MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live แฮชแท็ก #MGROnline #MGRTOP7
(สรุปข่าวประจำวันที่ 12 - 18 ส.ค. 2560)
อันดับ 1 : กลองจัญไร! "ไก่อู" ชี้นิ้วทีวีทำข่าวเชลียร์ ครม.สัญจร สื่อไม่เอาด้วย "ประยุทธ์" เคืองต่อไปไม่จ้อแล้ว
โบราณกล่าวไว้ว่า กลองที่ดังโดยไม่มีคนตี เรียกว่ากลองจัญไร เปรียบดังว่าถ้าเป็นคนดีจริง ไม่ควรจะคอยตีตัวเองให้เสียงดัง แต่สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 21 - 22 ส.ค. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กลับส่งหนังสือให้ทีวีดิจิตอลแต่ละช่อง แบ่งกันไปทำข่าวรัฐมนตรี 20 กระทรวงลงพื้นที่ แล้วทำรายงานพิเศษ (สกู๊ป) กลับมายังช่อง NBT อ้างว่าเพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ และไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กลายเป็นวันแมนโชว์ ทำให้นักวิชาการสื่อมวลชนแสดงความไม่เห็นด้วย เป็นการแทรกแซงการทำงานของสื่อ และมองว่า นักข่าวไม่ใช่นักประชาสัมพันธ์ของรัฐ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ การไปติดตามทำข่าวรัฐมนตรีที่ไม่เคยเป็นข่าวมาก่อน แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระ ประเด็น คุณค่าข่าว ความสำคัญของบุคคลที่จะเป็นข่าวมากกว่า
ด้านสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ระบุว่า ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนจะต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้คำสั่งและการควบคุมของรัฐบาล เพราะหน้าที่ของสื่อมวลชนคือ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ได้มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้รัฐบาล หรือ คณะรัฐมนตรีคนใด พร้อมแสดงความกังวลว่า อาจเป็นการคุกคามและแทรกแซงสื่อ อย่างไรก็ตาม วันที่ 18 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวบนเวทีรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2560 ว่า ปัญหาที่ประเทศยังติดขัดอยู่คือความคิดคน ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล ไม่รู้ว่าวันนี้สื่อทำเพื่อใคร มีประโยชน์หรือไม่ แทบไม่รู้ตัว แต่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับสื่อ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องตามสัมภาษณ์อีกต่อไป ตนจะพูดกับพวกเรา เพื่อต้องการให้ประเทศไปข้างหน้า ใครจะเกลียดก็ช่าง ไม่มีอะไรทำให้ตนตายได้นอกจากจะตายเอง
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
ในตอนหนึ่งได้กล่าวพาดพิงถึงจุดยืนของสื่อ (นาทีที่ 16:47)
อันดับ 2 : ไฟใต้ลาม! มาเป็นแก๊งปล้นเต็นท์รถทำคาร์บอมบ์ ยิงตัวประกันดับ 1-วิสามัญแนวร่วมหน้าใหม่
เหตุก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นับวันจะสร้างสถานการณ์ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. คนร้ายแต่งชุดสีดำ 6-7 คน พร้อมอาวุธปืนสั้นและปืนยาว ใช้รถยนต์กระบะมาสด้า ผ้าเต็นท์คลุมสีดำ คล้ายรถรับส่งนักเรียน บุกเต็นท์รถ วังโต้ คาร์เซ็นเตอร์ ถนนเพชรเกษม อ.นาทวี จ.สงขลา ปล้นรถยนต์ 5 คัน จับเจ้าของเต็นท์รถพร้อมลูกจ้างรวม 4 คนไปด้วย ก่อนจะยิงตัวประกันทั้ง 4 คน เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน วิ่งหนีมาได้อีก 2 คน จากนั้นพบรถกระบะมิตซูบีชิ ไทรทัน สีดำ เกิดน้ำมันหมด จอดทิ้งไว้บ้านวังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา ต่อมาเวลา 13.50 น. พบรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ สีดำ ขับแหกด่านตรวจเกาะหม้อแกง อ.เทพา จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ยิงสกัด คนร้ายเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือนายนูร์อาซัน อาแว อายุ 27 ปี ชาวบ้านบ้านแบรอจะรัง อ.เมืองฯ จ.ปัตตานี ส่วนรถกระบะเสียหลักพุ่งลงริมถนน พบถังแก๊สประกอบระเบิดแสวงเครื่องอยู่ในรถ เวลา 14.20 น. พบรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีดำ คนร้ายประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ จอดบนถนนสาย 418 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ขณะที่เวลา 15.00 น. พบรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ สีดำ จอดทิ้งไว้ในสวนพารา บ้านแม่กัง ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และเวลา 16.40 น. ได้รับแจ้งจาก สภ.นาทวี ว่า มีรถกระบะอีซูซุ สีขาว ถูกปล้นชิงเพิ่มอีก 1 คัน
วันรุ่งขึ้น 17 ส.ค. พบรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ 4 ประตู ประกอบระเบิดแสวงเครื่องบรรจุอยู่ในถังแก๊ส น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ขึ้นหน้าบ้านพักข้าราชการตำรวจ สภ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้บ้านพักตำรวจเสียหาย 10 หลัง จากนั้น พบรถกระบะอีซูซุ สีขาว ที่ปล้นมาจาก อ.นาทวี จ.สงขลา จอดจอดทิ้งอยู่บริเวณโรงสูบน้ำชลประทานบ้านคลองมานิง อ.เมือง จ.ปัตตานี และเวลา 13.30 น. พบรถกระบะมาสด้า ธันเดอร์ สีบรอนซ์ ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ จอดอยู่ในสวนยางพารา ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ก่อนหน้านี้คนร้ายได้ชิงมาจากพื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พบน้ำมันเบนชิน 3 แกลลอน อยู่ท้ายรถ ด้านการคลี่คลายคดี พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดใหญ่ขึ้นมาคลี่คลายคดี ก่อนที่จะออกหมายจับคนร้ายบางส่วนในวันที่ 20 ส.ค. นี้ ขณะที่ จ.สงขลา ได้มอบเงินเยียวยาแก่ครอบครัวนายสหรัฐ แหละหนิ๊ อายุ 20 ปี ผู้เสียชีวิต 5 แสนบาท และ นายประทานพร นวลละมูล อายุ 23 ปี ผู้บาดเจ็บ เบื้องต้น 10,000 บาท ส่วนนายธานีศักดิ์ ยี่จีน อายุ 45 ปี เจ้าของเต็นท์รถ และนายวีรศักดิ์ รัตน์พันธ์ อายุ 23 ปี ลูกน้อง จะให้การช่วยเหลือตามที่แพทย์ลงความเห็นมา
อันดับ 3 : พระปรางค์วัดอรุณฯ อย่างวอก กลายเป็น "ยักษ์การ์ตูน" หึ่ง! กระเบื้องแสนชิ้นทำพระขายหมื่นองค์
หลังจากที่แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพมหานคร พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ที่มีอายุยาวนานกว่า 175 ปี กรมศิลปากรได้บูรณะมายาวนานกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2560 เมื่อแล้วเสร็จปรากฎว่า มีเสียงวิจารณ์ถึงสภาพของพระปรางค์ที่มีสีขาว แตกต่างไปจากที่เคยเห็น กระทั่งนายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย วิจารณ์ว่า บูรณะแบบไหนถึงมาแปลงโฉมพระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นโทนสีขาว แกะกระเบื้องสีหลากสีจากจานเคลือบสีโบราณล้ำค่าหายออกไปแล้ว สอดคล้องกับ พลตรีหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล วิจารณ์ว่า การบูรณะทำอย่างชุ่ย แกะกระเบื้องถ้วยชามโบราณหลากสีที่ล้ำค่าที่ชำรุด หรือหายออกไป ทำเป็นพระเครื่อง ออกจำหน่ายในภายหลัง แทนที่จะทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ กลับเลาะทิ้ง รื้อทิ้ง เปลี่ยนรูปแบบสีขององค์พระปรางค์ใหม่ อีกทั้งความสง่างามขององค์พระปรางค์ หายไปหมดแล้ว จากยักษ์เคร่งขรึม มาเป็นยักษ์ยิ้ม ทำเอาชาวเน็ตถึงกับเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว มองว่า จากยักษ์เข้มขลังกลายเป็นยักษ์การ์ตูน และเห็นว่า ไม่งดงาม ไม่สง่างามเหมือนก่อน
ด้านพระศากยปุตติยวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณฯ ในฐานะประธานโครงการบูรณะ ชี้แจงว่า เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ในรอบหลาย 10 ปี นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กรมศิลปากรและวัดอรุณฯ ยืนยันว่าได้ศึกษาค้นคว้าก่อนดำเนินการ บันทึกรายละเอียดระหว่างการทำงาน ควบคุมดูแลโดยเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร อยู่ในสายตาของวัดทุกขั้นตอน ขณะที่นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร แถลงว่า การบูรณะซ่อมแซมพระปรางค์ เป็นไปตามกระบวนการช่างศิลป์ไทยที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 ยืนยันว่าที่สีพระปรางค์ดูขาวขึ้นนั้น เป็นสีดั้งเดิมของพระปรางค์ แต่ที่ประชาชนคุ้นเคยเห็นเป็นสีเข้มเพราะมีฝุ่นและตะไคร่เกาะ ดังนั้นเมื่อกระเทาะผิวเคลือบออกและบูรณะด้วยปูนหมักและปูนตำตามแบบดั้งเดิม พระปรางค์ก็จะเป็นสีขาวตามเดิม ส่วนกระเบื้องที่ประดับพระปรางค์ มีการเปลี่ยนเป็นของใหม่ที่ทำขึ้นเลียนแบบของเดิมที่ชำรุด หลุดออก และไม่สมบูรณ์ โดยรวมมีกระเบื้องใหม่เพียงร้อยละ 40% หรือประมาณ 120,000 ชิ้น และยังคงเป็นของเดิมกว่า 60% อย่างไรก็ตาม สังคมตั้งข้อสังเกตว่า ปี 2559 มีโครงการวัตถุมงคลสมเด็จวัดอรุณฯ ที่รฤก 191 ปี รุ่นกระเบี้องพระปรางค์ กว่า 1 หมื่นองค์ สมัยที่พระธรรมมงคลเจดีย์ (หลวงพ่อเจ้าคุณเฉลียว) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งมีดำริว่าให้ปรากฏเนื้อเก่าแก่โบราณของกระเบื้องพระปรางค์อยู่ในพระทุกองค์ โดยไม่เสียเนื้อกระเบื้อง
อันดับ 4 : เฟซออฟ! สิบเอกหึงสาวฆ่าบีบคอ ก่อนเผานั่งยาง แม่เหยื่อลั่นไม่อโหสิกรรม
จากเรื่องราวคนหายมานาน 3 ปี โดยเชื่อว่าอดีตคนรักอยู่เบื้องหลัง กลายมาเป็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ เกิดขึ้นหลังจากที่นางพัชรี ปั้นทอง อายุ 51 ปีร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ว่า น.ส.พลอยนรินทร์ ผลิผล หรือน้องพลอย หายสาบสูญไปกว่า 3 ปี ตั้งแต่ พ.ค. 2557 โดยมีหลักฐานชี้ว่า ส.อ.พลกฤต วิเศษ อายุ 29 ปี อดีตแฟนหนุ่มเป็นผู้ที่ลักพาตัวจากที่ทำงาน โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกท่าเรือ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด กระทั่งวันที่ 11 ส.ค. ตำรวจ สภ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ประสานตำรวจและทหารตามจับกุม ส.อ.พลกฤต หลังพบว่าอยู่กับแฟนใหม่ที่ อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา แต่หลบหนีในไร่มันสำปะหลัง กระทั่งวันที่ 13 ส.ค. ได้เข้ามอบตัว สารภาพว่า เป็นอดีตทหารสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี ถูกให้ออกจากราชการเมื่อปี 2557 โดยได้อุ้มน้องพลอยไปฆ่าก่อนจะนำศพไปทิ้งริมถนนสายแก่งคอย-แสลงพัน กม. 15-16 อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
ด้านนางพัชรี กล่าวว่า อยากจะเรียกร้องความเป็นธรรม ถามว่าทำไมถึงเลือดเย็นนัก ตั้งแต่วันแรกรู้อยู่แล้วแต่กลับโทรศัพท์ถามว่าน้องพลอยอยู่ที่ไหน หลังก่อเหตุเขายังไปทำศัลยกรรมใบหน้า สมัยที่ยังเป็นทหาร มีทั้งหน้าที่การงาน มีความรู้ น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่มาทำร้ายผู้หญิง เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่สามารถอโหสิกรรมให้ได้ และไม่ให้อภัยกับสิ่งที่ได้ทำลงไป วันที่ 17 ส.ค. ตำรวจนำนายพลกฤตไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ 8 จุด นางพัชรี และ นายวิชา ผลิผล อายุ 53 ปี บิดา สอบถามว่าทำไมต้องฆ่าน้องพลอย เจ้าตัวร้องไห้บอกว่า "ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว" ก่อนที่ช่วงค่ำจะกราบขอขมา ระบุว่า ตนรักน้องพลอยไม่ต่างจากแม่ แต่มีปากเสียงกันเลยพลั้งมือทำไป ไม่มีความสุขเลย นางพัชรี จึงกล่าวว่า ติดคุกเดี๋ยวก็ได้ออก แต่ลูกตายไปแล้วก็ไม่มีทางฟื้น ทั้งนี้ นายพลกฤตถูกดำเนินคดี ต่อศาลมณฑลทหารบกจังหวัดสระบุรี ทั้งข้อหาอนาจาร ใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ทำให้เสียทรัพย์ และซ่อนเร้นอำพรางศพ และฝากขังที่มณฑลทหารบกที่ 18 เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
อันดับ 5 : แค่ดีไซน์ไม่ใช่ทรุดเอียง! โรงแรม "เอม" ลูกสาวแม้ว ตำรวจเต้นต้องลากคอคนโพสต์
เรื่องราวที่ทำเอาแตกตื่นกันทั่วกรุงฯ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ส.ค. มีผู้ใชเเฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพไปยังโซเชียลมีเดียของสถานีวิทยุ จส.100 ระบุว่า โครงสร้างอาคารสูงที่กำลังก่อสร้างตรงข้ามตึกมหาทุน ใกล้สถานีบีทีเอส เพลินจิต เกิดเอียงจนเกรงว่าจะเกิดอันตราย ทำเอาผู้คนแตกตื่นรีบลงจากอาคารเป็นจำนวนมาก ทำให้ทางสำนักงานเขตปทุมวันและตำรวจลงไปตรวจสอบ พบเป็นสถานที่ก่อสร้างโรงแรมโรสวู้ด แบงคอก สูง 33 ชั้น มีบริษัท ฤทธา จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ดร.อัศวิน วาณิชย์ก่อกุล ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของโครงการ ชี้แจงว่า ยืนยันว่าไม่มีการทรุดตัวของอาคารแต่อย่างใด เป็นดีไซน์ที่ออกแบบในรูปทรงสามมิติได้รับแรงบันดาลใจจากการพนมมือ การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมากจึงได้เปิดสแลนด์กั้นบางส่วนออกไปจนทำให้เห็นโครงสร้างภายในที่ถูกออกแบบให้ลาดเอียงตั้งแต่ชั้น 17 ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำ ขณะที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ได้สั่งติดตามหาตัวผู้โพสต์ภาพตึกดังกล่าวมาดำเนินคดี ตามความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งต่อมารู้ตัวมือโพสต์แล้ว เป็นแพทย์ศัลยกรรมความงามของคลินิกแห่งหนึ่ง
สำหรับโรงแรมโรสวู้ด แบงคอก สูง 33 ชั้น ประกอบด้วย ห้องพัก 159 ห้อง ร้านอาหาร 2 แห่ง บาร์ สปา สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องประชุม พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์สไตล์ห้องพัก และ Sky Villa ชั้นบนสุดของโรงแรม กลุ่มเป้าหมายเน้นลูกค้าชาวต่างชาติที่เดินทางมาติดต่อธุรกิจในกรุงเทพฯ โดยมี นางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ เอม ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะซีอีโอบริษัท เรนด์ จำกัด เป็นเจ้าของ และให้เครือโรสวู้ด โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 18 แห่ง ใน 8 ประเทศ มาบริหารจัดการ โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ 15 ก.พ. 2561 มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2563 สำหรับการออกแบบโรงแรมนั้น โครงสร้างที่เป็นตึกสูงสองฝั่งเชื่อมต่อกันนั้น ได้รับแรงบันดาลใจจาก “การไหว้” และภายในห้องโถงกลางของโรงแรมถูกตกแต่งด้วยสวนแนวตั้ง ที่จะแยกอาคารทั้งสองออกจากกัน เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมแบบเมืองร้อน
อันดับ 6 : ยิ่งเงียบยิ่งได้ใจ! ลูกจ้างสาวสุดทน แจ้งความ "บิ๊กสาธารณสุข" จับนม-ลวนลามในที่ทำงาน
เรื่องฉาวโฉ่ในแวดวงข้าราชการ เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ส.ค. พนักงานอัตราจ้าง เลขานุการกลุ่มภารกิจกองกลางสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วัย 28 ปี เข้าแจ้งความ สภ.เมืองนนทบุรี ว่า ถูกนายอัศม์เดช รัตนวรประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มภารกิจกองกลาง กระทำอนาจารด้วยการกอด จับหน้าอก จนทนไม่ไหวร้องเรียนไปยังผู้ใหญ่ แต่เรื่องก็เงียบหาย และเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 25 ก.ค. กระทั่งได้ให้เพื่อนที่อยู่ในห้องถ่ายคลิปไว้ จึงได้เข้าแจ้งความอีกครั้งพร้อมคลิปหลักฐาน รายงานข่าวระบุว่า นายอัศม์เดชก่อเรื่องปลุกปล้ำอนาจารในสำนักงานฯ มักขู่ว่าถ้าเอาเรื่องไปแจ้งใคร จะไม่ต่อสัญญาจ้างงานให้ แต่น่าจะถึงคราวสุดทนจึงเกิดเรื่องขึ้นโรงพัก ต่อมานายอัศม์เดชได้ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี แต่เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ขอลาหยุดอีก 1 วัน โดยมีกระแสข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้ผู้เสียหายถอนแจ้งความและไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้น
วันที่ 17 ส.ค. นายอัศม์เดช พร้อมทนายความเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.นนทบุรี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยได้ทำการสอบปากคำนายอัศม์เดชนานกว่า 4 ชั่วโมง และได้ให้ผู้เสียหายชี้ตัว ซึ่งชี้ตัวได้อย่างถูกต้อง จึงแจ้งข้อกล่าวหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งนายอัศม์เดชได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจะขอไปให้การในชั้นศาล จึงส่งฟ้องที่ศาลจังหวัดนนทบุรี ต่อมาทนายความของ นายอัศม์เดช ได้ยื่นเอกสารพร้อมเงินสด เพื่อขอประกันตัว ศาลอนุญาตให้ประกันตัวในวงเงิน 200,000 บาท และต้องมารายงานตัวต่อศาลทุก 12 วัน จนกว่าตำรวจจะสรุปสำนวน ส่งให้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง
อันดับ 7 : เพลิงแค้นจากแม่สู่ลูก? สะพัด "เจนี่" ใบสั่งถอด "เพลง อัศวเหม" ร้องเพลงละคร
ละครดรามาอย่าง "เพลิงบุญ" ฝีมือผู้จัด จ๋า ยศสินี นคร หรือจะสู้ของจริง สำหรับนักแสดงสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เมื่อ น้องเพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม ลูกสาวของนักร้อง ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย ที่เกิดกับอดีตสามี เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม (ซึ่งตอนหลังเจนี่ได้เข้าเสียบ แล้วสุดท้ายก็เลิกรา) ถูกถอดจากการร้องเพลงประกอบละคร แล้วให้ ปนัดดา เรืองวุฒิ ที่เพิ่งหมดสัญญากับค่ายแกรมมี่ มาร้องแทน สังเกตจากอินสตาแกรมของน้องเพลง ที่โพสต์ภาพในเชิงผิดหวัง โดยมีข่าวลือกระหน่ำว่าฝ่ายสาวเจนี่เป็นคนสั่งถอดเอง ซึ่ง ตู่ นันทิดา กล่าวเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ยอมรับว่าลูกสาวถูกถอดจากการร้องเพลงประกอบละครเรื่องดังกล่าวจริง เพราะ หนึ่ง ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ผู้ดูแลเพลงละครให้กับช่อง 3 โทรศัพท์มาบอกว่า อาจจะต้องเปลี่ยนเพลง ให้ไปร้องเพลงอื่นเพื่อความเหมาะสม จึงตอบกลับไปว่า ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้ แต่ปฏิเสธว่าเป็นเพราะใบสั่ง แต่อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีที่ควร และเป็นสิ่งที่จะรักษาถนอมน้ำใจทุกคน ก็คิดว่าควรจะทำ
ด้านเจนี่ กล่าวเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ปฏิเสธอยู่เบื้องหลังถอดน้องเพลงออกจากการร้องเพลงประกอบละคร ระบุว่า เจนี่ก็เป็นแค่ลูกจ้าง รับผิดชอบในการเล่นละคร ไม่สามารถและไม่มีอำนาจที่จะสั่งใคร หรือไปบอกห้ามโน่นห้ามนี่ ซึ่งเมื่อเล่นละครเรื่องนี้ก็โดนด่าอยู่แล้ว ทำอะไรก็ผิด คนก็อคติ พร้อมที่จะแอนตี้และว่าอยู่แล้ว จะฆ่าตัวเองทำไม แต่ในเมื่อทุกคนสบายใจที่จะว่าเจนี่ อยากจะให้เป็นคนผิด จะอคติแล้วมันเป็นความบันเทิงหรือเป็นความสบายใจก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถามว่า น้องเพลงมาร้องเพลงประกอบละคร ก็ตอบว่าไม่ทราบ เมื่อถามว่า จ๋า ยศสินี โทรศัพท์มาขอโทษ เจ้าตัวไม่ขอเอ่ยถึงตรงนั้น และไม่อยากเอ่ยถึงผู้ใหญ่และใครอีกหลายๆ คนด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ จ๋า ยศสินี ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อฉบับหนึ่ง บอกว่าเป็นคนสั่งระงับน้องเพลงเอง เพราะถูกตีเจตนาผิดว่า ทำไมปล่อยให้น้องเพลงร้องเพลงด่าเจนี่ จึงปล่อยเพลงออกมาไม่ได้ เพราะเกรงใจทุกฝ่าย ก่อนที่จะขอโทษทั้งสองฝ่าย ยืนยันว่าไม่อยากโปรโมทละครแบบนี้