คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.พสกนิกรหลั่งไหลกราบพระบรมศพ “ในหลวง ร.9” วันสุดท้ายทะลุ 1.1 แสนคน ยอดรวม 337 วัน กว่า 12.7 ล้านคน!

ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชานุญาต ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้มีโอกาสถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2559 จนถึงวันที่ 5 ต.ค. 2560 รวม 337 วันนั้น
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 5 ต.ค.จนถึงเวลา 02.18 น. ของวันที่ 6 ต.ค. มีจำนวนทั้งสิ้น 110,889 คน
และเนื่องจากยังมีประชาชนรอต่อแถวเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนที่ยังตกค้างอยู่ ไม่สามารถถวายบังคมพระบรมศพได้อย่างทั่วถึง และทรงเล็งเห็นถึงความตั้งมั่น และความศรัทธาอันแรงกล้าของพสกนิกร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนที่อยู่จุดท้ายแถวทุกคน เข้าถวายบังคมพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จนหมดทุกคน โดยประตูกำแพงแก้วพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ปิดลงในเวลา 02.18 น. ของวันที่ 6 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนสุดท้ายเดินลงมาจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากเวลาเดิมที่กำหนดไว้คือเวลา 24.00 น.ของวันที่ 5 ต.ค. ทำให้พสกนิกรทุกคนต่างปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้เป็นล้นพ้น
สำหรับจำนวนประชาชนที่เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพรวม 337 วัน มีจำนวนทั้งสิ้น 12,739,531 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลรวม 337 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 889,545,100.01 บาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ได้มีการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีการเปิดให้ประชาชนเข้าชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศบริเวณท้องสนามหลวงด้วย
ด้านสำนักพระราชวังได้เผยแพร่หมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันที่ 13-14 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีวันที่ 13 ต.ค. เวลา 17.00 น. และวันที่ 14 ต.ค. เวลา 10.30 น. ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ขณะที่นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันที่ 13 ต.ค. รัฐบาลจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธี โดยเวลา 07.00 น. เป็นพิธีสวดพระพุทธมนตร์พระสงฆ์ 10 รูป ที่ตึกสันติไมตรี เวลา 07.40 น. พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ที่บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี จึงขอเชิญชวนส่วนราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทุกจังหวัด ภาคเอกชนและประชาชนทั่วประเทศ ร่วมจัดพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. รัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า เจ้าชายอากิชิโน แห่งญี่ปุ่น และเจ้าหญิงคิโกะ พระชายา จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเป็นเวลา 2 วันตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9
2.“บิ๊กตู่” เยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญ “ทรัมป์” พร้อมย้ำ จะประกาศวันเลือกตั้งปีหน้า-ได้ รบ.ใหม่ปี 62 !

สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะ ได้เดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 2-4 ต.ค.
ทั้งนี้ หลังจากได้พบหารือข้อราชการและหารือทวิภาคีเต็มคณะกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ วันแรก พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือว่า การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นการเยือนระดับนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการของไทยในรอบ 12 ปี ซึ่งประสบผลสำเร็จน่าพอใจอย่างยิ่ง และว่า ไทยและสหรัฐฯ มีนโยบายและแนวทางเดียวกัน คือ การให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนโยบายอเมริกันเฟิร์สต์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ไทยและสหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยได้เชิญนางอีวานก้า ทรัมป์ บุตรสาวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีความสนใจและมีบทบาทสำคัญเรื่องนี้มาเยือนไทย เพื่อดูงานและความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา นอกจากนี้จะขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงทางไซเบอร์ เป็นต้น
พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยต่อสื่อมวลชนด้วยว่า “ได้พูดกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ในการเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลนั้น จะเป็นไปตามโรดแมป ในปีหน้าเราจะประกาศวันเลือกตั้งออกมา โดยไม่มีการเลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อประกาศแล้ว จะมีกรรมวิธีของการเลือกตั้ง คือนับไปอีก 150 วันตามกฎหมายหลังจากประกาศ ยืนยันว่า จะประกาศเลือกตั้งปีหน้าแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดความสับสนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศเลือกตั้งในปีหน้าหรือประกาศวันเลือกตั้งในปีหน้า ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขยายความเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ตามเวลาในสหรัฐฯ ว่า “ปีหน้าได้ประกาศเลือกตั้งแน่นอน กฎหมายตามเวลาถ้าเสร็จ จะประมาณปลายเดือน พ.ย.2561 พอประกาศวันเลือกตั้งไม่ว่าจะวันอะไร ต้องใช้เวลาอีก 150 วันคืออีก 3 เดือน 5 เดือน เรื่องของพรรคการเมือง การลงบัญชี การส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง การหาเสียง พอเสร็จแล้วได้ ส.ส.ก็ต้องตรวจสอบใบเหลือง ใบแดง พอเสร็จก็เป็นเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งสภา ทั้ง ส.ว.และ ส.ส. ส่วนการตั้งรัฐบาล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 เดือน ก็จะไปต้นปี 2562 ตามโรดแมป กว่ากระบวนการจะเสร็จ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งวันนี้แล้วรัฐบาลจะมาเลย มันไม่ใช่ เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้ง คือประกาศวันเลือกตั้ง มันมีกฎหมายอยู่ ทำเสร็จมา 240 วัน ต้องทูลเกล้าฯ อีก 90 วัน ลงมาแล้วประกาศใช้ มีผลเมื่อไหร่ถึงจะมาทำต่อได้ทั้งหมด”
ทั้งนี้ มีคนไทยในสหรัฐฯ ที่ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงเลือกตั้ง หากลง จะบินกลับมาลงคะแนนให้
ส่วนความเคลื่อนไหวในเมืองไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงการเยือนสหรัฐฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า มีการพูดคุยความร่วมมือเรื่องความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งพูดคุยเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะสหรัฐฯ ไม่ให้ไทยซื้อนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาให้ซื้อได้ แต่จากการสอบถามนายกฯ ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธ ส่วนสหรัฐฯ จะมีข้อเสนออะไร อย่างไร ยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดกับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การจัดซื้ออาวุธโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เป็นการวางแผนของกองทัพตั้งแต่ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา เป็นแผนการจัดซื้ออาวุธที่เป็นไปตามแผนงานและงบประมาณที่ได้รับ แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามา ทางสหรัฐฯ เขาไม่ซื้อขายกับเรา ทำให้ประเทศไทยต้องไปซื้ออาวุธที่อื่น แต่ตอนนี้สามารถกลับมาซื้อได้แล้ว สหรัฐฯ ก็เอาของเดิมออกมาให้ซื้อขาย อาทิ เฮลิคอปเตอร์โจมตี แต่พอเราซื้อมา ก็เหลือชั่วโมงบินน้อยมากแล้ว ซึ่งต้องพิจารณากันอีกครั้ง
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากกองทัพบกเผยถึงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีจากสหรัฐฯ รุ่นคอบร้า เพื่อเข้าประจำการทดแทนเครื่องเก่าว่า ทบ.อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกแบบเฮลิคอปเตอร์โจมตีเพื่อทดแทนเครื่องเก่า ซึ่งหมดอายุการใช้งานและเตรียมปลดประจำการ เพราะใช้งานมานาน ไม่ได้เป็นการจัดหามาเพิ่มเติม กำลังเลือกแบบ จากนั้นจะตั้งโครงการและกำหนดวงเงิน เมื่อได้แบบที่ต้องการ จะเสนอให้กระทรวงกลาโหมพิจารณา เพื่อส่งต่อให้ ครม.อนุมัติต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีสัญญาณว่ารัฐบาลอาจซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ปรากฏว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง หยุดเอาใจสหรัฐฯ โดยเตรียมจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในขณะที่ไทยยังข้าวยากหมากแพง โดยระบุว่า แนวคิดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เป็นแนวคิดที่สวนทางกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง สินค้าทางการเกษตรหลายชนิดราคาตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่สินค้าเพื่อการอุปโภค-บริโภค ก๊าซหุงต้ม น้ำมัน กลับพาเหรดกันขึ้นราคาขูดรีดภาคประชาชนอย่างแสนเข็ญ “สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงใคร่เรียกร้องมายังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้โปรดทบทวนแนวความคิดหรือนโยบายดังกล่าวเสีย และหันมาสร้างรายได้ ปกป้องอาชีพสินค้าและบริการภายในประเทศ ส่งเสริมสินค้ายุทโธปกรณ์ที่ผลิตภายในประเทศเสีย และขอเรียกร้องให้องค์กรอิสระด้านการตรวจสอบ ทั้ง สตง. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผนดิน ได้โปรดเกลับมาทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลที่อาจขัดแย้งต่อมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย จึงจะถือว่าทำงานรับใช้แผ่นดินได้อย่างแท้จริง”
3.ดีเอสไอออกหมายเรียก “โอ๊ค-เลขาฯ คุณหญิงพจมาน” กับพวกรับทราบข้อหาฟอกเงินแบงก์กรุงไทย 24 ต.ค.นี้!

