เพราะพลังของการเป็นวัยรุ่น เรียกได้ว่าสดใส มีชีวิตชีวา และอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ย่อมทำให้การกระทำทุกอย่างเรียกได้ว่า ใส่ไปไม่ยั้งในทุกๆ เรื่อง ทั้งกิจกรรมทั้งหลายที่ลงกำลังไปอย่างไม่มีหยุด เพื่อตอบสนองในช่วงเวลาแห่งวัยนี้ จนบางครั้งอาจจะมีเลยเถิดไปเล็กน้อยบ้าง ไปจนถึงใหญ่โตบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีการปรามจากคนรอบตัวอยู่บ้าง แต่หากเป็นเรื่อง “เพศศึกษา” ล่ะ จะทำยังไงกันดี ???

แน่นอนว่าเรื่อง “เพศศึกษา” สำหรับบ้านเราแล้ว นับเป็นปัญหาระดับชาติที่ยังแก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้น แถมมีดรามาให้เกิดขึ้นอยู่ทุกวี่วัน จนหลายๆ คน เลือกที่จะลืมๆ มันไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภาพยนตร์ไทยอย่าง “15+ ไอคิวกระฉูด” จากสหมงคลฟิล์ม กลับไม่ละเลยต่อเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่อง “เพศศึกษา” ที่เผยมุมมองแบบเกรียนๆ แต่น่ารัก และให้รับรู้ถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเข้าใจได้ทุกเพศทุกวัย โดยมีหนึ่งในนักแสดงนำอย่าง “อิงแลนด์-ลิตา จันทร์วราภา” ผู้รับบทเป็น ‘เชอร์รี่’ ขอมาเป็นตัวแทนในการเล่าถึงเพศศึกษาในปัจจุบันนี้...

• ก่อนหน้านี้ เรามีความสนใจเกี่ยวกับวงการบันเทิงบ้างมั้ยครับ
ยังเลยค่ะ ตอนแรกหนูอยากเป็นนักข่าว เพราะว่าเป็นงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน ประเภทพิธีกร ประมาณนั้น แต่เราก็เริ่มมาแคสต์งานโฆษณาก่อน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการ ก็เป็นช่วงอายุ 14 ซึ่งตอนนั้นก็ยังเด็กมาก ก็จะแคสต์งานเป็นวัยเด็ก แล้วก็จะได้เล่นกับผู้ใหญ่เยอะ เราก็ต้องปรับตัวเยอะ ซึ่งมาทำงานครั้งแรกสุดก็ถือว่าตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่พอลองทำแล้ว เรารู้สึกที่จะสนุก ชอบและใช่ด้วย คือเหมือนเราชอบทำและสนุกดี แต่ถามว่าชอบเลยหรือเปล่า ก็ยังนะคะ เพราะว่าเรายังเด็กมาก แต่รู้ว่าทำแล้วสนุกมาก แล้วพอได้กลับมาทำอีกครั้ง ในตอนที่เราเป็นวัยรุ่น ตรงนั้นคือเหมือนกับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งเลยมากกว่า
• ในตอนที่ทำงานโฆษณาชิ้นแรก เราได้เห็นการทำงานอะไรยังไงบ้างครับ
ก็ต้องเริ่มตั้งแต่เราต้องรอคิวแคสต์งาน มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย จากนั้นก็เห็นถึงความยากของการถ่ายทำ เราก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จากพี่ๆ เขาเยอะเหมือนกัน หนูว่ามันต่างจากที่เราเห็นในหน้าจอมากเลยนะ อย่างเบื้องหน้าเราเห็นว่ามันอยู่แค่นี้ใช่มั้ย แต่เบื้องหลังนี่คือวุ่นวายมาก แล้วพอภาพมันออกมาแล้วมันสวย มันก็จะแตกต่างกันเยอะเลย ซึ่งมันก็ต่างจากที่เราจินตนาการตอนเด็กๆ อยู่เยอะเลยนะ คือตอนนั้นเราจะคิดว่ามันต้องสวยงามมากเลย เราต้องสบาย ดูมีความชิล เห็นดารานั่งสวยๆ ชิลๆ กัน แต่พอมาลองทำจริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ยากเอาเรื่อง ซึ่งผลงานชิ้นแรกเป็นโฆษณาห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่งค่ะ ก็จะเป็นแบบเดินไปเลือกของ ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งการทำงานในตอนนั้น ก็สนุกค่ะ แต่ตอนนั้นเหมือนกับว่า เรายังไม่คิดอะไรเยอะไง ทำงานด้วยความสนุกอย่างเดียว เวลาไปกอง ก็เหมือนไปเล่นตามประสาเด็ก แต่พอถ่ายทำปุ๊บ เราก็จริงจัง พอหลังจากงานเผยแพร่ไป เราก็ดีใจมากนะ แต่เห็นแค่แป๊บเดียวเอง เพราะชิ้นนั้นมันจะประมาณ 15 วินาทีเอง นอกนั้นก็เห็นสินค้า เราก็จะตื่นเต้นมาก คุณพ่อนี่คือตื่นเต้นมาก

• พอเริ่มถ่ายโฆษณามาเรื่อยๆ เราได้รับรู้ในการทำงานโฆษณาในแต่ละตัวเป็นยังไงบ้างครับ
