สโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน แห่งเวทีกัลโช เซเรีย อา จากประเทศอิตาลี ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทีมระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จอันยาวนาน เพราะนอกจากความสำเร็จที่ได้รับตลอดมาแล้ว ทีม “ปีศาจแดงดำ” ก็สร้างระดับตำนานมาทุกยุคทุกสมัยให้เป็นที่รับรู้และเป็นอีกความทรงจำให้แก่แฟนฟุตบอลทั่วโลกได้รับรู้ถึงความเก่งกาจของทีมดังจากแดนมะกะโรนีแห่งนี้
แม้ว่าปัจจุบัน ทีมเอซี มิลาน กำลังอยู่ในช่วงยักษ์หลับแห่งวงการ แต่ทีมก็กำลังเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายใหม่เพื่อความก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นเองเป็นแรงบันดาลใจให้กับ “สุรเชษฐ์ ใบเจริญโรจน์” นักออกแบบเสื้อฟุตบอลอิสระ ได้ลงมือออกแบบเสื้อชุดที่สามของทีมปีศาจแดงดำ ประจำฤดูกาล 2017-18 นี้ ซึ่งผลงานดังกล่าวก็ถูกรับเลือกให้เป็นชุดประจำซีซัน จนสร้างชื่อเล็กๆ ให้กับวงการออกแบบชาวไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อเวทีโลกอีกครั้ง และถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทีมเอซี มิลาน ต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อีกครั้ง
• ความสนใจในเรื่องฟุตบอลของคุณมันเริ่มมาจากอะไรครับ
ตอนแรกสุด ผมชอบเล่นเกมกับวาดรูปก่อน จนกระทั่งได้ไปพบกับเกมฟุตบอลเจลีก ชื่อเกมว่า J-League Excite Stage 94 ที่เป็นเครื่องซูเปอร์ แฟมิคอม เราก็รู้จักฟุตบอลจากตรงนั้น คือเจลีกมันจะมีคาแรกเตอร์ดีไซน์ งานออกแบบชุดแข่ง โลโก้ที่มันสะดุดตาในช่วงนั้น บวกกับเป็นช่วงที่เจลีกเปิดใหม่ๆ ด้วย ทำให้เราเริ่มสนใจในตอนนั้น แล้วก็ชอบฟุตบอลมาตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเราชอบวาดรูปมาก่อน จะอ่านการ์ตูนพวกดรากอนบอล แต่เรารู้จักฟุตบอลจากเกม ซึ่งก่อนหน้านั้นอย่างที่บอกคือ ไม่ได้สนใจฟุตบอลเลย
คือเรามาเจอเกมนี้ในช่วงมัธยมต้น ซึ่งน่าจะเป็นช่วงปี 1994 นี่แหละ คือพอได้มาเล่นเกมฟุตบอลเกมแรก มันก็รู้สึกว่าฟุตบอลมันสนุกอย่างนี้นี่เอง มันมีการแข่งขันระดับลีก ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอระบบลีก ว่ามันพบกันหมดว่ะ แข่งเป็นฤดูกาล ไม่ใช่แค่รอบน็อกเอาต์ เรารู้สึกว่ามันเจ๋งดี มันแฟร์ดี คือก็เหมือนกับเราดูซีรีส์ ที่จะต้องมีฤดูกาลต่างๆ เราก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ซึมซับในเรื่องฟุตบอลมาตั้งแต่ตรงนั้น ซึ่งสุดท้ายเราก็ไม่ได้ชอบทีมจากเจลีกนะ เพราะว่าด้วยข่าวสารในเจลีกในช่วงนั้นมันน้อย มันก็เลยต่อไปเรื่อยๆ ตรงหนังสือพิมพ์กีฬาฟุตบอล อย่าง สยามกีฬา สตาร์ซอคเก้อร์ มันก็ทำให้เรารู้จักทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ในกัลโชมากขึ้น
• เท่ากับว่าคุณก็เริ่มดูฟุตบอลและพัฒนาในการวาดรูปไปด้วย
ใช่ครับ ช่วงนั้นเหมือนกับว่าก็ไปหาการ์ตูนฟุตบอลมาอ่านเยอะขึ้น เช่น ซึบาสะ, J-Dream และยิงประตูสู่ฝัน ซึ่งถ้าชอบก็เก็บตามอ่าน เราก็เลยเริ่มวาดรูปตามที่เราอ่านด้วย แล้วก็เริ่มสนใจเขียนรูปการ์ตูน และออกแบบเสื้อในจินตนาการของเราไปด้วย เราวาดตัวการ์ตูนตัวนี้ แต่เราอยากให้ใส่เสื้อแมนฯยูฯ เราเลยอยากให้ลองเสื้อแมนฯยูฯ ในแบบของเรา ก็วาดเล่นๆ มาเรื่อยๆ แต่ถามว่าเป็นการค้นหาตัวเองมั้ย มันก็เป็นความชอบมากกว่า แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร แต่ตอนแรกก็มีฝันบ้างว่า อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน หรือเป็นนักฟุตบอล ประมาณนั้น
• แน่นอนว่า การหาต้นแบบต่างๆ เพื่อมาทำงานมันก็ยากพอควรนะ
คือตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรไง แค่เป็นความชอบมาผสมปนเปไป วาดการ์ตูนญี่ปุ่น แต่เอาเสื้อทีมฟุตบอลมาจินตนาการไป มีเสื้อทีมกสิกรไทย เราก็อยากจะออกแบบเสื้อว่าเป็นยังไง ออกแบบเสื้อ แมนฯยูฯ หรือ อาร์เซนอล ยังไง ทำไปตามจินตนาการความชอบไปเรื่อยๆ ก็ประมาณนี้แหละ จนเข้าช่วง ม.ปลาย ก็เป็นอย่างงี้มาเรื่อยๆ อ่านการ์ตูน เตะฟุตบอล เล่นเกม จนช่วงมหา'ลัย เราเอนท์ติด คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เราเรียนในสาขาแฟชั่น เราก็ค่อยๆ ต่อยอดมาเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการทำงาน และกระบวนการทางความคิด เริ่มค่อยๆ เรียนรู้มา
• ถ้ามองจากคนทั่วไปแล้ว ด้วยความชอบของคุณเอง แต่มาเรียนอีกอย่างที่ขัดแย้งกัน มันก็ค่อนข้างย้อนแย้งกันนะ
