1 ใน Top 15 Influencer Asia 2017 ผู้ทรงอิทธิพลใน Social Media สาขา Health & Fitness ประเทศไทย และปัจจุบันเป็นเจ้าของแบรนด์ชุดว่ายน้ำ mera_swimwearที่ก่อนหน้านี้มีอาชีพหลักเป็นนางแบบเคยประกวดเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2011 และพลิกผันชีวิตสู่การเป็นนักวิ่งมาราธอนและนักไตรกีฬาอย่างเต็มตัว มะนาว-ภรณี ศรีธัญ
จากคนที่ไม่ชื่นชอบการออกกำลังกายมาก่อน และยิ่งการวิ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่า “เกลียด” เลยก็ว่าได้ เพราะเวลาวิ่งทีไรมักมีอาการหน้ามืด หูอื้อ ใจสั่น จุก ตามมา แต่ด้วยแรงและพลังผลักดันที่ทำให้เธออยากลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อทลายกำแพงที่มีของตัวเองทำให้วันนี้มะนาวกลายเป็นนักกีฬาวิ่งที่ผ่านการวิ่งในระยะฟูลมาราธอน (Full Marathon) ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร มาแล้วถึง 2 สนาม และล่าสุดเธอยังก้าวสู่นักไตรกีฬาที่กำลังจะลงแข่งงานแรกที่จังหวัดกระบี่ (Kanabnam International Triathlon Krabi 2017 ขนาบน้ำไตรกีฬานานาชาติ) ในเดือนหน้านี้อีกด้วย
• เส้นทางจากนางแบบสู่การเป็นนักวิ่งมาราธอน
นาวเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ บ้านอยู่จังหวัดอุบลราชธานีก็ได้เข้ามาเป็นนางแบบตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมหานคร ตอนมหาวิทยาลัยปีที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราก็ได้มาเรียนและเป็นนางแบบ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพราะตอนที่เข้ามาก็มาช่วยงานเดินแบบรุ่นพี่ก่อนเพราะรุ่นพี่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย แล้วโชคดีของนาวก็คือนาวได้เจอแมวมองของวงการแฟชั่นก็ได้เข้าสู่วงการจากการเป็นนางแบบก่อน หลังจากนั้นตอนมหาวิทยาลัยปีที่ 2 นาวก็ไปประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2011 ค่ะ แต่ช่วงนั้นนาวไม่ได้สายออกกำลังกายเลยนะคะเพราะเราเป็นคนที่ผอมแห้งน้ำหนักแค่ 47-48 กิโลกรัม ส่วนสูง 173 เซนติเมตร อยู่แล้ว เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
การวิ่งของนาวเริ่มมาจากที่เราเป็นคนที่วิ่งไม่ได้เลยมาก่อนเพราะว่าเราไม่ใช่นักกีฬา ไม่ใช่คนออกกำลังกาย แต่สิ่งที่ทำให้ต้องวิ่งก็คือเราโดนทำโทษเวลาซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ ให้วิ่งรอบสนามตรงท่าพระจันทร์ เราก็เกลียดการวิ่งมาตลอด พอนาวเรียนจบปุ๊บเราก็มีความรู้สึกว่าเราลองวิ่งดูดีไหม อยากทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ ตอนนั้นก็เลยเริ่มจากวิ่ง 1 กิโลเมตร พอมาลองวิ่ง 1 กิโลเมตรแรกเราก็ยังวิ่งไม่ได้ เพราะพอเราวิ่งไป 200 เมตรแรก เราก็รู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้เนื่องจากเราวิ่งๆ ไป เราก็จะมีอาการหน้ามืด จะเป็นลม จุก หายใจไม่ทัน หูอื้อไปหมด คือยิ่งวิ่งยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความสุข มันเป็นการทรมานมากกว่า แต่ก็ด้วยความที่เราอยากลอง ก็เลยคิดว่าลองดูแล้วกันว่าทำไมเราจะทำไม่ได้ อาอึ้ม อาม่า อากงแถวนั้นเขายังวิ่งได้เลยเราก็เลยเอาใหม่เริ่มวิ่งใหม่จากการจับเวลา 20 นาทีให้เราทำยังไงก็ได้ที่จะไม่หยุดเดิน จะวิ่งเร็ว วิ่งเหยาะๆ ก็ได้ให้ไปเรื่อยๆ ต่อเนื่อง จนกว่าจะครบตามเวลาที่กำหนด
• จากเกลียดการวิ่งเป็นที่สุดกลายมาเป็นหลงใหลเป็นชีวิต
การวิ่งเป็นกีฬาที่ง่ายที่สุด แค่เราใส่รองเท้าแล้วออกไปวิ่ง คือไม่ต้องไปเข้าคลาส ไม่ต้องไปรอใคร เราแค่มีรองเท้าวิ่งเราก็ออกไปวิ่งตามสวนได้แล้ว แต่ตอนนั้นมันยากมาก การที่เราจะเริ่มนี่แหละค่ะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เราจะวิ่งยังไงให้ระบบหายใจ หัวใจเราสามารถวิ่งได้ยาวๆ
หลังจากนั้นนาวก็ซ้อมไปเรื่อยๆ พอสักพักหนึ่งที่เรารู้สึกว่าร่างกายเราพอจะทำได้แล้วเริ่มไม่มีอาการหน้ามืด เวียนหัว หูอื้อ นาวก็จะมาเริ่มจับระยะทางแทน พอเราเริ่มวิ่งได้ 2.5 กิโลเมตร รอบสวนลุมพินี นาวก็โอเคเราทำได้แล้ว ก็เลยขยับมาเป็นวิ่งสองรอบแทนซึ่งการวิ่งสองรอบเป็นอะไรที่ยากมาก การวิ่ง 5 กิโลเมตรเป็นอะไรที่ยากมากนะคะกว่าจะไปถึง ซึ่งนาวก็ต้องอาศัยซ้อมไปเรื่อยๆ จนได้มารู้จักและมีแก๊งชื่อว่าเต่าเทอร์โบ
นาวก็ได้เทคนิคการวิ่งจากพี่ๆ เขาค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งเขาก็จะซ้อมโดยให้เราวิ่งไปแล้วพูดกับเขาไปด้วย เพราะประเด็นของการวิ่งไปแล้วพูดไปด้วยคือหัวใจของเราจะวิ่งในความเร็วที่ไม่ทำงานหนักจนเกินไปและจะทำให้เราลืมด้วยว่าเรากำลังวิ่งอยู่ ก็คุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อยเปื่อย แล้วเขาก็สอนการวิ่งที่ถูกต้อง การวางเท้า การวิ่งโดยโน้มตัวไปข้างหน้าเผื่อที่จะให้ร่างกายเราสบายที่สุด ตาของเราควรจะมองที่จุดไหนที่จะทำให้ไม่ปวดต้นคอ คือเทคนิคของการวิ่งเขาจะมีรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยเพื่อให้เราวิ่งได้สบายที่สุด ซึ่งพอเริ่มวิ่งไปได้สักพักเราก็มีเป้าหมายของตัวเองว่าเราอยากจะวิ่งให้ได้ 5 ไมล์ ซึ่งก็เท่ากับ 8 กิโลเมตร งานแรกนาวลงวิ่ง 8 กิโลเมตร ตอนนั้นก็สู้สุดใจเหมือนกันค่ะ เราคิดว่าจะทำยังไงก็ได้เราต้องไม่เดิน แต่มันก็อดไม่ได้(หัวเราะ)
• งานแรกคือลงวิ่ง 8 กิโลเมตร กระทั่งขยับไปสู่ฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon)