งานโฆษณา เหมือนกับว่าก็จะเจอกันแค่ช่วงสั้นๆ เนอะ มี fitting มีบรีฟงาน แล้วก็ถ่าย แล้วการแสดง acting ก็จะแตกต่างจากหนังนิดนึง อาจจะมีการโอเวอร์ไปบ้าง เพื่อขายสินค้า แต่ก็สนุก อาจจะต้องมีศึกษาสินค้าในแต่ละชิ้นบ้าง เช่นว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ายี่ห้อนี้เป็นยี่ห้ออะไร มาจากไหน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบว่า เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ซึ่งทางคุณพ่อคุณแม่ก็จะมีการสกรีนงานนิดนึง เพราะตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่อง แม้ว่ามาถึงปัจจุบันแล้ว ท่านก็ยังทำอย่างงั้นอยู่ ซึ่งท่านก็คอยบอกเราอยู่บ้างนะคะว่า อันนี้เล่นยังไง ถ้าใส่วับๆ แวมๆ ก็ไม่เอานะ แต่ปกติเขาก็อนุญาต หลังจากนั้นก็รับงานโฆษณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปประมาณ 3 ปี แล้วก็เพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้เองค่ะ
• แน่นอนว่าพอเรากลับมารับงานอีกครั้ง ก็ทำให้วุฒิภาวะเราก็เติบโตตามไปด้วย
ใช่ค่ะ ด้วยความที่เรากลับมาตอนอายุ 17 ในส่วนช่วง 3 ปีที่หายไป มันก็จะได้ความคิดแบบว่า แม่ไม่อยากเหนื่อย ซึ่งแต่ก่อนมันจะเป็นอย่างงั้น แต่ตอนนี้เราจะประมาณว่า รู้ในการทำงานมากขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น รู้ว่านี่คือการทำงานนะ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่มาเพื่อสนุก แล้วก็มีเหนื่อยบ้าง แต่เราก็รู้แล้วว่ามันคืองาน มองในมุมหนึ่ง ถือว่าเป็นพลังวัยรุ่นเหมือนกันนะ เวลาเราทำงานรู้สึกว่ามีความกระตือรือร้นมากเลย (หัวเราะ) ลุยเลยคะพี่ สู้ตาย ซึ่งค่อนข้างสนุกกับงานพอสมควร ทำแล้วมีความสุข ก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ในเรื่องวุฒิภาวะ เราจะได้เพิ่มในส่วนของการแยกแยะมากกว่า เพราะว่าเราก็มีหน้าที่เรียนด้วย ซึ่งอย่างที่เราไปทำงานพอขาดไปหลายวัน เราก็ต้องไปตามว่า เราขาดในส่วนวิชานี้ แล้วเราก็ต้องทำ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน แต่พอมาถึงกองเราก็ต้องตัดเรื่องเรียนออก ไม่ใช่ว่าถ่ายอยู่แล้วคิดกังวลเรื่องเรียน ซึ่งมันก็ไม่ได้ ก็ต้องทุ่มเทกับตรงนี้ เสร็จแล้วกลับไปดูแลงานและการบ้านของเราต่อ อย่างบางทีเราก็มีฝากเพื่อนช่วยจดบ้าง หรือบอกอาจารย์ก่อนไปทำงานว่าไปลาเรียนก่อน แต่จะมีปัญหาตอนสอบ ซึ่งเราก็ต้องคุยกับครูให้เข้าใจว่าไปทำงาน แล้วจะส่งงานทีหลัง ซึ่งครูก็เข้าใจ เพราะโรงเรียนหนูจะเป็นในหลักสูตร EP. แล้วพอเราไปทำงานข้างนอก เขาก็เข้าใจและอนุญาต

• ทีนี้พอเรามาเล่นหนังเรื่องแรกแล้ว การทำงานในส่วนนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายที่หินมั้ย
หินค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ หนูได้เล่นซีรีส์แค่เรื่องเดียว แต่หนังนี่คือเยอะพอสมควร อย่างเช่น ตรงฉากบู๊ค่ะ หนูก็กลับไปซ้อมฉากนี้ทุกวัน เพราะว่าเราก็กระโดดไม่เก่ง บางทีก็ไปซ้อมที่โรงเรียนบ้าง เพื่อนที่โรงเรียนจะรู้เลย ว่าเราซ้อมในแบบต่างๆ แล้วมันก็ไปอยู่ในหนัง หรืออย่างเรื่อง acting ก็จะมีไปเรียนคลาสกับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ เราก็ไปเรียนพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นการเรียนการแสดงครั้งแรกของหนู แต่ก็จะเป็นในลักษณะที่ให้ทุกคนรู้จักกัน และละลายพฤติกรรม จะเรียกว่างานจริงจังครั้งแรกเลย
• เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ คนอื่น เรารู้สึกว่าท้าทายด้วยมั้ย
ใช่ค่ะ ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรกของเราด้วย มาถึงก็มีน้องยอร์ช (ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์) หรือ น้องพลอย (ศรนรินทร์) ที่เขามีประสบการณ์การแสดงมาก่อนเรา ก็คิดว่ามันจะเสียเวลาทำงานของเขามั้ย แต่ตอนที่เรามาละลายพฤติกรรมกัน เราก็สามารถเข้ากันได้ดีค่ะ แล้วเหมือนสนิทกันไปเลย ทั้งในและนอกจอ แล้วเวลาถ่ายทำเราก็เป็นกันเองมาก แล้วพี่ป้อ (ณภัทร จิตวีรภัทร : หนึ่งในผู้กำกับการแสดง) ก็จะอยู่ในช่วงละลายพฤติกรรมตลอด มันก็เลยอบอุ่นและชินไปแล้ว อย่างบางฉากที่เราคิดว่าทำไม่ได้ ก็จะมีพี่ป้อเข้ามาช่วย ก็จะบอกให้ลองใหม่ๆ หรืออย่างพลอยก็จะช่วยแนะนำ เพราะอยู่ด้วยกันตลอด แต่ส่วนที่ยากในระหว่างการถ่ายทำ อาจจะมีนิดนึง ตรงฉากที่เตะยอร์ช ที่ขึ้นไปบนบล็อก แล้วเราไม่มั่นใจในการยืนเท่าไหร่ เพราะว่ามันซ้อมกับพื้น แต่ตอนไปเล่นก็ไปยืนบนนั้น มันจะมีการแกว่งๆ อยู่ กว่าจะผ่านได้ก็ใช้ไปหลายเทกเหมือนกัน จนเรากังวลว่ายอร์ชจะเจ็บหรือเปล่า สงสารน้องอยู่เหมือนกัน แต่ถามว่าฉากไหนที่ยากที่สุด คงจะเป็นฉากจูบมากกว่า เพราะซีนแบบนี้คือครั้งแรกที่ทำงานมาเลย แม้ว่าจะเป็นมุมกล้องก็ตาม เพราะเหมือนเรายังทำไม่ได้ จนพี่เขาก็ช่วยบรีฟให้ผ่านไปได้ นานเหมือนกันค่ะ ประมาณ 10 กว่าเทกได้ แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่พอมาถึงหน้าฉากหนูก็มีความตื่นเต้นอยู่นะ แต่เราก็พยายามดึงสติกลับมาจนผ่านไปได้ ซึ่งบางฉากนี่คือเกร็งไปในตอนถ่ายเลยก็มี ไม่ขยับเลย แข็งไปก็มี (หัวเราะเบาๆ)

• พอปิดกล้องแล้ว เราได้แนวคิดอะไรจากการทำงานของหนังเรื่องนี้บ้างครับ
ตอนแรกเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการถ่ายหนังเลย ก็เพิ่งมาได้ประสบการณ์ครั้งนี้ แล้วก็ได้ไอเดียจากเพื่อนๆ หรือวิธีการทำงาน บางทีอาจจะไม่ถูกต้อง เราก็เรียนรู้กับเพื่อนๆ และประสบการณ์ทำงานกับพี่ๆ เขา อย่างเวลาทำงานกับเพื่อนๆ เช่นว่า บางทีแอกติ้งตรงนี้มันไม่ถูกจุด ยังไม่ใช่ความรู้สึกของตัวละครนั้น เราเอาความรู้สึกอื่นมาใส่ พี่ป้อก็มาช่วยว่า มันจะเป็นแบบนี้นะ ตัวละครจะรู้สึกยังไง ประมาณนี้ค่ะ อีกอย่าง เหมือนเป็นความทรงจำดีๆ เลยค่ะ สนุกมาก ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเรา สำหรับหนูคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของเรา สำหรับคนอื่นอาจจะธรรมดา แต่สำหรับหนูก็รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับหนังเรื่องนี้
• เรามองเรื่องเพศศึกษาจากที่เราประสบอยู่และโดยรวมยังไงบ้างครับ
เรื่องเพศศึกษานี่คือคนไทยจะไม่ค่อยเอามาสอนเป็นจริงจังเท่าไหร่นะคะ วิชาเพศศึกษามันไม่มีนะ จะมีแต่พลศึกษา วิชาเพศศึกษาจะมีแค่ไปสอดแทรกในวิชาสุขศึกษาอีกที คือเหมือนเขาสอนแค่นิดเดียว ไม่ได้ลงลึกจริงจังขนาดนั้น แล้วตอนเรียนก็ไม่มีใครสนใจมาก ก็จะเป็นแบบเรียนผ่านๆ ไป ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ ซึ่งจะแตกต่างจากต่างประเทศ ที่เขาสอนอย่างจริงจังเลย ถ้าขาดคาบนึงก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วด้วยที่หลักสูตรเขาแทบไม่มีให้ และเราไม่รู้อะไรเลย แต่สมัยนี้เทคโนโลยีกว้างไกล เพื่อนผู้ชายของหนู ก็จะเอาหนังอย่างว่ามาเปิดในโรงเรียนเลย ซึ่งจะต่างจากเพื่อนผู้หญิงที่ถ้าไม่สนใจก็จะไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะคนที่มีลุคใสๆ นี่คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งถ้ามีปัญหานี่คือรับมือลำบาก

• มองในมุมหนี่ง ถือว่าเป็นการสะท้อนถึงการเรียนเพศศึกษาในบ้านเราพอสมควร
ก็สะท้อนอยู่นะคะ เพราะว่าถ้าเรามีการสอนในเรื่องเพศศึกษามากกว่านี้ การท้องก่อนแต่งก็อาจจะน้อยลง เพราะเราจะได้รู้วิธีป้องกันว่าทำอย่างงี้นะ หรือหากเราทำอะไรก็ตาม วิธีนี้มันไม่ควรนะ ซึ่งถ้าเราได้เรียน คนก็จะรู้มากกว่า อย่างบางที เพื่อนๆ ที่ไปรับรู้จากภายนอกมาก่อน อาจจะเป็นผลดีตรงที่ว่า เขาได้รับรู้ว่าตรงนี้คืออะไร แต่ถ้าในแง่ผลเสียก็คือ ถ้าเขารู้มาแล้วไม่ได้รู้วิธีป้องกันหรือถูกต้อง หรือไปเรียนรู้จากในเน็ตบ้าง ซึ่งในนั้นอาจจะไม่ได้สอนที่ถูกต้องนัก ว่าข้อดีข้อเสียมันคืออะไร อาจจะคิดได้แค่ว่าสนุกอย่างเดียว คือพวกเขาอาจจะมองในมุมนี้อย่างเดียว ซึ่งตรงนี้สำคัญ แล้วถ้าไม่ได้เรียนรู้มากพอ อาจจะไปทำให้คนอื่นท้องได้
• แน่นอนว่า ข่าวที่เกิดขึ้นทุกวัน ในเรื่องการฆ่ากันเพราะเรื่องเพศ ในมุมเรามันสะท้อนอะไรบ้าง
ก็สะท้อนเหมือนกันนะคะ บางคนที่เขาไม่รู้ตัวเอง แล้วเขาไปทำและเขาคิดว่ามันถูก พอเขาทำไปเสร็จปุ๊บ แล้วเพิ่งมารู้ว่าตัวเองผิดในตอนท้าย แล้วไปฆ่าเขา กลายเป็นว่าเป็นคนทำผิดในเรื่องเพศ แล้วกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เป็นฆาตกรไปเลย ซึ่งถ้าเขาได้เรียนรู้ว่า หากได้กระทำไปแล้ว จะมีความผิดอย่างงี้ๆ นะ เขาจะได้รู้ตัวเอง อย่างเช่นการข่มขืน ก็มีโทษทางกฎหมายแล้ว ซึ่งถ้ามีการเรียนการสอนอย่างจริงจัง ก็จะไม่มีปัญหา ถ้ามีการเรียนการสอนตั้งแต่เด็กๆ จนรุ่นโตกว่าก็จะไม่มีปัญหา

• เมื่อเทียบกับบ้านเมืองอื่น อย่างญี่ปุ่น ที่มีอุตสาหกรรมหนังอย่างว่า แต่แทบไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย กลับกันแล้วบ้านเราที่มีคดีเหล่านี้ต่างๆ มากมาย คิดว่ามันมาจากอะไร
หนูว่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยนะ พ่อแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยนะ ซึ่งถ้าพ่อแม่มีการอบรมลูกและสอนว่าให้เกียรติผู้หญิง หรือสอนเรื่องเพศศึกษา คือผู้ปกครองเหมือนเขาเป็นบุคคลที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าได้บอกลูกๆ ก็จะเกิดความเข้าใจกัน แต่ถ้ายิ่งปิดลูก ลูกก็อยากไปรู้จากข้างนอก ซึ่งที่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางบ้านเขาก็จะชอบบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ซึ่งอาจจะสร้างผลเสียต่อเด็กได้ เราน่าจะได้คุยกันจะดีกว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าเกลียดอะไร อย่างผู้หญิงก็น่าจะคุยกับแม่ ผู้ชายก็คุยกับพ่อ แบบไม่ต้องเขินกัน และให้ผู้ใหญ่ช่วยตัดสินใจ ว่าวิธีการเป็นอย่างงี้นะ จะได้สอนกัน
• แต่บางคนก็ชอบบอกว่า ปัญหาเรื่องเพศในบ้านเรา เขาก็จะชอบโทษสื่อทั่วไปว่าเป็นต้นเหตุ ตรงนี้เรามองยังไงครับ
จริงๆ ถ้ามันเป็นหนังที่มีเนื้อหาปกติของหนังแต่ละเรื่องนะ อยู่ที่ตัวคนมองว่าจะมองยังไง บางเรื่องอาจจะสอนเราในทางอ้อมก็ได้ อย่างบางเรื่องที่มีฉากที่ผู้หญิงไปเดินที่เปลี่ยวคนเดียว แล้วโดนข่มขืน มันก็อาจจะสอนว่า กลางคืนอย่าไปเดินเปลี่ยวๆ คนเดียว มันแล้วแต่คนมองมากกว่า จะมีผลสะท้อนตรงสอนเรา ถ้าคนดูคิดนิดนึงว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรเรา ไม่ใช่ไปดูแค่ฉากอย่างนั้นอย่างเดียว หนูว่าตัวสื่อมันก็เป็นตัวสอนมากกว่า อย่างหนังเรื่องนี้ก็สอนเยอะเหมือนกัน

• พอเราทำงานและเรียนไปสักพักนึง เราเริ่มวางอนาคตตรงนี้ยังไง
ก็มีวางไว้นิดนึงค่ะ ตอนนี้หนูอยู่ ม.6 แล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเข้ามหา'ลัย โดยส่วนตัว อยากเรียนอักษรฯ สาขาการแสดง หรือภาษาอังกฤษ ก็ดูอยู่ว่าเราจะเอาอันไหนดี คือเลือกเยอะไงคะ ก็ดูๆ อยู่ แต่ความคาดหวังของเราคือ อยากจะทำงานในวงการบันเทิงต่อไป จะมาทางสายนี้เลย หรืออีกทางหนึ่ง จะลองเรียนด้านภาษา แต่ว่าก็ยังทำงานในวงการอยู่ หรือว่าจะเรียนไปทางนั้นเลย กำลังคิดอยู่ว่าจะยังไงต่อดี ส่วนงานในวงการก็คิดว่าอยากจะทำงานในวงการไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ยังลังเลอยู่ เพราะว่าด้วยเรามีชื่อว่าอิงแลนด์ด้วย เราก็มีความชอบและอยากเรียนภาษาอังกฤษ แต่ที่ชอบก็คือการแสดง มี 2 อย่างที่ชอบในชีวิต ยังเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังอยากที่จะทำงานในวงการต่อไป
• คิดว่าเราคาดหวังทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องเรียนในอนาคตข้างหน้ายังไงบ้างครับ
ก็คาดหวังว่าจะได้ทำงานในวงการต่อไป และมีงานมาเรื่อยๆ เนอะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องเรียน ก็มีเป้าหมายเดียวคือสอบให้ติดมหา'ลัยก่อน เพราะอยู่ ม.6 แล้ว มีจุดมุ่งหมายที่จะต้องสอบเข้าให้ติดให้ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน (ยิ้ม) ซึ่งช่วงนี้ก็ถือว่าหนักสำหรับหนูเลย กลับมาบ้านหลังจากทำงานเสร็จก็อ่านหนังสือต่อ บางทีพ่อก็มาถามเราเหมือนกันว่าเหนื่อยมั้ย หนูก็ตอบว่าไม่เหนื่อย ซึ่งถ้าเราสอบติดได้ ก็จะทำให้มีความภูมิใจกับพวกเขาด้วย แต่ก็มีบ้างที่ท้อเหมือนกัน แต่พอดึงสติกลับมาก็คือมุ่งหน้าอ่านหนังสือต่อ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
แน่นอนว่าเรื่อง “เพศศึกษา” สำหรับบ้านเราแล้ว นับเป็นปัญหาระดับชาติที่ยังแก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้น แถมมีดรามาให้เกิดขึ้นอยู่ทุกวี่วัน จนหลายๆ คน เลือกที่จะลืมๆ มันไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภาพยนตร์ไทยอย่าง “15+ ไอคิวกระฉูด” จากสหมงคลฟิล์ม กลับไม่ละเลยต่อเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่อง “เพศศึกษา” ที่เผยมุมมองแบบเกรียนๆ แต่น่ารัก และให้รับรู้ถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเข้าใจได้ทุกเพศทุกวัย โดยมีหนึ่งในนักแสดงนำอย่าง “อิงแลนด์-ลิตา จันทร์วราภา” ผู้รับบทเป็น ‘เชอร์รี่’ ขอมาเป็นตัวแทนในการเล่าถึงเพศศึกษาในปัจจุบันนี้...
• ก่อนหน้านี้ เรามีความสนใจเกี่ยวกับวงการบันเทิงบ้างมั้ยครับ
ยังเลยค่ะ ตอนแรกหนูอยากเป็นนักข่าว เพราะว่าเป็นงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน ประเภทพิธีกร ประมาณนั้น แต่เราก็เริ่มมาแคสต์งานโฆษณาก่อน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการ ก็เป็นช่วงอายุ 14 ซึ่งตอนนั้นก็ยังเด็กมาก ก็จะแคสต์งานเป็นวัยเด็ก แล้วก็จะได้เล่นกับผู้ใหญ่เยอะ เราก็ต้องปรับตัวเยอะ ซึ่งมาทำงานครั้งแรกสุดก็ถือว่าตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่พอลองทำแล้ว เรารู้สึกที่จะสนุก ชอบและใช่ด้วย คือเหมือนเราชอบทำและสนุกดี แต่ถามว่าชอบเลยหรือเปล่า ก็ยังนะคะ เพราะว่าเรายังเด็กมาก แต่รู้ว่าทำแล้วสนุกมาก แล้วพอได้กลับมาทำอีกครั้ง ในตอนที่เราเป็นวัยรุ่น ตรงนั้นคือเหมือนกับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งเลยมากกว่า
• ในตอนที่ทำงานโฆษณาชิ้นแรก เราได้เห็นการทำงานอะไรยังไงบ้างครับ
ก็ต้องเริ่มตั้งแต่เราต้องรอคิวแคสต์งาน มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย จากนั้นก็เห็นถึงความยากของการถ่ายทำ เราก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จากพี่ๆ เขาเยอะเหมือนกัน หนูว่ามันต่างจากที่เราเห็นในหน้าจอมากเลยนะ อย่างเบื้องหน้าเราเห็นว่ามันอยู่แค่นี้ใช่มั้ย แต่เบื้องหลังนี่คือวุ่นวายมาก แล้วพอภาพมันออกมาแล้วมันสวย มันก็จะแตกต่างกันเยอะเลย ซึ่งมันก็ต่างจากที่เราจินตนาการตอนเด็กๆ อยู่เยอะเลยนะ คือตอนนั้นเราจะคิดว่ามันต้องสวยงามมากเลย เราต้องสบาย ดูมีความชิล เห็นดารานั่งสวยๆ ชิลๆ กัน แต่พอมาลองทำจริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ยากเอาเรื่อง ซึ่งผลงานชิ้นแรกเป็นโฆษณาห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่งค่ะ ก็จะเป็นแบบเดินไปเลือกของ ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งการทำงานในตอนนั้น ก็สนุกค่ะ แต่ตอนนั้นเหมือนกับว่า เรายังไม่คิดอะไรเยอะไง ทำงานด้วยความสนุกอย่างเดียว เวลาไปกอง ก็เหมือนไปเล่นตามประสาเด็ก แต่พอถ่ายทำปุ๊บ เราก็จริงจัง พอหลังจากงานเผยแพร่ไป เราก็ดีใจมากนะ แต่เห็นแค่แป๊บเดียวเอง เพราะชิ้นนั้นมันจะประมาณ 15 วินาทีเอง นอกนั้นก็เห็นสินค้า เราก็จะตื่นเต้นมาก คุณพ่อนี่คือตื่นเต้นมาก
• พอเริ่มถ่ายโฆษณามาเรื่อยๆ เราได้รับรู้ในการทำงานโฆษณาในแต่ละตัวเป็นยังไงบ้างครับ
งานโฆษณา เหมือนกับว่าก็จะเจอกันแค่ช่วงสั้นๆ เนอะ มี fitting มีบรีฟงาน แล้วก็ถ่าย แล้วการแสดง acting ก็จะแตกต่างจากหนังนิดนึง อาจจะมีการโอเวอร์ไปบ้าง เพื่อขายสินค้า แต่ก็สนุก อาจจะต้องมีศึกษาสินค้าในแต่ละชิ้นบ้าง เช่นว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ายี่ห้อนี้เป็นยี่ห้ออะไร มาจากไหน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบว่า เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ซึ่งทางคุณพ่อคุณแม่ก็จะมีการสกรีนงานนิดนึง เพราะตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่อง แม้ว่ามาถึงปัจจุบันแล้ว ท่านก็ยังทำอย่างงั้นอยู่ ซึ่งท่านก็คอยบอกเราอยู่บ้างนะคะว่า อันนี้เล่นยังไง ถ้าใส่วับๆ แวมๆ ก็ไม่เอานะ แต่ปกติเขาก็อนุญาต หลังจากนั้นก็รับงานโฆษณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปประมาณ 3 ปี แล้วก็เพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้เองค่ะ
• แน่นอนว่าพอเรากลับมารับงานอีกครั้ง ก็ทำให้วุฒิภาวะเราก็เติบโตตามไปด้วย
ใช่ค่ะ ด้วยความที่เรากลับมาตอนอายุ 17 ในส่วนช่วง 3 ปีที่หายไป มันก็จะได้ความคิดแบบว่า แม่ไม่อยากเหนื่อย ซึ่งแต่ก่อนมันจะเป็นอย่างงั้น แต่ตอนนี้เราจะประมาณว่า รู้ในการทำงานมากขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น รู้ว่านี่คือการทำงานนะ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่มาเพื่อสนุก แล้วก็มีเหนื่อยบ้าง แต่เราก็รู้แล้วว่ามันคืองาน มองในมุมหนึ่ง ถือว่าเป็นพลังวัยรุ่นเหมือนกันนะ เวลาเราทำงานรู้สึกว่ามีความกระตือรือร้นมากเลย (หัวเราะ) ลุยเลยคะพี่ สู้ตาย ซึ่งค่อนข้างสนุกกับงานพอสมควร ทำแล้วมีความสุข ก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ในเรื่องวุฒิภาวะ เราจะได้เพิ่มในส่วนของการแยกแยะมากกว่า เพราะว่าเราก็มีหน้าที่เรียนด้วย ซึ่งอย่างที่เราไปทำงานพอขาดไปหลายวัน เราก็ต้องไปตามว่า เราขาดในส่วนวิชานี้ แล้วเราก็ต้องทำ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน แต่พอมาถึงกองเราก็ต้องตัดเรื่องเรียนออก ไม่ใช่ว่าถ่ายอยู่แล้วคิดกังวลเรื่องเรียน ซึ่งมันก็ไม่ได้ ก็ต้องทุ่มเทกับตรงนี้ เสร็จแล้วกลับไปดูแลงานและการบ้านของเราต่อ อย่างบางทีเราก็มีฝากเพื่อนช่วยจดบ้าง หรือบอกอาจารย์ก่อนไปทำงานว่าไปลาเรียนก่อน แต่จะมีปัญหาตอนสอบ ซึ่งเราก็ต้องคุยกับครูให้เข้าใจว่าไปทำงาน แล้วจะส่งงานทีหลัง ซึ่งครูก็เข้าใจ เพราะโรงเรียนหนูจะเป็นในหลักสูตร EP. แล้วพอเราไปทำงานข้างนอก เขาก็เข้าใจและอนุญาต
• ทีนี้พอเรามาเล่นหนังเรื่องแรกแล้ว การทำงานในส่วนนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายที่หินมั้ย
หินค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ หนูได้เล่นซีรีส์แค่เรื่องเดียว แต่หนังนี่คือเยอะพอสมควร อย่างเช่น ตรงฉากบู๊ค่ะ หนูก็กลับไปซ้อมฉากนี้ทุกวัน เพราะว่าเราก็กระโดดไม่เก่ง บางทีก็ไปซ้อมที่โรงเรียนบ้าง เพื่อนที่โรงเรียนจะรู้เลย ว่าเราซ้อมในแบบต่างๆ แล้วมันก็ไปอยู่ในหนัง หรืออย่างเรื่อง acting ก็จะมีไปเรียนคลาสกับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ เราก็ไปเรียนพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นการเรียนการแสดงครั้งแรกของหนู แต่ก็จะเป็นในลักษณะที่ให้ทุกคนรู้จักกัน และละลายพฤติกรรม จะเรียกว่างานจริงจังครั้งแรกเลย
• เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ คนอื่น เรารู้สึกว่าท้าทายด้วยมั้ย
ใช่ค่ะ ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรกของเราด้วย มาถึงก็มีน้องยอร์ช (ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์) หรือ น้องพลอย (ศรนรินทร์) ที่เขามีประสบการณ์การแสดงมาก่อนเรา ก็คิดว่ามันจะเสียเวลาทำงานของเขามั้ย แต่ตอนที่เรามาละลายพฤติกรรมกัน เราก็สามารถเข้ากันได้ดีค่ะ แล้วเหมือนสนิทกันไปเลย ทั้งในและนอกจอ แล้วเวลาถ่ายทำเราก็เป็นกันเองมาก แล้วพี่ป้อ (ณภัทร จิตวีรภัทร : หนึ่งในผู้กำกับการแสดง) ก็จะอยู่ในช่วงละลายพฤติกรรมตลอด มันก็เลยอบอุ่นและชินไปแล้ว อย่างบางฉากที่เราคิดว่าทำไม่ได้ ก็จะมีพี่ป้อเข้ามาช่วย ก็จะบอกให้ลองใหม่ๆ หรืออย่างพลอยก็จะช่วยแนะนำ เพราะอยู่ด้วยกันตลอด แต่ส่วนที่ยากในระหว่างการถ่ายทำ อาจจะมีนิดนึง ตรงฉากที่เตะยอร์ช ที่ขึ้นไปบนบล็อก แล้วเราไม่มั่นใจในการยืนเท่าไหร่ เพราะว่ามันซ้อมกับพื้น แต่ตอนไปเล่นก็ไปยืนบนนั้น มันจะมีการแกว่งๆ อยู่ กว่าจะผ่านได้ก็ใช้ไปหลายเทกเหมือนกัน จนเรากังวลว่ายอร์ชจะเจ็บหรือเปล่า สงสารน้องอยู่เหมือนกัน แต่ถามว่าฉากไหนที่ยากที่สุด คงจะเป็นฉากจูบมากกว่า เพราะซีนแบบนี้คือครั้งแรกที่ทำงานมาเลย แม้ว่าจะเป็นมุมกล้องก็ตาม เพราะเหมือนเรายังทำไม่ได้ จนพี่เขาก็ช่วยบรีฟให้ผ่านไปได้ นานเหมือนกันค่ะ ประมาณ 10 กว่าเทกได้ แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่พอมาถึงหน้าฉากหนูก็มีความตื่นเต้นอยู่นะ แต่เราก็พยายามดึงสติกลับมาจนผ่านไปได้ ซึ่งบางฉากนี่คือเกร็งไปในตอนถ่ายเลยก็มี ไม่ขยับเลย แข็งไปก็มี (หัวเราะเบาๆ)
• พอปิดกล้องแล้ว เราได้แนวคิดอะไรจากการทำงานของหนังเรื่องนี้บ้างครับ
ตอนแรกเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการถ่ายหนังเลย ก็เพิ่งมาได้ประสบการณ์ครั้งนี้ แล้วก็ได้ไอเดียจากเพื่อนๆ หรือวิธีการทำงาน บางทีอาจจะไม่ถูกต้อง เราก็เรียนรู้กับเพื่อนๆ และประสบการณ์ทำงานกับพี่ๆ เขา อย่างเวลาทำงานกับเพื่อนๆ เช่นว่า บางทีแอกติ้งตรงนี้มันไม่ถูกจุด ยังไม่ใช่ความรู้สึกของตัวละครนั้น เราเอาความรู้สึกอื่นมาใส่ พี่ป้อก็มาช่วยว่า มันจะเป็นแบบนี้นะ ตัวละครจะรู้สึกยังไง ประมาณนี้ค่ะ อีกอย่าง เหมือนเป็นความทรงจำดีๆ เลยค่ะ สนุกมาก ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเรา สำหรับหนูคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของเรา สำหรับคนอื่นอาจจะธรรมดา แต่สำหรับหนูก็รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับหนังเรื่องนี้
• เรามองเรื่องเพศศึกษาจากที่เราประสบอยู่และโดยรวมยังไงบ้างครับ
เรื่องเพศศึกษานี่คือคนไทยจะไม่ค่อยเอามาสอนเป็นจริงจังเท่าไหร่นะคะ วิชาเพศศึกษามันไม่มีนะ จะมีแต่พลศึกษา วิชาเพศศึกษาจะมีแค่ไปสอดแทรกในวิชาสุขศึกษาอีกที คือเหมือนเขาสอนแค่นิดเดียว ไม่ได้ลงลึกจริงจังขนาดนั้น แล้วตอนเรียนก็ไม่มีใครสนใจมาก ก็จะเป็นแบบเรียนผ่านๆ ไป ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ ซึ่งจะแตกต่างจากต่างประเทศ ที่เขาสอนอย่างจริงจังเลย ถ้าขาดคาบนึงก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วด้วยที่หลักสูตรเขาแทบไม่มีให้ และเราไม่รู้อะไรเลย แต่สมัยนี้เทคโนโลยีกว้างไกล เพื่อนผู้ชายของหนู ก็จะเอาหนังอย่างว่ามาเปิดในโรงเรียนเลย ซึ่งจะต่างจากเพื่อนผู้หญิงที่ถ้าไม่สนใจก็จะไม่รู้เรื่องเลย โดยเฉพาะคนที่มีลุคใสๆ นี่คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งถ้ามีปัญหานี่คือรับมือลำบาก
• มองในมุมหนี่ง ถือว่าเป็นการสะท้อนถึงการเรียนเพศศึกษาในบ้านเราพอสมควร
ก็สะท้อนอยู่นะคะ เพราะว่าถ้าเรามีการสอนในเรื่องเพศศึกษามากกว่านี้ การท้องก่อนแต่งก็อาจจะน้อยลง เพราะเราจะได้รู้วิธีป้องกันว่าทำอย่างงี้นะ หรือหากเราทำอะไรก็ตาม วิธีนี้มันไม่ควรนะ ซึ่งถ้าเราได้เรียน คนก็จะรู้มากกว่า อย่างบางที เพื่อนๆ ที่ไปรับรู้จากภายนอกมาก่อน อาจจะเป็นผลดีตรงที่ว่า เขาได้รับรู้ว่าตรงนี้คืออะไร แต่ถ้าในแง่ผลเสียก็คือ ถ้าเขารู้มาแล้วไม่ได้รู้วิธีป้องกันหรือถูกต้อง หรือไปเรียนรู้จากในเน็ตบ้าง ซึ่งในนั้นอาจจะไม่ได้สอนที่ถูกต้องนัก ว่าข้อดีข้อเสียมันคืออะไร อาจจะคิดได้แค่ว่าสนุกอย่างเดียว คือพวกเขาอาจจะมองในมุมนี้อย่างเดียว ซึ่งตรงนี้สำคัญ แล้วถ้าไม่ได้เรียนรู้มากพอ อาจจะไปทำให้คนอื่นท้องได้
• แน่นอนว่า ข่าวที่เกิดขึ้นทุกวัน ในเรื่องการฆ่ากันเพราะเรื่องเพศ ในมุมเรามันสะท้อนอะไรบ้าง
ก็สะท้อนเหมือนกันนะคะ บางคนที่เขาไม่รู้ตัวเอง แล้วเขาไปทำและเขาคิดว่ามันถูก พอเขาทำไปเสร็จปุ๊บ แล้วเพิ่งมารู้ว่าตัวเองผิดในตอนท้าย แล้วไปฆ่าเขา กลายเป็นว่าเป็นคนทำผิดในเรื่องเพศ แล้วกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เป็นฆาตกรไปเลย ซึ่งถ้าเขาได้เรียนรู้ว่า หากได้กระทำไปแล้ว จะมีความผิดอย่างงี้ๆ นะ เขาจะได้รู้ตัวเอง อย่างเช่นการข่มขืน ก็มีโทษทางกฎหมายแล้ว ซึ่งถ้ามีการเรียนการสอนอย่างจริงจัง ก็จะไม่มีปัญหา ถ้ามีการเรียนการสอนตั้งแต่เด็กๆ จนรุ่นโตกว่าก็จะไม่มีปัญหา
• เมื่อเทียบกับบ้านเมืองอื่น อย่างญี่ปุ่น ที่มีอุตสาหกรรมหนังอย่างว่า แต่แทบไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย กลับกันแล้วบ้านเราที่มีคดีเหล่านี้ต่างๆ มากมาย คิดว่ามันมาจากอะไร
หนูว่ามันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยนะ พ่อแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยนะ ซึ่งถ้าพ่อแม่มีการอบรมลูกและสอนว่าให้เกียรติผู้หญิง หรือสอนเรื่องเพศศึกษา คือผู้ปกครองเหมือนเขาเป็นบุคคลที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าได้บอกลูกๆ ก็จะเกิดความเข้าใจกัน แต่ถ้ายิ่งปิดลูก ลูกก็อยากไปรู้จากข้างนอก ซึ่งที่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางบ้านเขาก็จะชอบบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ซึ่งอาจจะสร้างผลเสียต่อเด็กได้ เราน่าจะได้คุยกันจะดีกว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าเกลียดอะไร อย่างผู้หญิงก็น่าจะคุยกับแม่ ผู้ชายก็คุยกับพ่อ แบบไม่ต้องเขินกัน และให้ผู้ใหญ่ช่วยตัดสินใจ ว่าวิธีการเป็นอย่างงี้นะ จะได้สอนกัน
• แต่บางคนก็ชอบบอกว่า ปัญหาเรื่องเพศในบ้านเรา เขาก็จะชอบโทษสื่อทั่วไปว่าเป็นต้นเหตุ ตรงนี้เรามองยังไงครับ
จริงๆ ถ้ามันเป็นหนังที่มีเนื้อหาปกติของหนังแต่ละเรื่องนะ อยู่ที่ตัวคนมองว่าจะมองยังไง บางเรื่องอาจจะสอนเราในทางอ้อมก็ได้ อย่างบางเรื่องที่มีฉากที่ผู้หญิงไปเดินที่เปลี่ยวคนเดียว แล้วโดนข่มขืน มันก็อาจจะสอนว่า กลางคืนอย่าไปเดินเปลี่ยวๆ คนเดียว มันแล้วแต่คนมองมากกว่า จะมีผลสะท้อนตรงสอนเรา ถ้าคนดูคิดนิดนึงว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรเรา ไม่ใช่ไปดูแค่ฉากอย่างนั้นอย่างเดียว หนูว่าตัวสื่อมันก็เป็นตัวสอนมากกว่า อย่างหนังเรื่องนี้ก็สอนเยอะเหมือนกัน
• พอเราทำงานและเรียนไปสักพักนึง เราเริ่มวางอนาคตตรงนี้ยังไง
ก็มีวางไว้นิดนึงค่ะ ตอนนี้หนูอยู่ ม.6 แล้ว ก็ต้องเตรียมตัวเข้ามหา'ลัย โดยส่วนตัว อยากเรียนอักษรฯ สาขาการแสดง หรือภาษาอังกฤษ ก็ดูอยู่ว่าเราจะเอาอันไหนดี คือเลือกเยอะไงคะ ก็ดูๆ อยู่ แต่ความคาดหวังของเราคือ อยากจะทำงานในวงการบันเทิงต่อไป จะมาทางสายนี้เลย หรืออีกทางหนึ่ง จะลองเรียนด้านภาษา แต่ว่าก็ยังทำงานในวงการอยู่ หรือว่าจะเรียนไปทางนั้นเลย กำลังคิดอยู่ว่าจะยังไงต่อดี ส่วนงานในวงการก็คิดว่าอยากจะทำงานในวงการไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ยังลังเลอยู่ เพราะว่าด้วยเรามีชื่อว่าอิงแลนด์ด้วย เราก็มีความชอบและอยากเรียนภาษาอังกฤษ แต่ที่ชอบก็คือการแสดง มี 2 อย่างที่ชอบในชีวิต ยังเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังอยากที่จะทำงานในวงการต่อไป
• คิดว่าเราคาดหวังทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องเรียนในอนาคตข้างหน้ายังไงบ้างครับ
ก็คาดหวังว่าจะได้ทำงานในวงการต่อไป และมีงานมาเรื่อยๆ เนอะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องเรียน ก็มีเป้าหมายเดียวคือสอบให้ติดมหา'ลัยก่อน เพราะอยู่ ม.6 แล้ว มีจุดมุ่งหมายที่จะต้องสอบเข้าให้ติดให้ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน (ยิ้ม) ซึ่งช่วงนี้ก็ถือว่าหนักสำหรับหนูเลย กลับมาบ้านหลังจากทำงานเสร็จก็อ่านหนังสือต่อ บางทีพ่อก็มาถามเราเหมือนกันว่าเหนื่อยมั้ย หนูก็ตอบว่าไม่เหนื่อย ซึ่งถ้าเราสอบติดได้ ก็จะทำให้มีความภูมิใจกับพวกเขาด้วย แต่ก็มีบ้างที่ท้อเหมือนกัน แต่พอดึงสติกลับมาก็คือมุ่งหน้าอ่านหนังสือต่อ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน