โรงพยาบาลพนมสารคาม ชี้แจงข้อเท็จจริง จบดรามาสาวโพสต์ข้อความกล่าวหา “ไม่ทำคลอดให้เพราะไม่มีหมอ” ผู้โพสต์รับผิด ไม่ได้ไปกับผู้ป่วยและไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ญาติเล่าให้ฟังอารมณ์ขึ้นเลยโพสต์ไปต่างๆ นานา โชคดีทางโรงพยาบาลไม่เอาเรื่อง
วันที่ 23 ต.ค. เฟซบุ๊กเพจ “โรงพยาบาลพนมสารคาม” ได้ชี้แจงเพิ่มเติม จากกรณีมีการโพสข้อความจาก “ญาติผู้ป่วย” ที่มารับบริการที่โรงพยาบาล ซึ่งมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสีย โอกาสถูกเข้าใจผิด อีกทั้งทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานเสื่อมเสีย/ท้อแท้ในการทำงาน และมีการแชร์ส่งต่อกัน
ข้อความต้นเรื่อง “ว่าด้วยเรื่องโรงพยาบาลพนมสารคาม คนเจ็บท้องน้ำเดินไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลพนม ช่วงเวลา 00.00 น. พยาบาลบอกไม่ทำคลอดให้ เพราะไม่มีหมอ..แม่ตัวใหญ่ คลอดเองไม่ได้ ต้องผ่า ผ่าก้อผ่า..พยาบาลบอกอีกรอบ ก้อไม่มีหมอ ให้ไปโรงบาลอื่น...เรื่องของเรื่อง ต้องไปเอง โรงบาล ไม่ส่งตัวไปให้..ณ.จุดนั้น น้ำเดิน น้ำคร่ำแตก จนละหมดละ..ผลสุดท้ายขับรถไปคลอดลูกเอง..ที่โรงบาลเมือง..เด็กออกตอนตี 3 ช่วงเวลาที่คุยก่ะหมอที่ รพ.พนม ก้อเกือบ ครึ่ง ชม. ถ้าไม่มีหมอ จะเปิด ทำซากอะไร!! ถ้าคนใกล้จะคลอดจิงๆ หัวเด็ก โผล่ออกมาแล้ว เมิงจะทำไง (แม่งเป็นโรงพยาบาล ที่โคตร...มากๆๆ) สัญชาตญาณความเป็นผู้บริการ เมิงไม่มี ..กุรุ้เลยเพราะเจอมาก่ะตัวเอง”
ทางโรงพยาบาลหลังจากทราบข่าวก็สืบค้นหาความจริง ทั้งพยานหลักฐานทางเวชระเบียน พยานบุคคล และกล้องวงจรปิด มีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
1. ผู้โพสต์ไม่ได้ไปกับผู้ป่วย และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
2. ไม่มีแพทย์ในโรงพยาบาล??? จากข้อความ “คนเจ็บท้องน้ำเดินไปคลอดลูกช่วงเวลา 00.00 น. พยาบาลบอกไม่ทำคลอดให้ เพราะไม่มีหมอ” ข้อเท็จจริง คือ ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลเวลา 00.55 น. พยาบาลและเจ้าหน้าที่ห้องคลอดได้มีการซักประวัติและตรวจหน้าท้องและปากมดลูก และมีการรายงานแพทย์เวรมาตรวจประเมินซ้ำและรายงานอาการผู้ป่วยสูติแพทย์ เวลา 1.10 น. (จากภาพวงจรปิด แพทย์มาตรวจอาการระบุเวลา 1.03 น.) ซึ่งทางโรงพยาบาล “มีแพทย์เวรประจำตลอด 24 ชม.” ซึ่งมีทั้งแพทย์เวรใน และแพทย์เวรปรึกษาเฉพาะทางด้าน สูติกรรม กุมารเวชกรรม ศัลยกรรม และอายุรกรรม จากภาพวงจรปิด แพทย์เวรได้ไปตรวจรักษาคนไข้ และใส่ชุดกาวน์ขาว ปักชื่อแพทย์ ซึ่งเป็นชุดมาตรฐานสำหรับแพทย์อยู่แล้ว ซึ่งไม่น่าทำให้สับสนว่าไม่มีแพทย์ได้
3. ต้องผ่าตัดคลอด??? เป็นความต้องการของผู้ป่วยและสามี ซึ่งทางทีมแพทย์เวรและพยาบาลห้องคลอด ได้มีการประเมินความก้าวหน้าของการคลอด ซึ่งผู้คลอดเคยผ่านการ “คลอดเอง” มาแล้ว 3 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งการรักษาเพื่อตรวจเลือดสำหรับมารดาที่มีภาวะความดันโลหิตสูง (แรกรับผู้ป่วยความดัน 160/100 มิลลิเมตรปรอท) ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอาการผู้ป่วยในขณะนั้น และการผ่าตัดต้องอยู่ในดุลพินิจของสูติแพทย์ และสุดท้ายผู้ป่วยไปคลอดที่โรงพยาบาลพุทธโสธรด้วยการ “คลอดปกติทางช่องคลอด” ไม่ได้ผ่าตัดคลอดแต่อย่างใด และใช้เวลารอคลอดเพียงชั่วโมงเศษๆ
4. ไม่ส่งต่อ ต้องไปเอง??? ข้อความ “โรงบาลไม่ส่งตัวให้” “ผ่าก็ผ่า ก้อไม่มีหมอ ให้ไปโรงบาลอื่น เรื่องของเรื่อง ต้องไปเอง” ทั้งนี้ เนื่องจากแพทย์เวรได้ทำการอธิบายผู้คลอดและสามีแล้ว และจากการประเมินไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด เนื่องจาก 3 ท้องแรกผู้ป่วยคลอดได้เอง และท้องนี้เป็นท้องที่ 4 ประเด็นนี้แพทย์เวรได้อธิบายสามีผู้คลอดแล้วว่าจะต้องรอดูอาการความก้าวหน้าเพื่อเข้าสู่ระยะของการคลอดเป็นระยะๆ และกรณีต้องใช้รถเพื่อส่งคนไข้ ต้องมี “ความสมเหตุสมผล” และมีความจำเป็นจริงๆ ที่โรงพยาบาลไม่สามารถให้การดูแลรักษาได้
ประกอบกับโรงพยาบาลต้องเตรียมรถส่งต่อไว้สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน...ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโรงพยาบาลใช้รถส่งต่อตามความต้องการของผู้ป่วยหมด (โดยไม่สนข้อบ่งชี้) แล้วมีผู้ป่วยที่ต้องการใช้รถจริงๆ เช่น อุบัติเหตุที่ต้องออกรับ ผู้ป่วยเจ็บแน่นหน้าอกที่ต้องออกรับ หรือผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดที่ต้องส่งต่อไปสวนหัวใจด่วน...โรงพยาบาลจะให้คำตอบกับกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้อย่างไร
อย่างไรก็ดี ทางโรงพยาบาลพนมสารคาม นำโดยคณะผู้บริหารได้เชิญผู้โพสต์ข้อความมาทำความเข้าใจ และชี้แจงข้อเท็จจริง เบื้องต้นผู้โพสต์ได้ลบข้อความที่เป็นประเด็นปัญหาแล้ว และจะโพสต์ขอโทษต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพนมสารคามเป็นโรงพยาบาลที่มุ่งเน้นพัฒนาการดูแลผู้ป่วย ให้มีศักยภาพ และผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย แต่ก็ต้องอยู่ในความถูกต้องและมาตรฐานวิชาชีพ ถ้ามีความบิดเบือนใดๆ ที่จะทำให้โรงพยาบาล และ/หรือผู้ปฏิบัติงานเสื่อมเสีย ทางโรงพยาบาลก็จำเป็นต้องดำเนินงานแก้ไขให้ถูกต้อง ทั้งทางด้านการชี้แจง และทางกฎหมายถ้าจำเป็น (มีความเห็นหลายส่วนจากผู้ปฏิบัติงานว่าทำไมไม่แจ้งความ เหมือนกรณีของโรงพยาบาลปลวกแดง ซึ่งทางคณะทำงานเห็นว่า ถ้าชี้แจง - ทำความเข้าใจแล้วจบด้วยดีทุกฝ่ายก็ยังไม่อยากแจ้งความ)
อยากให้เป็นบทเรียนของผู้โพส และผู้ที่ใช้สื่อ online ว่า การลงข้อมูลใดๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีความรู้ ใส่อารมณ์ และบางครั้งตั้งใจบิดเบือน ตอนนี้หลักฐานเชิงประจักษ์หลายอย่าง อาทิเช่น กล้องวงจรปิด และมี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่สามารถเอาผิดผู้ที่ลงข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และก่อความเสียหายกับบุคคล องค์กรได้