พอหลังจากงานนี้นาวก็เลยมาซ้อมใหม่ให้ทำยังไงก็ได้ให้ระยะเวลาประมาณ 5 กิโลเมตรแรกเราไม่เดิน ก็ฝึกให้ร่างกายเราปรับตัวได้ ซ้อมไปจนถึง 10 กิโลเมตรได้ พอได้ถึง 10 กิโลเมตรเราก็เริ่มใจใหญ่ขึ้นมาแล้ว ก็เลยไปลงฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon) เลยค่ะซึ่งจะประมาณ 21 กิโลเมตร เพราะเราคิดว่าเราน่าจะทำได้ก็เลยลองตั้งเป้าหมายแล้วไปทำดู ปรากฏว่านาวเร่งความเร็วตัวเองเกินไป ทำให้ตอนที่วิ่งระยะ 10 กิโลเมตรกับวิ่งฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon ) มันควรใช้คนละความเร็วเพราะว่าความเร็วนั้นกล้ามเนื้อของเราซัปพอร์ตไม่พอกับทั้งระยะทางที่ไกลขึ้นและความเร็วที่มากขึ้นก็เลยทำให้บาดเจ็บ
ครั้งนั้นเรียกว่าเป็นบทเรียนของเราเลยนะคะ ที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ต่ออาการบาดเจ็บของตัวเองว่ามันเกิดจากอะไร เพราะตอนที่วิ่งแล้วเจ็บตอนแรกนาวก็ไม่รู้หรอกว่าเราเป็นอะไรรู้แต่ว่าวิ่งแล้วเจ็บก็เลยได้ไปทำ MRI Scan สแกนกล้ามเนื้อดูคือก็พบว่าเราบาดเจ็บทั้งกล้ามเนื้อขาด้านหลัง หรือ แฮมสตริง (Hamstring) สันหน้าแข้งอักเสบ (Shin splint) และเอ็นต้นขาด้านข้างอักเสบ หรือ ไอ ที แบนด์ (Iliotibail Band Syndrome : IT Band) คือกล้ามเนื้อที่ต้องรองรับขาทั้งหมดคือเราเจ็บหมดเลย เพราะเกิดจากการที่เราวิ่งเร็วเกินไป แล้วก็เพิ่มระยะเร็วเกินไปก็ต้องสร้างกล้ามเนื้อ คุณหมอที่ดูแลนาวก็เลยแนะนำมาว่ามันสร้างได้ เราจะยอมสร้างกล้ามเนื้อแล้วหยุดวิ่งไหม เพราะด้วยความที่หมอที่ดูแลนาวเขาก็เป็นนักวิ่งด้วยเขาก็เลยทราบว่าควรทำยังไง ซึ่งนาวก็เลยทำตามที่คุณหมอแนะนำและก็ทำตามพี่หลายๆ คนแนะนำด้วย ตอนนั้นนาวพักการวิ่งไปเลยค่ะ
• พักการวิ่ง หลังจากลงวิ่งฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon) เพราะบาดเจ็บ
ตอนที่พักการวิ่ง นาวมาเล่นเวตเทรนนิ่งแทน 3 เดือน เพื่อที่เราจะได้สร้างกล้ามเนื้อให้มากขึ้น ตอนนั้นเล่นเวตด้วยแล้วรับประทานอาหารให้ถูกต้องด้วย โดยที่เราจะไม่อดอาหารเลย ไม่มีกินยาลดความอ้วน จะไม่นับแคลอรีเลย ซึ่งนาวจะใช้วิธีกินตามเวลา เน้นกินอาหารสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อที่ร่างกายเราจะได้แข็งแรง พอเราฝึกร่างกายจนครบ 3 เดือน นาวก็กลับมาซ้อมวิ่งใหม่ ซึ่งกลับมาคราวนี้เราก็มาซ้อมเพื่อที่จะไปฟูลมาราธอน (Full Marathon) ระยะทาง 42.195 กิโลเมตรและซ้อมแบบฮาล์ฟ มาราธอน (Half marathon) ระยะทาง 21 กิโลเมตรไปด้วย และตัดสินใจมาลงฟูลมาราธอน (Full Marathon) ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ครั้งแรกในปีถัดมา
• แต่พอหายบาดเจ็บก็กลับมาวิ่งต่อ ซึ่งเป้าหมายคือลงวิ่งฟูลมาราธอน (Full Marathon) ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ครั้งแรก