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า หลังจากคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร มีมติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ส่งผู้แทนเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม เพื่อออกหมายเรียก นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ กับพวกรวม 4 คน เข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน โดยหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนได้ส่งหมายเรียกถึงนายพานทองแท้ ,นางเกศินี จิปิภพ, นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวันชัย หงส์เหิน แล้ว ให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 24 ต.ค.นี้
โดยผู้ต้องหามีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานเข้าโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาได้ในทุกประเด็น หรือจะไม่ให้การในชั้นสอบสวนก็ได้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะสรุปความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้ดีเอสไอต้องสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จและส่งให้อัยการพิจารณาก่อนที่คดีจะครบอายุความ 15 ปี ในปี 2561
วันต่อมา(3 ต.ค.) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนตดีพิเศษออกหมายเรียก นายพานทองแท้ กับพวกรวม 4 คน ให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฟอกเงินและสมคบกับฟอกเงิน ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ ว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ต้องออกหมายเรียกให้ทางผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และนำหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งพนักงานสอบสวนก็พร้อมตรวจสอบคำร้องและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับจากนายพานทองแท้ ว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหรือไม่ แต่หากวันที่ 24 ต.ค.นี้ นายพานทองแท้ไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน หรือมีการขอเลื่อน พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นก่อน และจะพิจารณาไปตามกระบวนการออกหมายเรียกและหมายจับตามความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ อธิบดีดีเอสไอเชื่อว่า พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนต่ออัยการให้ยื่นฟ้องศาลทันอายุความที่จะหมดในปี 2561 อย่างแน่นอน
วันเดียวกัน ด้านนายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความของนายพานทองแท้ ได้เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อดีเอสไอในคดีดังกล่าว เพื่อขอให้ระงับการแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินของพนักงานสอบสวนดีเอสไอกับนายพานทองแท้ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้แจ้งข้อกล่าวหานายพานทองแท้ฐานรับของโจรเพียงข้อหาเดียว ขอให้มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน กลับไปเป็นพนักงานสอบสวนของ ปปง.เช่นเดิม และขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีนี้ด้วยความรอบด้านเป็นพิเศษในกรณีที่นายพานทองแท้ถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน
นายชุมสาย ยังกล่าวด้วยว่า พฤติการณ์ของนายพานทองแท้ยังไม่มีเหตุอันควรที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน เพราะคดีทุจริตธนาคารกรุงไทย เป็นความเกี่ยวพัน 3 กลุ่ม คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และบริษัท กฤษดามหานคร โดยนายพานทองแท้เป็นบุคคลภายนอก ประกอบกับเช็ค 10 ล้านที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร สั่งจ่ายให้นายพานทองแท้ ได้มาก่อนมีการตรวจสอบการขออนุมัติสินเชื่อ และนายพานทองแท้ไม่ทราบว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด ไม่มีเจตนาซุกซ่อน พฤติการณ์ไม่มีเหตุอันควรที่จะถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม นายชุมสาย ยืนยันว่า วันที่ 24 ต.ค.นี้ นายพานทองแท้จะมาพบเจ้าหน้าที่ตามกำหนด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
4.ศาลออกหมายจับ “ยิ่งลักษณ์” อีก 1 ใบ ด้าน “หมอวรงค์” เตือน ขณะนี้กำลังมีขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม!

ความคืบหน้ากรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. เนื่องจากไม่ตั้งใจตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง และปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้รัฐวิสาหกิจจีนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.มาตรา 123/1 พร้อมให้มีการออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มารับโทษตามคำพิพากษา ขณะที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีไปอยู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนเดินทางไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ และมีข่าวว่า กำลังดำเนินการเพื่อขอลี้ภัยในอังกฤษนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่มอีก 1 หมายจับ ในข้อหาเข้า-ออกราชอาณาจักรตามช่องทางที่ไม่ได้กำหนด และว่า หลังจากนี้จะส่งประกาศสืบจับไปยังตำรวจทั่วประเทศ รวมถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ทุกด่าน ส่วนการดำเนินคดีกับบุคคลที่พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน
ด้าน น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีมีผู้พยายามบิดเบือนว่า คดีจำนำข้าวที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้จำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ปี เป็นคดีการเมืองว่า การดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นการดำเนินคดีอาญาเพื่อเอาผิดอดีตนายกฯ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด ส่วนที่มีความพยายามบิดเบือนและทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมว่า ได้มีการออก พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาบังคับใช้กับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ให้หมดอายุความนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะแม้ไม่มีกฎหมายฉบับดังกล่าว ในการยื่นอุทธรณ์ตามกฎหมายเดิม น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ต้องมาแสดงตัวต่อศาลด้วยตัวเอง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2558 ก็กำหนดให้ชะลอการนับอายุความในระหว่างที่จำเลยหลบหนีคดี ดังนั้นขอสนับสนุนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
น.พ.วรงค์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือชาวนาไม่ใช่เรื่องผิด แต่การปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตถือเป็นความผิด ซึ่งศาลได้มีการระบุชัดเจนว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แต่ในส่วนของขั้นตอนปลายน้ำ ซึ่งเป็นการระบายข้าวนั้น ถือเป็นความผิดของฝ่ายบริหารที่ปล่อยปละละเลย ไม่มีการระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริต ซึ่งการพิจารณาของศาลถือเป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่การตรวจสอบนโยบาย ศาลก็ได้มีคำพิพากษาชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
น.พ.วรงค์ ยังมีข้อเสนอฝากถึงรัฐบาลด้วยว่า “รัฐบาลต้องชี้แจงข้อเท็จจริงของผลคำพิพากษาของศาลแก่ประเทศที่เกี่ยวข้องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพำนักอาศัย พร้อมทั้งทำความเข้าใจแก่ประชาชนเป็นระยะๆ เพราะขณะนี้ขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมกำลังก่อตัวขึ้น ขณะที่การดำเนินการขอตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ การยกเลิกพาสปอร์ต และเรื่องที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการตามกฎหมายปกติ และไม่ควรใช้มาตรา 44 โดยหลังจากชี้แจงกับประเทศผู้เกี่ยวข้องที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พำนัก ถ้าประเทศเหล่านี้อยากได้ผู้ที่พัวพันการทุจริตให้อยู่กับเขา ก็อย่าไปเสียเวลา เพราะประเทศต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพราะยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกมาก และขอเรียกร้องให้รัฐบาลทุ่มเทเอาจริงเอาจังกับเรื่องต่อต้านการทุจริต โดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบายที่เอาประชาชนมาบังหน้า มีมาตรการในดูแลเกษตรกรบนพื้นฐานที่ไม่โกง รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ควรจะขอโทษพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อแสดงสำนึกของความรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้”
5.“กระทิงแดง” ถอย เลิกสร้างโรงงานที่ป่าห้วยเม็ก หลังถูกชาวบ้านต้านหนัก ส่งสัญญาณขน 3 พันล้านไปลงทุนที่ต่างประเทศแทน!

จากกรณีที่ชาวบ้านหนองแต้ ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ได้พากันไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.อุบลรัตน์ ว่าถูกนำชื่อไปใช้ในการทำประชาคมเห็นชอบให้บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทเครื่องดื่ม กระทิงแดง ใช้พื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน เป็นที่กักเก็บน้ำสำหรับโรงงาน ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่ได้เข้าร่วมประชุมทำประชาคมด้วย แต่กลับถูกปลอมลายเซ็นชื่อในเอกสารที่ อบต.บ้านดง เสนอให้จังหวัดส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามอนุมัติ ขณะเดียวกัน ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานการร้องคัดค้านและการทำประชาคมที่ชาวบ้านไม่มีส่วนรู้เห็นมอบให้รองอธิบดีกรมที่ดินและยื่นเรื่องร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่นด้วย ซึ่งต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานจากคณะกรรมการกรมที่ดินที่สรุปข้อเท็จจริงว่า มีชาวบ้านคัดค้าน แต่เอกสารที่ส่งขึ้นมายังกระทรวงกลับสรุปว่าไม่มีปัญหา จึงสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยตั้งกรรมการสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบเจ้าหน้าที่ทุจริต จะเอาผิดทั้งวินัยและอาญา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการลงทุนก่อสร้างผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านดง และว่า การย้ายฐานการผลิตออกจากพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพราะบริษัทตั้งใจที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชุมชนบ้านดง และ จ.ขอนแก่น ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนทางกฎหมายของหน่วยราชการต่างๆ รวมทั้งทำประชาคมกับชาวบ้าน ต.บ้านดง ทั้ง 15 หมู่บ้านที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกประการ
แถลงการณ์ของบริษัท เคทีดีฯ ยังระบุถึงผลดีหากบริษัทได้เข้ามาตั้งโรงงานที่พื้นที่แห่งนี้ด้วยว่า จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย สร้างห่วงโซ่อุปทาน สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ และสร้างรายได้ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ในรูปแบบภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือน และสร้างรายได้ให้กับประเทศในรูปแบบของการส่งออก ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 1 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
บริษัท เคทีดีฯ ยังอ้างด้วยว่า “ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีบางคน บางกลุ่ม ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาตั้งโรงงาน และได้ใช้วิธีการต่างๆ นานา บิดเบือนเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของบริษัทที่ต้องการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ดังนั้น เมื่อมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วย จะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม หากบริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินกิจการที่นี่ต่อไป ก็คงต้องพบกับปัญหาความไม่พอใจตลอดเวลา ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทต้องทำงานภายใต้กรอบระเบียบด้านความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรงไปตรงมา จึงเป็นความลำบากใจ หากต้องคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจยกเลิกการลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาทที่คาดว่าจะใช้กับโรงงาน และยุติการดำเนินกิจการโรงงานในพื้นที่ ต.บ้านดง โดยกำลังพิจารณาหาสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตสำคัญเพื่อการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี”
1.พสกนิกรหลั่งไหลกราบพระบรมศพ “ในหลวง ร.9” วันสุดท้ายทะลุ 1.1 แสนคน ยอดรวม 337 วัน กว่า 12.7 ล้านคน!
ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชานุญาต ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้มีโอกาสถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2559 จนถึงวันที่ 5 ต.ค. 2560 รวม 337 วันนั้น
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 5 ต.ค.จนถึงเวลา 02.18 น. ของวันที่ 6 ต.ค. มีจำนวนทั้งสิ้น 110,889 คน
และเนื่องจากยังมีประชาชนรอต่อแถวเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนที่ยังตกค้างอยู่ ไม่สามารถถวายบังคมพระบรมศพได้อย่างทั่วถึง และทรงเล็งเห็นถึงความตั้งมั่น และความศรัทธาอันแรงกล้าของพสกนิกร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนที่อยู่จุดท้ายแถวทุกคน เข้าถวายบังคมพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จนหมดทุกคน โดยประตูกำแพงแก้วพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ปิดลงในเวลา 02.18 น. ของวันที่ 6 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนสุดท้ายเดินลงมาจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากเวลาเดิมที่กำหนดไว้คือเวลา 24.00 น.ของวันที่ 5 ต.ค. ทำให้พสกนิกรทุกคนต่างปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้เป็นล้นพ้น
สำหรับจำนวนประชาชนที่เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพรวม 337 วัน มีจำนวนทั้งสิ้น 12,739,531 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลรวม 337 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 889,545,100.01 บาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ได้มีการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีการเปิดให้ประชาชนเข้าชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศบริเวณท้องสนามหลวงด้วย
ด้านสำนักพระราชวังได้เผยแพร่หมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันที่ 13-14 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีวันที่ 13 ต.ค. เวลา 17.00 น. และวันที่ 14 ต.ค. เวลา 10.30 น. ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ขณะที่นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันที่ 13 ต.ค. รัฐบาลจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระราชกุศลครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธี โดยเวลา 07.00 น. เป็นพิธีสวดพระพุทธมนตร์พระสงฆ์ 10 รูป ที่ตึกสันติไมตรี เวลา 07.40 น. พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ที่บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี จึงขอเชิญชวนส่วนราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทุกจังหวัด ภาคเอกชนและประชาชนทั่วประเทศ ร่วมจัดพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. รัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า เจ้าชายอากิชิโน แห่งญี่ปุ่น และเจ้าหญิงคิโกะ พระชายา จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเป็นเวลา 2 วันตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9
2.“บิ๊กตู่” เยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญ “ทรัมป์” พร้อมย้ำ จะประกาศวันเลือกตั้งปีหน้า-ได้ รบ.ใหม่ปี 62 !
สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะ ได้เดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 2-4 ต.ค.
ทั้งนี้ หลังจากได้พบหารือข้อราชการและหารือทวิภาคีเต็มคณะกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ วันแรก พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือว่า การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นการเยือนระดับนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการของไทยในรอบ 12 ปี ซึ่งประสบผลสำเร็จน่าพอใจอย่างยิ่ง และว่า ไทยและสหรัฐฯ มีนโยบายและแนวทางเดียวกัน คือ การให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนโยบายอเมริกันเฟิร์สต์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ไทยและสหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยได้เชิญนางอีวานก้า ทรัมป์ บุตรสาวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีความสนใจและมีบทบาทสำคัญเรื่องนี้มาเยือนไทย เพื่อดูงานและความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา นอกจากนี้จะขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและส่งเสริมความมั่นคงทางไซเบอร์ เป็นต้น
พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยต่อสื่อมวลชนด้วยว่า “ได้พูดกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ในการเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลนั้น จะเป็นไปตามโรดแมป ในปีหน้าเราจะประกาศวันเลือกตั้งออกมา โดยไม่มีการเลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อประกาศแล้ว จะมีกรรมวิธีของการเลือกตั้ง คือนับไปอีก 150 วันตามกฎหมายหลังจากประกาศ ยืนยันว่า จะประกาศเลือกตั้งปีหน้าแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดความสับสนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศเลือกตั้งในปีหน้าหรือประกาศวันเลือกตั้งในปีหน้า ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขยายความเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ตามเวลาในสหรัฐฯ ว่า “ปีหน้าได้ประกาศเลือกตั้งแน่นอน กฎหมายตามเวลาถ้าเสร็จ จะประมาณปลายเดือน พ.ย.2561 พอประกาศวันเลือกตั้งไม่ว่าจะวันอะไร ต้องใช้เวลาอีก 150 วันคืออีก 3 เดือน 5 เดือน เรื่องของพรรคการเมือง การลงบัญชี การส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง การหาเสียง พอเสร็จแล้วได้ ส.ส.ก็ต้องตรวจสอบใบเหลือง ใบแดง พอเสร็จก็เป็นเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งสภา ทั้ง ส.ว.และ ส.ส. ส่วนการตั้งรัฐบาล ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 เดือน ก็จะไปต้นปี 2562 ตามโรดแมป กว่ากระบวนการจะเสร็จ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งวันนี้แล้วรัฐบาลจะมาเลย มันไม่ใช่ เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้ง คือประกาศวันเลือกตั้ง มันมีกฎหมายอยู่ ทำเสร็จมา 240 วัน ต้องทูลเกล้าฯ อีก 90 วัน ลงมาแล้วประกาศใช้ มีผลเมื่อไหร่ถึงจะมาทำต่อได้ทั้งหมด”
ทั้งนี้ มีคนไทยในสหรัฐฯ ที่ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงเลือกตั้ง หากลง จะบินกลับมาลงคะแนนให้
ส่วนความเคลื่อนไหวในเมืองไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงการเยือนสหรัฐฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า มีการพูดคุยความร่วมมือเรื่องความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งพูดคุยเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะสหรัฐฯ ไม่ให้ไทยซื้อนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาให้ซื้อได้ แต่จากการสอบถามนายกฯ ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธ ส่วนสหรัฐฯ จะมีข้อเสนออะไร อย่างไร ยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดกับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การจัดซื้ออาวุธโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เป็นการวางแผนของกองทัพตั้งแต่ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา เป็นแผนการจัดซื้ออาวุธที่เป็นไปตามแผนงานและงบประมาณที่ได้รับ แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามา ทางสหรัฐฯ เขาไม่ซื้อขายกับเรา ทำให้ประเทศไทยต้องไปซื้ออาวุธที่อื่น แต่ตอนนี้สามารถกลับมาซื้อได้แล้ว สหรัฐฯ ก็เอาของเดิมออกมาให้ซื้อขาย อาทิ เฮลิคอปเตอร์โจมตี แต่พอเราซื้อมา ก็เหลือชั่วโมงบินน้อยมากแล้ว ซึ่งต้องพิจารณากันอีกครั้ง
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากกองทัพบกเผยถึงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีจากสหรัฐฯ รุ่นคอบร้า เพื่อเข้าประจำการทดแทนเครื่องเก่าว่า ทบ.อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกแบบเฮลิคอปเตอร์โจมตีเพื่อทดแทนเครื่องเก่า ซึ่งหมดอายุการใช้งานและเตรียมปลดประจำการ เพราะใช้งานมานาน ไม่ได้เป็นการจัดหามาเพิ่มเติม กำลังเลือกแบบ จากนั้นจะตั้งโครงการและกำหนดวงเงิน เมื่อได้แบบที่ต้องการ จะเสนอให้กระทรวงกลาโหมพิจารณา เพื่อส่งต่อให้ ครม.อนุมัติต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีสัญญาณว่ารัฐบาลอาจซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ปรากฏว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง หยุดเอาใจสหรัฐฯ โดยเตรียมจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในขณะที่ไทยยังข้าวยากหมากแพง โดยระบุว่า แนวคิดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เป็นแนวคิดที่สวนทางกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง สินค้าทางการเกษตรหลายชนิดราคาตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่สินค้าเพื่อการอุปโภค-บริโภค ก๊าซหุงต้ม น้ำมัน กลับพาเหรดกันขึ้นราคาขูดรีดภาคประชาชนอย่างแสนเข็ญ “สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงใคร่เรียกร้องมายังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้โปรดทบทวนแนวความคิดหรือนโยบายดังกล่าวเสีย และหันมาสร้างรายได้ ปกป้องอาชีพสินค้าและบริการภายในประเทศ ส่งเสริมสินค้ายุทโธปกรณ์ที่ผลิตภายในประเทศเสีย และขอเรียกร้องให้องค์กรอิสระด้านการตรวจสอบ ทั้ง สตง. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผนดิน ได้โปรดเกลับมาทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลที่อาจขัดแย้งต่อมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย จึงจะถือว่าทำงานรับใช้แผ่นดินได้อย่างแท้จริง”
3.ดีเอสไอออกหมายเรียก “โอ๊ค-เลขาฯ คุณหญิงพจมาน” กับพวกรับทราบข้อหาฟอกเงินแบงก์กรุงไทย 24 ต.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า หลังจากคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร มีมติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ส่งผู้แทนเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม เพื่อออกหมายเรียก นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ กับพวกรวม 4 คน เข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน โดยหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนได้ส่งหมายเรียกถึงนายพานทองแท้ ,นางเกศินี จิปิภพ, นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวันชัย หงส์เหิน แล้ว ให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 24 ต.ค.นี้
โดยผู้ต้องหามีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานเข้าโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาได้ในทุกประเด็น หรือจะไม่ให้การในชั้นสอบสวนก็ได้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะสรุปความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้ดีเอสไอต้องสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จและส่งให้อัยการพิจารณาก่อนที่คดีจะครบอายุความ 15 ปี ในปี 2561
วันต่อมา(3 ต.ค.) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนตดีพิเศษออกหมายเรียก นายพานทองแท้ กับพวกรวม 4 คน ให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐานฟอกเงินและสมคบกับฟอกเงิน ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ ว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ต้องออกหมายเรียกให้ทางผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และนำหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งพนักงานสอบสวนก็พร้อมตรวจสอบคำร้องและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับจากนายพานทองแท้ ว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหรือไม่ แต่หากวันที่ 24 ต.ค.นี้ นายพานทองแท้ไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน หรือมีการขอเลื่อน พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นก่อน และจะพิจารณาไปตามกระบวนการออกหมายเรียกและหมายจับตามความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ อธิบดีดีเอสไอเชื่อว่า พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนต่ออัยการให้ยื่นฟ้องศาลทันอายุความที่จะหมดในปี 2561 อย่างแน่นอน
วันเดียวกัน ด้านนายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความของนายพานทองแท้ ได้เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อดีเอสไอในคดีดังกล่าว เพื่อขอให้ระงับการแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินของพนักงานสอบสวนดีเอสไอกับนายพานทองแท้ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้แจ้งข้อกล่าวหานายพานทองแท้ฐานรับของโจรเพียงข้อหาเดียว ขอให้มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน กลับไปเป็นพนักงานสอบสวนของ ปปง.เช่นเดิม และขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีนี้ด้วยความรอบด้านเป็นพิเศษในกรณีที่นายพานทองแท้ถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน
นายชุมสาย ยังกล่าวด้วยว่า พฤติการณ์ของนายพานทองแท้ยังไม่มีเหตุอันควรที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน เพราะคดีทุจริตธนาคารกรุงไทย เป็นความเกี่ยวพัน 3 กลุ่ม คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และบริษัท กฤษดามหานคร โดยนายพานทองแท้เป็นบุคคลภายนอก ประกอบกับเช็ค 10 ล้านที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร สั่งจ่ายให้นายพานทองแท้ ได้มาก่อนมีการตรวจสอบการขออนุมัติสินเชื่อ และนายพานทองแท้ไม่ทราบว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด ไม่มีเจตนาซุกซ่อน พฤติการณ์ไม่มีเหตุอันควรที่จะถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม นายชุมสาย ยืนยันว่า วันที่ 24 ต.ค.นี้ นายพานทองแท้จะมาพบเจ้าหน้าที่ตามกำหนด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
4.ศาลออกหมายจับ “ยิ่งลักษณ์” อีก 1 ใบ ด้าน “หมอวรงค์” เตือน ขณะนี้กำลังมีขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม!
ความคืบหน้ากรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. เนื่องจากไม่ตั้งใจตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวอย่างจริงจัง และปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้รัฐวิสาหกิจจีนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.มาตรา 123/1 พร้อมให้มีการออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มารับโทษตามคำพิพากษา ขณะที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีไปอยู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนเดินทางไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ และมีข่าวว่า กำลังดำเนินการเพื่อขอลี้ภัยในอังกฤษนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่มอีก 1 หมายจับ ในข้อหาเข้า-ออกราชอาณาจักรตามช่องทางที่ไม่ได้กำหนด และว่า หลังจากนี้จะส่งประกาศสืบจับไปยังตำรวจทั่วประเทศ รวมถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ทุกด่าน ส่วนการดำเนินคดีกับบุคคลที่พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน
ด้าน น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีมีผู้พยายามบิดเบือนว่า คดีจำนำข้าวที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้จำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ปี เป็นคดีการเมืองว่า การดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นการดำเนินคดีอาญาเพื่อเอาผิดอดีตนายกฯ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด ส่วนที่มีความพยายามบิดเบือนและทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมว่า ได้มีการออก พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาบังคับใช้กับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ให้หมดอายุความนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะแม้ไม่มีกฎหมายฉบับดังกล่าว ในการยื่นอุทธรณ์ตามกฎหมายเดิม น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ต้องมาแสดงตัวต่อศาลด้วยตัวเอง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2558 ก็กำหนดให้ชะลอการนับอายุความในระหว่างที่จำเลยหลบหนีคดี ดังนั้นขอสนับสนุนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
น.พ.วรงค์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือชาวนาไม่ใช่เรื่องผิด แต่การปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตถือเป็นความผิด ซึ่งศาลได้มีการระบุชัดเจนว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แต่ในส่วนของขั้นตอนปลายน้ำ ซึ่งเป็นการระบายข้าวนั้น ถือเป็นความผิดของฝ่ายบริหารที่ปล่อยปละละเลย ไม่มีการระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริต ซึ่งการพิจารณาของศาลถือเป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่การตรวจสอบนโยบาย ศาลก็ได้มีคำพิพากษาชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
