กาลครั้งหนึ่งในยุคเผด็จการครองเมือง แต่เกิดอยากเป็นประชาธิปไตย เอาเงินประชาชนคนละสลึงไปหาวิธีการเป็นประชาธิปไตยจากต่างประเทศ จนได้วิธีจากอังกฤษ กลับมาเปิดสภาประชาชนกลางสนามหลวง แต่ในที่สุดก็จบแบบไทยๆ ที่หมาแม่ลูกอ่อนมีวาสนาได้กินอาหารในจานจากทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ในกลางปี ๒๔๙๘ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้ใช้อำนาจเผด็จการมาเสียนาน จนลืมการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อ้างไว้ตอนยึดอำนาจเมื่อปี ๒๔๗๕ เริ่มเห็นว่าอำนาจเผด็จการคงไปไม่รอดแล้ว เพราะลูกน้องที่ปั้นขึ้นมาไว้คอยคุ้มครองบัลลังก์ ทำท่าจะชิงบัลลังก์เสียเอง จึงจำต้องหันมาหาความนิยมกับประชาชนเพื่อเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันถูกลูกน้องโค่นอำนาจ ว่าแล้วก็นำคนใกล้ชิดกลุ่มใหญ่ไปทัศนาจรรอบโลก อ้างว่าเพื่อหาวิธีการเป็นประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ๆ มาให้ประชาชน
เมื่อกลับมาจอมพล ป.ก็บวกลบคูณหารให้ฟังว่า ใช้เงินภาษีของประชาชนซึ่งตอนนั้นมีเพียง ๑๘ ล้านคนไป ๔ ล้านเศษๆ ตกคนละสลึงเดียวเท่านั้น แต่ได้ของดีมาฝากมากมาย
หนึ่งในของดีที่ได้มาสำหรับการเป็นประชาธิปไตยก็คือ “ไฮด์ปาร์ค”
ต้นตำรับไฮด์ปาร์คนี้อยู่ที่อังกฤษ เปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีความอัดอั้นตันใจไประบายด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ หรือจะด่ารัฐบาลก็ได้ที่สวนสาธารณะไฮด์ปาร์คกลางกรุงลอนดอน แต่ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงและตั้งเวที ซึ่งคนที่ไปปราศรัยมักจะใช้ลังสบู่เป็นที่ยืนรองพูด
แต่ไฮด์ปาร์คของจอมพล ป.เหนือกว่าไฮด์ปาร์คของเจ้าตำรับเสียอีก ให้ตั้งเวทีกลางสนามหลวงและใช้ไมโครโฟนได้ เลยเปิดโอกาสให้คนที่อยากดังทางการเมืองแต่หาเวทีโผล่หน้าไม่ได้ มาใช้เวทีไฮด์ปาร์คเป็นที่โชว์โวหาร ประชาชนที่ตื่นประชาธิปไตยก็มาฟังกันแน่น เพราะนักพูดไฮด์ปาร์คมักจะพูดเอามันกันลูกเดียว ถึงอกถึงใจคนฟัง บางนัดมีเรื่องราวเป็นข่าวดังอยู่ในหน้า นสพ. ก็มีคนมาฟังไฮด์ปาร์ควิพากษ์วิจารณ์กันแน่นขนัด
ไฮด์ปาร์คกลางสนามหลวงครั้งแรกเกิดขึ้นตอนแดดร่มลมตกในวันเสาร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๔๙๘ โดยมีนายทองอยู่ พุฒพัฒน์ อดีต ส.ส.ธนบุรี เป็นผู้ริเริ่มจัดรายการ เลยได้รับฉายาว่า “โต้โผไฮด์ปาร์ค” และเป็นผู้เปิดประเดิมปราศรัยเป็นคนแรก ต่อมามีผู้ร่วมรายการมากขึ้นทุกที บางคนก็อุตส่าห์มาจากต่างจังหวัด พูดไฮด์ปาร์คให้คนฟังสะใจ รุ่งเช้า นสพ.เอาไปเขียนข่าว ก็กลายเป็นคนดังไปทันที โดยเฉพาะได้รับความสนใจจากคนในจังหวัดทางบ้านเป็นพิเศษ
บางคนเป็น ส.ส.แต่หาโอกาสอภิปรายในสภาไม่ค่อยได้ เลยมาอาศัยเวทีไฮด์ปาร์ค กลุ่มนี้ก็มี นายเทพ โชตินุชิต ส.ส.ศรีสะเกษ นายแคล้ว นรปติ ส.ส.ขอนแก่น นายเพทาย อมาตยกุล ส.ส.พระนคร เป็นต้น
ดาวดังไฮด์ปาร์คบางคนใช้เวทีไฮด์ปาร์คไต่เต้าเข้าเป็น ส.ส.ในสภาได้ก็มี อย่าง นายพีร์ บุนนาค ส.ส.สุพรรณบุรี นายทวีศักดิ์ ตรีพลี ส.ส.ขอนแก่น เป็นต้น
การอภิปรายของเวทีไฮด์ปาร์คสนามหลวงมีผลตามที่คัดค้านหลายเรื่อง อย่างเช่น “ตำราเรียนแบบเบสิค” ของ พล.อ.มังกร พรหมโยธี รมต.ศึกษาธิการ ถูกไฮด์ปาร์คตีเสียคว่ำจนรัฐบาลต้องสั่งระงับไม่ให้ใช้
เจตนาอย่างหนึ่งของจอมพล ป.ที่เปิดไฮด์ปาร์คขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นเวทีถล่มจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้กำลังวัดรอยเท้า ซึ่งมีเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่อง ตั้งแต่เงินของกองสลากกินแบ่ง ตั้งบริษัทมากมายเพื่อผูกขาดการค้า การก่อสร้าง ส่งแม่เล้าออกล่าเด็กสาวและนางงามมาบำเรอจนเป็นฮาเล็ม แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่ค่อยดังในตอนนั้น สู้เรื่องของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย”ไม่ได้ มีเรื่องมากมายอยู่ในความสนใจของประชาชน เช่นการสังหารโหดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม การค้าฝิ่นเถื่อน ใช้นายตำรวจระดับอัศวินที่เลี้ยงอันธพาลไว้เป็นสมุนก่อความเดือดร้อนไปทั่ว จนสื่อมวลชนตะวันตกให้ฉายาประเทศไทยว่า “นครแห่งความชั่วร้ายที่ถูกกฎหมาย”
ดาวไฮด์ปาร์คจึงนำเรื่องเหล่านี้มาพูด ซึ่งก็เป็นที่สะใจคนฟังเพราะไม่มีใครกล้าพูด นายบุญยัง สันธนะวิทย์ ดาวดังไฮปาร์คคนหนึ่งซึ่งเป็นตำรวจเก่า มักจะขุดคุ้ยความเลวร้ายของวงการตำรวจใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์มาตีแผ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเจอดีเข้าจนได้ วันหนึ่งมีมือดีบุกเข้าไปถึงเวทีไฮด์ปาร์คแทงนายบุญยังด้วยดาบจนไส้ทะลุ พรรคพวกต้องช่วยกันพาส่งโรงพยาบาลรอดชีวิตได้ แต่พอออกจากโรงพยาบาลนายบุญยังก็กลับไปเวทีไฮด์ปาร์คโจมตี พล.ต.อ.เผ่าแบบเดิมอีก จน อตร.เผ่าเห็นว่าขืนปล่อยให้เป็นขี้ปากไอ้พวกไฮด์ปาร์คต่อไปแบบนี้ไม่ดีแน่ จำจะต้องแสดงบทบาทเป็นคนใจถึง เอาชนะกันที่ใจ
ในวันที่ ๖ มกราคม ๒๔๙๙ ขณะที่ไฮด์ปาร์คกำลังเปิดเวทีมีคนฟังนับหมื่น พล.ต.อ.เผ่าพร้อมด้วยอัศวินคู่ใจก็บุกไปถึงเวทีท่ามกลางการตกตะลึงของพวกไฮด์ปาร์ค เมื่อเจอนายบุญยังก็ทักทายด้วยการตบบ่าพร้อมกับบอกว่า
“ลื้อเก่งมาก ถูกแทงแล้วยังกล้ามาพูดอีก”
นายบุญยังไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป โดดขึ้นเวทีคว้าไมโครโฟนประกาศเชิญ อตร.เผ่าซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย ให้ขึ้นเวทีตอบกระทู้กันสดๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสนับสนุนของแฟนไฮด์ปาร์ค อตร.เผ่าจะไม่ขึ้นก็เสียหน้า เลยต้องกลายเป็นเหยื่อให้ดาวไฮด์ปาร์คที่กำลังลำพองใจว่าจับ “จอมอัศวิน”มาขึ้นเขียงได้ ซักถามเรื่องที่ประชาชนซุบซิบกันอย่างโจ่งแจ้งด้วยสำนวนดุเด็ดเผ็ดมัน ซึ่งแน่นอนว่า อตร.เผ่าก็ตอบปฏิเสธทุกเรื่อง แต่พวกไฮด์ปาร์คได้โอกาสแล้วก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เล่นกันยาวจนจอมอัศวินเหนื่อย ต้องขอพักยกตัดบทขอกลับไปก่อน นัดหมายจะมาตอบใหม่ในวันที่ ๑๑ มกราคม เลยทำให้แฟนไฮด์ปาร์คนัดนี้แน่นเป็นประวัติการณ์ และเมื่อถึงเวลานัด “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” ก็มาตามนัด
ครั้งนี้นายกิตติศักดิ์ ศรีอำไพ ดาวไฮด์ปาร์คปากกล้าอีกคนหนึ่งวางแผนไว้แล้ว พอ พล.ต.อ.เผ่าขึ้นเวที นายกิตติศักดิ์ก็ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้กล่าวสาบานตัวเสียก่อนตามประเพณีที่นักพูดไฮด์ปาร์คทุกคนต้องทำ ประชาชนคนดูก็ส่งเสียงเชียร์กันสนั่น จอมอัศวินเลยจำต้องรับดอกไม้ธูปเทียนมาถือ นายกิตติศักดิ์ก็บอกให้หันหน้าไปทางวัดพระแก้ว กล่าวคำสาบานตามที่บอก ถึงตอนนี้ อตร.เผ่าไม่มีทางจะบิดพลิ้ว เลยตกเป็นเหยื่อให้ดาวไฮด์ปาร์คจับสาบานกลางสนามหลวงต่อหน้าวัดพระแก้ว ซึ่งคำของนายกิตติศักดิ์คนคารมกล้าก็ล้วนแต่เป็นถ้อยคำรุนแรงแทงใจดำ เช่น
“...ถ้าข้าพเจ้ารู้เห็นหรือจ้างวาน หรือออกคำสั่งให้ฆ่า ๔ อดีตรัฐมนตรีก็ดี การขัง ยิงทิ้ง การค้าฝิ่น ค้าแบงก์ปลอม... ขอให้ข้าพเจ้าจงตายด้วยคมหอกคมดาบ หรือฉิบหายบรรลัยจักร มีอันเป็นไปต้องพลัดพรากจากลูกเมีย...”
พล.ต.อ.เผ่าจะไม่ว่าตามก็ไม่ได้ เพราะคนดูเป็นหมื่นส่งเสียงเฮอย่างกึกก้อง “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” รู้ตัวว่าเสียทีไอ้พวกไฮด์ปาร์คเสียแล้ว ได้แต่เก็บความเจ็บแค้นไว้ในใจ
สำหรับนายทองอยู่ พุฒพัฒน์ “โต้โผไฮด์ปาร์ค” มีความปรารถนาอยู่อย่างเดียวคือ ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ เลิกบทเฉพาะกาล เลิก ส.ส.ประเภท ๒ เลิกปฏิวัติรัฐประหารกันเสียที เมื่อพูดครั้งใดไม่ว่าที่ไหน นายทองอยู่ก็จะยืนยันในหลักการนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังประกาศว่า เมื่อถึงพุทธศักราช ๒๕๐๐ ที่ว่าเป็นกึ่งพุทธกาล จะขอลาไปอุปสมบทตลอดชีวิต ช่วงเวลาที่เหลือนี้จะขอต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสุดชีวิต
นายทองอยู่เห็นว่าการเรียกร้องของตนหลายครั้งหลายหนยังไม่มีผลใดๆเกิดขึ้น เวลาที่จะถึงงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษก็ใกล้เข้ามาแล้ว จึงตัดสินใจที่จะแลกหมัดเพื่อให้บรรลุอรหันต์ประชาธิปไตย โดยประกาศจะอดข้าวในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์เป็นต้นไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยตามคำเรียกร้อง
เมื่อถึงวันที่กำหนด นายทองอยู่ก็แบกกลดแบบพระธุดงค์ไปปักที่หน้าทำเนียบรัฐบาลแต่เช้าตรู่ พร้อมป้ายประกาศเจตนารมณ์เรียกร้องให้เลิกบทเฉพาะกาลและ ส.ส.ประเภท ๒ ติดไว้ มีสาวกที่อยู่ในกลุ่มนักพูดไฮด์ปาร์คเข้าร่วมขบวนด้วยหลายคน นอกจากที่หน้าทำเนียบรัฐบาลแล้ว ยังมีแนวร่วมอีกกลุ่มไปนั่งอดข้าวที่สนามหลวงด้วย แต่อดกันได้วันเดียว รุ่งขึ้นก็ถอดใจลาโรงกันไปหลายคน
การประท้วงด้วยการอดข้าวแบบไฮด์ปาร์คนี้ ไม่ใช่นั่งอดกันเฉยๆ แต่ยังด่ารัฐบาลสลับรายการไปด้วย โดยมีคนไม่หิวมายืนเชียร์ให้อดต่อไปให้ถึงที่สุดเพื่อประชาธิปไตย
ช่วงหนึ่งที่ปลอดคน พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ได้แสดงไมตรีเดินออกจากทำเนียบมาซักถามเจตนารมณ์กับพวกอดข้าว เมื่อรับฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็เดินกลับเข้าทำเนียบไป จากนั้นไม่นาน จอมพล ป.พิบูลสงครามก็นั่งรถผ่านเข้าทำเนียบ ชำเลืองดูนักอดข้าวด้วยสายตาที่แสดงความรังเกียจ
คงจะเป็นเพราะพวกสอพลอไปรายงานยกเมฆกับจอมพล ป.ว่า พวกนี้อดข้าวไม่จริง กลางคืนแอบกินก๋วยเตี๋ยว เย็นวันนั้นบรรดานักอดข้าวและกองเชียร์ที่ตั้งแถวอยู่คนละฝั่งคลองก็ต้องแปลกใจไปตามกัน เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งแบกโต๊ะพร้อมเก้าอี้ออกมาจากทำเนียบ แล้วตั้งลงข้างกลดของนักอดข้าว พร้อมกับนำผ้าขาวมาปูโต๊ะอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็มีคนอีกกลุ่มแบกจานอาหารออกมาเป็นขบวน แล้วตั้งลงบนโต๊ะพร้อมด้วยหม้อข้าว จานข้าวและช้อนส้อม
นายชวน รัตนวราหะ หนึ่งในผู้อดข้าวร่วมกับนายทองอยู่ เห็นเข้าก็รู้ว่าเป็นแผนเย้ยหยันและทำลายตบะของจอมพล ป.แน่ จึงตะโกนด่าอย่างกราดเกรี้ยวเข้าไปในทำเนียบ และบอกกับกองเชียร์ว่า
“พี่น้องทั้งหลาย เราอดข้าวครั้งนี้ด้วยความปรารถนาจะให้จอมพล ป.เลิกบทเฉพาะกาลและ ส.ส.ประเภท๒ แต่เขากลับมาปฏิบัติแก่เราอย่างนี้ ผมอยากจะพูดว่าพฤติกรรมของเขานั้นเป็นรัฐบาลที่เห็นแก่กิน เป็นการสมควรหรือไม่ ผมจะขอเรียกจอมพล ป.และรัฐบาลนี้ว่ารัฐบาลกิน ผมมาอดข้าว จอมพล ป.กลับเอาข้าวมาวางบนโต๊ะแบบนี้ เป็นการยั่วพวกผมโดยตรง นี่เป็นการแสดงสปิริตของจอมพล ป.ว่า จะเป็นนักประชาธิปไตยกับเขาได้หรือไม่”
ส่วนนายพีร์ บุนนาค นักพูดร่างใหญ่ก็เป็นเดือดเป็นแค้น กล่าวว่า
“ผมรู้มาตั้งแต่เช้าแล้วว่าเขาจะจัดอาหารมาเลี้ยงพวกผม เขาหาว่าผมแอบไปกินก๋วยเตี๋ยว ผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าเขายกข้าวมาให้กิน ก็จะเอาให้หมากินเสียเลย....”
เผอิญมีหมาแม่ลูกอ่อนอยู่แถวนั้น พอได้กลิ่นอาหารก็เดินมาที่โต๊ะ นายพีร์เห็นเข้าจึงยกจานอาหารบนโต๊ะลงวางที่พื้น อาหารอภินันทนาการจากนายกรัฐมนตรีจึงกลายเป็นอาหารอันโอชะของหมาแม่ลูกอ่อนตัวนั้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนไฮด์ปาร์คอย่างสนุกสนาน
รุ่งเช้า ภาพหมาแม่ลูกอ่อนนมโตงเตงกำลังกินอาหารในจานจากทำเนียบรัฐบาล ก็ปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ ทำให้ประชาชนยิ้มกันทั้งประเทศ แต่ทำให้จอมพล ป.รู้สึกว่าถูกพวกไฮด์ปาร์คตอกกลับอย่างแรง
ตอนเย็นของวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์นั้น ตำรวจก็กระจายกำลังกันจับนักอดข้าวทั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาลและที่สนามหลวงไปใส่ห้องขังทั้งหมด ด้วยข้อหาว่าเป็นกบฏภายในราชอาณาจักรตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๐๔
แค่อดข้าวประท้วงรัฐบาลก็เป็นกบฏได้ นี่คือประชาธิปไตยของเมืองไทยในยุคที่มืดครึ้ม
เมื่อถูกนำตัวไปคุมขัง คนอื่นๆก็พากันเลิกอดข้าว เหลือแต่โต้โผทองอยู่คนเดียว แม้รู้ว่าอดต่อไปก็ไม่ทำให้จอมพล ป.ใจอ่อน แต่ก็จะขออดต่อไปให้ครบ ๒๔ วันจึงเลิก
ในที่สุดคดีนี้ศาลก็ตัดสินยกฟ้อง จนเมื่อล่วงเข้างานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ ผู้แสวงหาอรหันต์ประชาธิปไตยไม่สำเร็จ จึงได้สละเพศฆราวาสอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ฉันอาหารเพลเพียงวันละมื้อ จำพรรษาอยู่ที่วัดทองธรรมชาติ ธนบุรี จนถึงวันมรณภาพ