มันก็เป็นเรื่องที่บังเอิญเหมือนกัน คือตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราอยากทำอะไรไง เราแค่เอาความชอบนำ แล้วการที่เอนท์ติด มันก็เหมือนความบังเอิญขึ้นมา แต่ถ้าพูดจริงๆ เราก็ไม่ได้มีพื้นฐานศิลปะเหมือนคนอื่นเขา เพราะเราก็วาดรูปไปตามเรื่องราว แต่เราก็มีพื้นฐานการวาดการ์ตูนที่ดีกว่าเขาหน่อยนึง ไม่ได้ไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมอะไร หรือจบช่างศิลป์มา เราก็เด็กสายวิทย์แล้วบังเอิญเอนท์ติดสายศิลป์ แต่ที่คณะ ก็คือเป็นจุดเริ่มต้นที่พื้นฐานของศิลปะจริงๆ ในการออกแบบจริงๆ
• ด้วยความที่เป็นนักศึกษาด้านแฟชั่น แล้วเราดูความเคลื่อนไหวของการออกแบบเสื้อผ้า คุณคิดว่าองค์ประกอบในการออกแบบนั้นมันมาจากอะไร
จริงๆ เราก็ยังไม่ได้ศึกษาลึกๆ กับเรื่องพวกแบรนด์กีฬา หรือเสื้อฟุตบอลอะไรขนาดนั้น คือแค่สนใจเตะฟุตบอล แค่นั้นเอง ซึ่งคณะที่เราเรียน เราได้พื้นฐานในการออกแบบ ซึ่งมันค่อนข้างกว้าง แล้วมันก็ไปประยุกต์ทำอย่างอื่นได้ แต่พอไปเริ่มทำงานที่บริษัทรองเท้าแพน มันก็ได้เรียนรู้ชีวิตการทำงานจริงๆ ตอนแรกสมัครไป เราก็อยากทำงานด้านฟุตบอลอย่างเดียว เราก็ออกแบบรองเท้าฟุตบอล ลูกบอลให้เขาดู เขาก็บอกโอเคผ่าน เขาก็ให้มาลองทำดู แต่เขาบอกว่า มีคนทำหน้าที่ฟุตบอลอยู่ เลยให้เราไปทำรองเท้าวิ่ง เพราะคิดว่า อย่างน้อยให้อยู่ใกล้คนทำรองเท้าฟุตบอลก็ดี แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวสักวันก็ได้ทำ เข้าไปเรียนรู้ก่อน ก็เริ่มทำรองเท้าวิ่งมาตั้งแต่นั้น
• ค่อนข้างยากมั้ยครับที่ความชอบอีกอย่าง แต่ต้องมาออกแบบอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง ในช่วงตอนนั้น
มันก็ยากเหมือนกันแหละ ที่เราเข้าไปแล้วไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย แต่ยังดีที่พี่ๆ เขาช่วยสอน ช่วยดูแล ตอนนั้นก็ทำรองเท้าวิ่งอย่างเดียว 8 ปี คือถือว่าโชคดีที่เรามีพัฒนาการมาตลอดนะ จากที่ไม่รู้เรื่องในการวิ่งเลย ซึ่งแบบที่เราทำมาแรกๆ ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก แต่พอเริ่มมีทีมงานใหม่ๆ มีหัวหน้าทีมใหม่เข้ามา เราก็เรียนรู้ว่า รองเท้าวิ่งที่ดีควรจะเป็นยังไง เราก็ต้องไปหัดวิ่งเองด้วย ไปลงงานดูสิว่าวิ่ง 10 กิโลเขาทำกันยังไง เราถึงจะได้รู้ความรู้สึกจริงๆ ว่ารองเท้าที่ดีมันเป็นยังไง เพราะว่าถ้าเราไม่ลองวิ่งเอง ไปสัมภาษณ์แต่นักกีฬาแล้วใส่รองเท้าเรา แล้วเขาบอกจุดด้อยมาอย่างเดียว บางทีเราไม่รู้ เราก็ต้องไปวิ่งเองด้วย
ถามว่าในตัวงานมันมีความหนักนะแต่ก็สนุก เพราะว่าเราชอบกีฬาอยู่แล้ว คือมันสนุกกับการทำงานแหละ จน 8 ปีที่ทำรองเท้าวิ่ง ด้วยว่าสักวันที่เราจะได้ทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล เราก็ได้นั่งใกล้กับคนที่ทำรองเท้าฟุตบอล เราก็สังเกตศึกษาวิธีการทำงานของเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 7 เราก็เข้ามาสู่การทำรองเท้าฟุตบอล คือเราก็แสดงตัวว่าทำมาตั้งนานแล้วล่ะ เขาก็บอก เอาดิ ลองดู เพราะว่างานช่วงนั้นเหมือนกับเยอะอยู่ เขาก็ให้ลองทำดู ก็ได้ออกแบบรองเท้า 2 รุ่น เราก็โอเค ทำงานให้ทีมชาติใส่ ทำให้ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ กับ พิพัฒน์ ต้นกัลยา มันก็เริ่มสนุกกับสิ่งที่เราอยากทำซะที ส่วนการทำงานก็เหมือนเดิมเหมือนกับรองเท้าวิ่ง process เดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนประเภทกีฬา อีกอย่างเราก็คลุกคลีกับพี่ๆ อยู่แล้ว
• พอได้มาทำรองเท้าฟุตบอล ใจคุณก็ยังอยากที่จะออกแบบเสื้อผ้าฟุตบอลเหมือนเดิมมั้ยครับ
คือยังไม่ใช่เรื่องเสื้อผ้าซะทีเดียว แต่เป็นอะไรที่เกี่ยวกับฟุตบอล เผอิญช่วงปีที่ 7-8 เราได้เริ่มทำฟุตบอลบ้าง แต่หน้าที่หลักของเราก็คือทำรองเท้ากีฬาวิ่งอยู่ แล้วบังเอิญช่วงปีที่ 8 พี่ที่เขาทำงานอยู่ที่เดียวกัน เขาออกไปทำแบรนด์ฟุตบอลแบรนด์ใหม่ เขาเลยชวนให้ไปทำงานด้วย ตัวเราก็คิดว่า เพิ่งทำฟุตบอลมานิดเดียว มันก็เหมือนเป็นตัวสำรอง แล้วการมีพี่ที่มาชวนไปทำเกี่ยวกับฟุตบอล มันก็ได้เป็นตัวจริงแล้ว เราก็เลยตัดสินใจลาออก แล้วก็ไปทำที่ใหม่ เป็นแบรนด์รองเท้าและชุดกีฬาฟุตบอลอย่างเดียวเลย ก็ย้ายไปทำที่ Koolsport
พอไปในแบรนด์ใหม่ เขาก็ให้ทำรองเท้าก่อน คือเขาทำเสื้อผ้ามาได้ปีนึงแล้ว มีคนทำอยู่แล้ว แต่เขาอยากได้ในส่วนรองเท้าฟุตซอลมาเสริมด้วย เราก็โอเค เราก็เริ่มไม่ยาก เพราะเรามีประสบการณ์อยู่แล้ว เราก็ไปเสริมเรื่องรองเท้าให้เขา พอผ่านไปปีนึงถือว่าผลตอบรับดี ของขายได้ ประกอบกับดีไซเนอร์คนเก่าเขาลาออก เราก็ได้ไปสวมแทน เลยกลายเป็นได้ทำทั้ง 2 อย่างเลย คือที่นี่ เขามีทำให้กับสโมสรอยู่แล้ว ซึ่งเสื้อผ้าสโมสรจะมีอีกคนดูแล ของเราจะเป็นรองเท้าฟุตซอล กับ เสื้อผ้ากีฬาที่เอาไว้ขาย ไม่เกี่ยวกับสโมสร เขาจะแยกกัน ซึ่งความยากก็พอๆ กันนะ ยากคนละแบบ เพราะเสื้อสโมสร มันก็ต้องทำงานกับสโมสร อาจจะใช้เวลานานหน่อย มีคนตัดสินใจเยอะ ต้องเอาไปให้เขาเลือก แก้ไปแก้มา
ขณะเดียวกันเสื้อที่เป็นคอลเลกชัน เราก็ต้องคิดว่าทำไงให้ขายได้ เพราะว่าไม่ได้ร่วมกับสโมสร คือทำยังไงแฟนบอลก็ซื้อแหละ แต่เสื้อคอลเลกชัน มันก็ยากไปอีกแบบนึง ทำไงมันถึงจะขายได้ เซลส์ไปขาย เราก็มีการศึกษารูปแบบไปเรื่อยๆ ก็ต้องคอยดูว่าเสื้อบอลมาในแนวทางไหน แต่จริงๆ ช่วงนั้น เสื้อบอลบ้านเรา เขาสร้างจนภาพแข็งแรงนะ ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ เสื้อพิมพ์ลายที่อยู่ดีๆ ก็บูมขึ้นมา เพราะว่าก่อนหน้านั้น ยังไม่มีใครทำเสื้อพิมพ์ลายที่จริงจังในตลาดก็มีเจ้านี้ที่ทำและจุดติดขึ้นมา ทำให้ตลาดเสื้อบอลในบ้านเราคึกคักอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะไม่ซบเซาหรอก แต่มีเจ้าตลาดเขาคุมอยู่ แต่นี่อยู่ดีๆ ก็เป็นเทรนด์ใหม่ขึ้นมา เป็นลายฉูดฉาด เหมือนเสื้อบอลญี่ปุ่นน่ะ เหมือนสร้างแนวทางใหม่ขึ้นมา ก็อยู่ที่นั่นมา 4 ปี คือเราก็ทำเสื้อผ้าคอลเลกชันขายอย่างเดียว คนที่ดูแลสโมสรก็ทำอยู่ตามปกติคือหลังจากนั้นไม่นาน พี่ๆ ที่ทำที่นี่ก็มาคุยกันว่าอยากทำแบรนด์ของตัวเอง เราก็เริ่มท้าทายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ว่าเราอยากทำงานของตัวเองบ้าง ทีนี้พออะไรพร้อม ก็ลาออกจาก Koolsport ไปทำที่ใหม่ ซึ่งช่วงที่เราอยู่ที่นั่นมา 4 ปี ลีกมันก็เริ่มแข็งแรงแล้ว ตอนนั้นคู่แข่งในเรื่องเสื้อผ้าฟุตบอลก็เริ่มเยอะแล้ว แต่เราแค่เติมความฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ต่อมาก็มาทำงานเหมือนเดิม ตลาดเดิม แต่ทำได้ปีนึง เรามีปัญหาส่วนตัว ก็เลยถอยออกมา แต่แบรนด์นี้ก็ยังอยู่ เราเลยมาเป็นฟรีแลนซ์ ตอนนี้ก็ทำได้ 2-3 ปีแล้ว
• เมื่อมาเป็นฟรีแลนซ์ที่เราได้ออกแบบเสื้อแล้ว หรือว่ายังทำแบบเดิมอยู่
ออกแบบเสื้อคอลเลกชันเหมือนเดิม เราก็ไปทำความรู้จักกับแบรนด์อื่นๆ ก็ได้งานมาทำ แต่ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์ เราก็เริ่มได้ทำงานเสื้อสโมสรมากขึ้น เพราะว่าแบรนด์ที่เราไปรับมาทำงาน บางอันก็มีป้ายสโมสรด้วย ก็ได้ทำงานสโมสรบ้าง
ส่วนเรื่องรายได้จากการออกแบบเสื้อนั้น คือมันก็แล้วแต่นะ อย่างที่เราทำงานเป็นฟรีแลนซ์ จริงๆ มันก็ไม่มีสูตรตายตัว มันขึ้นอยู่กับเรากับลูกค้า เราต้องประเมินเอาเองว่า งานที่เราทำกับเขา แบรนด์เขาอยู่ในระดับไหน เราก็ต้องประเมินทั้งหมด แล้วค่อยคิดและเสนอ ถ้าทั้งเราและเขารับได้ก็จบ มันไม่มีสูตรตายตัว ก็ประมาณ 4-5 หลักได้ คือมันก็ต้องฝึกประเมินแหละ เพราะว่าบางทีถ้าอยู่ในสถานะกินเงินเดือนมาตลอด แต่เราก็พยายามสังเกตเรื่องยอดขาย บริษัทเป็นยังไง เรื่องรอบๆ ตัว การเงินบริษัท เรื่องการตลาด เรื่องเซลส์ เราก็ต้องคอยประเมินเอา
• อยากให้คุณช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปของการออกแบบเสื้อมิลานหน่อยครับ
เริ่มจากเราก็เปิดเว็บไซต์ เปิดเฟซบุ๊กตามปกติของเราแหละ คือเราก็เปิดเว็บไซต์หาข้อมูลในการทำงานอยู่แล้ว ก็บังเอิญไปเจอในเพจอาดิดาสแหละ เขาโปรโมตแคมเปญที่ว่า “Adidas Creator Studio” เป็นแคมเปญที่ให้แฟนบอลออกแบบเสื้อแข่งชุดที่สาม เราก็เปิดเว็บแล้วออกแบบเสื้อขึ้นมา แล้วส่งไปประกวด ก็มี 6 ทีม มี ฟลาเมงโก้, เรอัล มาดริด, แมนฯยูฯ, บาเยิร์น มิวนิก, ยูเวนตุส และเอซี มิลาน เราก็เริ่มสนใจแล้ว เพราะเราก็ชอบอาดิดาสด้วย แล้วมีแคมเปญนี้มา ก็น่าสนใจ เราก็ตัดสินใจเลือกทำของ เอซี มิลาน เพราะจาก 6 ทีม เราชอบมิลานที่สุด เรามีความทรงจำจากทีมนี้มากที่สุด เพราะช่วงยุค 1990 มิลานก็ยังยิ่งใหญ่ เราก็เลยเลือกทำมิลาน แล้วส่งไป
คือแคมเปญนี้มันเริ่มตั้งแต่ปีก่อน ช่วงนั้นเอซี มิลาน อยู่ในยุคที่ถดถอย เราก็เลยคิดคอนเซ็ปต์ขึ้นมาว่า ถ้าเป็นฤดูกาลหน้า มันควรจะเป็นเวลาที่สมบูรณ์กลับมายิ่งใหญ่ได้แล้ว มันก็เป็นช่วงเวลาที่ก้าวผ่านไปสู่ยุคใหม่ของทีม ตอนนั้นมันเหมือนมีการพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายทีมจากนักธุรกิจต่างๆ กำลังจะมีเจ้าของใหม่ เราคิดว่าคอนเซ็ปต์นี้น่าจะเวิร์ก เพราะอย่างที่บอก เราก็เลยทำเป็นกราฟิกประมาณนี้ หัวลูกศรเปลี่ยนผ่านเวลา
• คู่แข่งเยอะมั้ยครับ
จริงๆ คือ เขาโปรโมตว่า เปิดทั่วโลก ใครก็ส่งได้ เราก็ไม่รู้ว่ามันเยอะแค่ไหน อีกอย่างเราก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก แค่อยากมีส่วนร่วมกับทางแบรนด์ และได้ออกแบบเสื้อฟุตบอล มันก็คืองานของเรา ก็ลองทำส่งดู ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว มาจนถึงต้นปี เขาก็ประกาศ Top 100 ออกมา ซึ่งเราก็ติด และดีใจอยู่แล้วล่ะ หลังจากนั้นเราก็ทำงานของเราปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเมื่อช่วงกลางปี เราก็ได้อีเมลจากอาดิดาสบอกมาว่า ชนะในการออกแบบเสื้อตัวนี้ เราก็ตกใจนะว่าเป็นของจริงหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเป็นของจริง เพราะมันมีแนบเอกสารส่งมอบลิขสิทธิ์ให้เซ็น ให้สิทธิ์กับสโมสร
• แน่นอนว่าผลงานของคุณเองก็สร้างความดีใจอยู่แล้ว มันให้ความรู้สึกอื่นเพิ่มเติมมั้ยครับ
มันมีความรู้สึกเรามันสองส่วน คือ สำหรับคนที่ชอบฟุตบอลมันก็ดีใจตื่นเต้น ได้ไปสัมผัสในการดูบอลจริงๆ ระดับโลก ทีมมิลานจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่ง เราเองก็ทำงานในวงการ แบรนด์กีฬาไทย มันก็รู้สึกดีใจที่มีส่วนกับแบรนด์ระดับโลกแบบนี้ ถึงแม้จะพาร์ตเล็กๆ เก็บเกี่ยวการทำงานกับเขาแค่วันเดียวมันก็รู้สึกแฮปปี้นะ จากที่ทำงานให้กับแบรนด์ในประเทศอย่างเดียว
• เช่นเดียวกัน ก็ถือว่าคล้ายกับเปิดประตูให้นักออกแบบเสื้อคนอื่นด้วย
จริงๆ มันก็ไม่เชิงนะ ถ้าจะบอกว่า หลังจากที่กลับจากจีนมันก็มีแต่ข่าวทำนองว่า เจ๋ง เก่ง ระดับโลก ซึ่งเราก็ยังไม่อยากรับตรงนี้ มันไม่สมควรได้หรอก อย่าลืมว่าแคมเปญนี้ มันเป็นแคมเปญทางการตลาดให้แฟนบอลมีส่วนร่วม มันแค่งานประกวดงานหนึ่ง ซึ่งถ้าเอาให้เจ๋งจริงมันจะต้องเป็นแบบดิ้นรนไปทำงานกับเขาได้เป็นปี อันนี้คือของจริง แต่เราเป็นงานเดียว คือเราก็ดีใจและภูมิใจกับการคัดเลือกของเขา แต่ว่าพูดถึงโอกาสที่คนไทยจะไปทำงานกับเขา มันเปิดกว้างอยู่แล้ว เพราะว่า อย่างที่เราไปจีน คนของอาดิดาสที่ดูแลเรา เขาก็เป็นคนเชื้อสายเอเชียน เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาอยู่แคนาดา แต่เขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้มาทำงานที่เยอรมัน สำนักงานใหญ่จริงๆ
• เมื่อพูดถึงเสื้อบอล วัฒนธรรมการใส่เสื้อบอลในบ้านเรา ก็ยังไม่ได้ใส่เสื้อบอลอย่างถูกลิขสิทธิ์เท่าไหร่นัก ตรงนี้คุณมองยังไงครับ
จริงๆ มันทำอะไรไม่ได้หรอก ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก ก็โดนเหมือนกันหมด แล้วก็โทษคนซื้อไม่ได้ เท่าที่เราทำงานกับแบรนด์ไทยทุกแบรนด์ ที่เขาตั้งใจทำ มันมีอยู่แล้วแหละ คนที่เขาตั้งใจทำกันอยู่ สร้างแบรนด์ที่ดีออกมา มันก็มีอยู่ คือมันก็คนละส่วนกันแหละ จริงๆ ตลาดเสื้อบอลบ้านเรามันก็โตขิ้นเยอะเรื่องก๊อบปี้ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน แต่แฟนของทีมจริงๆ มันก็มีแหละ ถ้าทางแบรนด์ตั้งใจทำสินค้าออกมาจริงๆ ยังไงก็มีลูกค้า ยังไงก็มีคนซื้อ คือถ้าจะให้พูดถึงเสื้อก๊อบปี้ มันก็มีมุมเดียวที่เรารู้สึก คือ เสื้อก๊อปเกรด AAA อันนั้นเขาทำได้ดีมาก อันนั้นเขาเก็บรายละเอียดดีมาก เหมือนทุกอย่าง ซึ่งมันทำที่เมืองไทยทั้งหมด ถ้าเขาทำได้ขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทำแบรนด์ตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราว่ามันน่าสนุกกว่า คิดดูว่าถ้าทำแบรนด์ตัวเองและคุณภาพได้ขนาดนี้ แล้วขายในราคาที่คนไทยซื้อได้ มันก็ทำให้วงการเสื้อบอลบ้านเราสนุกขึ้น มีคู่แข่งเยอะขึ้น โตขึ้น
• ด้วยประสบการณ์โดยตรงของคุณ เมื่อมองมุมมองที่ผ่านมา พอได้มาเห็นคนออกแบบเสื้อให้กับทีมต่างๆ ถ้ามุมมองในแง่ศิลปะคุณมองยังไง
คิดว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆ นะ มันมีความหลากหลาย มีไอเดียขึ้นมาเยอะขึ้น สังเกตได้ว่าเสื้อบอลไทยก็มาจากบอลลีกบ้านเรา สโมสรทำเอง ก็ทำจากแบรนด์บ้านเราเอง มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในแง่ศิลปะ มันก็อยู่ที่แบรนด์ อยู่ที่สโมสร เขาก็ต้องดูเทรนด์จากแบรนด์นอกก็ดีว่าเขาทำอะไรกัน เราเชื่อว่าคนทำงานก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว มันก็ต้องต่อสู้ทั้งทางพาณิชย์ศิลป์อย่างที่บอกต่อไป
• จากความสำเร็จที่คุณได้ไปทำมา น่าจะเป็นความหวังให้กับนักออกแบบคนอื่นมั้ยครับ
(นิ่งคิด) จริงๆ โดยส่วนตัวก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งเราก็ยินดีนะ ถ้าเรื่องราวของเราจะเป็นประโยชน์ให้กับใครบ้างไม่มากก็น้อย ก็แฮปปี้ แต่ถ้าพูดถึง เท่าที่เจอกันมา มันก็จะมีแบบว่า จุดเริ่มต้นก็ไม่ห่างกันมาก ก็เกิดจากการรักฟุตบอล แล้วจะหาทางมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานนี้อยู่แล้ว มันก็เกิดจากแต่ละคนเอง เรียกว่าไขว่คว้าตัวเองก็ได้นะ มันเกิดจากความรักที่อยากจะทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นแบบเดินเข้ามาหาด้วยตัวเอง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : จิรโชค พันทวี
แม้ว่าปัจจุบัน ทีมเอซี มิลาน กำลังอยู่ในช่วงยักษ์หลับแห่งวงการ แต่ทีมก็กำลังเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายใหม่เพื่อความก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นเองเป็นแรงบันดาลใจให้กับ “สุรเชษฐ์ ใบเจริญโรจน์” นักออกแบบเสื้อฟุตบอลอิสระ ได้ลงมือออกแบบเสื้อชุดที่สามของทีมปีศาจแดงดำ ประจำฤดูกาล 2017-18 นี้ ซึ่งผลงานดังกล่าวก็ถูกรับเลือกให้เป็นชุดประจำซีซัน จนสร้างชื่อเล็กๆ ให้กับวงการออกแบบชาวไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อเวทีโลกอีกครั้ง และถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทีมเอซี มิลาน ต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อีกครั้ง
• ความสนใจในเรื่องฟุตบอลของคุณมันเริ่มมาจากอะไรครับ
ตอนแรกสุด ผมชอบเล่นเกมกับวาดรูปก่อน จนกระทั่งได้ไปพบกับเกมฟุตบอลเจลีก ชื่อเกมว่า J-League Excite Stage 94 ที่เป็นเครื่องซูเปอร์ แฟมิคอม เราก็รู้จักฟุตบอลจากตรงนั้น คือเจลีกมันจะมีคาแรกเตอร์ดีไซน์ งานออกแบบชุดแข่ง โลโก้ที่มันสะดุดตาในช่วงนั้น บวกกับเป็นช่วงที่เจลีกเปิดใหม่ๆ ด้วย ทำให้เราเริ่มสนใจในตอนนั้น แล้วก็ชอบฟุตบอลมาตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเราชอบวาดรูปมาก่อน จะอ่านการ์ตูนพวกดรากอนบอล แต่เรารู้จักฟุตบอลจากเกม ซึ่งก่อนหน้านั้นอย่างที่บอกคือ ไม่ได้สนใจฟุตบอลเลย
คือเรามาเจอเกมนี้ในช่วงมัธยมต้น ซึ่งน่าจะเป็นช่วงปี 1994 นี่แหละ คือพอได้มาเล่นเกมฟุตบอลเกมแรก มันก็รู้สึกว่าฟุตบอลมันสนุกอย่างนี้นี่เอง มันมีการแข่งขันระดับลีก ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอระบบลีก ว่ามันพบกันหมดว่ะ แข่งเป็นฤดูกาล ไม่ใช่แค่รอบน็อกเอาต์ เรารู้สึกว่ามันเจ๋งดี มันแฟร์ดี คือก็เหมือนกับเราดูซีรีส์ ที่จะต้องมีฤดูกาลต่างๆ เราก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ซึมซับในเรื่องฟุตบอลมาตั้งแต่ตรงนั้น ซึ่งสุดท้ายเราก็ไม่ได้ชอบทีมจากเจลีกนะ เพราะว่าด้วยข่าวสารในเจลีกในช่วงนั้นมันน้อย มันก็เลยต่อไปเรื่อยๆ ตรงหนังสือพิมพ์กีฬาฟุตบอล อย่าง สยามกีฬา สตาร์ซอคเก้อร์ มันก็ทำให้เรารู้จักทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ในกัลโชมากขึ้น
• เท่ากับว่าคุณก็เริ่มดูฟุตบอลและพัฒนาในการวาดรูปไปด้วย
ใช่ครับ ช่วงนั้นเหมือนกับว่าก็ไปหาการ์ตูนฟุตบอลมาอ่านเยอะขึ้น เช่น ซึบาสะ, J-Dream และยิงประตูสู่ฝัน ซึ่งถ้าชอบก็เก็บตามอ่าน เราก็เลยเริ่มวาดรูปตามที่เราอ่านด้วย แล้วก็เริ่มสนใจเขียนรูปการ์ตูน และออกแบบเสื้อในจินตนาการของเราไปด้วย เราวาดตัวการ์ตูนตัวนี้ แต่เราอยากให้ใส่เสื้อแมนฯยูฯ เราเลยอยากให้ลองเสื้อแมนฯยูฯ ในแบบของเรา ก็วาดเล่นๆ มาเรื่อยๆ แต่ถามว่าเป็นการค้นหาตัวเองมั้ย มันก็เป็นความชอบมากกว่า แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร แต่ตอนแรกก็มีฝันบ้างว่า อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน หรือเป็นนักฟุตบอล ประมาณนั้น
• แน่นอนว่า การหาต้นแบบต่างๆ เพื่อมาทำงานมันก็ยากพอควรนะ
คือตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรไง แค่เป็นความชอบมาผสมปนเปไป วาดการ์ตูนญี่ปุ่น แต่เอาเสื้อทีมฟุตบอลมาจินตนาการไป มีเสื้อทีมกสิกรไทย เราก็อยากจะออกแบบเสื้อว่าเป็นยังไง ออกแบบเสื้อ แมนฯยูฯ หรือ อาร์เซนอล ยังไง ทำไปตามจินตนาการความชอบไปเรื่อยๆ ก็ประมาณนี้แหละ จนเข้าช่วง ม.ปลาย ก็เป็นอย่างงี้มาเรื่อยๆ อ่านการ์ตูน เตะฟุตบอล เล่นเกม จนช่วงมหา'ลัย เราเอนท์ติด คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เราเรียนในสาขาแฟชั่น เราก็ค่อยๆ ต่อยอดมาเรื่อยๆ เรียนรู้เรื่องการทำงาน และกระบวนการทางความคิด เริ่มค่อยๆ เรียนรู้มา
• ถ้ามองจากคนทั่วไปแล้ว ด้วยความชอบของคุณเอง แต่มาเรียนอีกอย่างที่ขัดแย้งกัน มันก็ค่อนข้างย้อนแย้งกันนะ
มันก็เป็นเรื่องที่บังเอิญเหมือนกัน คือตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราอยากทำอะไรไง เราแค่เอาความชอบนำ แล้วการที่เอนท์ติด มันก็เหมือนความบังเอิญขึ้นมา แต่ถ้าพูดจริงๆ เราก็ไม่ได้มีพื้นฐานศิลปะเหมือนคนอื่นเขา เพราะเราก็วาดรูปไปตามเรื่องราว แต่เราก็มีพื้นฐานการวาดการ์ตูนที่ดีกว่าเขาหน่อยนึง ไม่ได้ไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมอะไร หรือจบช่างศิลป์มา เราก็เด็กสายวิทย์แล้วบังเอิญเอนท์ติดสายศิลป์ แต่ที่คณะ ก็คือเป็นจุดเริ่มต้นที่พื้นฐานของศิลปะจริงๆ ในการออกแบบจริงๆ
