xs
xsm
sm
md
lg

งดงามด้วยธารน้ำใจ “ต่าย – สายธาร นิยมการณ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นับได้ว่าเป็นศิลปินนักแสดงที่มีจิตอาสาอีกคนหนึ่ง สำหรับ “ต่าย - สายธาร นิยมการณ์” นักแสดงสาว ที่มีอีกมุมหนึ่งคือการเป็นหนึ่งในอาสาสมัครของมูลนิธิร่วมกตัญญู ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและประสบภัยมานานกว่า 20 ปี

ชีวิตที่ผูกพันกับการเป็นจิตอาสา ทั้งจุดเริ่มต้นและผลลัพธ์จากการกระทำดังกล่าว ส่งผลอย่างไรกับชีวิตบ้าง และมีประสบการณ์จิตอาสาใดบ้างที่ฝังอยู่ในความทรงของเธอมิรู้เลือน “ต่าย - สายธาร” ได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างละเอียดในรายการ “พระอาทิตย์ Live” ทางช่อง News1 รวมทั้งบอกเล่าถึงการได้เข้าไปทำหน้าที่จิตอาสาในงานพระบรมศพที่นักแสดงชื่อดังบอกว่าเป็นความปลาบปลื้มภูมิใจอย่างสุดซึ้ง

• คุณเริ่มต้นทำงานด้านจิตอาสามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเพราะอะไรถึงเลือกมาในทางสายนี้

เราเริ่มมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อาสา ก็เกือบ 20 ปีแล้ว คือเรามาทำงานจิตอาสาจนลืมที่จะกลับไปการแสดง ในช่วงหนึ่ง ที่มาค้นหาตัวเอง ค้นหาชีวิตว่า การเป็นนักแสดงกับการที่มาเป็นจิตอาสาที่เรามาทำหน้าที่ตรงนี้ ตรงไหนที่เป็นตัวตนของเรามากที่สุด พอค้นปุ๊บ ก็รู้แล้วว่าคืออะไร แต่งานจิตอาสาต้องบอกก่อนว่า เรามาทำตรงนี้ เราก็ไม่มีรายได้ เราก็ต้องมีอาชีพมีอะไรเสริม เราก็เลยคิดว่า อาชีพนักแสดง เราก็ทิ้งไม่ได้ ณ ตอนนี้ เรายังมีโอกาสที่จะกลับมา เพราะฉะนั้น เราก็ต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ เพราะโอกาสมันไม่ได้มีกับทุกคน ถ้าไม่คว้าไว้ โอกาสก็เหมือนไอติมที่มันจะละลาย

เราก็ถือว่าโชคดีที่ยังมีผู้ใหญ่ที่เมตตา มีงานให้เราได้กลับมาในวงการ เราก็ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ดีที่สุด ซึ่งเราเองก็ไม่ได้เก่งที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง เพียงแค่ว่า ในงานจิตอาสา โดยตัวเราเองก็ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทที่กินเงินเดือนหรืออะไร เราจะออกมาทำตอนไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ แต่คำว่าเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงก็ได้ ไม่ได้หมายความว่า คุณอยากจะทำอะไรก็ได้นะคะ เพียงแค่ว่าคุณต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ ระเบียบของทางมูลนิธิกำหนดมาด้วย

• การเป็นจิตอาสา ให้อะไรกับเราอย่างไรบ้าง

พอเราได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ เรารู้สึกมีความสุข เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต บางครั้งช่วงเวลาที่เราออกไปทำงานจิตอาสา แล้วมีถ่ายละคร เราก็จะนอนดึกมากไม่ได้ หรือบางทีมีน้ำท่วมบ้าง คนก็มาถามว่า ทำไมไม่เห็นเราเลย บางทีเราก็ไม่สามารถที่จะอธิบายให้ทุกคนฟังได้ว่า เพราะอะไรถึงไม่ได้ออกไป ซึ่งบางครั้ง การที่จะออกไปช่วยคนอื่น เราต้องประเมินตนเองก่อนว่าเราต้องปลอดภัย เราต้องไม่ป่วย เราออกไปแล้วไม่เป็นภาระให้คนอื่น ไม่ใช่ว่า ถ้าเรารู้ตัวว่าไม่สบายหรือเป็นไข้หวัด หรือถ้าเรามีปัญหาในพวกกระดูก ถ้าเราออกไปปุ๊บ แล้วคนอื่นต้องมาห่วงเรา ก็ไม่ใช่

