xs
xsm
sm
md
lg

“นักการเมืองไร้แผ่นดิน” ล้วนเคยมีอำนาจล้นฟ้ากันทั้งนั้น! แค่นายกรัฐมนตรีคนแรกก็โดนแล้ว!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
เมื่อเริ่มใช้ประชาธิปไตยกัน เราก็มี “นักการเมืองไร้แผ่นดิน” มาตลอด แต่ละคนล้วนเป็นดาวเด่นที่เคยมีอำนาจล้นฟ้ากันทั้งนั้น ต่างต้องรับชะตากรรมที่ไม่สามารถอยู่ในประเทศของตัวเองได้ เพราะ “สถานการณ์ไม่เหมาะสม” บ้างก็ถูกเนรเทศ บ้างก็เนรเทศตัวเอง ที่ไปแบบแปลกใหม่กว่ารุ่นพี่ในขณะนี้ ก็คือ “หนีคำพิพากษาศาล” ส่วนใครไปนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตของแต่ละคน หลายคนก็ต้องคอย “สถานการณ์ที่เหมาะสม” ไปจนจบชีวิตในต่างแดน กลับมาได้แค่อัฐิ

รายแรกที่ต้องสังเวยให้กับระบอบประชาธิปไตย เป็นถึงพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ คือ จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้มีทั้งบารมีและอำนาจล้นฟ้า ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญมามากมาย เรียกขานกันว่า “จอมพลบางขุนพรหม” เพราะเป็นเจ้าของวังที่โอ่อ่าสง่างามที่สุดในบรรดาวังเจ้าฟ้า ปัจจุบันก็คือที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทย
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
ในวันยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จไปประทับพระตำหนักไกลกังวล หัวหิน คณะราษฎรจึงควบคุมพระองค์เป็นตัวประกันเพื่อป้องกันการต่อต้าน

หลังจากที่ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยคณะแรกได้สำเร็จแล้ว เพื่อความสงบของบ้านเมือง กรมพระนครสวรรค์ฯ จึงถูกทูลเชิญให้เสด็จออกนอกประเทศโดยรถไฟขบวนพิเศษที่ห้ามหยุดทุกสถานี มุ่งสู่ปีนังในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๔๗๕ จากนั้นก็เสด็จต่อไปลี้ภัยในชวา ซึ่งตอนนั้นอยู่ในความปกครองของฮอลันดา ทรงใช้ชีวิตสงบด้วยการทรงดนตรีไทยและแต่งเพลงไทยเดิมอยู่ที่เมืองบันดุง จนสิ้นพระชนม์ชีพในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๔๘๗ ขณะพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา

หลังจากที่ “จอมพลบางขุนพรหม” ต้องเสด็จออกนอกประเทศเพียงปีเดียว คนที่ตามไปก็คือนายกรัฐมนตรีคนแรก ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีไร้แผ่นดินคนแรกด้วย
พระยาทรงสุรเดช
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เนติบัณฑิตอังกฤษ ได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ด้วยเหตุผลว่า เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีหัวก้าวหน้า และมีความใกล้ชิดกับฝ่ายเจ้า คงจะช่วยให้ความขัดแย้งในการยึดอำนาจผ่อนคลายลงได้ แต่พระยามโนฯ ถูกลูกยุของฝ่ายที่แค้นคณะราษฎร โดยเฉพาะกลุ่มที่โกรธแค้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ดร.ปรีดี พนมยงศ์ ผู้ต้นคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงฉวยโอกาสที่มีเสียงข้างมากใน ครม. ประกาศปิดสภาผู้แทนที่เสียงข้างมากเป็นของคณะราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ยื่นข้อหาคอมมิวนิสต์ให้หลวงประดิษฐ์ฯ และเนรเทศออกนอกประเทศ ทั้งๆ ที่หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นผู้เสนอชื่อพระยามโนฯ เป็นนายกฯ และทำท่าว่าจะนำการปกครองถอยหลังลงคลองอีก

ด้วยเหตุนี้ พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม ผู้ก้าวขึ้นมาเป็นทหารเอกของคณะราษฎร จึงต้องยึดอำนาจอีกครั้ง พร้อมกับยื่นข้อหาผู้ทรยศต่อระบอบประชาธิปไตยให้นายกรัฐมนตรีคนแรก จากนั้นก็เชิญขึ้นรถด่วนสายใต้ไปในเส้นทางเดียวกับกรมพระนครสวรรค์ฯ ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดาลี้ภัยอยู่ที่ปีนังจนจบชีวิตที่นั่นในอีก ๑๕ ปีต่อมา

ในการยึดอำนาจในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เสนาธิการผู้วางแผน ก็คือ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ผู้สำเร็จจาก ร.ร.เสนาธิการทหารเยอรมัน แต่เมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วพระยาทรงฯ กลับแตกคอกับคณะราษฎร นำอีก ๒ ทหารเสือหันไปสนับสนุนพระยามโนฯ จนกล้าสั่งปิดสภาเพราะคิดว่ามีกำลังทหารเหนือกว่า แต่ตอนที่พระยามโนฯถูกยึดอำนาจ นายกรัฐมนตรีคนแรกถูกเนรเทศทันทีเพราะมีแค่ปากกาด้ามเดียว ส่วนพระยาทรงฯ ผู้เป็นเสนาธิการให้พระยามโนฯ มีบารมีอยู่ในกองทัพ คณะราษฎรจึงไม่กล้าหักหาญ พระยาทรงฯ ก็รู้ตัวดีจึงหลบไปอยู่ลังกาเสีย ๒ ปี
ดร.ปรีดี พนมยงค์ กับเมาเซตุง
ในปี ๒๔๗๘ พระยาทรงฯ เห็นว่า “สถานการณ์เหมาะสม” แล้ว จึงกลับเข้ามา และเสนอต่อกระทรวงกลาโหมขอตั้งโรงเรียนรบขึ้นที่เชียงใหม่ ซึ่งสภากลาโหมก็อนุมัติ พระยาทรงฯ จึงนำนายทหารชั้นหัวกะทิ ๒๙ คนขึ้นไปเรียนกันที่นั่น แต่ พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม รมต.กลาโหม สงสัยว่าจะเป็นการไปซ่องสุม จึงส่งหน่วยสืบราชการลับติดตามทุกระยะ

เมื่อรุ่นแรกจบหลักสูตร พระยาทรงฯ นำลูกศิษย์ตระเวนดูงานตามกรมกองต่างๆ หลวงพิบูลฯ เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ศัตรูเก่าเป็นหอกข้างแคร่อีกต่อไป พอไปถึงกรมทหารราชบุรี พระยาทรงก็ได้รับซองขาวมีข้อความให้ออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้ออกนอกประเทศ พระยาทรงฯ พร้อมด้วย ร.อ.สำรวจ กาญจนกิจ นายทหารติดตามซึ่งโดนข้อหาเดียวกัน จึงถูกคุมตัวขึ้นรถไฟไปอรัญประเทศ ส่งข้ามแดนเข้าไปขอลี้ภัยในอินโดจีนของฝรั่งเศส
ชีวิตลี้ภัยที่ต้องเร่ร่อนอยู่ในพนมเปญและไซ่ง่อน อดีตเสนาธิการผู้ปราดเปรื่องของกองทัพไทยไม่ได้สะสมเงินไว้ตอนมีอำนาจ จึงต้องเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมกล้วยขาย โม่แป้งด้วยตัวเอง

ในปี ๒๔๘๗ ณ ตำหนักร้างของราชวงศ์เขมร ชานกรุงพนมเปญ เสนาธิการผู้วางแผนยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ ก็ต้องจบชีวิตรันทดลงด้วยโรคที่หมอลงความเห็นว่า “โลหิตเป็นพิษ” แต่โรคอันแท้จริงที่คร่าชีวิตทหารเสือของคณะราษฎรผู้นี้ ก็คือความจนนั่นเอง

ต่อมาก็ถึงคิวของผู้เป็นต้นคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางการเมืองมาตลอดตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ และเคยถูกพระยามโนฯเนรเทศไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อพระยามโนฯถูกยึดอาจ คณะราษฎรจึงนำ ดร.ปรีดีกลับมามีบทบาทอีก ตามปกติ ดร.ปรีดีจะอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ชักใยเหตุการณ์สำคัญของชาติมาตลอด แต่แล้วในเดือนมีนาคม ๒๔๘๙ ก็หมดหมากให้เดิน จำต้องลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอง แม้ปรีดีจะมีลูกศิษย์และสาวกศรัทธาเทิดทูนอยู่มาก แต่คนที่เกลียดชังก็มีอยู่ไม่น้อย เรียกว่าทั้งรักทั้งชังแรงด้วยกันทั้งคู่ เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามนำเรื่องคดีสวรรคต ร.๘ มายัดเยียดให้ ปรีดีก็ประกาศวางมือจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนตัวให้ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ มาชนแทน แต่ทว่าสถานการณ์ก็สุกงอมเสียแล้ว เปิดทางให้กลุ่มคนถืออาวุธที่คอยจ้องหาโอกาส

กลางดึกของคืนวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ในขณะที่ทหารกลุ่มหนึ่งนำรถถังไปควานหาตัว พล.ร.ต.ถวัลย์ทั่วฟลอร์ลีลาศสวนอัมพร รถถังอีกคันก็พุ่งชนประตูทำเนียบท่าช้างเข้าไป เพื่อเชิญ ดร.ปรีดีไปคุยกับหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่ท่าน“รัฐบุรุษอาวุโส”เผ่นลงเรือไปก่อนหน้านั้นหวุดหวิด

และนั่นก็เป็นการปิดฉากผู้ที่มีบทบาททางการเมืองคนสำคัญของประเทศไทย ต้องลี้ภัยไปจีนและต่อไปฝรั่งเศส ไม่มีโอกาสได้กลับมาสู่แผ่นดินบ้านเกิดอีก จนกระทั่งเสียชีวิตที่ชานกรุงปารีสในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖

ในที่สุดก็ถึงวาระของผู้ที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในระบอบประชาธิปไตย แม้จะได้รับฉายาว่า “นายกฯตลอดกาล” ก็ไม่รอดวัฎจักรนี้เหมือนกัน
จอมพล ป.พิบูลสงคราม
จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือ หลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน เป็นนายกรัฐมนตรีถึง ๘ สมัย รวม ๑๔ ปี ๑๑ เดือน ๒๑ วัน แม้จะมีศัตรูทางการเมืองมาก ถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่คดีอาชญากรสงครามที่เพื่อนร่วมศึกอย่างนายพลโตโจ มุสโสลินี ถูกแขวนคอเป็นแถว แต่จอมพลป.ก็รอดอยู่ได้รายเดียว
แต่แล้วในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล ป.ผู้ยัดเยียดชะตากรรมอันขมขื่นให้ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เพื่อนร่วมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองมาด้วยกัน ก็ต้องเป็นฝ่ายขับรถออกจากทำเนียบรัฐบาลกลางดึก มุ่งสู่จังหวัดตราดเพื่อต่อเรือไปเกาะกง ลี้ภัยอยู่ในเขมรพักหนึ่ง ก่อนจะไปบวชที่อินเดีย แล้วสึกไปใช้ชีวิตสงบกับท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามคู่ชีวิต ที่ชานเมืองโตเกียว จนจบชีวิตที่นั่นในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๗

ขณะที่จอมพล ป. สมาชิกคณะราษฎรคนสุดท้ายที่อยู่บนเวทีการเมือง กำลังควบตะบึงรถสปอร์ตอเมริกัน ธันเดอร์เบิร์ด หนีไปกลางดึก “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ขุนพลผู้ค้ำบัลลังก์จอมพล ป. ซึ่งชักปืนช้ากว่าขุนพลค้ำบัลลังก์อีกคน ก็เดินเข้าไปในกองบัญชาการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์อย่างไม่สะทกสะท้าน และบอกกับหัวหน้าปฏิวัติที่ประกาศเรียกตัวว่า

“อั๊วมาแล้วโว้ย...จะเอายังไงก็ว่ามา”

จอมพลสฤษดิ์ก็คงเกรงใจบรรดาลูกน้องของจอมอัศวินที่สร้างตำรวจขึ้นมาเป็นกองทัพ จึงจับเขาส่งขึ้นเครื่องบินไปสวิตเซอร์แลนด์ในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับ ๒ อัศวินคู่ใจ ในตำแหน่งทูตทั้ง ๓ คน
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์
แม้จะมีข่าวว่า พล.ต.อ.เผ่ามีเงินฝากอยู่ในธนาคารสวิสมหาศาล แต่คนเคยมีอำนาจเหลือแต่เงิน ก็คงเฉาไม่น้อย เลยจบชีวิตลงด้วยโรคหัวใจในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ ที่บ้านพักริมทะเลสาบเจนีวา

ในวันนี้ ก็มีนายกรัฐมนตรีอีก ๒ คนที่ตกอยู่ในชะตากรรมนี้ และยังเป็นข่าวอยู่ทุกวัน คงไม่ต้องเล่าซ้ำอีก ต้องเฝ้าดูกันต่อไปว่า จะจบแบบรุ่นพี่ที่ไม่มีใครได้กลับเลย หรือจะมีอภินิหารสุดซอย

ชะตากรรมของนักการเมืองไร้แผ่นดิน แม้จะต้องลี้ภัยไปตายต่างแดนเหมือนกัน แต่การจากไปของแต่ละคนก็แตกต่างกันในความรู้สึกของประชาชน และในบันทึกของประวัติศาสตร์

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่แต่ละคนก่อไว้นั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น