• ด้วยความที่เป็นนักศึกษาด้านแฟชั่น แล้วเราดูความเคลื่อนไหวของการออกแบบเสื้อผ้า คุณคิดว่าองค์ประกอบในการออกแบบนั้นมันมาจากอะไร
จริงๆ เราก็ยังไม่ได้ศึกษาลึกๆ กับเรื่องพวกแบรนด์กีฬา หรือเสื้อฟุตบอลอะไรขนาดนั้น คือแค่สนใจเตะฟุตบอล แค่นั้นเอง ซึ่งคณะที่เราเรียน เราได้พื้นฐานในการออกแบบ ซึ่งมันค่อนข้างกว้าง แล้วมันก็ไปประยุกต์ทำอย่างอื่นได้ แต่พอไปเริ่มทำงานที่บริษัทรองเท้าแพน มันก็ได้เรียนรู้ชีวิตการทำงานจริงๆ ตอนแรกสมัครไป เราก็อยากทำงานด้านฟุตบอลอย่างเดียว เราก็ออกแบบรองเท้าฟุตบอล ลูกบอลให้เขาดู เขาก็บอกโอเคผ่าน เขาก็ให้มาลองทำดู แต่เขาบอกว่า มีคนทำหน้าที่ฟุตบอลอยู่ เลยให้เราไปทำรองเท้าวิ่ง เพราะคิดว่า อย่างน้อยให้อยู่ใกล้คนทำรองเท้าฟุตบอลก็ดี แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวสักวันก็ได้ทำ เข้าไปเรียนรู้ก่อน ก็เริ่มทำรองเท้าวิ่งมาตั้งแต่นั้น
• ค่อนข้างยากมั้ยครับที่ความชอบอีกอย่าง แต่ต้องมาออกแบบอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง ในช่วงตอนนั้น
มันก็ยากเหมือนกันแหละ ที่เราเข้าไปแล้วไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย แต่ยังดีที่พี่ๆ เขาช่วยสอน ช่วยดูแล ตอนนั้นก็ทำรองเท้าวิ่งอย่างเดียว 8 ปี คือถือว่าโชคดีที่เรามีพัฒนาการมาตลอดนะ จากที่ไม่รู้เรื่องในการวิ่งเลย ซึ่งแบบที่เราทำมาแรกๆ ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก แต่พอเริ่มมีทีมงานใหม่ๆ มีหัวหน้าทีมใหม่เข้ามา เราก็เรียนรู้ว่า รองเท้าวิ่งที่ดีควรจะเป็นยังไง เราก็ต้องไปหัดวิ่งเองด้วย ไปลงงานดูสิว่าวิ่ง 10 กิโลเขาทำกันยังไง เราถึงจะได้รู้ความรู้สึกจริงๆ ว่ารองเท้าที่ดีมันเป็นยังไง เพราะว่าถ้าเราไม่ลองวิ่งเอง ไปสัมภาษณ์แต่นักกีฬาแล้วใส่รองเท้าเรา แล้วเขาบอกจุดด้อยมาอย่างเดียว บางทีเราไม่รู้ เราก็ต้องไปวิ่งเองด้วย
ถามว่าในตัวงานมันมีความหนักนะแต่ก็สนุก เพราะว่าเราชอบกีฬาอยู่แล้ว คือมันสนุกกับการทำงานแหละ จน 8 ปีที่ทำรองเท้าวิ่ง ด้วยว่าสักวันที่เราจะได้ทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล เราก็ได้นั่งใกล้กับคนที่ทำรองเท้าฟุตบอล เราก็สังเกตศึกษาวิธีการทำงานของเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 7 เราก็เข้ามาสู่การทำรองเท้าฟุตบอล คือเราก็แสดงตัวว่าทำมาตั้งนานแล้วล่ะ เขาก็บอก เอาดิ ลองดู เพราะว่างานช่วงนั้นเหมือนกับเยอะอยู่ เขาก็ให้ลองทำดู ก็ได้ออกแบบรองเท้า 2 รุ่น เราก็โอเค ทำงานให้ทีมชาติใส่ ทำให้ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ กับ พิพัฒน์ ต้นกัลยา มันก็เริ่มสนุกกับสิ่งที่เราอยากทำซะที ส่วนการทำงานก็เหมือนเดิมเหมือนกับรองเท้าวิ่ง process เดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนประเภทกีฬา อีกอย่างเราก็คลุกคลีกับพี่ๆ อยู่แล้ว
• พอได้มาทำรองเท้าฟุตบอล ใจคุณก็ยังอยากที่จะออกแบบเสื้อผ้าฟุตบอลเหมือนเดิมมั้ยครับ
คือยังไม่ใช่เรื่องเสื้อผ้าซะทีเดียว แต่เป็นอะไรที่เกี่ยวกับฟุตบอล เผอิญช่วงปีที่ 7-8 เราได้เริ่มทำฟุตบอลบ้าง แต่หน้าที่หลักของเราก็คือทำรองเท้ากีฬาวิ่งอยู่ แล้วบังเอิญช่วงปีที่ 8 พี่ที่เขาทำงานอยู่ที่เดียวกัน เขาออกไปทำแบรนด์ฟุตบอลแบรนด์ใหม่ เขาเลยชวนให้ไปทำงานด้วย ตัวเราก็คิดว่า เพิ่งทำฟุตบอลมานิดเดียว มันก็เหมือนเป็นตัวสำรอง แล้วการมีพี่ที่มาชวนไปทำเกี่ยวกับฟุตบอล มันก็ได้เป็นตัวจริงแล้ว เราก็เลยตัดสินใจลาออก แล้วก็ไปทำที่ใหม่ เป็นแบรนด์รองเท้าและชุดกีฬาฟุตบอลอย่างเดียวเลย ก็ย้ายไปทำที่ Koolsport
พอไปในแบรนด์ใหม่ เขาก็ให้ทำรองเท้าก่อน คือเขาทำเสื้อผ้ามาได้ปีนึงแล้ว มีคนทำอยู่แล้ว แต่เขาอยากได้ในส่วนรองเท้าฟุตซอลมาเสริมด้วย เราก็โอเค เราก็เริ่มไม่ยาก เพราะเรามีประสบการณ์อยู่แล้ว เราก็ไปเสริมเรื่องรองเท้าให้เขา พอผ่านไปปีนึงถือว่าผลตอบรับดี ของขายได้ ประกอบกับดีไซเนอร์คนเก่าเขาลาออก เราก็ได้ไปสวมแทน เลยกลายเป็นได้ทำทั้ง 2 อย่างเลย คือที่นี่ เขามีทำให้กับสโมสรอยู่แล้ว ซึ่งเสื้อผ้าสโมสรจะมีอีกคนดูแล ของเราจะเป็นรองเท้าฟุตซอล กับ เสื้อผ้ากีฬาที่เอาไว้ขาย ไม่เกี่ยวกับสโมสร เขาจะแยกกัน ซึ่งความยากก็พอๆ กันนะ ยากคนละแบบ เพราะเสื้อสโมสร มันก็ต้องทำงานกับสโมสร อาจจะใช้เวลานานหน่อย มีคนตัดสินใจเยอะ ต้องเอาไปให้เขาเลือก แก้ไปแก้มา
ขณะเดียวกันเสื้อที่เป็นคอลเลกชัน เราก็ต้องคิดว่าทำไงให้ขายได้ เพราะว่าไม่ได้ร่วมกับสโมสร คือทำยังไงแฟนบอลก็ซื้อแหละ แต่เสื้อคอลเลกชัน มันก็ยากไปอีกแบบนึง ทำไงมันถึงจะขายได้ เซลส์ไปขาย เราก็มีการศึกษารูปแบบไปเรื่อยๆ ก็ต้องคอยดูว่าเสื้อบอลมาในแนวทางไหน แต่จริงๆ ช่วงนั้น เสื้อบอลบ้านเรา เขาสร้างจนภาพแข็งแรงนะ ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ เสื้อพิมพ์ลายที่อยู่ดีๆ ก็บูมขึ้นมา เพราะว่าก่อนหน้านั้น ยังไม่มีใครทำเสื้อพิมพ์ลายที่จริงจังในตลาดก็มีเจ้านี้ที่ทำและจุดติดขึ้นมา ทำให้ตลาดเสื้อบอลในบ้านเราคึกคักอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะไม่ซบเซาหรอก แต่มีเจ้าตลาดเขาคุมอยู่ แต่นี่อยู่ดีๆ ก็เป็นเทรนด์ใหม่ขึ้นมา เป็นลายฉูดฉาด เหมือนเสื้อบอลญี่ปุ่นน่ะ เหมือนสร้างแนวทางใหม่ขึ้นมา ก็อยู่ที่นั่นมา 4 ปี คือเราก็ทำเสื้อผ้าคอลเลกชันขายอย่างเดียว คนที่ดูแลสโมสรก็ทำอยู่ตามปกติคือหลังจากนั้นไม่นาน พี่ๆ ที่ทำที่นี่ก็มาคุยกันว่าอยากทำแบรนด์ของตัวเอง เราก็เริ่มท้าทายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ว่าเราอยากทำงานของตัวเองบ้าง ทีนี้พออะไรพร้อม ก็ลาออกจาก Koolsport ไปทำที่ใหม่ ซึ่งช่วงที่เราอยู่ที่นั่นมา 4 ปี ลีกมันก็เริ่มแข็งแรงแล้ว ตอนนั้นคู่แข่งในเรื่องเสื้อผ้าฟุตบอลก็เริ่มเยอะแล้ว แต่เราแค่เติมความฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ต่อมาก็มาทำงานเหมือนเดิม ตลาดเดิม แต่ทำได้ปีนึง เรามีปัญหาส่วนตัว ก็เลยถอยออกมา แต่แบรนด์นี้ก็ยังอยู่ เราเลยมาเป็นฟรีแลนซ์ ตอนนี้ก็ทำได้ 2-3 ปีแล้ว
• เมื่อมาเป็นฟรีแลนซ์ที่เราได้ออกแบบเสื้อแล้ว หรือว่ายังทำแบบเดิมอยู่
ออกแบบเสื้อคอลเลกชันเหมือนเดิม เราก็ไปทำความรู้จักกับแบรนด์อื่นๆ ก็ได้งานมาทำ แต่ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์ เราก็เริ่มได้ทำงานเสื้อสโมสรมากขึ้น เพราะว่าแบรนด์ที่เราไปรับมาทำงาน บางอันก็มีป้ายสโมสรด้วย ก็ได้ทำงานสโมสรบ้าง
ส่วนเรื่องรายได้จากการออกแบบเสื้อนั้น คือมันก็แล้วแต่นะ อย่างที่เราทำงานเป็นฟรีแลนซ์ จริงๆ มันก็ไม่มีสูตรตายตัว มันขึ้นอยู่กับเรากับลูกค้า เราต้องประเมินเอาเองว่า งานที่เราทำกับเขา แบรนด์เขาอยู่ในระดับไหน เราก็ต้องประเมินทั้งหมด แล้วค่อยคิดและเสนอ ถ้าทั้งเราและเขารับได้ก็จบ มันไม่มีสูตรตายตัว ก็ประมาณ 4-5 หลักได้ คือมันก็ต้องฝึกประเมินแหละ เพราะว่าบางทีถ้าอยู่ในสถานะกินเงินเดือนมาตลอด แต่เราก็พยายามสังเกตเรื่องยอดขาย บริษัทเป็นยังไง เรื่องรอบๆ ตัว การเงินบริษัท เรื่องการตลาด เรื่องเซลส์ เราก็ต้องคอยประเมินเอา
• อยากให้คุณช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปของการออกแบบเสื้อมิลานหน่อยครับ
เริ่มจากเราก็เปิดเว็บไซต์ เปิดเฟซบุ๊กตามปกติของเราแหละ คือเราก็เปิดเว็บไซต์หาข้อมูลในการทำงานอยู่แล้ว ก็บังเอิญไปเจอในเพจอาดิดาสแหละ เขาโปรโมตแคมเปญที่ว่า “Adidas Creator Studio” เป็นแคมเปญที่ให้แฟนบอลออกแบบเสื้อแข่งชุดที่สาม เราก็เปิดเว็บแล้วออกแบบเสื้อขึ้นมา แล้วส่งไปประกวด ก็มี 6 ทีม มี ฟลาเมงโก้, เรอัล มาดริด, แมนฯยูฯ, บาเยิร์น มิวนิก, ยูเวนตุส และเอซี มิลาน เราก็เริ่มสนใจแล้ว เพราะเราก็ชอบอาดิดาสด้วย แล้วมีแคมเปญนี้มา ก็น่าสนใจ เราก็ตัดสินใจเลือกทำของ เอซี มิลาน เพราะจาก 6 ทีม เราชอบมิลานที่สุด เรามีความทรงจำจากทีมนี้มากที่สุด เพราะช่วงยุค 1990 มิลานก็ยังยิ่งใหญ่ เราก็เลยเลือกทำมิลาน แล้วส่งไป
คือแคมเปญนี้มันเริ่มตั้งแต่ปีก่อน ช่วงนั้นเอซี มิลาน อยู่ในยุคที่ถดถอย เราก็เลยคิดคอนเซ็ปต์ขึ้นมาว่า ถ้าเป็นฤดูกาลหน้า มันควรจะเป็นเวลาที่สมบูรณ์กลับมายิ่งใหญ่ได้แล้ว มันก็เป็นช่วงเวลาที่ก้าวผ่านไปสู่ยุคใหม่ของทีม ตอนนั้นมันเหมือนมีการพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายทีมจากนักธุรกิจต่างๆ กำลังจะมีเจ้าของใหม่ เราคิดว่าคอนเซ็ปต์นี้น่าจะเวิร์ก เพราะอย่างที่บอก เราก็เลยทำเป็นกราฟิกประมาณนี้ หัวลูกศรเปลี่ยนผ่านเวลา
• คู่แข่งเยอะมั้ยครับ
จริงๆ คือ เขาโปรโมตว่า เปิดทั่วโลก ใครก็ส่งได้ เราก็ไม่รู้ว่ามันเยอะแค่ไหน อีกอย่างเราก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก แค่อยากมีส่วนร่วมกับทางแบรนด์ และได้ออกแบบเสื้อฟุตบอล มันก็คืองานของเรา ก็ลองทำส่งดู ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว มาจนถึงต้นปี เขาก็ประกาศ Top 100 ออกมา ซึ่งเราก็ติด และดีใจอยู่แล้วล่ะ หลังจากนั้นเราก็ทำงานของเราปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเมื่อช่วงกลางปี เราก็ได้อีเมลจากอาดิดาสบอกมาว่า ชนะในการออกแบบเสื้อตัวนี้ เราก็ตกใจนะว่าเป็นของจริงหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเป็นของจริง เพราะมันมีแนบเอกสารส่งมอบลิขสิทธิ์ให้เซ็น ให้สิทธิ์กับสโมสร
• แน่นอนว่าผลงานของคุณเองก็สร้างความดีใจอยู่แล้ว มันให้ความรู้สึกอื่นเพิ่มเติมมั้ยครับ
มันมีความรู้สึกเรามันสองส่วน คือ สำหรับคนที่ชอบฟุตบอลมันก็ดีใจตื่นเต้น ได้ไปสัมผัสในการดูบอลจริงๆ ระดับโลก ทีมมิลานจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่ง เราเองก็ทำงานในวงการ แบรนด์กีฬาไทย มันก็รู้สึกดีใจที่มีส่วนกับแบรนด์ระดับโลกแบบนี้ ถึงแม้จะพาร์ตเล็กๆ เก็บเกี่ยวการทำงานกับเขาแค่วันเดียวมันก็รู้สึกแฮปปี้นะ จากที่ทำงานให้กับแบรนด์ในประเทศอย่างเดียว
• เช่นเดียวกัน ก็ถือว่าคล้ายกับเปิดประตูให้นักออกแบบเสื้อคนอื่นด้วย
จริงๆ มันก็ไม่เชิงนะ ถ้าจะบอกว่า หลังจากที่กลับจากจีนมันก็มีแต่ข่าวทำนองว่า เจ๋ง เก่ง ระดับโลก ซึ่งเราก็ยังไม่อยากรับตรงนี้ มันไม่สมควรได้หรอก อย่าลืมว่าแคมเปญนี้ มันเป็นแคมเปญทางการตลาดให้แฟนบอลมีส่วนร่วม มันแค่งานประกวดงานหนึ่ง ซึ่งถ้าเอาให้เจ๋งจริงมันจะต้องเป็นแบบดิ้นรนไปทำงานกับเขาได้เป็นปี อันนี้คือของจริง แต่เราเป็นงานเดียว คือเราก็ดีใจและภูมิใจกับการคัดเลือกของเขา แต่ว่าพูดถึงโอกาสที่คนไทยจะไปทำงานกับเขา มันเปิดกว้างอยู่แล้ว เพราะว่า อย่างที่เราไปจีน คนของอาดิดาสที่ดูแลเรา เขาก็เป็นคนเชื้อสายเอเชียน เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาอยู่แคนาดา แต่เขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้มาทำงานที่เยอรมัน สำนักงานใหญ่จริงๆ
• เมื่อพูดถึงเสื้อบอล วัฒนธรรมการใส่เสื้อบอลในบ้านเรา ก็ยังไม่ได้ใส่เสื้อบอลอย่างถูกลิขสิทธิ์เท่าไหร่นัก ตรงนี้คุณมองยังไงครับ
จริงๆ มันทำอะไรไม่ได้หรอก ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก ก็โดนเหมือนกันหมด แล้วก็โทษคนซื้อไม่ได้ เท่าที่เราทำงานกับแบรนด์ไทยทุกแบรนด์ ที่เขาตั้งใจทำ มันมีอยู่แล้วแหละ คนที่เขาตั้งใจทำกันอยู่ สร้างแบรนด์ที่ดีออกมา มันก็มีอยู่ คือมันก็คนละส่วนกันแหละ จริงๆ ตลาดเสื้อบอลบ้านเรามันก็โตขิ้นเยอะเรื่องก๊อบปี้ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน แต่แฟนของทีมจริงๆ มันก็มีแหละ ถ้าทางแบรนด์ตั้งใจทำสินค้าออกมาจริงๆ ยังไงก็มีลูกค้า ยังไงก็มีคนซื้อ คือถ้าจะให้พูดถึงเสื้อก๊อบปี้ มันก็มีมุมเดียวที่เรารู้สึก คือ เสื้อก๊อปเกรด AAA อันนั้นเขาทำได้ดีมาก อันนั้นเขาเก็บรายละเอียดดีมาก เหมือนทุกอย่าง ซึ่งมันทำที่เมืองไทยทั้งหมด ถ้าเขาทำได้ขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทำแบรนด์ตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราว่ามันน่าสนุกกว่า คิดดูว่าถ้าทำแบรนด์ตัวเองและคุณภาพได้ขนาดนี้ แล้วขายในราคาที่คนไทยซื้อได้ มันก็ทำให้วงการเสื้อบอลบ้านเราสนุกขึ้น มีคู่แข่งเยอะขึ้น โตขึ้น
• ด้วยประสบการณ์โดยตรงของคุณ เมื่อมองมุมมองที่ผ่านมา พอได้มาเห็นคนออกแบบเสื้อให้กับทีมต่างๆ ถ้ามุมมองในแง่ศิลปะคุณมองยังไง
คิดว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆ นะ มันมีความหลากหลาย มีไอเดียขึ้นมาเยอะขึ้น สังเกตได้ว่าเสื้อบอลไทยก็มาจากบอลลีกบ้านเรา สโมสรทำเอง ก็ทำจากแบรนด์บ้านเราเอง มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในแง่ศิลปะ มันก็อยู่ที่แบรนด์ อยู่ที่สโมสร เขาก็ต้องดูเทรนด์จากแบรนด์นอกก็ดีว่าเขาทำอะไรกัน เราเชื่อว่าคนทำงานก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว มันก็ต้องต่อสู้ทั้งทางพาณิชย์ศิลป์อย่างที่บอกต่อไป
• จากความสำเร็จที่คุณได้ไปทำมา น่าจะเป็นความหวังให้กับนักออกแบบคนอื่นมั้ยครับ
(นิ่งคิด) จริงๆ โดยส่วนตัวก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งเราก็ยินดีนะ ถ้าเรื่องราวของเราจะเป็นประโยชน์ให้กับใครบ้างไม่มากก็น้อย ก็แฮปปี้ แต่ถ้าพูดถึง เท่าที่เจอกันมา มันก็จะมีแบบว่า จุดเริ่มต้นก็ไม่ห่างกันมาก ก็เกิดจากการรักฟุตบอล แล้วจะหาทางมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานนี้อยู่แล้ว มันก็เกิดจากแต่ละคนเอง เรียกว่าไขว่คว้าตัวเองก็ได้นะ มันเกิดจากความรักที่อยากจะทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นแบบเดินเข้ามาหาด้วยตัวเอง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : จิรโชค พันทวี