนรูปดอกบัวและรูปต่างๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล และคิดคำขับร้องขึ้นขับถวายให้พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระราชดำริจัดเรือพระที่นั่งเทียบขนานกันให้กว้างใหญ่ สำหรับพระสนมฝ่ายในจะได้ตามเสด็จประพาส ...”

ในหนังสือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระสนมเอกในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาธิราชที่ ๑ หรือพญาลิไท กล่าวว่า พระสนมเอกได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทนำไปถวาย ด้วยเป็นดอกบัวชนิดเดียวที่บานกลางคืนเพียงปีละครั้งในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง เมื่อพระร่วงเจ้ารับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชดำรัสว่า

“แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัติฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน”

ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวไว้ว่า

"ครั้นมาถึงเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรงพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง ๘ ศอกบ้าง ๙ ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด ๑๐ ศอก ๑๑ ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง ๔ บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง ๒๐ ชั่งบ้าง ย่อมกว่า ๒๐ ชั่งบ้าง กระทงนั้นวัน ๑๔ ค่ำ เครื่องเขียว วัน ๑๕ ค่ำ เครื่องขาว แรมค่ำ ๑ เครื่องแดง ดอกไม้สดก็เลือกหาตามสีกระทง และมีจักรกลต่างกันทุกกระทง มีมโหรีขับร้องอยู่ในกระทงนั้นก็มีบ้าง เหลือที่จะพรรณนาว่ากระทงท่านผู้นั้นทำอย่างนั้นๆ คิดดูการประกวดประขันกัน จะเอาชนะกัน คงวิเศษต่างๆกัน เรือมาดูกระทงตั้งแต่บ่าย ๔ โมง เรือชักลากกระทงขึ้นไปเข้าที่บ่าย ๕ โมง เรือเบียดเสียดกันแน่นหลีกไม่ใคร่จะไหว ดูเป็นอัศจรรย์..."

รุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๖๙ เมื่อโปรดให้ทำอีก ยิ่งงดงามวิเศษยิ่งขึ้น ทรงทราบว่าต้องลงทุนมากมาย จึงมีพระราชดำรัสว่า

“ลงทุนรอนมากมายหนักหนา ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าให้ทำอีกเลย”

จะเห็นว่าในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้น พระราชพิธีลอยกระทงเอิกเกริกมาก และลอยกันถึง ๓ คืน ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ และที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ยังรักษาพระราชพิธีลอยพระประทีป แต่ใช้แต่งเรือเป็นกระทง และไม่มีพิธีเอิกเกริกเท่ารัชกาลที่ ๓

ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ได้เล่าไว้ในหนังสือ “พระราชประเพณีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงมีพระราชปรารถว่า การลอยพระประทีปนี้เป็นประเพณีนิยมสืบมาแต่โบราณกาล ไม่ควรจะให้เสื่อมหายไป เพราะเป็นนักขัติฤกษ์ประชุมพร้อมเพรียงกัน และเป็นเครื่องบำรุงความคิดสติปัญญาฝีมือในการช่าง จึงโปรดเกล้าฯให้มีการลอยพระประทีปตามพระราชประเพณีกลางเดือน ๑๒ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำด้วย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๐-๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๕๘

ในครั้งนั้นพระบรมวงศานุวงศ์ต่างจัดทำเรือกระทงถวาย โดยถ่ายแบบมาจากเรือที่ใช้ในพระราชพิธี เช่น เรือเอกชัย เรือสุพรรณหงส์ เรืออนันตนาคราช เป็นต้น ส่วนกองทัพเรือก็จัดเรือกระบวนเข้าสมทบ

สถานที่ลอยพระประทีปในรัชกาลนี้คือท่าวาสุกรี โดยเสด็จลงยังแพหลวงที่จอดไว้เป็นที่ประทับแรมเวลาน้ำเหนือหลาก ส่วนเรือประกอบพิธีก็มี เรือกลองแขก เรือเครื่องดนตรีประโคม เรือดอกไม้เพลิง

ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงประทับพระตำหนักแพในเวลา ๔ ทุ่มเศษ เสด็จออกทรงลอยพระประทีป กองทหารกระทำวันทยาวุธ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พนักงานกลองแขกและพิณพาทย์เครื่องดนตรีประโคมตลอดเวลาลอยพระประทีป ทรงจุดเทียนนมัสการที่เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ซึ่งประดิษฐานพระไชยวัฒนประจำรัชกาลในบุษบก และเทียนเครื่องกระทงในเรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชย เป็นเรือกระทงหลวง แล้วทรงจุดเทียนเรือกระทงของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ซึ่งแต่งประดับประดาอย่างสวยงามทำขึ้นถวาย ปล่อยลอยไปตามกระแสน้ำจนหมดแล้ว จึงทรงจุดดอกไม้เทียนเป็นสำคัญ เจ้าพนักงานจึงจุดดอกไม้เพลิงถวาย ประทับทอดพระเนตรจนล่วงเข้า ๒ นาฬิกาของวันใหม่จึงเสด็จกลับ

ในวันที่ ๒๑ และ ๒๒ ก็เสด็จพระตำหนักแพ ทรงจุดพระประทีปลอยกระทงเหมือนวันแรก และในวันที่ ๒๑ ซึ่งเป็นวันเพ็ญนั้น ได้เสด็จพระราชดำเนินลงเรือพระที่นั่งแก้วชิงดวง ออกไปกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทรงตักน้ำเพ็ญไว้สำหรับใช้ในการพระราชพิธีต่างๆด้วย

ในรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงลอยพระประทีปตามโบราณประเพณีตลอดมา เช่นเดียวกับที่ราษฎรทั่วไปลอยกัน ไม่ได้มีพิธีเอิกเกริกมโหฬารอย่างแต่ก่อน ตามที่ได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์มาเสนอในครั้งนี้

ในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ วันลอยกระทง ยังมีความเชื่อกันว่า ถ้าได้อาบน้ำเพ็ญในเวลาเที่ยงคืนแล้ว จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการลอยกระทง มีหลายอย่าง เช่น

เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับไว้ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที ในอินเดีย

เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่ได้ใช้น้ำดื่มกิน และทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ

เป็นการลอยความทุกข์ ความโศก รวมทั้งโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับสายน้ำ
ชาวภาคเหนือเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ซึ่งมีตำนานว่า พระอุปคุตมีบารมีปราบพญามารได้

ในปีนี้ เราคงจะต้องอธิษฐานในการลอยกระทงขอให้ความทุกข์โศกลอยไปกับสายน้ำ แล้วหลอมหัวใจกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อทำความดีให้แผ่นดินตามรอยเท้าพ่อ ที่ทรงมุ่งมั่นให้ประเทศไทยมีแต่ความสุข มีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์


กำลังโหลดความคิดเห็น