ก่อนออกไปแต่ละครั้ง จะมีการประเมินก่อนอยู่แล้ว ซึ่งเขาจะแบ่งเป็นทีมๆ ที่จะไปช่วย เขาก็จะมีการเช็คทางออนไลน์ หรือ วิทยุสื่อสาร หรือเราดูจากเพจของมูลนิธิ หรือมีการสั่งการจากไลน์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูว่าจุดไหน เราสามารถเข้าไปช่วยได้ จุดที่เราไม่ต้องไปเพราะว่าคนอาจจะเพียงพอแล้ว คือต้องดูหลายๆ อย่าง

ในส่วนตรงนี้ ต้องขอบคุณคุณอ๊อฟ อภิชาต (พัวพิมล) ที่ชวนมาทำในยุคแรกๆ แรกสุดเลย เราไม่กล้า เพราะว่าเห็นเลือดหรืออะไรแล้วเราจะเป็นลม ก็จะเป็นฝ่ายสวัสดิการ แต่เราเชื่อว่าจิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์มันมี เวลาเราเจอคนที่เขากำลังเดือดร้อน ใครที่บอกว่ากลัวหรือช่วยไม่ได้ เห็นช่วยทุกคนเลย สำหรับเราก็ปรับตัวนานเหมือนกัน โชคดีที่ได้พี่ๆ ประจำของมูลนิธิร่วมกตัญญู หรือครูพักลักจำจากรอบนอก เวลาที่เราไปปฏิบัติงาน หรือ ว.4 เราก็จะมีพี่ๆ คอยสอนว่า ทำอย่างงี้ๆ หลังจากนั้นมาก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเรียนในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เราก็เรียนมาเรื่อยๆ จนมาถึงขั้น EMTB ก็สามารถทำคลอดได้

• อยากถามถึงแรงบันดาลใจหรือมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราก้าวเข้ามาตรงจุดนี้

เป็นเหตุการณ์ที่มีชายคนหนึ่งกำลังจะกระโดดจากที่สูง จากเสาไฟฟ้าแรงสูง ที่ความสูงประมาณ 8-10 ชั้นได้ ก็มีพี่ที่มูลนิธิที่ชวนเราไป อันดับแรก เราก็ไปเกลี้ยกล่อมก่อน จังหวะที่เราไปคุยกับเขา แล้วเขาจำเราได้ เราก็ค่อยเกลี้ยกล่อมไป ตอนนั้นเราอยู่ข้างล่าง แต่ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์มือถือ คุยกันไปมา ก็กังวลว่าแบตมือถือจะหมดแน่ๆ ซึ่งหลายๆ คน ทุกหน้าที่ ก็ไปสแตนด์บายแล้ว แต่เบาะลมยังมาไม่ถึง เราก็ถามเขาว่าเอาแบตมั้ย เราคุยตรงนั้นประมาณ 6-7 ชั่วโมง เขาก็ตกลง เราก็ขึ้นไปยื่น

จำได้ว่า เราก็เกลี่ยกล่อมว่า เดี๋ยวจะพาไปกินข้าวผัดปู เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งเขาก็คุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้คุยเยอะ แต่เขาโอเคขึ้น ซึ่งคืออะไรก็ได้ที่จะทำให้อารมณ์เขาดร็อปลง ที่ไม่ได้ไปพะวงให้เขาอยากจะกระโดด เราก็เกลี้ยกล่อมไปพักหนึ่ง แล้วจังหวะนั้น พี่ท็อป (บิณฑ์ บันลือฤทธิ์) เอารถกระเช้ามา เขาให้เราขึ้นกระเช้าด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ถามเราเลยว่าเรากลัวความสูงมาก (หัวเราะเบาๆ) แต่ ณ ตอนนั้น เราก็...เอาก็เอา เพราะยังมีอะไรเซฟอยู่ ตอนแรกเขาจะให้เราขึ้นไปคนเดียว แต่เราก็ขอให้พี่ท็อปขึ้นไปด้วย

แต่พอรถกระเช้าขึ้นไป รถดันมีปัญหา เราก็คิดแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ซึ่งตรงกับที่เขาเริ่มล้าแล้ว เราก็บอกว่า เดี๋ยวไปเปลี่ยนรถนะ รอประมาณ 10-15 นาที จังหวะนั้น เราก็เห็นเขาทำท่าพนมมือแล้วกางแขนสลับไปมา แล้วพอเขากระโดดลงไป ด้วยความที่เราไม่อยากเห็น เราก็หมุนตัวไป แต่จังหวะที่หมุนตัว เราได้ยินเสียง แต่เหมือนหูดับ ไม่รู้ว่าเสียงอะไร คล้ายๆ ว่า โดดลงมาแล้ว แต่เสียงที่เราได้ยินหลังจากนั้นคือ ตุ้บ!!!

เรานี่อึ้งไปเลย เป็นเสียงของที่ตกมาสูงมากๆ แล้วตรงนั้นเป็นหลุมเลยนะคะ เพราะมันสูงมาก วินาทีนั้น เราอยากจะปิดหู ปิดตา ไม่อยากรับรู้อะไรเลย แต่พอมีคนมาชี้ให้ไปดู ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล แล้วก็พี่ๆ ของร่วมกตัญญูไปช่วย เราก็เลยถามประโยคแรกว่า ทำไมไม่รอ เราสัญญากันแล้วนะ เขาก็มองหน้าเรา แล้วมีเลือดพุ่ง เราก็ตกใจ แล้วจังหวะนั้นเราเห็นพี่ๆ เขาทำการช่วยอยู่ แต่วินาทีนั้น เราต้องให้ทีมแพทย์พยาบาลเป็นผู้ดำเนินการ เราเป็นอาสา ก็ยืนมอง เรารู้สึกตัวชาเลย วินาทีนั้น ไม่มีคำพูดอะไรเลย มันคือเรื่องจริง

มองอยู่ประมาณ 3 นาที มีคนมาเรียก พี่ต่ายๆ มีคนโดนรถชน ปรากฏว่าเป็นคุณลุงโดนรถชน ชนแล้วหนี เราก็โอเค จุดแรกมีคนช่วยแล้ว เราเลยวิ่งไปช่วยคุณลุงคนนั้นต่อ นำคุณลุงไปส่งที่โรงพยาบาลราชวิถี แต่จิตเราตกไปเลย หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว เรานอนไม่ได้เลย พอถึงเช้าเราก็ไปใส่บาตร แล้วบอกกับตัวเองว่า เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ทำไมเราช่วยอะไรไม่ได้ เราอยากจะช่วยนะ ซึ่งเราเห็นพี่ๆ ชุดขาว ทำงาน แล้ว เราก็เพิ่งมาเป็นไม่กี่ปีในตอนนั้น เรายังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง เราเป็นแค่ปฐมพยาบาลคร่าวๆ เราเลยบอกกับตัวเองว่า เราจะต้องทำอะไรได้มากกว่านี้

พอใส่บาตรเรียบร้อย เราก็กลับมาที่เกิดเหตุในวันต่อมา เราก็คิดในใจว่า มันควรจะมีอะไรที่ดีกว่านี้มั้ย แต่จริงๆ แล้ว เหตุการณ์บางอย่าง เราก็ไม่สามารถประคับประคองได้หมด บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมไม่นี่นั่น แต่เราเชื่อว่า เราทำสุดความสามารถแล้ว

จากเหตุการณ์วันนั้น มันทำให้ตัวเราเอง ได้รับความเมตตาจากมูลนิธิร่วมกตัญญู ก็จะมีทางผู้ใหญ่มาถามว่า อยากเรียนทางด้านกู้ชีพมั้ย แล้วช่วงนั้น เราก็จะออกกับรถมูลนิธิบ่อยมาก คืออกไปช่วยตอนกลางคืนตามที่ต่างๆ บ้าง คือเขาเห็นเราออกบ่อย เราเลยได้มาเรียนกู้ชีพอย่างเดียว ที่โรงพยาบาลราชวิถี มาเรียนจนจบ พอจบปุ๊บ ก็มีความรู้สึกว่า เขาเมตตา ไว้วางใจ ให้เราไปเรียน แล้วเราจะเป็นกบในกะลาหรือ ไม่ออกไปช่วยใครเลยหรือ ก็ไม่ได้ จึงเอาความรู้ที่มีทั้งหมดไปถ่ายทอด ไปสอน ไปเป็นวิทยากร ไปเล่าประสบการณ์ต่างๆ เราดีใจนะคะ ที่เห็นการตอบรับที่ดี คือทุกคนสนใจ จนทำให้เรารู้สึกว่า เอาไปเลยๆ อย่างน้อย ถ้าเราตาย เราก็ยังภูมิใจ

• ถามถึงการไปเป็นจิตอาสาในช่วงการกราบพระบรมศพ

ต้องบอกว่าเราก็เป็นส่วนเล็กๆ นะคะ จริงๆ แล้ว เราก็เห็นส่วนต่างๆ จากทั้งนักแสดง ศิลปิน ดารา หลายคน คือเขาไม่ได้ต้องการไปออกสื่อ เพียงแต่สื่อเขาเห็นความตั้งใจ ก็เอามาลงและชื่นชม คือเราบอกว่า เราก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ที่คิดว่าเราเป็นประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ได้มาทำอะไรรับใช้แผ่นดิน

อันที่จริงต้องย้อนกลับไปว่า ที่เราไปเป็นกู้ชีพเพราะอะไร เป็นเพราะเราคิดว่าทดแทนคุณแผ่นดินได้ คือเราได้เข้ามาวงการบันเทิง และวงการให้อะไรเราแล้วทุกอย่าง เราก็ย้อนกลับมาว่า เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เราจะทำอะไรให้แผ่นดินเกิดฉันดี อย่างน้อยเราก็จะเล่าให้ลูกหลานฉันฟัง แต่ไม่รู้ล่ะ ขึ้นชื่อว่าให้ทำความดีเพื่อสังคม เริ่มจากจุดเล็กๆ คือในบ้านเราก่อน เราต้องรักตัวเองก่อน ไม่งั้นเราจะช่วยคนอื่นไม่ได้ เพราะเราประเมินตัวเองไม่เป็น อย่างเวลาที่จะช่วยคนอื่นก่อนหน้านี้ ไม่รู้จะเริ่มยังไง ข้ามถนนไม่มองเลย

ต่างจากตอนนี้ ต้องมองรอบข้างก่อน ทุกคนรอบข้างต้องปลอดภัย และผู้ป่วยปลอดภัย ถ้าเราปลอดภัย แต่ทีมไม่ปลอดภัย เราก็ไปช่วยคนอื่นไม่ได้ เพราะบอกแล้วว่าเราทำงานกันเป็นทีม เลยมีความรู้สึกว่าเราภูมิใจ ถึงแม้ว่า บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่สิ่งที่เราทำ มันเป็นจุดที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจเรา แล้วเรามีความรู้สึกว่า เราไม่จำเป็นให้ใครเห็นหรอก เพียงแค่ว่า เราทำอะไรลงไป ให้เรารู้ว่า จิตสำนึกที่เรามี มันคือสิ่งที่ดีก็พอ

อย่างก่อนหน้านั้น ช่วงปีก่อน ตอนนั้นมีโรงทานจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงของร่วมกตัญญู ก็จะมีแจกต่างๆ เราก็จะไปอยู่ที่หน่วยพยาบาล แต่ว่าอะไรที่เราทำได้ เราทำค่ะ ไม่ว่าจะเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร หรือใครป่วย เราก็จะมีรถกอล์ฟเล็กๆ มาส่งที่แพทย์พยาบาลสนาม จะอยู่ตรงจุดนั้น อย่างนี้คือสิ่งที่เราทำ เราควรจะทำในสิ่งที่เราถนัดมากๆ มากกว่า อะไรที่เราทำได้ เห็นขยะเราก็เก็บ ทำทุกสิ่งอย่างค่ะ ที่ประชาชนคนอื่นเขาทำ เพียงแต่ว่าในส่วนของการแพทย์ เขาก็อาจจะมาอยู่ในส่วนของเรา

จนมาถึงในช่วงท้ายๆ วันนั้นนั่งมอเตอร์ไซค์จากลาดพร้าวมาที่สนามหลวง ซึ่งปกติเราจะมีความกลัวนะ แต่วันนั้นไม่มีเลย วันนั้นจำได้ว่า เพื่อนๆ นักแสดงจะแจกข้าวเหนียวหมูฝอย ซึ่งตอนแรกจะไปวันอื่น แต่สุดท้ายก็มาวันนั้น เพราะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว สรุปอยู่แจกถึงตี 5 ก็แจกทุกอย่าง เดินแจกไปทั่ว ซึ่งเรารู้สึกว่า ทำไมการเดินแจกครั้งนี้มันรู้สึกสบายจัง คือเราได้มาทำสิ่งนี้แล้วมันปีติ มันไม่มีคำว่าเหนื่อยค่ะ ต่อให้เหงื่อไหลก็มีความสุข จนกระทั่งตี 4 ตี 5 ที่ฝนตก ก็บอกน้องที่มาด้วยกันว่า ถ้าฝนหยุดตกเดี๋ยวค่อยกลับ พอมาถึงที่พัก เราก็มีความรู้สึกว่าอยากจะไปอีก แต่กลับมานอนก่อน

พอตื่นนอน เราก็กลับไปต่อ แต่คราวนี้เราเดินเข้าไปในบริเวณที่จัด ซึ่งไกลกว่าวันก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่เราเดิน เราเห็นคุณยายคุณป้าเดินเร็วจนเราต้องวิ่งตาม ซึ่งคุณยายเดินแบบแข็งแรงมาก เพราะออกกำลังกาย แล้วเราก็เดินไปเป็นเพื่อนกัน ก็คุยเรื่องเกี่ยวกับในหลวง ร.9 ก็น้ำตาไหลไป จนมาถึงจุดที่ส่งประชาชนเข้าไปในวัง เราก็กลับหันมามองอีกครั้งว่า เดินไปได้ยังไง เสร็จแล้วก็ขอมอเตอร์ไซค์ออกไปส่งเราที่จุดแจก เราก็ไปแจกต่อ

เราเชื่อว่า คนไทยจริงๆ เรามีหัวใจดวงเดียวกัน เราอยากให้นึกถึงพระองค์ท่าน ว่าท่านสอนอะไรบ้าง ฉะนั้น คำว่าคนไทยรักกัน มีอยู่จริง แต่อยู่ที่ว่าเราจะสานต่อไปยังไง
ขอบคุณข้อมูลจากรายการพระอาทิตย์ Live ช่อง News1
ภาพ : เฟซบุ๊ก Saitharn Niyomkarn
ผู้เรียบเรียง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช

กำลังโหลดความคิดเห็น