น.พ.วรงค์ ยังมีข้อเสนอฝากถึงรัฐบาลด้วยว่า “รัฐบาลต้องชี้แจงข้อเท็จจริงของผลคำพิพากษาของศาลแก่ประเทศที่เกี่ยวข้องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพำนักอาศัย พร้อมทั้งทำความเข้าใจแก่ประชาชนเป็นระยะๆ เพราะขณะนี้ขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมกำลังก่อตัวขึ้น ขณะที่การดำเนินการขอตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ การยกเลิกพาสปอร์ต และเรื่องที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการตามกฎหมายปกติ และไม่ควรใช้มาตรา 44 โดยหลังจากชี้แจงกับประเทศผู้เกี่ยวข้องที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พำนัก ถ้าประเทศเหล่านี้อยากได้ผู้ที่พัวพันการทุจริตให้อยู่กับเขา ก็อย่าไปเสียเวลา เพราะประเทศต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพราะยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกมาก และขอเรียกร้องให้รัฐบาลทุ่มเทเอาจริงเอาจังกับเรื่องต่อต้านการทุจริต โดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบายที่เอาประชาชนมาบังหน้า มีมาตรการในดูแลเกษตรกรบนพื้นฐานที่ไม่โกง รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ควรจะขอโทษพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อแสดงสำนึกของความรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้”
5.“กระทิงแดง” ถอย เลิกสร้างโรงงานที่ป่าห้วยเม็ก หลังถูกชาวบ้านต้านหนัก ส่งสัญญาณขน 3 พันล้านไปลงทุนที่ต่างประเทศแทน!
จากกรณีที่ชาวบ้านหนองแต้ ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ได้พากันไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.อุบลรัตน์ ว่าถูกนำชื่อไปใช้ในการทำประชาคมเห็นชอบให้บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทเครื่องดื่ม กระทิงแดง ใช้พื้นที่สาธารณะห้วยเม็ก เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน เป็นที่กักเก็บน้ำสำหรับโรงงาน ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่ได้เข้าร่วมประชุมทำประชาคมด้วย แต่กลับถูกปลอมลายเซ็นชื่อในเอกสารที่ อบต.บ้านดง เสนอให้จังหวัดส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามอนุมัติ ขณะเดียวกัน ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานการร้องคัดค้านและการทำประชาคมที่ชาวบ้านไม่มีส่วนรู้เห็นมอบให้รองอธิบดีกรมที่ดินและยื่นเรื่องร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่นด้วย ซึ่งต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานจากคณะกรรมการกรมที่ดินที่สรุปข้อเท็จจริงว่า มีชาวบ้านคัดค้าน แต่เอกสารที่ส่งขึ้นมายังกระทรวงกลับสรุปว่าไม่มีปัญหา จึงสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยตั้งกรรมการสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบเจ้าหน้าที่ทุจริต จะเอาผิดทั้งวินัยและอาญา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการลงทุนก่อสร้างผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านดง และว่า การย้ายฐานการผลิตออกจากพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพราะบริษัทตั้งใจที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชุมชนบ้านดง และ จ.ขอนแก่น ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนทางกฎหมายของหน่วยราชการต่างๆ รวมทั้งทำประชาคมกับชาวบ้าน ต.บ้านดง ทั้ง 15 หมู่บ้านที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกประการ
แถลงการณ์ของบริษัท เคทีดีฯ ยังระบุถึงผลดีหากบริษัทได้เข้ามาตั้งโรงงานที่พื้นที่แห่งนี้ด้วยว่า จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย สร้างห่วงโซ่อุปทาน สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ และสร้างรายได้ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ในรูปแบบภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือน และสร้างรายได้ให้กับประเทศในรูปแบบของการส่งออก ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 1 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
บริษัท เคทีดีฯ ยังอ้างด้วยว่า “ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีบางคน บางกลุ่ม ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาตั้งโรงงาน และได้ใช้วิธีการต่างๆ นานา บิดเบือนเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของบริษัทที่ต้องการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน ดังนั้น เมื่อมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วย จะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม หากบริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินกิจการที่นี่ต่อไป ก็คงต้องพบกับปัญหาความไม่พอใจตลอดเวลา ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทต้องทำงานภายใต้กรอบระเบียบด้านความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรงไปตรงมา จึงเป็นความลำบากใจ หากต้องคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจยกเลิกการลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาทที่คาดว่าจะใช้กับโรงงาน และยุติการดำเนินกิจการโรงงานในพื้นที่ ต.บ้านดง โดยกำลังพิจารณาหาสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตสำคัญเพื่อการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี”