“ทำให้เต็มที่ตั้งแต่คนที่เรารักยังมีชีวิตอยู่เพราะวันหนึ่งถ้าเขาจากไปเราจะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน บางครั้งชีวิตอาจรุ่งถึงขีดสุด แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดิ่งลงต่ำสุดได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเธอคนนี้...จากชีวิตลูกคุณหนู คุณแม่ทำให้ทุกอย่างแบบไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนวันหนึ่งแม่ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกจากโรคเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เธอต้องลุกขึ้นต่อสู้และดูแลคุณแม่ที่ป่วยด้วยตัวเองถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลา 10 ปีมาแล้ว
เปิดทัศนคติและมุมมองของลูกที่มีต่อแม่ พาย-ภาริอร วัชรศิริ หญิงสาววัย 26 ปี เจ้าของหนังสือ How I love MY MOTHER และ How I Live My Life อีกทั้งปัจจุบันเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่เว็บไซต์งานแต่งแห่งหนึ่ง
เรานัดเธอยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านรัชดา เธอมาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่แลดูเหมือนคนที่มีความปกติสุขคนหนึ่ง มันเป็นรอยยิ้มกว้างๆ ที่บ่งบอกถึงความไม่กังวลใดๆ ในชีวิต เธอนั่งลงพร้อมตอบคำถามที่เราเตรียมมาซึ่งข้อมูลที่เราทราบคือแม่ของเธอป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานนับ 10 ปี และเธอเองคือคนที่ดูแลมาโดยตลอดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับว่าวันนี้เธอสลับตำแหน่งหน้าที่กับคุณแม่ไปโดยปริยาย

• ชีวิตพลิกผันเพราะคุณแม่ป่วยเป็น “โรคเส้นเลือดในสมองแตก”
ต้องบอกก่อนว่าที่บ้านพายเราอยู่กันแค่สองคน คุณแม่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่บ้านมีฐานะเป็นชนชั้นกลาง แม่จะเลี้ยงในแบบที่เราไม่ขาดอะไรเลย คือพายก็จะได้ทุกอย่างตามที่แม่คนหนึ่งจะทำให้ได้ซึ่งจะเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงอายุ 16 ปี แล้วแม่ก็ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นว่าเราสลับบทบาทหน้าที่กัน จากการที่เขาเป็นแม่แล้วพายเป็นลูก แม่ดูแลพาย ก็กลายมาเป็นพายต้องดูแลแม่แทน
เท่าที่พายสัมผัสมาแม่ทำงานหนัก กินเค็ม นอนน้อย ความดันเลือดก็เลยสูงแต่มันเป็นโรคที่ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าอาจจะมีปวดหัวนิดๆ หน่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็เส้นเลือดในสมองแตก แม่ก็ล้มลงไปกับพื้น เราก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเส้นเลือดในสมองแตกมันหนักกว่าเส้นเลือดตีบหรือตัน มันจะส่งผลให้ร่างกายส่วนหนึ่งของเขาคือซีกซ้ายใช้การไม่ได้เลย
ชีวิตมันพลิกผันไปหมด ก่อนหน้านี้เราทำอะไรเองไม่เป็นเลย แม่ดูแลขนาดที่ต้องซักรองเท้าให้ ร้อยเชือกรองเท้าให้ เตรียมถุงเท้าให้ เตรียมกางเกงในให้ คือพายไม่เคยต้องทำอะไรเองเลย อยู่ๆ มันก็พลิกทุกอย่าง กลายเป็นว่าเราต้องทำเองทั้งหมด
• ต้องเรียนรู้และลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ก็ท้อมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ช่วง 3-4 วันที่คุณแม่ป่วย พายไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนที่เขาบอกว่าเวลาโดนรถชนแล้วมันจะไม่มีความรู้สึกอะไร พายเป็นแบบนั้นเลยค่ะ คือพายไม่รับความจริง พายรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับชีวิตฉันได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันคงไม่เกิดขึ้นจริง เดี๋ยวอีก 3-4 วันแม่ก็คงจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็คงเหมือนการไม่สบายปกติ แต่ว่าการที่แม่อยู่ ICU 2 เดือนมันทำให้พายรู้ว่าจริงๆ มันไม่ปกติหรอก คือสักพักความจริงมันก็ค่อยๆ เข้ามาหาเราเองนั่นแหละว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าการที่จะปรับตัวให้มันเข้ากับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปมันไม่ได้ใช้เวลาข้ามคืน ซึ่งจริงๆ มันขึ้นอยู่กับวัยด้วยว่าช่วงนั้นอายุเท่าไหร่ ตอนนั้นพายอายุ 16 ปี พายยังเด็กมากแล้วบ้านเรามีกันแค่ 2 คน มันไม่ได้มีใครที่มาช่วยเรื่องเงิน มาช่วยเรื่องดูแลแม่คือพายต้องทำทุกอย่างคนเดียวเพราะฉะนั้นมันใช้เวลานานมากกว่าจะขัดเกลา
ในช่วง 7 ปีแรก ท้อมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากตายบ่อยมาก เพราะว่ามันเป็นสภาวะที่เราไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้เลย ชีวิตวัยรุ่นของเรามันหายไปหมดเลย เราต้องมานั่งตัวติดกับแม่เป็นปาท่องโก๋ จะออกไปข้างนอกได้ก็แค่ 3 ชั่วโมงต้องรีบกลับบ้าน
ช่วงแรกพายร้องไห้เป็นผ้าเน่าบ่อยมากทำไมมันไม่หลุดพ้นสักที เรื่องพวกนี้จะจบเมื่อไหร่ ความยากที่สุดของการดูแลผู้ป่วยติดเตียงแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่ดีขึ้นเลย เราไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้มันจะจบลงเมื่อไหร่ เหมือนเราเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยคุณรู้ว่า 4 ปีคุณจะจบ แต่การดูแลผู้ป่วยบอกไม่ได้เลยอาจจะ 20, 30, 40 ปี จบ ความรู้สึกมันคนละแบบกันนะ ซึ่งการดูแลคุณแม่ของพายก็ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ เราเลยวางแผนระยะยาวยาก
พายเลยมานั่งคิดและถามตัวเองว่ามันแย่จริงๆ เหรอ มันแย่เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันแย่ต่างหาก แต่ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่แย่มันก็ไม่แย่ มันจะแย่กว่านี้ไหมถ้าแม่ตาย มันคงแย่แน่ๆ เพราะการที่เราอยากให้มันจบคืออะไร คือแม่ก็ต้องตายสินะ ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกวันนี้แม่ยังอยู่คือมันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
สุดท้ายชีวิตก็ต้องผ่านไปเพราะถ้าพายรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แล้วแม่จะพึ่งพาใครหรือยึดเหนี่ยวใครได้ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้และทำอะไรเองได้โดยที่ไม่ได้มีบทเรียนสำเร็จนั่นแหละ การที่ต้องทดลองทำเองทุกอย่างมันทำให้เราทำเป็นจริงๆ นะคะ เหมือนเรารู้วิธีที่จะเอาตัวรอด หรือว่าปรับชีวิตที่มันเปลี่ยนไป ช่วงหลังๆ มาพายรู้สึกว่าชีวิตเราดีอยู่แล้วนะ คือพายหาจุดที่สบายตัวแล้วก็สบายใจอยู่ร่วมกับแม่ได้ คงจะปรับตัวได้ด้วยความเคยชินจนทุกวันนี้มันเสถียรกับทุกอย่างไปแล้ว

• การดูแลคุณแม่ป่วยไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่
การดูแลคนป่วยมันเครียดมากนะคะ ใครคิดว่าคนที่ดูแลคนป่วยทำไมถึงเป็นโรคซึมเศร้าเยอะเพราะว่ามันกดดันทางด้านร่างกายและจิตใจมาก เราต้องเสียสละร่างกายอย่างมาก คนส่วนใหญ่จะบอกว่าสิ่งที่เสียไปกับคนป่วยนั่นคือเวลากับเงินใช่หรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ คำตอบคือการเสียสละร่างกายของตนเองมันคือการแลกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา
ก่อนหน้านี้พายจะรู้สึกว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการดูแลคนป่วย เหมือนเรามีความรู้สึกว่าอยากให้แม่กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ แต่ความจริงแล้วเขากลับมาทำแบบที่เราอยากให้เป็นไม่ได้หรอก สภาพของเขาคือเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย อยู่ในระดับที่เคี้ยวข้าวก็ไหลออกข้างหนึ่ง พายต้องเช็ดถ่ายเปลี่ยนแพมเพิร์ส เราต้องอุ้มไปอาบน้ำ การที่เราไปคาดหวังว่าแม่ต้องกลับมาซึ่งความจริงแล้วร่างกายเขาเป็นไปไม่ได้ขนาดนั้น มันทำให้เราไปกดดันเขา เพราะฉะนั้นคำถามก็คือเราจะทำยังไงให้มาเจอกันตรงกลางที่เขาไหวแล้วใจเราไหวกับสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น หัวใจหลักตรงนี้มันคือ “ความอดทน” แต่ที่มากกว่าความอดทนก็คือ “ความเข้าใจ”
เข้าใจในที่นี้คือเข้าใจ 1. เข้าใจว่าเขาคือคนป่วยเขาไม่ใช่คนปกติแล้วจะไปคาดหวังว่าจะต้องกลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ซึ่งมันไม่ได้ 2. เข้าใจว่าเราโกรธได้ แต่เราก็ต้องหยุดให้ได้ด้วย เราโมโหได้ สุดท้ายเราก็ต้องกู้ตัวเองกลับมา 3. เราต้องเข้าใจชีวิต เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่มันเปลี่ยนไปแล้ว พายว่าชีวิตของคนป่วยหรือว่าคนดูแลคนป่วยมันหม่นๆ อยู่แล้ว มันทุกข์อยู่แล้วด้วยตัวของมันเอง แต่ว่าเราจะไม่ทำให้มันทุกข์ไปกว่านี้ได้ไหม เราไม่ซ้ำเติมกันในวันที่มันแย่อยู่แล้วได้ไหม เราทำยังไงให้บรรยากาศในบ้านมันสนุกหรือมีความสุขเท่าที่มันจะเป็นไปได้ เราสร้างบรรยากาศที่มันรู้สึกอยากจะมีชีวิตต่อของแม่ได้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่พายเข้าใจ
พายมองว่าถ้าเวลาที่เราโมโหแล้วเราเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ทางที่ดีคือเราเดินออกมาเลยไปอยู่อีกห้องหนึ่งทำใจให้สงบๆ แล้วค่อยเข้ามา เพราะสุดท้ายสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยจะเกิดขึ้นทุกครั้งก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรุนแรงไม่ว่าจะอะไรก็ตามทั้งวาจาหรือการกระทำ ทั้งตี หยิก หงุดหงิด อะไรก็ตามสุดท้ายผ่านไปแค่ 10 นาที คุณจะรู้สึกแย่กับตัวเองทันที เราจะรู้สึกว่าทำไปทำไม แต่ก็นะตอนนั้นมันรู้สึกโกรธไง เพราะฉะนั้นก็แยกตัวเองออกไป วันหนึ่งเราจะมองมันได้อย่างเข้าใจรู้สถานการณ์มากขึ้นว่ามันทำได้แค่นี้ แล้วเราไปใส่อารมณ์กับเขาแล้วรอบหน้าเขาจะไม่ทำหรือเปล่าก็ไม่ใช่ เขาก็ยังจะทำเพราะเขาเป็นคนป่วย มันก็แค่เรียนรู้แล้วก็ค่อยๆ ปรับไปกับตัวเอง
ช่วงปีแรกพายจ้างพยาบาลมาช่วยดูแลค่ะ คือการไปกลับที่โรงเรียนมันไม่เหมือนมหาวิทยาลัย เราต้องไปเช้ามาก กลับก็เย็นมาก แต่ว่าสุดท้ายเราจะเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าคนพวกนั้นดูแลแม่เราแบบคนป่วยแต่เราดูแลแม่เราแบบที่เขาเป็นแม่เราซึ่งมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วเราคือคนที่ทำได้ดีที่สุด พอหลุดจากปีนั้นไปพายก็ตัดสินใจดูแลเอง ทุกวันนี้ก็ดูแลคุณแม่มาเอง 10 ปีแล้วค่ะ

• ดูแลคุณแม่ด้วยตัวเองมา 10 ปีเต็ม แบบนี้มีวิธีการดูแลอย่างไรบ้างในแต่ละวัน
มันเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆ เช่นการหั่นอาหารที่เป็นชิ้นเล็กๆ แกะปลาให้ไม่มีก้าง แกะผลไม้ให้ไม่มีเมล็ด การเตรียมยา การเปลี่ยนถ่ายตลอดเวลา เวลาอาบน้ำต้องล้วงควักกันทุกซอกทุกมุม มันคือการพยาบาลอย่างแท้จริง พายไม่ได้จบพยาบาลมานะคะแต่สิ่งจูงใจที่ทำให้พายสามารถทำได้ก็คือเขาเป็นแม่เรา เราไม่ได้ดูเขาเหมือนคนป่วย แต่เราดูแลในฐานะที่ว่าเขาคือแม่
เอาตรงๆ เลยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนแม่ป่วย Google ไม่ได้มีข้อมูลเยอะอะไรขนาดนั้นเพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราเห็นพยาบาลทำอะไร เราก็จะจำเอามาใช้ แต่ความเป็นจริงแล้วการดูแลคนป่วยก็เหมือนการใช้เครื่องสำอาง มันไม่ใช่ว่าสิ่งนี้ดีแล้วเอาไปใช้แล้วมันจะดีจริง เราจะรู้ว่าคนในครอบครัวของเราเขามีนิสัยยังไงหรือว่าเขาชอบ ไม่ชอบอะไร แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับมันให้เข้ากับคนคนนั้น
สำหรับพายการดูแลคนป่วยมันต้องใช้จินตนาการคือเราไม่สามารถที่จะยกแม่มาทดลองจับๆ ว่าตรงไหนมันควรจะติดตั้งอะไร เราต้องคิดก่อนว่าเราเป็นคนป่วยเวลาจะเดินเข้าห้องน้ำตรงนี้มันควรจะมีราวจับ เดินลงไปมันต้องมีตุ่มยึดในห้องน้ำจะได้ไม่ลื่น หมุนตรงนี้ปุ๊บจะต้องได้นั่งเก้าอี้ พอลุกขึ้นมาต้องคว้ากับอะไร หัวเราต้องคิดก่อนแล้วเราถึงจะเอาเขามาทำ อย่างแม่พายเขาป่วยเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเขาไม่รู้สึก เวลาเขาแปรงฟันเขาจะแปรงแรงมาก เราก็คิดว่าจะทำยังไงดีถ้าจะแปรงให้เขาก็ไม่ถนัดเพราะว่าแปรงฟันมันต้องแปรงเอง ฉะนั้นเราก็คิดว่าต้องไปซื้อแปรงเล็กๆ หัวเล็กๆ มาให้เขาใช้นะ เพราะต่อให้เขาแปรงแรงแค่ไหนก็เลือดไม่ออก หรืออย่างเวลากินข้าวถ้าจะใช้ช้อนปกติมันก็จะควบคุมไม่ได้เพราะว่าคำใหญ่เราก็เปลี่ยนมาเป็นช้อนขนมเลย คือเราก็ค่อยๆ หาทางออกไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้พายดูแลคุณแม่แบบประคับประคอง มันคือการดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีวันดีขึ้นกว่านี้แล้ว ต้องอยู่แบบนี้ไปจนกว่าลมหายใจสุดท้าย แต่มันไม่ใช่วิธีเป็นแค่ชื่อเรียกเฉยๆ แต่จุดที่สำคัญที่สุดคือเราจะทำยังไงให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อภายใต้ความรู้สึกที่อาการไม่ดีไปกว่านี้แล้ว หรืออย่างน้อยก็มีความสุขกับทุกๆ วันที่มีอยู่ของเขา ซึ่งวิธีพูดกับคนป่วยว่าถ้าคุณตายฉันอยู่ไม่ได้หรอกจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดตัวเองว่าเขาไม่ใช่ภาระแต่เขาคือเหตุผลของคนคนหนึ่งที่อยากให้เขาอยู่ คุณอาจไม่มีประโยชน์ต่อโลกนี้แล้วแต่คุณมีประโยชน์ต่อการมีชีวิตอยู่ของฉัน เราต้องเข้าใจความรู้สึกคนป่วยด้วย

• ตอนนั้นเห็นว่าเรียนอยู่ด้วย เราแบ่งเวลาเรียนและเวลามาดูแลคุณแม่ยังไงบ้าง
จริงๆ ช่วงที่ยากที่สุดของพายคือช่วงที่สอบแอดมิชชันค่ะ เพราะว่าแม่เราก็ต้องดู หนังสือเราก็ต้องอ่าน มหาวิทยาลัยดีๆ เราก็อยากสอบติด มันแบ่งเวลาไม่ได้เลยนะคะ พูดตรงๆ การดูแลคนป่วยมันจะไม่สามารถแบ่งได้ว่าครึ่งวันเช้าของแม่ ครึ่งวันเย็นของเรามันคือการสลับตารางฟันปลากันแล้วผนวกเข้าไปด้วยกัน
อย่างมื้อเช้าจัดการแม่เสร็จก็จัดการตัวเอง อาบน้ำแม่ ยาแม่ พาแม่ไปกายภาพเสร็จก็ไปอ่านหนังสือ คือสลับฟันปลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ว่าช่วงที่พายอ่านหนังสือตอนกลางคืนเป็นอะไรที่ยากมากเพราะว่าคนที่ป่วยแบบนี้เขาจะปวดปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยมาก เราก็จะอ่านหนังสือไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ คือถ้าเขาไม่หลับเขาก็จะชวนเราคุยเพราะเขาเหงา เราก็ต้องแบ่งสมาธิไปหาเขา คือพายมีสิ่งหนึ่งที่ยึดอยู่ในใจตลอดเลยนะ แม่เป็นซิงเกิลมัมแล้วเขาพยายามที่จะแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่าเขาเลี้ยงลูกคนเดียวแล้วลูกฉันได้ดี มันไม่จำเป็นว่าฉันจะเลิกกับสามีแล้วลูกฉันจะต้องมีปัญหา ด้วยความรู้สึกนั้นมันทำให้พายรู้สึกอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ขนาดฉันดูแลแม่ที่ป่วยฉันก็ทำได้ แล้วสุดท้ายเราก็ติดมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าได้สำเร็จ
• การดูแลผู้ป่วยอาจจะมีอารมณ์เครียดบ้าง หงุดหงิดบ้าง แล้วแบบนี้มีมุมน่ารักๆ ระหว่างการดูแลคุณแม่เกิดบ้างหรือเปล่า
พายชอบที่แม่เป็นคนที่เข้าใจพาย คือเขาเป็นคนป่วยนะ ซึ่งจริงๆ เวลาเราพูดถึงคนป่วยเราไปหาเหตุ หาผลอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว อย่างแม่พายจะเป็นคนติดทีวีมากแต่พายต้องทำงานอยู่ที่บ้านเพื่อให้ได้อยู่กับเขา พายทำงานประจำนะแต่สิ่งที่คุยกะนายไว้คือขอทำงานที่บ้านซึ่งงานของพายคือการสัมภาษณ์คนอื่น ถ้าแม่จะเปิดทีวีลั่นบ้านพายก็จะสัมภาษณ์คนอื่นไม่ได้ พายก็จะขอแม่ปิดทีวีชั่วโมงนึง แม่ก็จะแบบเอาเลยค่ะเข้าใจ แล้วมันจะมีโมเมนต์หนึ่งที่เขาใส่ใจเรา คือแม่จะไม่ปิดกั้นเราเวลาที่พายต้องไปทำงานที่ต่างประเทศเพราะงานของพายต้องเดินทางบ้าง พายจะถามเขาว่าให้ไปได้ไหม เขาจะบอกว่าไปเลย ไปเจอคนอื่นบ้าง เขาไม่เห็นแก่ตัวเลยค่ะ ซึ่งพายก็จะจ้างคนดูแลคนป่วยที่เป็นพี่เลี้ยงของแฟนพายมาดูแลแม่ให้แทนค่ะ
หรืออย่างเช่น แม่พายเขาจะนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานเขาโดนสายช่วยหายใจกดทับกล่องเสียงมันทำให้เวลาพูดจะไม่เป็นคำเหมือนคนอื่น จะเป็นลมๆ เวลาพูดมันน่ารำคาญมากจริงๆ คือเราฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร พูดกันเป็นวันก็แล้ว ก็ฟังไม่ออกว่าคำนี้มันคืออะไร เราทายเท่าไหร่มันก็ไม่ถูก พายจะหงุดหงิดมาก แต่มีอยู่วันหนึ่งพายอารมณ์ดีกลับมาจากที่โรงเรียน คิดว่าวันนี้มันเป็นวันที่ดีจังเลย เราก็มานั่งคุยกับแม่ว่าวันนี้มีอะไรน่าสนใจมาก แม่ก็ตอบกลับมาว่าห้องหุ่น เราก็มานั่งขำว่าอะไรคือห้องหุ่น สุดท้ายมานั่งฟังแม่พูดดีๆ มันคือคำว่าทองกับหุ้นในข่าว จริงๆ ถ้าพายไม่หงุดหงิดกับสิ่งนี้พายแค่แปลงการฟังที่ไม่รู้เรื่องให้มาเป็นการทายคำมันก็ตลกดีเหมือนกัน
ตรงนี้มันคือวิธีคิดแท้ๆ เลยค่ะ คือเราต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตอนที่เขาป่วยไม่สามารถให้กำลังใจได้เหมือนคนปกติหมายถึงเขาไม่สามารถซื้อของเป็นรางวัล ลุกขึ้นมากอดเราได้ แต่สุดท้ายถึงแม้เขาจะป่วยเขาก็ยังเป็นแม่อยู่ เวลาที่เราเหนื่อยจากการทำงานมาเราก็จะมานั่งข้างๆ เขา แม่ก็จะเอามือข้างที่สามารถใช้งานได้มาจับเราแล้วก็จะบอกว่าค่อยๆ ทำไป แค่นั้นทุกอย่างมันก็โอเคขึ้นแล้วค่ะ

• กำลังใจสำคัญทั้งกับตัวผู้ป่วยและคนดูแลผู้ป่วย
การให้กำลังใจคนดูแลผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าวันไหนที่คนดูแลคนป่วยเขาแย่มากๆ คนป่วยก็จะแย่ตามไปด้วย เหมือนจริงๆ อยู่ที่วิธีคิดด้วยพายรู้สึกว่าการที่เราให้กำลังใจตัวเองมันจะเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ในเชิงปฏิบัติ แบบคนมันหดหู่จะมานั่งเชียร์ตัวเองมันก็เชียร์ไม่ขึ้น แต่ว่ามันอยู่ที่วิธีคิด ฟังแล้วมันเป็นนามธรรมมากเลยนะ ถ้าปลดล็อกได้มันจะเห็นทางเลยแหละ
กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญนะคะ พายโชคดีมากที่ได้แฟนและครอบครัวของแฟนเข้าใจคือเหมือนพายรู้สึกว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าพายดูแลแม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วพายยังมีสภาพแบบทุกวันนี้ ถ้าสมมติว่าพายอยากออกไปกินข้าวกับเพื่อนบ้างหรือต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด ต่างประเทศด้วยความจำเป็นเขาจะมาดูแม่ให้ ดูแบบที่พายทำทุกอย่างซึ่งการทำแบบนั้นมันทำให้พายได้มีเสี้ยวชีวิตหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปเขาใช้กัน แล้วสิ่งนั้นมันเหมือนการที่เราได้ชาร์จแบตตัวเองให้เขียวกลับมา มีพลังที่จะสู้ต่อไปเรื่อยๆ
เพื่อนก็สำคัญเหมือนกันนะคะ อย่างเพื่อนพายเวลาที่จะชวนพายออกไปกินข้าวข้างนอกเขาจะต้องคิดละว่าพายออกมาได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงเพราะอะไร คือเขาคิดเผื่อเรา เขาไม่ได้รู้แค่ว่าแม่เราป่วยต้องรีบกลับ เขาปรับเพื่อที่จะให้เข้ากับสิ่งที่เราเป็นอยู่ มันทำให้เห็นความตั้งใจที่อยากจะอยู่กับเราจริงๆ ในวันที่เรามีข้อจำกัดเยอะเหลือเกิน ตรงนี้พายก็อยากย้ำคำเดิมว่ามันอยู่ที่วิธีคิดจริงๆ ค่ะ
• ก่อนหน้าที่คุณแม่จะป่วย ปกติแล้วเราสนิทกับคุณแม่ในระดับไหน
เราสนิทกับแม่ในระดับที่แม่ก็ไปรับกลับบ้านระหว่างทางกลับบ้านเราก็นั่งฟังเพลงแล้วแม่ก็ขับรถไป คือไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เรารักกันแต่ไม่ได้แสดงออกเหมือนคนในยุคนี้ที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแต่ไม่ได้พูดคุยกัน เราแค่อยู่ด้วยกันมันเป็นแบบนั้นแหละค่ะ
ก่อนหน้านี้คุณแม่จะเป็นคนขี้บ่น แต่วันหนึ่งเราไม่ได้ยินเสียงบ่นนั้นแล้วมันก็เหมือนเวลาเราเจอปัญหาแล้วไม่มีคนคอยชี้ทางออกให้ว่าเราควรเดินไปทางไหนดี ความรู้สึกที่ไม่รู้จะไปทางไหนมันแย่นะคะ กลายเป็นว่าเราต้องตัดสินใจเอง คำบ่นเหล่านั้นมันดีแต่เราจะไม่รู้ตัวในวันที่ถูกบ่นหรอก แต่พอวันที่แม่ป่วยคงเป็นเพราะเราต้องอยู่ด้วยกันมากขึ้น พายได้คุยกับแม่เยอะขึ้นมากๆ พายได้เข้าใจในสิ่งที่แม่ทำให้เราเมื่อก่อน หรือสลับตำแหน่งกันมันทำให้พายได้รู้ว่าแม่เคยทำแบบนี้แล้วมันรู้สึกแบบนี้นี่เองหรืออะไรก็ตาม แต่มันทำให้ความสัมพันธ์ของแม่กับลูกแน่นแฟ้นขึ้นโดยปริยายเลยค่ะ
แต่ก่อนพายจะอายมาก แต่เดี๋ยวนี้พายมองว่ามันแตกต่างกันนะระหว่างอายกับรู้สึกว่าไม่ได้จำเป็นต้องทำเหมือนเราก็อยู่กันทุกวันอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าวันนั้นมันจะเป็นวันสุดท้ายของคุณหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้นะ ทุกวันนี้พายคลั่งการหอมแก้มคุณแม่มาก พายคิดว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่แม่เขาดีๆ พายไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกมากเท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็เลยรู้สึกว่ามันชื่นใจจังเลยกับการหอมแก้มมนุษย์ที่เป็นแม่ของเรา เป็นของที่ฟรีแล้วก็เต็มที่ได้ และพายบอกรักแม่บ่อยมาก พายพูดอยู่ตลอดเวลาแม้ในวันนี้แม่จะอยู่ใสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พายบอกแม่ตลอดเลยว่าพายดีใจนะที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ มันดีมากนะ
ทุกวันนี้พายจะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเป็นที่หนึ่งเลยเพราะพอจัดสัดส่วนแล้วมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น แต่อาจจะสลับกับงานบ้าง พายไม่อยากมองอะไรแบบสุดทาง คือการดูแลคนป่วยมันใช้เงินเยอะมากเลยนะ มันทำให้เรารู้จักอะไรต่างๆ อย่างการบริหารเงิน เวลา ความคิด ความรู้สึก ทุกอย่างเลยค่ะ

• เหมือนว่าการที่คุณแม่ป่วยครั้งนี้ก็ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับคุณแม่มากขึ้นนะ แล้วตอนนี้คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ
พายมองโลกตามความเป็นจริงมาก พายไม่สุดทางจนเกินไป การที่พายมองโลกตามความเป็นจริงมันทำให้พายเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ได้มองว่ามันดีจนเกินไป พายมีวิธีมองโลกในแง่ที่ดีกว่าเดิมซึ่งนั่นสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตของคน เราหาความสุขจากอะไรบ้าง จริงๆ ความสุขมันเรียบง่ายมากแต่คนเราจะแสวงหาสิ่งใหญ่ๆ การที่แม่ป่วยมันทำให้พายรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่หาง่ายมาก
ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยพูดว่าถ้าวันหนึ่งฉันป่วยดูแลฉันด้วยนะแม่ไม่เคยพูดแบบนั้น แม่แค่ให้ทุกอย่างเท่าที่แม่จะให้ได้แล้วพอวันหนึ่งที่แม่เป็นแบบนี้ สุดท้ายสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวพาย แล้วพายก็คิดได้ว่าฉันทิ้งคนคนนี้ไปไม่ได้ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ มันคือความผูกพัน คือเขาเป็นแม่มาก่อน เขาดูแลคนอื่นมาก่อนเขาคงรู้ว่าการดูแลคนมันเหนื่อยมากจริงๆ เราไม่เคยขึ้นไปอยู่ตำแหน่งนั้นเราได้แต่คิดว่าคนเป็นแม่มันเหนื่อยนะ แต่วันที่คุณขึ้นไปเป็นแม่หรือวันที่คุณขึ้นไปเป็นคนดูแลคนอื่นคุณจะรู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก ลืมไปเลยคำว่า “นอน” คือมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ แล้วในมุมมองคนที่เคยทำหน้าที่แม่ ยิ่งเขาช่วยตัวเองไม่ได้ความเหนื่อยนั้นมันจะเพิ่มขึ้นอีกกี่เท่า ความเข้าใจของพายกับเขาทุกวันนี้มันเลยเยียวยาซึ่งกันและกัน
ทุกวันนี้คุณแม่เป็นคนที่มีความสุขมากเลยนะ แม่ป่วยเป็นคนแรกๆ ของตระกูลเลยแต่ว่าอยู่ยืนยงมากในขณะที่น้องชายแม่หรือใครหลายๆ คนเสียไปแล้ว เขาเป็นคนป่วยที่สุขภาพจิตดีมาก เป็นคนป่วยแต่เขาสนุก เขาตลก พายรู้สึกว่านั่นก็ดีมากแล้วสำหรับพาย 3 ปี หลังแม่ก็ค่อยๆ ปรับตัวเหมือนรู้ว่าจะเป็นแบบนี้อีกนาน กลายเป็นว่าเราจูนเข้าหากันติดอย่างแนบแน่นมาก เราไม่เรียกร้องจากอีกฝ่ายจนเกินพอดี รู้จักผ่อนให้แก่กันและกัน
• จะว่าไปแล้วการดูแลคนที่คุณรักแล้วเขาก็รักคุณในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนตัวคิดเห็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ช่วงก่อนหน้านี้มันมีคนเคยถามพายเยอะมากว่าถ้าแม่ตายจะรู้สึกยังไงซึ่งพายก็บอกเขาไปว่าคงเสียใจเพราะว่าเขาคือแม่พาย แล้วพายเสียช่วงอายุวัยรุ่นทั้งหมดนี้ไปเพื่อดูแลเขาแต่สุดท้ายพายคงไม่เสียดายอะไรเลย หมายถึงพายทำทุกวันอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้แล้วมันคงไม่มีความรู้สึกว่าถ้ามองกลับมาแล้ววันนั้นเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นแบบนั้น พายคงจะก้าวต่อไปได้อย่างเบาสบาย เพราะว่าทุกวันมันไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจแล้ว
การดูแลคนป่วยเป็นเวลานานๆ มันทำให้เรามองเห็นความตายเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดแบบปกติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าวันนั้นมาถึงหรือถ้าวันนั้นผ่านพ้นไปเราจะอยู่ในแบบไหน เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรให้กับคนในครอบครัวหรือคนรอบข้างของเราบ้าง สิ่งนั้นแหละจะเป็นสิ่งที่บอกได้ในอนาคตว่าเราทำเต็มที่แล้วหรือยัง
พายว่ามันเป็นวิธีคิดที่ได้จากแม่มาเยอะ แล้ววิธีคิดตรงนั้นมันก็ส่งผลทำให้พายมาดูแลแม่จนถึงทุกวันนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะแม่เป็นซิงเกิลมัมก็ได้นะคือแม่ผนวกรวมกันเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนคนเดียวกัน สุดท้ายไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนเขาก็ไม่ได้ทิ้งพาย มันก็คงเป็นความรู้สึกเดียวกับพายตอนนี้

• คิดยังไงกับคำที่ว่าพ่อแม่ดูแลลูกหลายคนได้ แต่ลูกหลายคนดูแลพ่อแม่คนเดียวไม่ได้
มันเป็นประโยคที่จริงมากเลยค่ะ มีพี่คนหนึ่งที่พ่อเขาป่วยเป็นแบบเดียวกับแม่พายเลย แล้วมีพี่น้องหลายคนแต่เกี่ยงกันดูแลพ่อ สุดท้ายพี่คนนั้นเขาบอกกับพายว่าพี่ไม่รู้นะว่าสุดท้ายแม่พายคิดยังไง แต่ถ้าพี่เป็นแม่พายพี่จะภูมิใจมากที่อย่างน้อยแม่ดูแลเรามาแล้วลูกดูแลแม่ได้ พายก็รู้สึกว่ามันจริงๆ เลยนะคำคำนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้สนิทกันมากขึ้นก็ได้ พ่อทำงาน ลูกก็เรียน ความห่างกันมันทำให้เราไม่มีตรงนี้
เคยมีคนถามพายเหมือนกันว่าเราต้องกตัญญูจริงๆ เหรอ พายก็ตอบเขาไปว่าความกตัญญูมันอาจจะไม่ได้มีอยู่จริงเลยก็ได้ มันคือความผูกพันเป็นสิ่งที่เราได้รับมาแล้วอยากจะให้เขากลับไป แต่ว่าพอมันให้กลับไปโดยคำว่าลูกมันเลยกลายเป็นว่าความกตัญญูจริงๆ แล้วมันคือความผูกพันของคุณเอง
• พายอยากให้กำลังใจคนที่ดูแลคนป่วยเหมือนกับเรายังไงบ้าง
พายรู้สึกว่าคนเหล่านี้เก่งจริงๆ เลยนะ เวลาที่เรามองคนที่เขาดูแลคนป่วยแล้วรู้สึกว่าอดทนจังเลย แต่ถ้าวันหนึ่งคุณลองไปสลับตำแหน่งกับเขาสัก 1 ปี คุณจะรับรู้ถึงตรงนั้นอย่างแท้จริง ถ้าอยากฝากจริงๆ อยากฝากถึงคนรอบตัวมากกว่าว่าจริงๆ แล้วการให้กำลังใจคนดูแลคนป่วยเป็นสิ่งสำคัญมาก มันทำให้เขามีชีวิตที่จะเดินต่อไปได้ คุณคิดเหรอว่าคนป่วยอยากตายแล้วคนดูแลคนป่วยไม่อยากตาย ชีวิตของเขาไลฟ์สไตล์ของเขาต้องป่วยตามคนป่วยไปด้วยเพราะว่ามันถูกขังอยู่เหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นการให้กำลังใจคนดูแลคนป่วยเหมือนถูกรดน้ำทุกวันแล้วมันดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องไม่กดดัน แค่คุณเข้าใจก็พอว่าถ้าคุณมาอยู่ตรงนี้บ้างคุณอาจจะมองเรื่องนี้เปลี่ยนไปเลยก็ได้ อย่าตัดสินตรงที่ตัวเองยืนอยู่ คุณต้องเข้ามาอยู่ในนี้คุณถึงจะรู้

• ใกล้วันแม่แล้วเราอยากพูดอะไรถึงคุณแม่บ้างคะ
พายอยากทำให้แม่เป็นคนป่วยที่มีความสุขเท่าที่เขาจะเป็นไปได้ คือเขาไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องตายไปแล้วจำภาพห้องสี่เหลี่ยม เขาควรจะมีความทรงจำบางอย่างอยู่ในหัว ในใจ ก่อนที่เขาจะตาย
พายดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ แม้ว่าตอนนี้แม่จะเป็นแบบนี้ก็ตาม แต่ว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่ว่าเขาเลี้ยงพายได้ดีพอ พายไม่สามารถพูดได้ว่าฉันดีด้วยตัวของฉันเอง มันต้องมีพื้นฐานที่ดีพอมันถึงจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันก็มาจากแม่นั่นแหละ ทุกครั้งที่แม่ขอบคุณพาย พายจะบอกกับแม่ว่าแม่ต้องขอบคุณตัวเองที่ทำทุกอย่างมาให้พายสามารถเข้มแข็งได้ขนาดนี้


เรื่อง : วรัญญา งามขำ และจิราภรณ์ คงทรัพย์
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน บางครั้งชีวิตอาจรุ่งถึงขีดสุด แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดิ่งลงต่ำสุดได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเธอคนนี้...จากชีวิตลูกคุณหนู คุณแม่ทำให้ทุกอย่างแบบไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนวันหนึ่งแม่ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกจากโรคเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เธอต้องลุกขึ้นต่อสู้และดูแลคุณแม่ที่ป่วยด้วยตัวเองถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลา 10 ปีมาแล้ว
เปิดทัศนคติและมุมมองของลูกที่มีต่อแม่ พาย-ภาริอร วัชรศิริ หญิงสาววัย 26 ปี เจ้าของหนังสือ How I love MY MOTHER และ How I Live My Life อีกทั้งปัจจุบันเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่เว็บไซต์งานแต่งแห่งหนึ่ง
เรานัดเธอยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านรัชดา เธอมาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่แลดูเหมือนคนที่มีความปกติสุขคนหนึ่ง มันเป็นรอยยิ้มกว้างๆ ที่บ่งบอกถึงความไม่กังวลใดๆ ในชีวิต เธอนั่งลงพร้อมตอบคำถามที่เราเตรียมมาซึ่งข้อมูลที่เราทราบคือแม่ของเธอป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานนับ 10 ปี และเธอเองคือคนที่ดูแลมาโดยตลอดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับว่าวันนี้เธอสลับตำแหน่งหน้าที่กับคุณแม่ไปโดยปริยาย
• ชีวิตพลิกผันเพราะคุณแม่ป่วยเป็น “โรคเส้นเลือดในสมองแตก”
ต้องบอกก่อนว่าที่บ้านพายเราอยู่กันแค่สองคน คุณแม่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่บ้านมีฐานะเป็นชนชั้นกลาง แม่จะเลี้ยงในแบบที่เราไม่ขาดอะไรเลย คือพายก็จะได้ทุกอย่างตามที่แม่คนหนึ่งจะทำให้ได้ซึ่งจะเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงอายุ 16 ปี แล้วแม่ก็ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นว่าเราสลับบทบาทหน้าที่กัน จากการที่เขาเป็นแม่แล้วพายเป็นลูก แม่ดูแลพาย ก็กลายมาเป็นพายต้องดูแลแม่แทน
เท่าที่พายสัมผัสมาแม่ทำงานหนัก กินเค็ม นอนน้อย ความดันเลือดก็เลยสูงแต่มันเป็นโรคที่ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าอาจจะมีปวดหัวนิดๆ หน่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็เส้นเลือดในสมองแตก แม่ก็ล้มลงไปกับพื้น เราก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเส้นเลือดในสมองแตกมันหนักกว่าเส้นเลือดตีบหรือตัน มันจะส่งผลให้ร่างกายส่วนหนึ่งของเขาคือซีกซ้ายใช้การไม่ได้เลย
ชีวิตมันพลิกผันไปหมด ก่อนหน้านี้เราทำอะไรเองไม่เป็นเลย แม่ดูแลขนาดที่ต้องซักรองเท้าให้ ร้อยเชือกรองเท้าให้ เตรียมถุงเท้าให้ เตรียมกางเกงในให้ คือพายไม่เคยต้องทำอะไรเองเลย อยู่ๆ มันก็พลิกทุกอย่าง กลายเป็นว่าเราต้องทำเองทั้งหมด
• ต้องเรียนรู้และลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ก็ท้อมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ช่วง 3-4 วันที่คุณแม่ป่วย พายไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนที่เขาบอกว่าเวลาโดนรถชนแล้วมันจะไม่มีความรู้สึกอะไร พายเป็นแบบนั้นเลยค่ะ คือพายไม่รับความจริง พายรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับชีวิตฉันได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันคงไม่เกิดขึ้นจริง เดี๋ยวอีก 3-4 วันแม่ก็คงจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็คงเหมือนการไม่สบายปกติ แต่ว่าการที่แม่อยู่ ICU 2 เดือนมันทำให้พายรู้ว่าจริงๆ มันไม่ปกติหรอก คือสักพักความจริงมันก็ค่อยๆ เข้ามาหาเราเองนั่นแหละว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าการที่จะปรับตัวให้มันเข้ากับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปมันไม่ได้ใช้เวลาข้ามคืน ซึ่งจริงๆ มันขึ้นอยู่กับวัยด้วยว่าช่วงนั้นอายุเท่าไหร่ ตอนนั้นพายอายุ 16 ปี พายยังเด็กมากแล้วบ้านเรามีกันแค่ 2 คน มันไม่ได้มีใครที่มาช่วยเรื่องเงิน มาช่วยเรื่องดูแลแม่คือพายต้องทำทุกอย่างคนเดียวเพราะฉะนั้นมันใช้เวลานานมากกว่าจะขัดเกลา
ในช่วง 7 ปีแรก ท้อมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากตายบ่อยมาก เพราะว่ามันเป็นสภาวะที่เราไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้เลย ชีวิตวัยรุ่นของเรามันหายไปหมดเลย เราต้องมานั่งตัวติดกับแม่เป็นปาท่องโก๋ จะออกไปข้างนอกได้ก็แค่ 3 ชั่วโมงต้องรีบกลับบ้าน
ช่วงแรกพายร้องไห้เป็นผ้าเน่าบ่อยมากทำไมมันไม่หลุดพ้นสักที เรื่องพวกนี้จะจบเมื่อไหร่ ความยากที่สุดของการดูแลผู้ป่วยติดเตียงแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่ดีขึ้นเลย เราไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้มันจะจบลงเมื่อไหร่ เหมือนเราเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยคุณรู้ว่า 4 ปีคุณจะจบ แต่การดูแลผู้ป่วยบอกไม่ได้เลยอาจจะ 20, 30, 40 ปี จบ ความรู้สึกมันคนละแบบกันนะ ซึ่งการดูแลคุณแม่ของพายก็ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ เราเลยวางแผนระยะยาวยาก
พายเลยมานั่งคิดและถามตัวเองว่ามันแย่จริงๆ เหรอ มันแย่เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันแย่ต่างหาก แต่ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่แย่มันก็ไม่แย่ มันจะแย่กว่านี้ไหมถ้าแม่ตาย มันคงแย่แน่ๆ เพราะการที่เราอยากให้มันจบคืออะไร คือแม่ก็ต้องตายสินะ ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกวันนี้แม่ยังอยู่คือมันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
สุดท้ายชีวิตก็ต้องผ่านไปเพราะถ้าพายรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แล้วแม่จะพึ่งพาใครหรือยึดเหนี่ยวใครได้ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้และทำอะไรเองได้โดยที่ไม่ได้มีบทเรียนสำเร็จนั่นแหละ การที่ต้องทดลองทำเองทุกอย่างมันทำให้เราทำเป็นจริงๆ นะคะ เหมือนเรารู้วิธีที่จะเอาตัวรอด หรือว่าปรับชีวิตที่มันเปลี่ยนไป ช่วงหลังๆ มาพายรู้สึกว่าชีวิตเราดีอยู่แล้วนะ คือพายหาจุดที่สบายตัวแล้วก็สบายใจอยู่ร่วมกับแม่ได้ คงจะปรับตัวได้ด้วยความเคยชินจนทุกวันนี้มันเสถียรกับทุกอย่างไปแล้ว
• การดูแลคุณแม่ป่วยไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่
การดูแลคนป่วยมันเครียดมากนะคะ ใครคิดว่าคนที่ดูแลคนป่วยทำไมถึงเป็นโรคซึมเศร้าเยอะเพราะว่ามันกดดันทางด้านร่างกายและจิตใจมาก เราต้องเสียสละร่างกายอย่างมาก คนส่วนใหญ่จะบอกว่าสิ่งที่เสียไปกับคนป่วยนั่นคือเวลากับเงินใช่หรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ คำตอบคือการเสียสละร่างกายของตนเองมันคือการแลกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา
ก่อนหน้านี้พายจะรู้สึกว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการดูแลคนป่วย เหมือนเรามีความรู้สึกว่าอยากให้แม่กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ แต่ความจริงแล้วเขากลับมาทำแบบที่เราอยากให้เป็นไม่ได้หรอก สภาพของเขาคือเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย อยู่ในระดับที่เคี้ยวข้าวก็ไหลออกข้างหนึ่ง พายต้องเช็ดถ่ายเปลี่ยนแพมเพิร์ส เราต้องอุ้มไปอาบน้ำ การที่เราไปคาดหวังว่าแม่ต้องกลับมาซึ่งความจริงแล้วร่างกายเขาเป็นไปไม่ได้ขนาดนั้น มันทำให้เราไปกดดันเขา เพราะฉะนั้นคำถามก็คือเราจะทำยังไงให้มาเจอกันตรงกลางที่เขาไหวแล้วใจเราไหวกับสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น หัวใจหลักตรงนี้มันคือ “ความอดทน” แต่ที่มากกว่าความอดทนก็คือ “ความเข้าใจ”
เข้าใจในที่นี้คือเข้าใจ 1. เข้าใจว่าเขาคือคนป่วยเขาไม่ใช่คนปกติแล้วจะไปคาดหวังว่าจะต้องกลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ซึ่งมันไม่ได้ 2. เข้าใจว่าเราโกรธได้ แต่เราก็ต้องหยุดให้ได้ด้วย เราโมโหได้ สุดท้ายเราก็ต้องกู้ตัวเองกลับมา 3. เราต้องเข้าใจชีวิต เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่มันเปลี่ยนไปแล้ว พายว่าชีวิตของคนป่วยหรือว่าคนดูแลคนป่วยมันหม่นๆ อยู่แล้ว มันทุกข์อยู่แล้วด้วยตัวของมันเอง แต่ว่าเราจะไม่ทำให้มันทุกข์ไปกว่านี้ได้ไหม เราไม่ซ้ำเติมกันในวันที่มันแย่อยู่แล้วได้ไหม เราทำยังไงให้บรรยากาศในบ้านมันสนุกหรือมีความสุขเท่าที่มันจะเป็นไปได้ เราสร้างบรรยากาศที่มันรู้สึกอยากจะมีชีวิตต่อของแม่ได้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่พายเข้าใจ
พายมองว่าถ้าเวลาที่เราโมโหแล้วเราเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ทางที่ดีคือเราเดินออกมาเลยไปอยู่อีกห้องหนึ่งทำใจให้สงบๆ แล้วค่อยเข้ามา เพราะสุดท้ายสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยจะเกิดขึ้นทุกครั้งก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรุนแรงไม่ว่าจะอะไรก็ตามทั้งวาจาหรือการกระทำ ทั้งตี หยิก หงุดหงิด อะไรก็ตามสุดท้ายผ่านไปแค่ 10 นาที คุณจะรู้สึกแย่กับตัวเองทันที เราจะรู้สึกว่าทำไปทำไม แต่ก็นะตอนนั้นมันรู้สึกโกรธไง เพราะฉะนั้นก็แยกตัวเองออกไป วันหนึ่งเราจะมองมันได้อย่างเข้าใจรู้สถานการณ์มากขึ้นว่ามันทำได้แค่นี้ แล้วเราไปใส่อารมณ์กับเขาแล้วรอบหน้าเขาจะไม่ทำหรือเปล่าก็ไม่ใช่ เขาก็ยังจะทำเพราะเขาเป็นคนป่วย มันก็แค่เรียนรู้แล้วก็ค่อยๆ ปรับไปกับตัวเอง
ช่วงปีแรกพายจ้างพยาบาลมาช่วยดูแลค่ะ คือการไปกลับที่โรงเรียนมันไม่เหมือนมหาวิทยาลัย เราต้องไปเช้ามาก กลับก็เย็นมาก แต่ว่าสุดท้ายเราจะเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าคนพวกนั้นดูแลแม่เราแบบคนป่วยแต่เราดูแลแม่เราแบบที่เขาเป็นแม่เราซึ่งมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วเราคือคนที่ทำได้ดีที่สุด พอหลุดจากปีนั้นไปพายก็ตัดสินใจดูแลเอง ทุกวันนี้ก็ดูแลคุณแม่มาเอง 10 ปีแล้วค่ะ
• ดูแลคุณแม่ด้วยตัวเองมา 10 ปีเต็ม แบบนี้มีวิธีการดูแลอย่างไรบ้างในแต่ละวัน
มันเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆ เช่นการหั่นอาหารที่เป็นชิ้นเล็กๆ แกะปลาให้ไม่มีก้าง แกะผลไม้ให้ไม่มีเมล็ด การเตรียมยา การเปลี่ยนถ่ายตลอดเวลา เวลาอาบน้ำต้องล้วงควักกันทุกซอกทุกมุม มันคือการพยาบาลอย่างแท้จริง พายไม่ได้จบพยาบาลมานะคะแต่สิ่งจูงใจที่ทำให้พายสามารถทำได้ก็คือเขาเป็นแม่เรา เราไม่ได้ดูเขาเหมือนคนป่วย แต่เราดูแลในฐานะที่ว่าเขาคือแม่
เอาตรงๆ เลยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนแม่ป่วย Google ไม่ได้มีข้อมูลเยอะอะไรขนาดนั้นเพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราเห็นพยาบาลทำอะไร เราก็จะจำเอามาใช้ แต่ความเป็นจริงแล้วการดูแลคนป่วยก็เหมือนการใช้เครื่องสำอาง มันไม่ใช่ว่าสิ่งนี้ดีแล้วเอาไปใช้แล้วมันจะดีจริง เราจะรู้ว่าคนในครอบครัวของเราเขามีนิสัยยังไงหรือว่าเขาชอบ ไม่ชอบอะไร แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับมันให้เข้ากับคนคนนั้น
สำหรับพายการดูแลคนป่วยมันต้องใช้จินตนาการคือเราไม่สามารถที่จะยกแม่มาทดลองจับๆ ว่าตรงไหนมันควรจะติดตั้งอะไร เราต้องคิดก่อนว่าเราเป็นคนป่วยเวลาจะเดินเข้าห้องน้ำตรงนี้มันควรจะมีราวจับ เดินลงไปมันต้องมีตุ่มยึดในห้องน้ำจะได้ไม่ลื่น หมุนตรงนี้ปุ๊บจะต้องได้นั่งเก้าอี้ พอลุกขึ้นมาต้องคว้ากับอะไร หัวเราต้องคิดก่อนแล้วเราถึงจะเอาเขามาทำ อย่างแม่พายเขาป่วยเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเขาไม่รู้สึก เวลาเขาแปรงฟันเขาจะแปรงแรงมาก เราก็คิดว่าจะทำยังไงดีถ้าจะแปรงให้เขาก็ไม่ถนัดเพราะว่าแปรงฟันมันต้องแปรงเอง ฉะนั้นเราก็คิดว่าต้องไปซื้อแปรงเล็กๆ หัวเล็กๆ มาให้เขาใช้นะ เพราะต่อให้เขาแปรงแรงแค่ไหนก็เลือดไม่ออก หรืออย่างเวลากินข้าวถ้าจะใช้ช้อนปกติมันก็จะควบคุมไม่ได้เพราะว่าคำใหญ่เราก็เปลี่ยนมาเป็นช้อนขนมเลย คือเราก็ค่อยๆ หาทางออกไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้พายดูแลคุณแม่แบบประคับประคอง มันคือการดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีวันดีขึ้นกว่านี้แล้ว ต้องอยู่แบบนี้ไปจนกว่าลมหายใจสุดท้าย แต่มันไม่ใช่วิธีเป็นแค่ชื่อเรียกเฉยๆ แต่จุดที่สำคัญที่สุดคือเราจะทำยังไงให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อภายใต้ความรู้สึกที่อาการไม่ดีไปกว่านี้แล้ว หรืออย่างน้อยก็มีความสุขกับทุกๆ วันที่มีอยู่ของเขา ซึ่งวิธีพูดกับคนป่วยว่าถ้าคุณตายฉันอยู่ไม่ได้หรอกจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดตัวเองว่าเขาไม่ใช่ภาระแต่เขาคือเหตุผลของคนคนหนึ่งที่อยากให้เขาอยู่ คุณอาจไม่มีประโยชน์ต่อโลกนี้แล้วแต่คุณมีประโยชน์ต่อการมีชีวิตอยู่ของฉัน เราต้องเข้าใจความรู้สึกคนป่วยด้วย
• ตอนนั้นเห็นว่าเรียนอยู่ด้วย เราแบ่งเวลาเรียนและเวลามาดูแลคุณแม่ยังไงบ้าง
จริงๆ ช่วงที่ยากที่สุดของพายคือช่วงที่สอบแอดมิชชันค่ะ เพราะว่าแม่เราก็ต้องดู หนังสือเราก็ต้องอ่าน มหาวิทยาลัยดีๆ เราก็อยากสอบติด มันแบ่งเวลาไม่ได้เลยนะคะ พูดตรงๆ การดูแลคนป่วยมันจะไม่สามารถแบ่งได้ว่าครึ่งวันเช้าของแม่ ครึ่งวันเย็นของเรามันคือการสลับตารางฟันปลากันแล้วผนวกเข้าไปด้วยกัน
อย่างมื้อเช้าจัดการแม่เสร็จก็จัดการตัวเอง อาบน้ำแม่ ยาแม่ พาแม่ไปกายภาพเสร็จก็ไปอ่านหนังสือ คือสลับฟันปลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ว่าช่วงที่พายอ่านหนังสือตอนกลางคืนเป็นอะไรที่ยากมากเพราะว่าคนที่ป่วยแบบนี้เขาจะปวดปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยมาก เราก็จะอ่านหนังสือไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ คือถ้าเขาไม่หลับเขาก็จะชวนเราคุยเพราะเขาเหงา เราก็ต้องแบ่งสมาธิไปหาเขา คือพายมีสิ่งหนึ่งที่ยึดอยู่ในใจตลอดเลยนะ แม่เป็นซิงเกิลมัมแล้วเขาพยายามที่จะแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่าเขาเลี้ยงลูกคนเดียวแล้วลูกฉันได้ดี มันไม่จำเป็นว่าฉันจะเลิกกับสามีแล้วลูกฉันจะต้องมีปัญหา ด้วยความรู้สึกนั้นมันทำให้พายรู้สึกอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ขนาดฉันดูแลแม่ที่ป่วยฉันก็ทำได้ แล้วสุดท้ายเราก็ติดมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าได้สำเร็จ
• การดูแลผู้ป่วยอาจจะมีอารมณ์เครียดบ้าง หงุดหงิดบ้าง แล้วแบบนี้มีมุมน่ารักๆ ระหว่างการดูแลคุณแม่เกิดบ้างหรือเปล่า
พายชอบที่แม่เป็นคนที่เข้าใจพาย คือเขาเป็นคนป่วยนะ ซึ่งจริงๆ เวลาเราพูดถึงคนป่วยเราไปหาเหตุ หาผลอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว อย่างแม่พายจะเป็นคนติดทีวีมากแต่พายต้องทำงานอยู่ที่บ้านเพื่อให้ได้อยู่กับเขา พายทำงานประจำนะแต่สิ่งที่คุยกะนายไว้คือขอทำงานที่บ้านซึ่งงานของพายคือการสัมภาษณ์คนอื่น ถ้าแม่จะเปิดทีวีลั่นบ้านพายก็จะสัมภาษณ์คนอื่นไม่ได้ พายก็จะขอแม่ปิดทีวีชั่วโมงนึง แม่ก็จะแบบเอาเลยค่ะเข้าใจ แล้วมันจะมีโมเมนต์หนึ่งที่เขาใส่ใจเรา คือแม่จะไม่ปิดกั้นเราเวลาที่พายต้องไปทำงานที่ต่างประเทศเพราะงานของพายต้องเดินทางบ้าง พายจะถามเขาว่าให้ไปได้ไหม เขาจะบอกว่าไปเลย ไปเจอคนอื่นบ้าง เขาไม่เห็นแก่ตัวเลยค่ะ ซึ่งพายก็จะจ้างคนดูแลคนป่วยที่เป็นพี่เลี้ยงของแฟนพายมาดูแลแม่ให้แทนค่ะ
หรืออย่างเช่น แม่พายเขาจะนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานเขาโดนสายช่วยหายใจกดทับกล่องเสียงมันทำให้เวลาพูดจะไม่เป็นคำเหมือนคนอื่น จะเป็นลมๆ เวลาพูดมันน่ารำคาญมากจริงๆ คือเราฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร พูดกันเป็นวันก็แล้ว ก็ฟังไม่ออกว่าคำนี้มันคืออะไร เราทายเท่าไหร่มันก็ไม่ถูก พายจะหงุดหงิดมาก แต่มีอยู่วันหนึ่งพายอารมณ์ดีกลับมาจากที่โรงเรียน คิดว่าวันนี้มันเป็นวันที่ดีจังเลย เราก็มานั่งคุยกับแม่ว่าวันนี้มีอะไรน่าสนใจมาก แม่ก็ตอบกลับมาว่าห้องหุ่น เราก็มานั่งขำว่าอะไรคือห้องหุ่น สุดท้ายมานั่งฟังแม่พูดดีๆ มันคือคำว่าทองกับหุ้นในข่าว จริงๆ ถ้าพายไม่หงุดหงิดกับสิ่งนี้พายแค่แปลงการฟังที่ไม่รู้เรื่องให้มาเป็นการทายคำมันก็ตลกดีเหมือนกัน
ตรงนี้มันคือวิธีคิดแท้ๆ เลยค่ะ คือเราต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตอนที่เขาป่วยไม่สามารถให้กำลังใจได้เหมือนคนปกติหมายถึงเขาไม่สามารถซื้อของเป็นรางวัล ลุกขึ้นมากอดเราได้ แต่สุดท้ายถึงแม้เขาจะป่วยเขาก็ยังเป็นแม่อยู่ เวลาที่เราเหนื่อยจากการทำงานมาเราก็จะมานั่งข้างๆ เขา แม่ก็จะเอามือข้างที่สามารถใช้งานได้มาจับเราแล้วก็จะบอกว่าค่อยๆ ทำไป แค่นั้นทุกอย่างมันก็โอเคขึ้นแล้วค่ะ
• กำลังใจสำคัญทั้งกับตัวผู้ป่วยและคนดูแลผู้ป่วย
การให้กำลังใจคนดูแลผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าวันไหนที่คนดูแลคนป่วยเขาแย่มากๆ คนป่วยก็จะแย่ตามไปด้วย เหมือนจริงๆ อยู่ที่วิธีคิดด้วยพายรู้สึกว่าการที่เราให้กำลังใจตัวเองมันจะเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ในเชิงปฏิบัติ แบบคนมันหดหู่จะมานั่งเชียร์ตัวเองมันก็เชียร์ไม่ขึ้น แต่ว่ามันอยู่ที่วิธีคิด ฟังแล้วมันเป็นนามธรรมมากเลยนะ ถ้าปลดล็อกได้มันจะเห็นทางเลยแหละ
กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญนะคะ พายโชคดีมากที่ได้แฟนและครอบครัวของแฟนเข้าใจคือเหมือนพายรู้สึกว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าพายดูแลแม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วพายยังมีสภาพแบบทุกวันนี้ ถ้าสมมติว่าพายอยากออกไปกินข้าวกับเพื่อนบ้างหรือต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด ต่างประเทศด้วยความจำเป็นเขาจะมาดูแม่ให้ ดูแบบที่พายทำทุกอย่างซึ่งการทำแบบนั้นมันทำให้พายได้มีเสี้ยวชีวิตหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปเขาใช้กัน แล้วสิ่งนั้นมันเหมือนการที่เราได้ชาร์จแบตตัวเองให้เขียวกลับมา มีพลังที่จะสู้ต่อไปเรื่อยๆ
เพื่อนก็สำคัญเหมือนกันนะคะ อย่างเพื่อนพายเวลาที่จะชวนพายออกไปกินข้าวข้างนอกเขาจะต้องคิดละว่าพายออกมาได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงเพราะอะไร คือเขาคิดเผื่อเรา เขาไม่ได้รู้แค่ว่าแม่เราป่วยต้องรีบกลับ เขาปรับเพื่อที่จะให้เข้ากับสิ่งที่เราเป็นอยู่ มันทำให้เห็นความตั้งใจที่อยากจะอยู่กับเราจริงๆ ในวันที่เรามีข้อจำกัดเยอะเหลือเกิน ตรงนี้พายก็อยากย้ำคำเดิมว่ามันอยู่ที่วิธีคิดจริงๆ ค่ะ
• ก่อนหน้าที่คุณแม่จะป่วย ปกติแล้วเราสนิทกับคุณแม่ในระดับไหน
เราสนิทกับแม่ในระดับที่แม่ก็ไปรับกลับบ้านระหว่างทางกลับบ้านเราก็นั่งฟังเพลงแล้วแม่ก็ขับรถไป คือไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เรารักกันแต่ไม่ได้แสดงออกเหมือนคนในยุคนี้ที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแต่ไม่ได้พูดคุยกัน เราแค่อยู่ด้วยกันมันเป็นแบบนั้นแหละค่ะ
ก่อนหน้านี้คุณแม่จะเป็นคนขี้บ่น แต่วันหนึ่งเราไม่ได้ยินเสียงบ่นนั้นแล้วมันก็เหมือนเวลาเราเจอปัญหาแล้วไม่มีคนคอยชี้ทางออกให้ว่าเราควรเดินไปทางไหนดี ความรู้สึกที่ไม่รู้จะไปทางไหนมันแย่นะคะ กลายเป็นว่าเราต้องตัดสินใจเอง คำบ่นเหล่านั้นมันดีแต่เราจะไม่รู้ตัวในวันที่ถูกบ่นหรอก แต่พอวันที่แม่ป่วยคงเป็นเพราะเราต้องอยู่ด้วยกันมากขึ้น พายได้คุยกับแม่เยอะขึ้นมากๆ พายได้เข้าใจในสิ่งที่แม่ทำให้เราเมื่อก่อน หรือสลับตำแหน่งกันมันทำให้พายได้รู้ว่าแม่เคยทำแบบนี้แล้วมันรู้สึกแบบนี้นี่เองหรืออะไรก็ตาม แต่มันทำให้ความสัมพันธ์ของแม่กับลูกแน่นแฟ้นขึ้นโดยปริยายเลยค่ะ
แต่ก่อนพายจะอายมาก แต่เดี๋ยวนี้พายมองว่ามันแตกต่างกันนะระหว่างอายกับรู้สึกว่าไม่ได้จำเป็นต้องทำเหมือนเราก็อยู่กันทุกวันอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าวันนั้นมันจะเป็นวันสุดท้ายของคุณหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้นะ ทุกวันนี้พายคลั่งการหอมแก้มคุณแม่มาก พายคิดว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่แม่เขาดีๆ พายไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกมากเท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็เลยรู้สึกว่ามันชื่นใจจังเลยกับการหอมแก้มมนุษย์ที่เป็นแม่ของเรา เป็นของที่ฟรีแล้วก็เต็มที่ได้ และพายบอกรักแม่บ่อยมาก พายพูดอยู่ตลอดเวลาแม้ในวันนี้แม่จะอยู่ใสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พายบอกแม่ตลอดเลยว่าพายดีใจนะที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ มันดีมากนะ
ทุกวันนี้พายจะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเป็นที่หนึ่งเลยเพราะพอจัดสัดส่วนแล้วมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น แต่อาจจะสลับกับงานบ้าง พายไม่อยากมองอะไรแบบสุดทาง คือการดูแลคนป่วยมันใช้เงินเยอะมากเลยนะ มันทำให้เรารู้จักอะไรต่างๆ อย่างการบริหารเงิน เวลา ความคิด ความรู้สึก ทุกอย่างเลยค่ะ
• เหมือนว่าการที่คุณแม่ป่วยครั้งนี้ก็ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับคุณแม่มากขึ้นนะ แล้วตอนนี้คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ
พายมองโลกตามความเป็นจริงมาก พายไม่สุดทางจนเกินไป การที่พายมองโลกตามความเป็นจริงมันทำให้พายเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ได้มองว่ามันดีจนเกินไป พายมีวิธีมองโลกในแง่ที่ดีกว่าเดิมซึ่งนั่นสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตของคน เราหาความสุขจากอะไรบ้าง จริงๆ ความสุขมันเรียบง่ายมากแต่คนเราจะแสวงหาสิ่งใหญ่ๆ การที่แม่ป่วยมันทำให้พายรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่หาง่ายมาก
ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยพูดว่าถ้าวันหนึ่งฉันป่วยดูแลฉันด้วยนะแม่ไม่เคยพูดแบบนั้น แม่แค่ให้ทุกอย่างเท่าที่แม่จะให้ได้แล้วพอวันหนึ่งที่แม่เป็นแบบนี้ สุดท้ายสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวพาย แล้วพายก็คิดได้ว่าฉันทิ้งคนคนนี้ไปไม่ได้ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ มันคือความผูกพัน คือเขาเป็นแม่มาก่อน เขาดูแลคนอื่นมาก่อนเขาคงรู้ว่าการดูแลคนมันเหนื่อยมากจริงๆ เราไม่เคยขึ้นไปอยู่ตำแหน่งนั้นเราได้แต่คิดว่าคนเป็นแม่มันเหนื่อยนะ แต่วันที่คุณขึ้นไปเป็นแม่หรือวันที่คุณขึ้นไปเป็นคนดูแลคนอื่นคุณจะรู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก ลืมไปเลยคำว่า “นอน” คือมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ แล้วในมุมมองคนที่เคยทำหน้าที่แม่ ยิ่งเขาช่วยตัวเองไม่ได้ความเหนื่อยนั้นมันจะเพิ่มขึ้นอีกกี่เท่า ความเข้าใจของพายกับเขาทุกวันนี้มันเลยเยียวยาซึ่งกันและกัน
ทุกวันนี้คุณแม่เป็นคนที่มีความสุขมากเลยนะ แม่ป่วยเป็นคนแรกๆ ของตระกูลเลยแต่ว่าอยู่ยืนยงมากในขณะที่น้องชายแม่หรือใครหลายๆ คนเสียไปแล้ว เขาเป็นคนป่วยที่สุขภาพจิตดีมาก เป็นคนป่วยแต่เขาสนุก เขาตลก พายรู้สึกว่านั่นก็ดีมากแล้วสำหรับพาย 3 ปี หลังแม่ก็ค่อยๆ ปรับตัวเหมือนรู้ว่าจะเป็นแบบนี้อีกนาน กลายเป็นว่าเราจูนเข้าหากันติดอย่างแนบแน่นมาก เราไม่เรียกร้องจากอีกฝ่ายจนเกินพอดี รู้จักผ่อนให้แก่กันและกัน
• จะว่าไปแล้วการดูแลคนที่คุณรักแล้วเขาก็รักคุณในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนตัวคิดเห็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ช่วงก่อนหน้านี้มันมีคนเคยถามพายเยอะมากว่าถ้าแม่ตายจะรู้สึกยังไงซึ่งพายก็บอกเขาไปว่าคงเสียใจเพราะว่าเขาคือแม่พาย แล้วพายเสียช่วงอายุวัยรุ่นทั้งหมดนี้ไปเพื่อดูแลเขาแต่สุดท้ายพายคงไม่เสียดายอะไรเลย หมายถึงพายทำทุกวันอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้แล้วมันคงไม่มีความรู้สึกว่าถ้ามองกลับมาแล้ววันนั้นเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นแบบนั้น พายคงจะก้าวต่อไปได้อย่างเบาสบาย เพราะว่าทุกวันมันไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจแล้ว
การดูแลคนป่วยเป็นเวลานานๆ มันทำให้เรามองเห็นความตายเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดแบบปกติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าวันนั้นมาถึงหรือถ้าวันนั้นผ่านพ้นไปเราจะอยู่ในแบบไหน เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรให้กับคนในครอบครัวหรือคนรอบข้างของเราบ้าง สิ่งนั้นแหละจะเป็นสิ่งที่บอกได้ในอนาคตว่าเราทำเต็มที่แล้วหรือยัง
พายว่ามันเป็นวิธีคิดที่ได้จากแม่มาเยอะ แล้ววิธีคิดตรงนั้นมันก็ส่งผลทำให้พายมาดูแลแม่จนถึงทุกวันนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะแม่เป็นซิงเกิลมัมก็ได้นะคือแม่ผนวกรวมกันเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนคนเดียวกัน สุดท้ายไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนเขาก็ไม่ได้ทิ้งพาย มันก็คงเป็นความรู้สึกเดียวกับพายตอนนี้
• คิดยังไงกับคำที่ว่าพ่อแม่ดูแลลูกหลายคนได้ แต่ลูกหลายคนดูแลพ่อแม่คนเดียวไม่ได้
มันเป็นประโยคที่จริงมากเลยค่ะ มีพี่คนหนึ่งที่พ่อเขาป่วยเป็นแบบเดียวกับแม่พายเลย แล้วมีพี่น้องหลายคนแต่เกี่ยงกันดูแลพ่อ สุดท้ายพี่คนนั้นเขาบอกกับพายว่าพี่ไม่รู้นะว่าสุดท้ายแม่พายคิดยังไง แต่ถ้าพี่เป็นแม่พายพี่จะภูมิใจมากที่อย่างน้อยแม่ดูแลเรามาแล้วลูกดูแลแม่ได้ พายก็รู้สึกว่ามันจริงๆ เลยนะคำคำนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้สนิทกันมากขึ้นก็ได้ พ่อทำงาน ลูกก็เรียน ความห่างกันมันทำให้เราไม่มีตรงนี้
เคยมีคนถามพายเหมือนกันว่าเราต้องกตัญญูจริงๆ เหรอ พายก็ตอบเขาไปว่าความกตัญญูมันอาจจะไม่ได้มีอยู่จริงเลยก็ได้ มันคือความผูกพันเป็นสิ่งที่เราได้รับมาแล้วอยากจะให้เขากลับไป แต่ว่าพอมันให้กลับไปโดยคำว่าลูกมันเลยกลายเป็นว่าความกตัญญูจริงๆ แล้วมันคือความผูกพันของคุณเอง
• พายอยากให้กำลังใจคนที่ดูแลคนป่วยเหมือนกับเรายังไงบ้าง
พายรู้สึกว่าคนเหล่านี้เก่งจริงๆ เลยนะ เวลาที่เรามองคนที่เขาดูแลคนป่วยแล้วรู้สึกว่าอดทนจังเลย แต่ถ้าวันหนึ่งคุณลองไปสลับตำแหน่งกับเขาสัก 1 ปี คุณจะรับรู้ถึงตรงนั้นอย่างแท้จริง ถ้าอยากฝากจริงๆ อยากฝากถึงคนรอบตัวมากกว่าว่าจริงๆ แล้วการให้กำลังใจคนดูแลคนป่วยเป็นสิ่งสำคัญมาก มันทำให้เขามีชีวิตที่จะเดินต่อไปได้ คุณคิดเหรอว่าคนป่วยอยากตายแล้วคนดูแลคนป่วยไม่อยากตาย ชีวิตของเขาไลฟ์สไตล์ของเขาต้องป่วยตามคนป่วยไปด้วยเพราะว่ามันถูกขังอยู่เหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นการให้กำลังใจคนดูแลคนป่วยเหมือนถูกรดน้ำทุกวันแล้วมันดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องไม่กดดัน แค่คุณเข้าใจก็พอว่าถ้าคุณมาอยู่ตรงนี้บ้างคุณอาจจะมองเรื่องนี้เปลี่ยนไปเลยก็ได้ อย่าตัดสินตรงที่ตัวเองยืนอยู่ คุณต้องเข้ามาอยู่ในนี้คุณถึงจะรู้
• ใกล้วันแม่แล้วเราอยากพูดอะไรถึงคุณแม่บ้างคะ
พายอยากทำให้แม่เป็นคนป่วยที่มีความสุขเท่าที่เขาจะเป็นไปได้ คือเขาไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องตายไปแล้วจำภาพห้องสี่เหลี่ยม เขาควรจะมีความทรงจำบางอย่างอยู่ในหัว ในใจ ก่อนที่เขาจะตาย
พายดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ แม้ว่าตอนนี้แม่จะเป็นแบบนี้ก็ตาม แต่ว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่ว่าเขาเลี้ยงพายได้ดีพอ พายไม่สามารถพูดได้ว่าฉันดีด้วยตัวของฉันเอง มันต้องมีพื้นฐานที่ดีพอมันถึงจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันก็มาจากแม่นั่นแหละ ทุกครั้งที่แม่ขอบคุณพาย พายจะบอกกับแม่ว่าแม่ต้องขอบคุณตัวเองที่ทำทุกอย่างมาให้พายสามารถเข้มแข็งได้ขนาดนี้
เรื่อง : วรัญญา งามขำ และจิราภรณ์ คงทรัพย์
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช