รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย กำลังรองบจากคลัง พอได้มาสามารถจัดซื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ เชื่อไม่ขาดแคลน หลังเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กังวลยากำลังจะหมดประเทศ พ.ย. นี้
วันนี้ (30 ก.ย.) นายแพทย์ สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผยว่า ยาต้านไวรัสเอดส์กำลังจะไม่พอ และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ติดเชื้อที่ต้องรับยากว่า 3 แสนคน ว่า การจัดซื้อยา วัคซีน รวมถึงอวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลราชวิถี เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังจากที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้ว่า สปสช. ไม่มีอำนาจในการสั่งซื้อยาได้ พร้อมกล่าวว่า กระบวนการจัดซื้อยาขณะนี้รอการโอนงบประมาณจากกระทรวงการคลัง เมื่อได้รับแล้วก็จะสามารถจัดซื้อได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีระบบและการดำเนินการเหมือนที่ สปสช. ทำทุกอย่าง เชื่อว่าไม่กระทบต่อระบบแน่นอน
โดยก่อนหน้านี้ นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงมอบหมายให้โรงพยาบาลราชวิถี ทำหน้าที่จัดซื้อยาแทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีการสั่งซื้อ จนเริ่มมีสัญญาณว่ายาต้านไวรัสกำลังจะขาดแคลน โดยที่ผ่านมาหน่วยบริการจะจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ติดเชื้อฯ ครั้งละ 3 - 4 เดือน แต่ตอนนี้เริ่มจ่ายยาครั้งละเพียง 1 เดือน หรือในบางแห่งถึงกับจ่ายเป็นรายสัปดาห์
นอกจากนี้ เดิมทีผู้ติดเชื้อจะได้รับยาสูตรรวมเม็ด ปัจจุบันเริ่มจ่ายให้เป็นยาสูตรแยกเม็ดแทน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้ติดเชื้อฯ ขาดยาไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือจะเริ่มเกิดปัญหาเชื้อดื้อยา นำมาซึ่งภาระงบประมาณของประเทศมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้เราใช้ยาที่ สปสช. จัดซื้อมาของปี 2560 อยู่ ซึ่งทราบมาว่ายาเหล่านั้นจะใช้ได้นานที่สุดก็ไม่เกินเดือน พ.ย. 2560 จากนั้นยาต้านไวรัสก็จะหมดลง
ประธานเครือข่ายฯ กล่าวอีกว่า การที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้ว่า สปสช. ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ในการต่อรองราคายาและจัดซื้อยารวมมาตลอดระยะเวลา 10 ปี อย่างไม่เคยมีปัญหานั้น ไม่มีอำนาจในดำเนินการ ก็ขอถามว่า เมื่อ สปสช. ไม่มีอำนาจ เหตุใดจึงไม่เพิ่มอำนาจให้ แต่กลับเลือกใช้กลไกใหม่ที่เพิ่มขั้นตอนให้ยุ่งยากกว่าเดิมหรือไม่