ใช่ค่ะ หลังหายจากการเจ็บขาครั้งนั้น นาวก็มีตารางซ้อมของนาวว่าเราจะซ้อมยังไง นาวจะซ้อม 30 กิโลเมตร ประมาณ 5 รอบ แล้วก็ 35 กิโลเมตร 1 รอบเพื่อที่เราจะสร้างความอึดของร่างกาย เพราะเราไม่ได้มีพื้นฐานเป็นนักกีฬามาก่อน เราต้องค่อยๆ เกิดการเรียนรู้ อย่างเมื่อไหร่ที่นาวเจ็บ เริ่มมีอะไรค่อยๆ เกิดกับร่างกายนาวจะหยุดทันที แล้วก็ไปเวตเทรนนิ่งเพื่อให้สร้างกล้ามเนื้อ แต่พอจบระยะมาราธอนปุ๊บนาวก็รู้เลยว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป เราควรสร้างอะไรบ้างแล้วต้องซ้อมยังไง คือทุกอย่างมันอยู่ที่วินัยและการอุทิศตัวที่จะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง
ก่อนหน้านี้นาวเคยสบประมาทคนวิ่งมาราธอนมาก่อนว่าทำไมต้องมาวิ่ง 4-5 ชั่วโมงด้วย เขาคิดอะไรกันอยู่ จนเรามาวิ่งเลยได้พบคำตอบว่าเราอยากจะชนะใจตัวเองให้ได้ เพราะก่อนหน้านี้นาวเคยเจ็บมาก่อน เรียนรู้ทั้งถูกและผิดเลยทำให้คิดว่าเราจะทำยังไงให้เราวิ่ง 42 กิโลเมตรโดยไม่เจ็บตอนนี้นาวก็วิ่งมาได้ปีที่ 3 เก็บมา 2 มาราธอนแล้วค่ะ ก็รู้สึกว่าตัวเองมาไกลเหมือนกันนะคะจากคนวิ่งไม่ได้แล้วมาจบที่ระยะฟูลมาราธอน (Full Marathon)
• อยู่กับการวิ่งมา 3 ปีแล้ว ได้รับประโยชน์อะไรจากการวิ่งบ้างคะ
การวิ่งให้อะไรกับนาวเยอะมากเลยค่ะ นาวเลยอยากถ่ายทอดให้คนรู้สึกแบบนาวบ้าง อย่างแรกเลยคือวินัย มันสร้างวินัยให้กับเราได้เพราะเราต้องทำตามตารางซ้อม
สองคือเรารักตัวเอง ทุกวันนี้นาวเป็นผู้หญิงที่รักตัวเองมากๆ เพราะคิดว่าเราต้องทำอะไรเพื่อตัวเอง การวิ่งก็เป็นการทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สามคือนาวได้รู้จักกับสังคมนักวิ่ง ซึ่งเป็นสังคมที่น่ารักมากๆ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาก็จะให้กำลังใจกัน แล้วสังคมวิ่งจะเจอแบบนี้มาตลอดไม่ใช่แค่งานเดียว นาวก็เลยจะชอบ มันเลยเป็นความสุขที่ได้อยู่ในวงการนี้ อย่างเหตุการณ์หนึ่งตอนนาวลงวิ่งตอนฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon) แรก เราก็คิดว่าเราจะวิ่งไม่จบเหมือนกัน แต่ก็มีคนที่เขาเป็นคนที่คอยช่วยเหลือนักกีฬาที่เป็นอาสาสมัครงานนั้นเขาวิ่งมาบอกนาวเลยว่า “วิ่งให้จบ อดทนอีกนิดนึง” เขาจะมีสเปรย์เขาก็จะฉีดให้นาวตลอดทาง เขาชื่อพี่ไก่ซึ่งพี่เขาก็ดูแลจนวิ่งจบ คือจำได้ว่า ณ รอบบริเวณตอนนั้นเขารอให้เราจบ คิดดูสิคะว่าจะมีสังคมไหนบ้างที่อยากเห็นเราสำเร็จ เขาก็ลุ้นไปกับเรา พอเราวิ่งจบเขาก็ยังแนะนำว่าเราต้องเสริมอะไรยังไง ให้ลงซ้อมที่สนามไหน เรารู้สึกว่าทุกคนให้ใจเรา มันมีความสุขมากนะคะ
สังคมนักวิ่ง เป็นสังคมที่ช่วยเหลือกัน สังคมที่อยากเห็นเราสำเร็จโดยไม่ได้มองว่าไม่อยากเห็นคนคนนี้ไปถึงจุดจุดนั้น ไม่มีแบบนั้นเลยนะคะ มีแต่พอเราวิ่งไปเราจะเห็นความสวยงามของสังคมไทย มีแต่คนช่วยเหลือกัน พาพ่อ พาแม่มาวิ่งบ้าง พาลูกมาวิ่งตั้งแต่เล็กๆ เราเลยคิดว่าสังคมแบบนี้มันเป็นอะไรที่สวยงามดีนะ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งด้วยที่ทำให้นาวรักและได้จากการวิ่ง
สี่ ที่ได้หลักๆ เลยคือเรื่องสุขภาพ สิ่งที่นาวเคยมีปัญหาทั้งเรื่องความดัน เรื่องหูอื้อ หน้ามืด เวียนหัวเราหายไปหมดเลย ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น มวลกระดูกเราเพิ่มมากขึ้นเพราะเราออกกำลังกาย สุขภาพดีขึ้น รูปร่างนาวเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะจากที่เคยเป็นผู้หญิงผอมบาง หุ่นนางแบบตรงๆ ตอนนี้ก็เริ่มมีส่วนเว้า ส่วนโค้งมากขึ้นจากการที่เราออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง ซึ่งสิ่งที่นาวทำทำให้นาวได้รางวัล Influencer of Asia Top 15 ของไทย สาขา Health & Fitness เป็นนักกีฬาคนเดียวที่ติดในสายนี้ทั้งเอเชียค่ะ
• มีข้อแนะนำสำหรับนักวิ่งมือใหม่อย่างไรบ้างคะ
นาวจะบอกว่าการวิ่งหาข้อมูลได้ อย่างครูดินที่เป็นนักกีฬาทีมชาติที่สร้างสนามวิ่งที่จังหวัดพะเยา ท่านเป็นครูคนแรกของนาวเลยนะคะ ที่มาจัดท่าวิ่งให้เพราะตอนนั้นนาวไปร่วมงานของโตโยต้า ท่านก็เลยสอนท่าวิ่งที่ถูกต้องให้กับนาวว่าท่าไหนวิ่งสบายสุด ถามว่าโค้ชจำเป็นไหม เอาจริงๆ นะนาวว่าไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่ถ้าเราอยากวิ่งจริงจัง อยากจะวิ่งให้ถูก โค้ชจะเป็นทางหนึ่งที่เขาทำให้เราสามารถไปถึงฝั่งได้ไกลกว่า แต่ทุกวันนี้เรามียูทิวบ์ มีเรื่องการออกกำลังกาย เรื่องของการวิ่งอะไรต่างๆ เยอะมากที่เราสามารถหาข้อมูลได้ หรือไม่ก็ไปสวนลุมพินีก็ได้ค่ะ ถามคนแถวนั้นได้เลยเพราะทุกคนที่เขาเป็นนักวิ่ง นักกีฬาเขาพร้อมที่จะบอกอยู่แล้วว่าเขาซ้อมยังไง ทำยังไงตอนเริ่มแรก ถามนาวก็ได้นาวยินดีให้คำตอบ
• แล้วถ้ามีคนอยากจะเริ่มต้นวิ่งบ้างควรทำอย่างไร
จริงๆ จะออกกำลังกาย จะเล่นกีฬาอะไรก็ได้ ได้หมด เพียงแค่หาตัวเองให้เจอ แค่เรามีความสุขกับมันก็ทำไปเถอะ นาวอยากจะเชิญชวนทุกคนออกมาจาก comfort zone ออกจากความรู้สึกที่เราทำไม่ได้ ความรู้สึกที่ว่ามันยาก มันเหนื่อย ไม่อยากทำ ให้ทลายกำแพงที่เป็นเงื่อนไขของตัวเองว่าทำไม่ไหว ทำไม่ได้ เหนื่อยง่าย จะเป็นลม ฉันเวียนหัว เราแค่ทลายกำแพงเงื่อนไขของตัวเองที่เราผูกไว้ว่าเราทำไม่ได้ ออกมาทำให้มันสำเร็จ อย่างกีฬาวิ่งเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต้องใช้อะไรมากเลย
นาวอยากให้เขาออกมาจากจุดนี้ก่อน เปลี่ยนความคิดตัวเองว่ามันก็แค่มีรองเท้าผ้าใบสักคู่หนึ่งกับใจถึงถึง ออกมาวิ่งก็พอแล้ว สำหรับตอนแรกนะคะ แต่พอเราเริ่มเพิ่มระยะทุกอย่างมันคือวินัยแล้วมันอยู่ที่การฝึกฝนของร่างกายเรา ให้เราได้เรียนรู้ ให้ได้ชินกับระยะทางที่มันไกลขึ้น ซึ่งเราอยากพัฒนา อยากเพิ่มความเร็ว เราก็ต้องฝึกตามตารางซ้อมทั้งหัวใจและความอึดต่างๆ
นาวจะมีแก๊ง Melonista อยู่ ก็จะชอบชวนเพื่อนๆ ชวนสาวๆ มาวิ่งกัน 5 กิโลเมตร อย่างนาวมีเพื่อนคนหนึ่ง นาวไปชวนเขาวิ่ง เขาวิ่งได้ 5 กิโลเมตรแรก นาวน้ำตาไหลเลยนะคะ คือเราดีใจจากที่เขาไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนแล้วเราทำให้เขามาจบ 5 กิโลเมตรได้คือเราไม่ได้ต้องการอะไร ต้องการบอกแค่ว่าเขาทำได้ ตอนนี้เขาก็ไปถึงฮาล์ฟ มาราธอน (Half Marathon) แล้วค่ะ (ยิ้ม) มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะที่คนรอบข้างจะหันมาดูแลตัวเอง อย่างตอนแรกเพื่อนนาวจะเป็นแบบเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนออกกำลังกายหายากมาก หลังๆ พอเราเริ่มทำแล้วเราทำได้ ทุกคนก็จะคิดว่าเขาก็ทำได้ ก็เลยได้มาออกกำลังกายด้วยกันค่ะ
นาวว่าการออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ แค่เราออกมาฝึกกับตัวเองยังไงก็ทำได้แน่นอน อย่างช่วงที่ผ่านมามีคนสามารถไปถึงมาราธอนได้เป็นหมื่นคนแล้วนะคะจากเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วยากมากๆ ซึ่งสมัยนี้คนหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น อย่างสองปีที่แล้วระยะมาราธอนเป็นระยะที่เต็มยากที่สุดแต่เดี๋ยวนี้เวลาลงสมัครเต็มเร็วมากๆ ค่ะ เพราะเขามีอะไรให้เล่นเยอะมากเลย เขาสร้างอีเวนต์ให้คนอยู่ด้วยกัน ให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันซึ่งมันสนุกมากค่ะ
• เรียกได้ว่ามะนาวเป็นนักกีฬาเต็มตัวแล้วใช่ไหม เพราะเห็นว่านอกจากการวิ่งแล้ว มะนาวยังเป็นนักไตรกีฬาด้วย
ก่อนหน้านี้เป็นนางแบบ นักแสดง เล่นละคร เดินรันเวย์ เดินแฟชั่นวีก ซึ่งนาวทำมาตั้งแต่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ซึ่งลูกค้าเขาก็เลือกให้เราทำงานมาได้ 6-7 ปี ตั้งแต่อายุ 18-27 ปี แต่ตอนนี้นาวจะมาลุยทางสายกีฬาอย่างเดียวแล้วค่ะ เพราะตอนนี้นาวเป็นนักกีฬาเต็มตัวแล้ว
หลังจากวิ่งระยะฟูลมาราธอน (Full Marathon) นาวก็สนใจไตรกีฬา ซึ่งไตรกีฬาก็จะเป็นกีฬา3 ชนิด ประกอบด้วย ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน วิ่ง อยู่ในลูปเดียวกัน เอาจริงๆ กีฬานี้ไม่ใช่เป้าหมายของนาวเลยนะคะ เพราะคิดว่าเอื้อมไม่ถึงเพราะมันยากและหนักเอาการเหมือนกัน และนาวก็ยังใหม่กับการปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ ก็ต้องเรียนรู้ไปก่อน
ที่นาวมาสนใจไตรกีฬาแทนเพราะนาวได้ทางบริษัทสิงห์เข้ามาสนับสนุนให้นาวฝึกการปั่นจักรยานด้วย ซึ่งทางบริษัทสิงห์ก็บอกให้นาวลุยเลยก็เลยทำให้นาวได้มาเป็นนักไตรกีฬาด้วยค่ะ ซึ่งไตรกีฬาจะมีหลายระยะ เช่น ระยะ Sprint Distance ว่ายน้ำ 750 เมตร ปั่นจักรยาน 20 กิโลเมตร วิ่ง 5 กิโลเมตร ระยะต่อมาเป็น Olympic Distance ซึ่งจะว่ายน้ำ 1,500 เมตร ปั่นจักรยาน 40 กิโลเมตร วิ่ง 10 กิโลเมตร แล้วก็ Half Ironman ว่ายน้ำ 1,900 เมตร ปั่นจักรยาน 90 กิโลเมตร วิ่ง 21 กิโลเมตร และ Ironman 3,800 เมตร ปั่นจักรยาน 180 กิโลเมตร วิ่ง 42 กิโลเมตร
ตอนนี้นาวลงไตรกีฬาในระยะ Sprint Distance คือจะเป็นระยะสั้นๆ เริ่มแรกเลยจะมีว่ายน้ำ 750 เมตร ปั่นจักรยาน 20 กิโลเมตร วิ่ง 5 กิโลเมตร ดูเหมือนง่าย ดูเหมือนว่าจะระยะสั้นๆ แต่พอทำทุกอย่างแล้วก็ไม่ง่ายเลย อย่างเมื่อวันจันทร์นาวไปซ้อมมาก็คิดว่ามันหนักใช้ได้เลย 3 ชนิด พร้อมกันในวันเดียวก็ค่อนข้างหนักเพราะพอขึ้นจากน้ำมาเราก็จะรู้สึกมึนๆ แล้วต้องมาปั่นจักรยานต่อ ก็ต้องเรียนรู้กันไป
• มีการฝึกซ้อมยังไงบ้างคะสำหรับการลงแข่งไตรกีฬาครั้งแรก
การฝึกซ้อมถ้าเรื่องไตรกีฬานาวจะมีโค้ชฝึกซ้อมให้ เขาก็จะให้นาวฝึกซ้อมตามตาราง เริ่มจากง่ายๆ วันละชนิด แล้วก็มาเป็นวันละ 2 ชนิด เช้าเย็น ส่วนทุกวันจันทร์จะเป็นการฝึกทั้งสามอย่างแล้วมาดูเวลาว่าเราจะเพิ่มความเร็วยังไงได้บ้างให้เราไม่บาดเจ็บ แต่จะไม่ฝึกทุกวันนะคะ ยังมีวันพักด้วยเพราะถ้าฝึกอย่างเดียวร่างกายเราจะไม่พัฒนา สัปดาห์หนึ่งก็จะมีวันพัก 1 วัน
ก่อนหน้านี้นาวว่ายน้ำและปั่นจักรยานไม่เป็นมาก่อนเลยค่ะ เพราะมาหัดว่ายน้ำใหม่ อะไรใหม่หมดเลย ซึ่งก็มีครูจอยกับจ่าโอมาสอนว่ายน้ำให้ถูกวิธี นาวก็ได้ไปซ้อมที่ทะเลเลย แล้วก็มีโค้ช อนันต์ ดวงโสภา นักไตรกีฬาระดับแถวหน้าของเมืองไทย สังกัดนาวิกโยธิน ราชนาวี ที่มาช่วยสอนวิ่งและสอนปั่นจักรยานค่ะ ซึ่งงานแรกนาวจะลงแข่งที่จังหวัดกระบี่ (Kanabnam International Triathlon Krabi 2017 ขนาบน้ำไตรกีฬานานาชาติ) ในเดือนหน้านี้แล้วค่ะ
• ความฝันสูงสุดในด้านกีฬาของมะนาวคืออะไรคะ
หลังจากนี้นาวจะมองเรื่องการแข่งไตรกีฬาเป็นหลักแล้วนะคะ เราก็จะเก็บไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ มากกว่าการไปเร่ง ค่อยพัฒนาไปจะดีกว่า ส่วนการวิ่งนาวคิดไว้ว่าอยากไปวิ่งงานที่เป็น 6 สนามแข่งขันรายการใหญ่ของการวิ่งมาราธอนระดับโลก (World Marathon Majors) ซึ่งจะมี บอสตันมาราธอน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา, ลอนดอนมาราธอน ประเทศอังกฤษ, บีเอ็มดับเบิลยู เบอร์ลินมาราธอน ประเทศเยอรมนี, ชิคาโกมาราธอน รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา, นิวยอร์ก ซิตี้ มาราธอน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และโตเกียวมาราธอน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนาวอยากไปที่โตเกียว ไม่ก็บอสตัน แต่เราต้องเก่งระดับหนึ่งก่อนด้วยค่ะ
4 เทคนิคการวิ่งง่ายๆ ฉบับมะนาว ภรณี
1.การลงเท้า
สำหรับมะนาวตอนแรกที่เรามาวิ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าท่าวิ่งต้องเป็นยังไงเราก็ได้แต่วิ่งของเราไป แต่พอวิ่งไปสักพักเราก็ได้รู้ว่าการวิ่งต้องลงที่กลางเท้าและปลายเท้า ถ้าเราวิ่งแล้วไปลงที่ส้นเท้า เราจะมีปัญหาที่หัวเข่าเนื่องจากเกิดการสะเทือนพุ่งตรงขึ้นมาที่เข่าโดยตรง
2.ท่าวิ่งก็สำคัญ
เวลาวิ่งการปล่อยตัวให้สบายก็จะเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้นาวจะวิ่งโดยก้มต่ำไป หรือมองเงยเกินไปก็จะทำให้มีปัญหาที่ต้นคอได้
3.ระบบการหายใจก็มีส่วน
นาวจะมีเทคนิคการรับจังหวะเพราะการวิ่งระยะยาวจะทำให้เหนื่อยง่ายมาก สิ่งที่เราควรทำคือการสร้างจังหวะในการวิ่ง นาวก็จะนับ 1 2 3 4 หายใจเข้า แล้วพอถึง 4 ก็หายใจออก แบบนี้จะทำให้เหนื่อยน้อยลง ทำให้คุมอัตราการเต้นของหัวใจได้ดีขึ้น
4.เครื่องแต่งกาย การเลือกรองเท้าก็จำเป็น
ทุกอย่างเราเหมือนเลือกให้เราสบายที่สุด ให้ชุดบาดตัวเราน้อยที่สุด เพราะบางคนเป็นนะ อย่างนาวนาวก็เป็นวิ่งๆ ไปชุดบาด ไม่ใช่เพราะอ้วนหรืออะไรนะคะแต่เป็นเพราะมันเกิดการเสียดสี อย่างรองเท้าวิ่ง เท้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเท้าแบน บางคนเท้าแหลม เวลาเราวางเท้าเวลาวิ่ง กระดูกข้อเท้าบางคนพลิกเข้า บางคนพลิกออกเราก็ต้องดู เพราะบางคนไม่ได้ลงเต็มหน้าเท้า จะลงแค่ด้านข้างก็ต้องดูดีๆ ซึ่งการเลือกรองเท้าก็ต้องลองใส่ดูก่อน แต่เทคโนโลยีการวิ่งเดี๋ยวนี้จะมีคนมาดูให้ ซึ่งเขาจะจับเซ็นเซอร์ จับการถ่ายรูปเลยว่าเราควรจะวิ่งยังไง รูปแบบไหน โดยที่ลักษณะเท้าเราเป็นแบบนี้ การวางเท้าเราเป็นอย่างนี้ เพราะมันจะอยู่ที่โครงสร้างร่างกายของเราด้วย
4 สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการวิ่งแบบฉบับมะนาว ภรณี
1.วินัยซ้อม
นาวจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นระยะไหนถ้าเราอยากจะทำให้ดี เราก็ต้องซ้อมเพื่อไม่ให้ร่างกายเราบาดเจ็บด้วย
2.ความสุข
ความสุขที่เราได้ทำในสิ่งที่ชอบ มันไม่ใช่แค่เรื่องวิ่งแต่มันเป็นหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือการทำอะไร ถ้าเราทำแล้วมีความสุข เราอยู่กับมันได้นานๆ ก็ทำมันไปเลย ทำให้เต็มที่
3.สปอร์ตบาร์
เพราะยังมีหลายคนที่ออกมาวิ่งแล้วยังใส่เสื้อชั้นในที่มีโครงแล้วมีฟองน้ำซึ่งมันผิดนะคะเพราะเวลาเราวิ่งเราจะต้องทำให้ตัวเองสบายที่สุด เนื่องจากตอนที่เราวิ่งเหล็กจะกดกระดูก กดกล้ามเนื้อของเรา ซึ่งเราควรจะใส่สปอร์ตบาร์ที่มันสบายที่สุดในการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นโยคะก็จะต้องเป็นสปอร์ตบาร์อีกตัวหนึ่ง วิ่งก็จะเป็นสปอร์ตบาร์ตัวหนึ่งซึ่งนาวอยากให้ผู้หญิงหันมาสนใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นค่ะ
4.ขนตา
อันนี้นาวขาดไม่ได้จริงๆ ค่ะเพราะเวลาติดขนตาเหมือนนาวได้ติดปีกให้กับการวิ่งเพราะว่าเราวิ่งแล้วเราก็อยากสวย ซึ่งคนอาจจะดูว่ามันไร้สาระเรื่องติดขนตาแต่เราเป็นผู้หญิงเราก็อยากจะสวย มันไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังในการวิ่งหรอก แต่มันทำแล้วสบายใจค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และอินสตาแกรม @mymanow