ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา เป็นยุคที่สยามได้พัฒนาประเทศด้วยวิทยาการจากตะวันตกอย่างกว้างขวาง ผู้ที่จะเข้ารับราชการในตำแหน่งสำคัญได้ แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ ก็มักจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนมาสูง หรือจบการศึกษามาจากต่างประเทศ
แต่มีเชื้อพระวงศชั้นผู้น้อยท่านหนึ่ง มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนมาแค่พออ่านออกเขียนได้ ไม่เคยออกไปต่างประเทศ เริ่มต้นชีวิตราชการด้วยการเป็นพลทหาร อาศัยความอุตสาหะ วิริยะ ขยัน อดทน และซื่อสัตย์ หมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาที่รับราชการ ทำให้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จนถึงขั้นได้บรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยา และมียศทางทหารขั้นสูงสุดถึง จอมพล อีกทั้งยังได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษบนพระเมรุกลางสนามหลวง เช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอีกด้วย
ท่านที่เป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นหลังท่านนี้ ก็คือ จอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล)
ม.ร.ว.อรุณเป็นบุตรของ ม.จ.นิล ในพระบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเจ้าจอมมารดาตานี บุตรของเจ้าพระยาอรรถมหาเสนา (บุนนาค) เกิดในปี ๒๓๓๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวัยเด็ก ม.ร.ว.อรุณได้รับการศึกษาเล่าเรียนเพียงอ่านออกเขียนได้เท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ศึกษาชั้นสูงหรือภาษาต่างประเทศอย่างที่พระบรมวงศานุวงศ์และลูกหลานขุนนางนิยมกันในขณะนั้น
ในปี พ.ศ.๒๔๑๕ ขณะที่ ม.ร.ว.อรุณอายุได้ ๑๖ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯโปรดให้ตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้น ทรงพระราชดำริว่า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ อันเป็นเชื้อสายในราชสกุล มีเป็นจำนวนมากที่ยังเที่ยวเตร่กระจัดกระจายกันตามอำเภอใจ ถ้าไปประพฤติชั่วร้ายก็จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศมาถึงราชตระกูล ควรจะรวบรวมมาฝึกหัดให้ทำคุณงามความดี อย่างน้อยก็พอป้องกันไม่ให้ไปทำเรื่องเสื่อมเสีย ม.ร.ว.อรุณจึงเข้ารับการฝึกหัดครั้งนี้ด้วย ในขั้นแรกเป็นพลทหาร สังกัดในกองร้อยที่ ๖ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ต่อมาในปี ๒๔๑๖ ได้เลื่อนขึ้นเป็นนายสิบตรี ประจำกองร้อยที่ ๕ ทหารมหาดเล็ก และอีก ๑ ปีต่อมาก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นนายสิบโท
ในปี พ.ศ.๒๔๒๑ เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักด์ (โต บุนนาค) บุตรชายสมเด็จเจ้าพระยามหาพิชัยญาติ ซึ่งไปศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ที่อังกฤษ และได้รับยศนายร้อยเอกแห่งกองทัพบกอังกฤษ เมื่อกลับมาจึงได้รับโปรดเกล้าฯให้เป็น พระอมรวิสัยสรเดช ยศนายพันตรี ตำแหน่งผู้บังคับบัญชากรมปืนใหญ่ญวน ซึ่งกรมทหารนี้ได้จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยอบรมคนญวนถือคริสต์ที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ให้ประจำป้อมปืนต่างๆที่ปากน้ำ พระอมรวิสัยฯจะปรับปรุงกรมนี้ให้ทันสมัยตามที่เรียนมา แต่หานายทหารที่จะเข้ารับหน้าที่ต่างๆไม่ได้ จึงกราบทูลขอนายสิบทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์มาฝึกหัดอบรมขึ้นเป็นนายร้อยทหารปืนใหญ่ ในจำนวนผู้ที่ได้รับคัดเลือกมา มี นายสิบโท ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล รวมอยู่ด้วย และเมื่อผ่านการฝึกอบรมก็ได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยโท
ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ขณะที่มีอายุ ๒๘ ปี ร.ท. ม.ร.ว.อรุณก็ได้มีโอกาสไปราชการทัพกับพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ผู้บัญชาการกรมทหารส่วนวัง เพื่อปราบกบถฮ่อที่แขวงเมืองพวน โดยจัดกองทัพตามยุทธวิธีตะวันตก แต่พอไปถึงเมืองหนองคายก็ได้ทราบว่า พวกฮ่อที่ก่อศึกยืดเยื้อมาถึง ๑๐ ปี ได้ทิ้งค่ายหนีกองทัพหลวงไปหมดแล้ว
ในปี พ.ศ.๒๔๓๒ ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกขึ้นที่สะพานช้างโรงสี หรือกรมแผนที่ทหารบกในปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายพันตรีพระอมรวิสัยสรเดช ซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นนายพลตรีพระยาสีหราชเดโชชัยแล้ว ย้ายจากกรมทหารปืนใหญ่มาเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อย นายพลตรีพระยาสีหราชฯจึงเลือกเอา ม.ร.ว.อรุณซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นนายร้อยเอก มาเป็นปลัดโรงเรียนนายร้อยด้วย
ในปี พ.ศ.๒๔๓๕ ร.อ.ม.ร.ว.อรุณก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายพันตรี และมีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงสรวิเศษเดชาวุธ มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อย
โรงเรียนนายร้อยทหารบกที่เปิดขึ้นครั้งแรกนั้น เป็นโรงเรียนนายร้อยประถม เมื่อนายพันตรีหลวงสรวิเศษเดชาวุธเป็นผู้บังคับการแล้ว จึงได้เปิดโรงเรียนนายร้อยชั้นมัธยมขี้นเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๓๖ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาเปิดด้วยพระองค์เอง และพระราชทานพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า
“...ขอเตือนไว้หน่อยหนึ่งว่า กรมทหารทั้งหลายคราวมาแล้ว แรกจัดการก็ตึงตังแข็งแรงกวดขัน ครั้นลงปลายมือก็มักซวนซาอ่อนทรามไป จะจัดการอันใดขอให้ตั้งมั่นเป็นหลักฐาน อย่าให้เป็นการแต่อวดกันมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง...”
หลวงสรวิเศษเดชาวุธได้สร้างความก้าวหน้าให้แก่โรงเรียนนายร้อยแห่งนี้มาก ในปี พ.ศ.๒๔๔๑ จีงได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระสรวิเศษเดชาวุธ
ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ได้มีการจัดระเบียบกองทัพขึ้นใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนชื่อกรมกองทหาร เช่น
กรมทหารรักษาพระองค์ เป็น กรมทหารบกราบที่ ๒
กรมฝีพาย เป็นกรมทหารบกราบที่ ๓
กรมทหารม้า เป็น กรมทหารบกราบที่ ๔
กรมทหารส่วนวัง เป็น กรมทหารบกราบที่ ๑๑
ในปีเดียวกันนี้ ยังได้จัดตั้งกองทหารบกตามหัวเมืองต่างๆ และแยกออกเป็นมณฑล มีผุ้บัญชาการแต่ละมณฑลขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม ในการนี้ นายพันตรีพระสรวิเศษเดชาวุธ ได้ย้ายจากผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อย ไปเป็น ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกกรุงเทพฯ พร้อมกับได้เลื่อนยศขึ้นเป็น นายพันโท
นายพันโทพระสรวิเศษเดชาวุธอยู่ในตำแหน่งนี้เพียงปีเดียว ก็ต้องย้ายไปรับตำแหน่ง ยกกระบัตรกองทัพบก พร้อมกับได้รับโปรดเกล้าฯเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาพหลพลพยุหเสนา ปลัดทัพบก และได้รับโปรดเกล้าฯเป็นองคมนตรีด้วย
อยู่ในตำแหน่งปลัดทัพบกได้ ๒ ปี นายพันโทพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็ได้ย้ายไปเป็น รองผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ซึ่งมีจอมพลกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชเป็นผู้บัญชาการ และได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายพันเอก ต่อมาไม่นานก็ได้เลื่อนอีกครั้งขึ้นเป็น นายพลตรี และได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระยาสีหราชเดโชชัย พร้อมกับได้รับพระราชทานพานทองด้วย
ในคราวที่เกิดกบถเงี้ยวยึดเมืองแพร่ใน พ.ศ.๒๔๔๔ จอมพลกรมหลวงนครไชยศรีฯเสด็จไปราชการที่ยุโรป นายพลตรีพระยาสีหราชเดโชชัยรั้งราชการกรมยุทธนาธิการแทน เมื่อทราบข่าวจึงโทรเลขถึงเจ้าเมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก และเมืองตาก ให้เกณฑ์ราษฎรและจัดหาอาวุธเท่าที่จะหาได้ ต้านพวกเงี้ยวไว้ก่อน ราษฎรทั้ง ๓ จังหวัดได้ยันเงี้ยวไว้ที่เขาพลึง รบกันดุเดือดเป็นเวลา ๓ วัน ล้มตายกันมากทั้ง ๒ ฝ่าย
ขณะเดียวกัน กรมยุทธนาธิการก็สั่งการให้ จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เป็นแม่ทัพ เคลื่อนกำลังไปปราบเงี้ยวโดยด่วน พวกเงี้ยวได้เข้าตีเมืองอุตรดิตถ์และลำปาง แต่เจ้าเมืองได้นำราษฎรต่อต้านไว้ จนกองทัพจากกรุงเทพฯไปถึง พวกเงี้ยวจึงถูกปราบปรามจนราบคาบ
การวางแผนและสั่งการอย่างฉับไวของนายพลตรีพระยาสีหราชเดโชชัยในครั้งนี้ เมื่อเสร็จศึกเงี้ยวแล้ว จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯเลื่อนยศขึ้นเป็นนายพลโท
ครั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ในปี ๒๓๕๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และโปรดเกล้าฯให้นายพลโทพระยาสีหราชเดโชชัย ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี พร้อมเลื่อนยศขึ้นเป็น นายพลเอก
ในปี ๒๔๕๖ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชสิ้นพระชนม์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม และเป็นเสนาบดีเต็มตำแหน่งในปี ๒๔๕๗ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๕๘ ปี
ในปีเดียวกันนี้ ในพระราชพิธีฉัตรมงคล พระบาทสเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายพลเอกพระยาสีหราชเดโชชัย เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต พร้อมกับเลื่อนยศขึ้นเป็น จอมพลแห่งกองทัพบก
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมอยู่นี้ จอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ได้สร้างความแข็งแรงก้าวหน้าให้กองทัพไทยเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้ตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารบกขึ้นใน พ.ศ.๒๔๕๗ โดยอาศัยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นที่อบรม เรียกว่า “กองพยาบาลทหารบก” เพื่ออบรมให้ทหารเสนารักษ์ได้เรียนรู้วิธีพยาบาลในสนาม และรักษาพยาบาลทหารกับพลเรือนในยามปกติ
ใน พ.ศ.๒๔๕๗ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้น ไทยเราดูท่าทีอยู่ถึง ๓ ปี จึงได้ตัดสินใจประกาศสงครามกับเยอรมันเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ และส่งทหาร ๑,๒๕๐ นายไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร นำธงไตรรงค์ที่เพิ่งประกาศใช้ไปสะบัดในยุโรป และเป็นประเทศที่เป็นฝ่ายชนะสงครามในครั้งนี้ด้วย
การเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในครั้งนี้ เป็นพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะ แต่การจัดกองทหารไปร่วมรบในยุโรปได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ เป็นผลงานของ จอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต
พระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าฯทรงยกย่องจอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตอย่างมาก ทรงรับสั่งเรียกว่า “อาบดินทร์” และตั้งแต่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตมีอายุ ๖๐ ปีเป็นต้นมา ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานรดน้ำในวันสงกรานต์ทุกปี
นอกจากนี้ ในบรรดาเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ที่ท่านเจ้าพระยาได้รับพระราชทานนั้น มีพิเศษสุดอยู่เหรียญหนึ่งคือ “นพรัตน์ราชวราภรณ์” ซึ่งเหรียญนี้แม้แต่เจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าต่างกรม ก็ได้รับในระดับชั้นผู้ใหญ่บางองค์เท่านั้น ส่วนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งแผ่นดินได้รับเพียง ๓ ท่านเท่านั้น คือ ในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานแก่สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ส่วนในรัชกาลที่ ๖ ก็มีแต่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตแต่เพียงท่านเดียว
จากความรู้พออ่านออกเขียนได้ และเริ่มเข้ารับราชการในตำแหน่งพลทหาร ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล ใช้เวลา ๔๒ ปีก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง จอมพลแห่งกองทัพบก เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และมีบรรดาศักดิ์ชั้น เจ้าพระยา อันเป็นสูงสุดของข้าราชการ อะไรคือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของท่าน
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกเฉลยเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า
“...เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ก็มิได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ลึกซึ้งอย่างคนชั้นหลัง และไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ฤาได้เคยไปดูแบบธรรมเนียมในนานาประเทศ เหตุใดจึงสามารถรับราชการได้ดีทุกหน้าที่ตลอดมา จนได้เป็นถึงจอมพลและเป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม และในที่สุดได้รับพระราชทานถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ อันเป็นเกียรติสูงพิเศษ ควรนับว่าเป็นยอดประวัติของท่าน ข้าพเจ้าสันนิษฐานโดยได้เป็นมิตรคุ้นเคย อุปนิสัย ๓ อย่าง เป็นเครื่องประกอบกับสติปัญญาของท่าน คือ ความซื่ออย่าง ๑ ความสัตย์อย่าง ๑ และความเพียรอย่าง ๑ คุณสมบัติทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นสำคัญในอัธยาศัยของท่าน ทั้งในหน้าที่ราชการและการติดต่อกับมิตรสหาย ความสัตย์นั้นเป็นนิจศีลของท่าน มิได้ปล่อยให้โลกธรรมครอบงำให้ผันแปรไปด้วยประการใดๆ และความเพียรนั้นเป็นเกียรติคุณของท่านที่ประกอบกิจทั้งปวง ไม่ว่าการยากง่ายใหญ่น้อยอย่างใด ลงได้ทำแล้วคงพยายามให้งานได้สำเร็จตามประสงค์ ฤาตามคำสั่งของผู้ใหญ่ในเวลาที่ท่านยังเป็นผู้น้อย นอกจากคุณสมบัติทั้ง ๓ ประการที่กล่าวมา คือที่มีไมตรีจิตรต่อผู้อื่นทั่วไปเป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงเป้นที่เคารพรักใคร่ไว้วางใจของผู้อื่น ทั้งญาติและมิตร และผู้ร่วมราชการ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมาถึงผู้น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ การงานทั้งปวงที่ท่านทำ คือราชการในหน้าที่เป็นต้น ก็ย่อมเป็นศุภผล เป็นเหตุให้ท่านได้รับความเจริญรุ่งเรืองมาจนตลอดอายุของท่าน”
จอมพลเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ได้ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๖๔ อายุได้ ๖๕ ปี ขณะยังดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จไปทรงรดน้ำศพ และพระราชทานโกศมณฑปและเครื่องประกอบเกียรติยศตามบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาเสนาบดีชั้นสูง และต่อมาเมื่อสร้างพระเมรุท้องสนามหลวงถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรสแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เป็นเสนาบดี มีเกียรติยศเนื่องในราชตระกูล ทั้งได้สนองพระเดชพระคุณมีความชอบความดีมาเป็นอันมาก สมควรจะพระราชทานเพลิงศพที่เมรุกลางเมืองได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กำหนดการแห่ศพเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตด้วยกระบวนทหารตามเกียรติยศจอมพลมายังพระเมรุ และพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๖๕