2 สิงหาคม นัดชี้ชะตา! คดีฆ่าพันธมิตรฯ 7 ตุลา 51
ในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 เป็นวันที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาคดี “สลายการชุมนุม” ของ “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองอีกหน้าหนึ่งที่ชาวพันธมิตรฯ ทุกคนจดจำ เพราะเป็นวันที่รอคอย “ความเป็นธรรม” มาถึงเกือบ 9 ปีเต็ม วันนั้นยังจำกันได้ดีถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากน้ำมือรัฐภายใต้การบริหารประเทศของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ “ทีมข่าว NEWS 1” ขอย้อนรอยเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมทั้งรายละเอียดของคดีก่อนที่จะมีคำพิพากษาออกมา
รายชื่อบุคคลต่อไปนี้... คือคนที่ชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และน้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะบุคคลเหล่านี้คือคนที่ถูกกรรมการ ป.ป.ช.ฟ้อง ตกเป็นจำเลยจากการสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาอย่างไร้ความปรานี จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 มาจนถึงทุกวันนี้และตลอดไป...
สำหรับวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ที่จะถึงนี้ เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ชาวพันธมิตรฯ เฝ้ารอคอยมาถึงเกือบ 9 ปีเต็ม เพราะจะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผกนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษากับจำเลยทั้ง 4 คน ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติส่งฟ้อง โดยแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคลตามรายละเอียดคำฟ้อง ดังนี้
1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเคารพสิทธิการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีที่ตำรวจใช้วิธีการที่รุนแรงต่อประชาชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อเปิดทางเข้ารัฐสภาในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนกระทั่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ กลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตามลำดับตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ การกระทำหรือละเว้นการกระทำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
2. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ต้องเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เข้าประชุมเพื่อรับฟังนโยบายของรัฐบาลด้วยการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ร่างกายของผู้ร่วมชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะสำคัญ ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งหรือละเว้นการกระทำดังกล่าวของ พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินลำดับถัดมาจากนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้มีอำนาจสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
3. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมในช่วงเช้ามีผู้บาดเจ็บและมีบาดแผลในร่างกายหลายราย สื่อมวลชนได้เสนอข่าวอยู่ตลอดเวลา กลับเพิกเฉยไม่สั่งการให้หยุดยั้งการกระทำ หรือยอมกระทำการอันเป็นการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
4. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.สุชาติ ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ตลอดทั้งวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แล้ว แม้จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ก็ยังคงสั่งให้ใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชนโดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีกจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลก็ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก จึงเห็นว่า พล.ต.ท.สุชาติ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งคำฟ้องตามที่ ป.ป.ช.ได้ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ พิจารณาและประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เป็นช่วงหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557
ต่อมาเมื่อกลางเดือนเมษายน 2559 มีรายงานว่า ป.ป.ช.อาจจะยื่นถอนฟ้องคดีสลายม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยอ้างถึงเหตุที่จำเลยทั้ง 3 คน คือ นายสมชาย, พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. ระบุถึงความเห็นของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ และยังอ้างถึงคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี พ.ศ. 2553 ที่ ป.ป.ช.ยกคำร้องในคดีที่กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เพื่อจะนำมาเทียบเคียงกันด้วย แต่แล้วในที่สุด เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่สมควรถอนฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าจำเลยสามารถร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลฎีกาฯ ไต่สวนเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว อีกทั้งหาก ป.ป.ช.ถอนฟ้องคดีนี้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่และถูกฟ้องร้องเสียเองด้วย เพราะ ป.ป.ช.เป็นผู้ฟ้องคดีเอง รวมทั้งศาลฎีกาฯก็ได้เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนไปแล้วอีกด้วย
ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่ถูกจับตามองการทำงานมาตลอดว่าอาจจะมาช่วยเหลือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรือไม่ เพราะเคยเป็นเลขานุการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่ง พล.ต.อ.วัชรพล ก็รู้ดีว่าตนเองกำลังถูกจับตามองจากสังคมอยู่ ก็ได้ยืนยันว่าจะเข้ามาทำงานเพื่อชาติ เพราะหากทำไม่ดีก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.จะมีโทษเป็นสองเท่าของคนทั่วไป จึงยืนยันได้ว่าจะไม่เอาเกียรติประวัติในชีวิตราชการมาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ถือเป็นคำยืนยันที่ต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป
ทีมข่าว NEWS 1 อยากจะขอฝากนายตำรวจอีก 1 คน คือ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด ในฐานะหัวหน้าหน่วยอรินทราช 26 ในวันนั้น และได้ดิบได้ดีจนกลายเป็น พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วอีสานตอนล่างในวันนี้ ซึ่ง ก.ตร.ปูนบำเหน็จให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กำลังจะมียศพลตำรวจโทเทียบเท่าผู้บัญชาการ ก่อนเกษียณอายุราชการ
นายตำรวจคนนี้ได้สร้างความทรงจำที่ลืมไม่ลง เพราะในวันที่ 7 ตุลา 51 “ลือชัย สุดยอด” คือนายตำรวจคนที่ใส่ชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัวและศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเมามัน! พร้อมกับเสียงตะโกน “ให้ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป อยู่ได้ให้มันอยู่ไป” เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูจนทุกวันนี้...
ส่วนคำพิพากษาของศาลในวันที่ 2 สิงหาคม 2560 จะออกมาอย่างไร... ต้องติดตาม! : ทีมข่าว NEWS 1 รายงาน