“เทพ โพธิ์งาม” เคยผ่านการทำธุรกิจมาหลาย ซึ่งลงท้ายด้วยคำว่า ‘ขาดทุน’ หรือ ‘เจ๊ง’ ซึ่งนอกจากจะสร้างความสิ้นเนื้อประดาตัวให้กับเขา มาแทบทุกครั้ง แต่อีกมุมหนึ่ง นั่นคือภาพสะท้อนว่า เลือดนักสู้ในตัวของผู้ชายคนนี้ไม่เคยจางหายไป

และเมื่อธุรกิจ “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” ของเขากำเนิดขึ้น ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากทั้งแฟนคลับและลูกค้าขาจร จนอาจจะเรียกได้ว่า การลงทุนของเขาได้ก่อร่างสร้างตัวให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่ารายได้อาจจะทำให้เขายังฟื้นตัวขึ้นมาไม่ได้ แต่อย่างน้อย การต่อสู้ครั้งใหม่ ระหว่าง ‘เทพ โพธิ์งาม’ กับการใช้ชีวิต ก็ได้ถูกปลุกให้ขึ้นมาอีกครั้ง

ชีวิตคือการลงทุน
ล้มบ้าง ก็ช่างปะไร
“คำถามที่ว่าตั้งแต่ทำธุรกิจมา แล้วล้มเหลวทุกอย่างนั้น เป็นคำถามที่โดนถามบ่อยมาก เล่าจนเป็นวุ้นเป็นเบียร์แล้ว สรุปคือ เจ๊งเยอะ ผมว่ามันเป็นความคิดส่วนตัวเลย ว่าเราอยากจะทำอะไรล่ะ เมื่อเกิดมาแล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำไปสิ อะไรอย่างงี้ ผมคิดแค่นี้จริงๆ ผมไม่คิดว่าผมทำแล้วจะต้องร่ำรวยมหาศาล มีเงินมากมาย
“ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำอาจจะพาเราจนก็ได้ เราก็รู้อยู่นะ แต่ให้พอเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเป็นยังไง สิ่งไหนที่คนบอกว่ายาก อันนี้มึงเข้าลำบากนะ มันทำไมได้นะ แต่กูก็เหมือนมันนี่แหละ แล้วมันเป็นยังไง แล้วคิดแค่นี้เอง และเจ๊งจริงๆ (หัวเราะ)

“ปัจจัยหนึ่งที่เราคิดว่าทำธุรกิจอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จ คือ สิ่งประกอบครับ ผมว่าถ้าผมทำด้วยตัวเอง ไม่มีสิ่งใดมาคอยยื้อ คอยกัน มีลักษณะที่มีสัดส่วนมากมาย ผมว่าผมทำได้นะ แต่สิ่งที่เราทำไม่สำเร็จ ผมว่ามันมาจากสิ่งประกอบรอบข้างหลายๆ อย่าง มีทั้งบรรยากาศ มีทั้งกฎหมายของบ้านเมืองที่บางครั้งเราทำอะไรไม่ได้มากมาย ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้บางครั้งส่งผลให้เราทำได้ไม่ได้อย่างใจ มันก็เลยไปไม่ได้เหมือนกัน
“ผมว่าการทำธุรกิจ เขาก็มองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึง ก็ทำให้มาบดมาบัง บางครั้งจะไปถึงจุดแล้วโคตรยากเลย บ้านเราเป็นอย่างงี้จริงๆ ซึ่งเราก็เจ๊งมา 20-30 ครั้งได้แล้วมั้ง ทำจนไม่อยากที่จะนึกมันแล้ว เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งอะไรที่ทำไปแล้ว จะไม่เก็บมาใส่สมอง แม้กระทั่งตอนเล่นตลก เราก็ไม่เอาคำเก่ามาเล่น เพราะสมองเราจะคิดว่า เล่นไปแล้ว ทิ้งๆ ไปเลย จะเล่นใหม่ ดีไม่ดี ช่างมัน เพราะยังดีกว่าเอาของเก่ามาเล่น ผมคิดว่าถ้าเราเอาของเก่าๆ มาใส่ไว้มากๆ จะไม่มีช่องว่างให้ของใหม่มาอยู่ได้”

ตึกแถวอสังหาริมทรัพย์
คือการเจ็บหนักที่สุด
“สำหรับธุรกิจที่เราลงทุนแล้วถือว่าโดนหนักสุดนั้น น่าจะเป็นตอนที่ไปทำตึกริมถนนนี่แหละ เริ่มจากเราไปซื้อที่เขา 100 ตารางวา เราก็ได้ 5 ห้อง ตึกแถว ในสมัยก่อนไง คืออย่างที่บอกว่า เราอยากจะลองดูว่ามันเป็นยังไง เห็นเขารวยเป็นพันๆ ล้าน หมื่นล้าน เราก็เลยลองบ้างว่ามันเป็นยังไง แค่นั้นเอง นั่นแหละ ก็เจ๊งไปหลายล้าน จนทุกวันนี้ คืออย่างที่บอก ซึ่งตอนนั้นก็ตารางวาละประมาณ 10,000 เหมือนกันนะ ถือว่าโอเค ราคาตอนนั้นก็ใช้ได้นะ เพราะอย่างห้องหนึ่ง ก็ตกประมาณห้องละล้านกว่าบาทแน่ๆ แต่ทุนที่เราลงไป ก็ประมาณ 5-6 แสนเท่านั้นเอง คือเราลงทุนไปก็คิดว่ากำไรเห็นๆ
“หลังจากนั้น ทุกคนก็มาจองกันแล้ว เราก็ไปคุยกับธนาคารเรียบร้อย เขาก็ทำเป็น OD อะไรมาเรียบร้อยแล้วละ ซึ่งตอนแรกก็เอาเงินตัวเองก่อน พอถึงชั้นสองก็ไปคุยกับธนาคาร เพราะถือว่าตอนนั้นก็มีตังค์อยู่บ้าง เชื่อมั้ยว่าเงินที่เราได้จากการทำงานในวงการ เราเอามาลงทุนจนเจ๊งหมด พอถึงชั้นสอง คนก็มาจองได้ราคา 1.2 ล้าน บางคนก็อย่างต่ำก็ล้านนึง อย่างน้อยก็ได้ห้องนึงก็ 2-3 แสน 5 ห้องที่เรามีก็มีคนจองครบเรียบร้อย แต่ว่าเขายังไม่วางเงินไง คือเราไปเห็นกลางลำแล้ว แต่ว่ามันไปหักกลางลำก็มี

“คือตอนนั้น เขาก็จะมาวางเงินมัดจำกันอยู่แล้ว บางคนที่เขามาวาง เราก็อยากให้เขาวางเงินในวันนั้นไง เขาก็บอกว่าดูก่อน ให้ขึ้นชั้นสาม สักนิดหนึ่ง ก็ตีเป็น ล้านห้า ล้านหกได้ สมัยก่อน พอคนเยอะ เราก็เพิ่มหน่อย เชื่อมั้ยว่า ขณะที่ชั้นสองกำลังจะก่อเท่านั้นเอง สงครามอิรัก-อเมริกา มันมาพอดีเลย บวกกับต่อมาเจอวิกฤติฟองสบู่แตก และ รัฐประหาร รสช. มา ทำให้ 2-3 อย่างมาพร้อมกัน รวมกันตรงนั้นพอดีเลย มันก็ทำให้ธุรกิจเราชะงัก คนที่จะมาจอง เขาก็ไม่เอาแล้ว แล้วธนาคารก็งดสินเชื่อก่อนในช่วงนั้น แล้วบวกกับเหตุการณ์ที่เราเล่ามา ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดไปก่อน
“สรุปเวลาจากการลงทุนตรงนั้น ทั้งหมด 3 ปี คือสร้างเสร็จหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อไปไง ซึ่งเราก็รอว่าสงครามจะเลิกเมื่อไหร่ แล้วก็ยังคาที่ 2 ชั้นอยู่ กำลังจะขึ้นชั้นสามแล้ว พอเกิดวิกฤตที่ว่า เขาจะมาทำไมล่ะ สรุปคือสินเชื่อไม่ปล่อย ซึ่งนอกจากเงินเก็บแล้ว ก็มีเงินกู้มาเยอะ ซึ่งทุกวันนี้ เงินที่เราได้มาจากการเล่นหนังเล่นละคร ก็เอาไปใช้หนี้ตรงนี้หมด จ่ายดอกมั่ง แล้วเราก็เลี้ยงสัตว์เยอะ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจะไปขายให้ใคร ซึ่งผมว่ามันกะเกณฑ์ไม่ได้นะ ในชีวิตคนเรา คือเราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกซักครั้งก็ยังดี”

ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ
ต่อยอดจากความไม่ชอบ
“เราชอบขนมที่มันฟิตและแน่นเปรี๊ยะ เราก็เลยทำขนมเปี๊ยะดีกว่า แต่จุดเริ่มก็มาจากตอนที่ไปบ้าทำร้านหมูกระทะ ซึ่งก็เจ๊งอีก อันนั้นหมดไป 2 ล้านได้ ซึ่งถือว่าแย่หนักเลย ไปยืมเขามา ทุกวันนี้ก็ต้องใช้เขา เพราะว่าในตอนนั้น เราก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เราไม่เอาอะไรแล้ว ส่วนที่มาทำนี่คือ เราไปเรียนจากวิทยาลัยสารพัดช่าง สมุทรปราการ แต่ว่าเราไม่ชอบกินขนมเปี๊ยะนะ ตอนนั้นคิดว่าจะมาเปิดร้านกาแฟ จะเป็นแบบว่ามีขนมอยู่ในร้านกาแฟ เรามีที่อยู่ 50 ตารางวา จะไปทำอะไรดี เราก็ขอเช่าเขาวันละ 100 ตกเดือนละ 3000 แล้วก็มีทำเป็นเพิงอยู่ กะไว้ขายกาแฟแล้วมีขนมเปี๊ยะและซาลาเปาอยู่
“คืออยากจะไปเรียน แล้วก็ปรึกษาหลายๆ ที่ คนข้างบ้าน ก็บอกว่าให้ไปสถานที่ๆบอกเมื่อกี้ เราก็จะไปๆ หลายรอบ จนในที่สุด อาจารย์เขาก็มาสอนให้เราจนได้ คือตอนนั้นก็แค่คิดนะ แต่ไม่ได้อยากทำเท่าไหร่ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรไง แล้วหนี้ก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ มันรู้สึกว่าหมดทาง เราก็รู้สึกว่า เหลือเครื่องปั่นแป้งเก่าๆมาหน่อยกับเครื่องอบ เราก็คิดเอาไงดีวะ ก็คิดว่า ลองขายขนมเปี๊ยะมั้ย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ชอบกินขนมนี้นะ จนในที่สุดเราก็เปิดร้านกาแฟจนได้ และมีขายข้าวแกงด้วย

“ขายไปขายมา ปรากฏว่ามันขายดี แรกๆ คนก็มากินเยอะ แต่ว่ายอดก็ได้เท่านั้น เพราะว่าเราลงทุนนิดเดียว มันก็ได้พอหมดๆ กัน คนก็เลยมาติด แต่ปรากฎว่าต่อมา ทำอาหารตามสั่ง แล้วคนเบื่อใหญ่เลย เพราะว่าทำทีนึงลูกค้าต้องรอเป็นชั่วโมง จนกระทั่งเหลือขนเปี๊ยะขึ้นมาอย่างเดียว จนข้าวที่ขายต้องหยุดหมด มาเอาจริงเอาจังกับขนมเปี๊ยะนี่แหละ แรกสุดนี่คือขายดีนะ เฉลี่ยวันนึงขายได้ 5-6 หมื่นเลย
“ผมดูกำลังของคนที่ซื้อของเราไง ซึ่งมีคนบอกว่าอร่อยตั้งเยอะ แล้วก็มีคนบอกว่าไม่อร่อยก็มาก ซึ่งบางคนก็บอกว่าอร่อยนะ ซึ่งเราก็มีพูดบ้างก็มี แรกสุดมันมีแค่ไส้ถั่วเหลืองไง ลูกเล็กๆ หนาๆ นี่คือรุ่นแรกไง แต่ก็มีคนบ่นว่า มีแป้งมาก ผมก็เปลี่ยนมาแป้งน้อยลง แต่เพิ่มเนื้อ สมมุติว่าทุเรียนนี่คือเต็มก้อนเลย แป้งจะบาง ซึ่งเราขายราคาลูกละ 50 บาท เพราะว่าเนื้อไส้มันเต็มๆ เลย 1 กิโลกรัม ทำได้เฉลี่ย 16-17 ลูกได้”

อย่าซื้อเพราะสงสาร
ให้ซื้อเพราะคุณภาพ
“พอดีลูกสาวก็ไปอ่านเจอในโลกออนไลน์ เขาบอกว่าซื้อไปงั้น ซื้อเพราะสงสารมัน ลูกอ่านแล้วจะไปว่าเหมือนกัน แต่เราก็ห้ามไว้ว่า เพราะเขาพูดตามความคิดของเขาเฉยๆ เขาก็อยากจะช่วยเราจริงๆ แหละ คือห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ เขาก็คิดอย่างงั้น แต่ลูกสาวก็บอกว่า ซื้อของพ่อก็อย่าไปสงสารพ่อละกัน ไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ อย่าไปคิดอย่างงั้น
“คือเราทำสินค้าไป ก็ต้องเช็คเลย เชื่อมั้ยว่ามันเป็นหลายแสนเลยนะ คือถ้าผ่านไป 4-5 วัน เราก็ไม่อยากขายแล้ว เพราะกลัวว่าจะไปเสียที่เขาอีก การใช้คนกับเครื่องจักร มันไม่เหมือนกันนะ นี่คือทำมือหมดเลย ยกเว้นไส้ที่ต้องใช้เครื่องจักร ตอนนี้เราไม่ได้ทำมือแล้ว เพราะว่ามีเด็กๆ ประมาณ 10 คนมาช่วยทำ คือลูกมือผมทำมาตั้งแต่อายุ 17-18 จนตอนนี้ 60 กว่าแล้ว (หัวเราะ)

“ซึ่งพอมีเครื่องจักร ผมก็เอาพวกเขานี่แหละมาช่วย เพราะว่า เขาก็คุมเครื่อง คุมบรรจุได้แล้ว อายุเขาขนาดนั้นก็สงสาร ก็มาทำงานด้วยกันละครับ อีกอย่างเราก็มีความคิดว่า อยากจะส่งออกด้วย เพราะเราก็สืบมาว่าทางเมืองจีน เขากินทุเรียน เลยทำไส้ทุเรียนขึ้นมา ซึ่งอาจจะทำเครื่องจักรขึ้นมา แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะ หนึ่ง มันยังไม่ได้มาตรฐานตรงที่ว่า ขนมยังอยู่ไม่นาน ก็ว่าจะไปปรึกษาสักที่ แล้วต้องมีเครื่องจักร ตรงที่ฉีดอากาศออก แล้วอบด้วยสุญญากาศ อาจจะอยู่ได้เป็นเดือน แต่ปัจจุบันนี้อยู่ได้แค่ 4-5 วันเอง
“ทุกวันนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ทุกเดือน ก็ใช้วิธียืมมาโปะบ้าง เล่นละคร เล่นหนังบ้าง มาโปะตรงนี้หมด ซึ่งเราคิดว่าคงไม่มีทางที่จะรวยในชาตินี้แล้ว เพราะดูแล้วว่าภาระมันมากจริงๆ ทั้งลูกหลาน และสัตว์ๆ คือถ้าจะซื้อของๆ เรา ซื้อเพราะความอร่อย อย่าซื้อเพราะความสงสาร เราฟังแล้วมันแร้นแค้น ส่วนรสชาติ อันนี้ก็แล้วแต่ผู้บริโภค ส่วนการเปลี่ยนเบอร์ เราว่ามันก็อยู่ตามที่ชีวิตเราเคยเป็นมา เราว่าทุกอย่างมันอยู่ที่วาสนา ดวง และกรรมของเรามากกว่า เราไม่ได้ไปคิดอะไรมากมาย คืออย่างน้อยก็ช่วยในทางจิตใจ แต่เรื่องที่สร้างมาเป็นรูปธรรม เราว่ามันอยู่ที่จิตใจเราเลย

"แต่บางทีเราก็เหนื่อยเหมือนกัน อย่างจะมีคนโทรมาตอนที่เราทำงานยุ่งๆ อยู่ เขาก็ว่าเราบ้างว่าทำไมโทรไปหลายหน ไม่รับเลย บางทีเราไปอัดละคร หรือไปทำอะไรเป็นวันๆ เลย เขาก็ว่าเรา เลยต้องเอาเบอร์ลูกสาวกับแฟนให้ไป เพราะเขามีเวลาเยอะกว่า
“คือการทำทุกอย่าง มันก็ไม่มีความสุขทั้งนั้นนะ เพียงแต่ว่าในการเป็นพ่อค้านั้น มันต้องปรับตัวยังไงเท่านั้นเอง ทุกวันนี้คือ เหมือนกับเราต้องยอม เพราะไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นพ่อค้า ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้คนมาซื้อของๆ เรา นี่คือระยะประชิดเลย เราต้องออกตลาดเลย รับอารมณ์ทุกอย่างให้มาอยู่ที่เรา ซึ่งก็คล้ายๆดารา นะ แต่สิ่งที่เราต้องการคือแค่นี้ ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร คุยกันได้ ซึ่งเวลาไปกอง อาจจะมีคนมาเทคแคร์เรา แต่ลูกหลานเราล่ะ ในเบื้องหลังล่ะ เราต้องไหว้เขาเพราะเราได้เงินไง แล้วประชาชนเขาเป็นเทพเจ้าสำหรับเรา ไหว้กลับไป ก็ไม่เสียหายนี่ ถ้าเขามาเตะเรา เราต้องไหว้เขาเลย”


ขอบคุณเนื้อหาและภาพจากรายการพระอาทิตย์ Live ทางช่อง News 1
เรียบเรียง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
และเมื่อธุรกิจ “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” ของเขากำเนิดขึ้น ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากทั้งแฟนคลับและลูกค้าขาจร จนอาจจะเรียกได้ว่า การลงทุนของเขาได้ก่อร่างสร้างตัวให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่ารายได้อาจจะทำให้เขายังฟื้นตัวขึ้นมาไม่ได้ แต่อย่างน้อย การต่อสู้ครั้งใหม่ ระหว่าง ‘เทพ โพธิ์งาม’ กับการใช้ชีวิต ก็ได้ถูกปลุกให้ขึ้นมาอีกครั้ง
ชีวิตคือการลงทุน
ล้มบ้าง ก็ช่างปะไร
“คำถามที่ว่าตั้งแต่ทำธุรกิจมา แล้วล้มเหลวทุกอย่างนั้น เป็นคำถามที่โดนถามบ่อยมาก เล่าจนเป็นวุ้นเป็นเบียร์แล้ว สรุปคือ เจ๊งเยอะ ผมว่ามันเป็นความคิดส่วนตัวเลย ว่าเราอยากจะทำอะไรล่ะ เมื่อเกิดมาแล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำไปสิ อะไรอย่างงี้ ผมคิดแค่นี้จริงๆ ผมไม่คิดว่าผมทำแล้วจะต้องร่ำรวยมหาศาล มีเงินมากมาย
“ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำอาจจะพาเราจนก็ได้ เราก็รู้อยู่นะ แต่ให้พอเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเป็นยังไง สิ่งไหนที่คนบอกว่ายาก อันนี้มึงเข้าลำบากนะ มันทำไมได้นะ แต่กูก็เหมือนมันนี่แหละ แล้วมันเป็นยังไง แล้วคิดแค่นี้เอง และเจ๊งจริงๆ (หัวเราะ)
“ปัจจัยหนึ่งที่เราคิดว่าทำธุรกิจอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จ คือ สิ่งประกอบครับ ผมว่าถ้าผมทำด้วยตัวเอง ไม่มีสิ่งใดมาคอยยื้อ คอยกัน มีลักษณะที่มีสัดส่วนมากมาย ผมว่าผมทำได้นะ แต่สิ่งที่เราทำไม่สำเร็จ ผมว่ามันมาจากสิ่งประกอบรอบข้างหลายๆ อย่าง มีทั้งบรรยากาศ มีทั้งกฎหมายของบ้านเมืองที่บางครั้งเราทำอะไรไม่ได้มากมาย ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้บางครั้งส่งผลให้เราทำได้ไม่ได้อย่างใจ มันก็เลยไปไม่ได้เหมือนกัน
“ผมว่าการทำธุรกิจ เขาก็มองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึง ก็ทำให้มาบดมาบัง บางครั้งจะไปถึงจุดแล้วโคตรยากเลย บ้านเราเป็นอย่างงี้จริงๆ ซึ่งเราก็เจ๊งมา 20-30 ครั้งได้แล้วมั้ง ทำจนไม่อยากที่จะนึกมันแล้ว เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งอะไรที่ทำไปแล้ว จะไม่เก็บมาใส่สมอง แม้กระทั่งตอนเล่นตลก เราก็ไม่เอาคำเก่ามาเล่น เพราะสมองเราจะคิดว่า เล่นไปแล้ว ทิ้งๆ ไปเลย จะเล่นใหม่ ดีไม่ดี ช่างมัน เพราะยังดีกว่าเอาของเก่ามาเล่น ผมคิดว่าถ้าเราเอาของเก่าๆ มาใส่ไว้มากๆ จะไม่มีช่องว่างให้ของใหม่มาอยู่ได้”
ตึกแถวอสังหาริมทรัพย์
คือการเจ็บหนักที่สุด
“สำหรับธุรกิจที่เราลงทุนแล้วถือว่าโดนหนักสุดนั้น น่าจะเป็นตอนที่ไปทำตึกริมถนนนี่แหละ เริ่มจากเราไปซื้อที่เขา 100 ตารางวา เราก็ได้ 5 ห้อง ตึกแถว ในสมัยก่อนไง คืออย่างที่บอกว่า เราอยากจะลองดูว่ามันเป็นยังไง เห็นเขารวยเป็นพันๆ ล้าน หมื่นล้าน เราก็เลยลองบ้างว่ามันเป็นยังไง แค่นั้นเอง นั่นแหละ ก็เจ๊งไปหลายล้าน จนทุกวันนี้ คืออย่างที่บอก ซึ่งตอนนั้นก็ตารางวาละประมาณ 10,000 เหมือนกันนะ ถือว่าโอเค ราคาตอนนั้นก็ใช้ได้นะ เพราะอย่างห้องหนึ่ง ก็ตกประมาณห้องละล้านกว่าบาทแน่ๆ แต่ทุนที่เราลงไป ก็ประมาณ 5-6 แสนเท่านั้นเอง คือเราลงทุนไปก็คิดว่ากำไรเห็นๆ
“หลังจากนั้น ทุกคนก็มาจองกันแล้ว เราก็ไปคุยกับธนาคารเรียบร้อย เขาก็ทำเป็น OD อะไรมาเรียบร้อยแล้วละ ซึ่งตอนแรกก็เอาเงินตัวเองก่อน พอถึงชั้นสองก็ไปคุยกับธนาคาร เพราะถือว่าตอนนั้นก็มีตังค์อยู่บ้าง เชื่อมั้ยว่าเงินที่เราได้จากการทำงานในวงการ เราเอามาลงทุนจนเจ๊งหมด พอถึงชั้นสอง คนก็มาจองได้ราคา 1.2 ล้าน บางคนก็อย่างต่ำก็ล้านนึง อย่างน้อยก็ได้ห้องนึงก็ 2-3 แสน 5 ห้องที่เรามีก็มีคนจองครบเรียบร้อย แต่ว่าเขายังไม่วางเงินไง คือเราไปเห็นกลางลำแล้ว แต่ว่ามันไปหักกลางลำก็มี
“คือตอนนั้น เขาก็จะมาวางเงินมัดจำกันอยู่แล้ว บางคนที่เขามาวาง เราก็อยากให้เขาวางเงินในวันนั้นไง เขาก็บอกว่าดูก่อน ให้ขึ้นชั้นสาม สักนิดหนึ่ง ก็ตีเป็น ล้านห้า ล้านหกได้ สมัยก่อน พอคนเยอะ เราก็เพิ่มหน่อย เชื่อมั้ยว่า ขณะที่ชั้นสองกำลังจะก่อเท่านั้นเอง สงครามอิรัก-อเมริกา มันมาพอดีเลย บวกกับต่อมาเจอวิกฤติฟองสบู่แตก และ รัฐประหาร รสช. มา ทำให้ 2-3 อย่างมาพร้อมกัน รวมกันตรงนั้นพอดีเลย มันก็ทำให้ธุรกิจเราชะงัก คนที่จะมาจอง เขาก็ไม่เอาแล้ว แล้วธนาคารก็งดสินเชื่อก่อนในช่วงนั้น แล้วบวกกับเหตุการณ์ที่เราเล่ามา ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดไปก่อน
“สรุปเวลาจากการลงทุนตรงนั้น ทั้งหมด 3 ปี คือสร้างเสร็จหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อไปไง ซึ่งเราก็รอว่าสงครามจะเลิกเมื่อไหร่ แล้วก็ยังคาที่ 2 ชั้นอยู่ กำลังจะขึ้นชั้นสามแล้ว พอเกิดวิกฤตที่ว่า เขาจะมาทำไมล่ะ สรุปคือสินเชื่อไม่ปล่อย ซึ่งนอกจากเงินเก็บแล้ว ก็มีเงินกู้มาเยอะ ซึ่งทุกวันนี้ เงินที่เราได้มาจากการเล่นหนังเล่นละคร ก็เอาไปใช้หนี้ตรงนี้หมด จ่ายดอกมั่ง แล้วเราก็เลี้ยงสัตว์เยอะ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจะไปขายให้ใคร ซึ่งผมว่ามันกะเกณฑ์ไม่ได้นะ ในชีวิตคนเรา คือเราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกซักครั้งก็ยังดี”
ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ
ต่อยอดจากความไม่ชอบ
“เราชอบขนมที่มันฟิตและแน่นเปรี๊ยะ เราก็เลยทำขนมเปี๊ยะดีกว่า แต่จุดเริ่มก็มาจากตอนที่ไปบ้าทำร้านหมูกระทะ ซึ่งก็เจ๊งอีก อันนั้นหมดไป 2 ล้านได้ ซึ่งถือว่าแย่หนักเลย ไปยืมเขามา ทุกวันนี้ก็ต้องใช้เขา เพราะว่าในตอนนั้น เราก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เราไม่เอาอะไรแล้ว ส่วนที่มาทำนี่คือ เราไปเรียนจากวิทยาลัยสารพัดช่าง สมุทรปราการ แต่ว่าเราไม่ชอบกินขนมเปี๊ยะนะ ตอนนั้นคิดว่าจะมาเปิดร้านกาแฟ จะเป็นแบบว่ามีขนมอยู่ในร้านกาแฟ เรามีที่อยู่ 50 ตารางวา จะไปทำอะไรดี เราก็ขอเช่าเขาวันละ 100 ตกเดือนละ 3000 แล้วก็มีทำเป็นเพิงอยู่ กะไว้ขายกาแฟแล้วมีขนมเปี๊ยะและซาลาเปาอยู่
“คืออยากจะไปเรียน แล้วก็ปรึกษาหลายๆ ที่ คนข้างบ้าน ก็บอกว่าให้ไปสถานที่ๆบอกเมื่อกี้ เราก็จะไปๆ หลายรอบ จนในที่สุด อาจารย์เขาก็มาสอนให้เราจนได้ คือตอนนั้นก็แค่คิดนะ แต่ไม่ได้อยากทำเท่าไหร่ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรไง แล้วหนี้ก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ มันรู้สึกว่าหมดทาง เราก็รู้สึกว่า เหลือเครื่องปั่นแป้งเก่าๆมาหน่อยกับเครื่องอบ เราก็คิดเอาไงดีวะ ก็คิดว่า ลองขายขนมเปี๊ยะมั้ย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ชอบกินขนมนี้นะ จนในที่สุดเราก็เปิดร้านกาแฟจนได้ และมีขายข้าวแกงด้วย
“ขายไปขายมา ปรากฏว่ามันขายดี แรกๆ คนก็มากินเยอะ แต่ว่ายอดก็ได้เท่านั้น เพราะว่าเราลงทุนนิดเดียว มันก็ได้พอหมดๆ กัน คนก็เลยมาติด แต่ปรากฎว่าต่อมา ทำอาหารตามสั่ง แล้วคนเบื่อใหญ่เลย เพราะว่าทำทีนึงลูกค้าต้องรอเป็นชั่วโมง จนกระทั่งเหลือขนเปี๊ยะขึ้นมาอย่างเดียว จนข้าวที่ขายต้องหยุดหมด มาเอาจริงเอาจังกับขนมเปี๊ยะนี่แหละ แรกสุดนี่คือขายดีนะ เฉลี่ยวันนึงขายได้ 5-6 หมื่นเลย
“ผมดูกำลังของคนที่ซื้อของเราไง ซึ่งมีคนบอกว่าอร่อยตั้งเยอะ แล้วก็มีคนบอกว่าไม่อร่อยก็มาก ซึ่งบางคนก็บอกว่าอร่อยนะ ซึ่งเราก็มีพูดบ้างก็มี แรกสุดมันมีแค่ไส้ถั่วเหลืองไง ลูกเล็กๆ หนาๆ นี่คือรุ่นแรกไง แต่ก็มีคนบ่นว่า มีแป้งมาก ผมก็เปลี่ยนมาแป้งน้อยลง แต่เพิ่มเนื้อ สมมุติว่าทุเรียนนี่คือเต็มก้อนเลย แป้งจะบาง ซึ่งเราขายราคาลูกละ 50 บาท เพราะว่าเนื้อไส้มันเต็มๆ เลย 1 กิโลกรัม ทำได้เฉลี่ย 16-17 ลูกได้”
อย่าซื้อเพราะสงสาร
ให้ซื้อเพราะคุณภาพ
“พอดีลูกสาวก็ไปอ่านเจอในโลกออนไลน์ เขาบอกว่าซื้อไปงั้น ซื้อเพราะสงสารมัน ลูกอ่านแล้วจะไปว่าเหมือนกัน แต่เราก็ห้ามไว้ว่า เพราะเขาพูดตามความคิดของเขาเฉยๆ เขาก็อยากจะช่วยเราจริงๆ แหละ คือห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ เขาก็คิดอย่างงั้น แต่ลูกสาวก็บอกว่า ซื้อของพ่อก็อย่าไปสงสารพ่อละกัน ไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ อย่าไปคิดอย่างงั้น
“คือเราทำสินค้าไป ก็ต้องเช็คเลย เชื่อมั้ยว่ามันเป็นหลายแสนเลยนะ คือถ้าผ่านไป 4-5 วัน เราก็ไม่อยากขายแล้ว เพราะกลัวว่าจะไปเสียที่เขาอีก การใช้คนกับเครื่องจักร มันไม่เหมือนกันนะ นี่คือทำมือหมดเลย ยกเว้นไส้ที่ต้องใช้เครื่องจักร ตอนนี้เราไม่ได้ทำมือแล้ว เพราะว่ามีเด็กๆ ประมาณ 10 คนมาช่วยทำ คือลูกมือผมทำมาตั้งแต่อายุ 17-18 จนตอนนี้ 60 กว่าแล้ว (หัวเราะ)
“ซึ่งพอมีเครื่องจักร ผมก็เอาพวกเขานี่แหละมาช่วย เพราะว่า เขาก็คุมเครื่อง คุมบรรจุได้แล้ว อายุเขาขนาดนั้นก็สงสาร ก็มาทำงานด้วยกันละครับ อีกอย่างเราก็มีความคิดว่า อยากจะส่งออกด้วย เพราะเราก็สืบมาว่าทางเมืองจีน เขากินทุเรียน เลยทำไส้ทุเรียนขึ้นมา ซึ่งอาจจะทำเครื่องจักรขึ้นมา แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะ หนึ่ง มันยังไม่ได้มาตรฐานตรงที่ว่า ขนมยังอยู่ไม่นาน ก็ว่าจะไปปรึกษาสักที่ แล้วต้องมีเครื่องจักร ตรงที่ฉีดอากาศออก แล้วอบด้วยสุญญากาศ อาจจะอยู่ได้เป็นเดือน แต่ปัจจุบันนี้อยู่ได้แค่ 4-5 วันเอง
“ทุกวันนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ทุกเดือน ก็ใช้วิธียืมมาโปะบ้าง เล่นละคร เล่นหนังบ้าง มาโปะตรงนี้หมด ซึ่งเราคิดว่าคงไม่มีทางที่จะรวยในชาตินี้แล้ว เพราะดูแล้วว่าภาระมันมากจริงๆ ทั้งลูกหลาน และสัตว์ๆ คือถ้าจะซื้อของๆ เรา ซื้อเพราะความอร่อย อย่าซื้อเพราะความสงสาร เราฟังแล้วมันแร้นแค้น ส่วนรสชาติ อันนี้ก็แล้วแต่ผู้บริโภค ส่วนการเปลี่ยนเบอร์ เราว่ามันก็อยู่ตามที่ชีวิตเราเคยเป็นมา เราว่าทุกอย่างมันอยู่ที่วาสนา ดวง และกรรมของเรามากกว่า เราไม่ได้ไปคิดอะไรมากมาย คืออย่างน้อยก็ช่วยในทางจิตใจ แต่เรื่องที่สร้างมาเป็นรูปธรรม เราว่ามันอยู่ที่จิตใจเราเลย
"แต่บางทีเราก็เหนื่อยเหมือนกัน อย่างจะมีคนโทรมาตอนที่เราทำงานยุ่งๆ อยู่ เขาก็ว่าเราบ้างว่าทำไมโทรไปหลายหน ไม่รับเลย บางทีเราไปอัดละคร หรือไปทำอะไรเป็นวันๆ เลย เขาก็ว่าเรา เลยต้องเอาเบอร์ลูกสาวกับแฟนให้ไป เพราะเขามีเวลาเยอะกว่า
“คือการทำทุกอย่าง มันก็ไม่มีความสุขทั้งนั้นนะ เพียงแต่ว่าในการเป็นพ่อค้านั้น มันต้องปรับตัวยังไงเท่านั้นเอง ทุกวันนี้คือ เหมือนกับเราต้องยอม เพราะไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นพ่อค้า ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้คนมาซื้อของๆ เรา นี่คือระยะประชิดเลย เราต้องออกตลาดเลย รับอารมณ์ทุกอย่างให้มาอยู่ที่เรา ซึ่งก็คล้ายๆดารา นะ แต่สิ่งที่เราต้องการคือแค่นี้ ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร คุยกันได้ ซึ่งเวลาไปกอง อาจจะมีคนมาเทคแคร์เรา แต่ลูกหลานเราล่ะ ในเบื้องหลังล่ะ เราต้องไหว้เขาเพราะเราได้เงินไง แล้วประชาชนเขาเป็นเทพเจ้าสำหรับเรา ไหว้กลับไป ก็ไม่เสียหายนี่ ถ้าเขามาเตะเรา เราต้องไหว้เขาเลย”
ขอบคุณเนื้อหาและภาพจากรายการพระอาทิตย์ Live ทางช่อง News 1
เรียบเรียง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช