xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจตำรวจฮีโร่ “ด.ต.อนิรุธ มะลี” กับความดีที่ควรได้รับโล่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากจะให้พูดถึงการทำหน้าที่ของตำรวจนั้น อาจถือได้ว่าเป็นภารกิจที่มีทั้งความเสี่ยงและความเครียดอยู่พอสมควร อาจจะด้วยเหตุที่ว่า สถานการณ์ตรงหน้านั้น ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย เพราะหากมีความผิดพลาดต่างๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะมีแต่ความสูญเสียและความเสียหายในบทสรุป ซึ่งการในแต่ละภารกิจนั้น จะต้องใช้ในหลักจิตวิทยาค่อนข้างสูง เพื่อให้สถานการณ์ตรงหน้าผ่านพ้นวิกฤตไปได้



เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ของ “ดาบตำรวจอนิรุธ มะลี” ผู้บังคับหมู่ฝ่ายสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง ที่ได้ทำหน้าที่ภารกิจหนึ่ง ในการเกลี้ยกล่อมเจรจาคู่กรณีที่อยู่ตรงหน้า จนสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ซึ่งผลงานดังกล่าว ถูกเผยแพร่ผ่านทางคลิปวิดีโอจนถูกกล่าวขานไปทั่วโลก และได้เสียงชื่นชมจากทั้งคนดังทั้งหลาย ไปจนถึงคนปกติสามัญ ต่อภารกิจดังกล่าวนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศไทยด้วยว่า อย่างน้อยก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังเข้าถึงและเข้าใจในการทำงานได้เป็นอย่างดี จนสามารถคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นผลบวกได้ในที่สุด

• อยากให้คุณช่วยเล่าถึงประวัติส่วนตัวสักเล็กน้อยครับ

ผมเป็นคนอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีพี่น้อง 7 คน และเราก็เป็นคนโต ก็เป็นนักเรียนปกติ วิ่งเล่น โดดน้ำคลองธรรมดา แล้วก็จะมีเรื่องเกเรบ้างนิดหน่อยตามประสาลูกผู้ชายน่ะครับ จนกระทั่งติดมาช่วงเรียนมหา'ลัย ผมขึ้นมาเรียนที่คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง เมื่อตอนปี 2532 แต่ผมเรียนได้แค่ 3 ปี ก็ไม่จบ จากนั้นก็ลองไปสอบเป็นตำรวจดู เพราะว่าสงสารแม่ อีกอย่างจะได้ไปทำงานด้วย ก็ไปสอบปรากฏว่าสอบติดเมื่อปี 2537 เป็นตำรวจนครบาลรุ่น 67 หลังจากนั้นก็ไปทำงานอยู่ที่กองกำกับการปราบปรามจลาจล ควบคุมฝูงชน 2 ปี จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ว่าเริ่มจากหน้าที่อื่นก่อน ทั้งด้านสายตรวจ อยู่บันทึกประจำวัน หรือฝ่ายดำเนินคดีบ้าง ซึ่งช่วงที่ทำงานด้านสายตรวจ เรียกว่าทำงานแข่งกับสายสืบเลย เพราะว่าเราจะเป็นสไตล์ที่บู๊ตลอด ก็เลยมีผลงานในคดีต่างๆ ทั้งคดีลักขโมย คดีค้ายา จนทางผู้กำกับ (พลตำรวจตรีฐิติพงศ์ เศรษฐีสมบัติ) ท่านก็เห็นว่าเราเหมาะที่จะทำงานในด้านสืบมากกว่า ท่านเลยส่งผมไปอบรมหลักสูตรสืบสวนรุ่นที่ 7 ที่โรงเรียนตำรวจนครบาลที่นครปฐม พอจบหลักสูตร ก็กลับมาอยู่ที่หน่วยสายสืบมาตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงปัจจุบัน

พอหลังจากทำงานเป็นตำรวจ ผมก็กลับไปเรียนปริญญาตรีใหม่ที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม จนจบ จากนั้นก็ต่อ ป.โท ที่ ม.รัตนบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ พอเราเรียนจบถึงขั้นนี้ ก็รู้สึกภูมิใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้ แม่เป็นคนส่งให้เรียนแต่เรียนไม่จบ มัวแต่เกเร จนต้องหนีข้ามไปฝั่งมาเลเซียอยู่ 3 เดือน เพราะว่ากลัวโดนเอาคืน ช่วงที่เราเป็นวัยรุ่นนี่คือค่อนข้างแสบมาก

• จากที่ฟังมา เหมือนกับว่าเป็นคนที่ชอบบู๊พอสมควร

ผมจะเป็นในลักษณะสายบู๊และขยันด้วย เราไม่ใช่คนเก่ง เพราะว่าถ้าเก่งให้ตายยังไงแต่ขี้เกียจก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่างานสืบสวนมันเป็นงานที่มีการบ้าน ถูกมั้ยครับ ซึ่งจะแตกต่างกับสายอื่น ที่จะเข้างานออกงานตามเวลา แต่ในส่วนงานของเราจะเป็นในลักษณะที่ตามคดี ตอนคดีค้างเก่า มีอะไรสารพัด ยิ่งทุกวันนี้นี่คือหนักเข้าไปอีก คดีเกิดขึ้นเยอะ แต่สถิติการจับกุมของที่นี่ ถือว่าดีมากเลย แล้วพวกผมจะเป็นในลักษณะเวรหนุน แต่ของเรากับเวรหลักจะไม่มีการพัก ซึ่งเวรหนุนก็จะเหมือนกับได้พักไปในตัวอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเหตุก็ต้องมา ต้องรีบเลย อีกอย่าง ผมชอบความเสี่ยง อะไรที่เสี่ยงๆ จะชอบ เช่น ชอบดำน้ำ ชอบปีนหน้าผา คุณเคยไปนอนในระดับ 200 เมตร จากหน้าผา ที่เป็นลาดชัน ในระดับพื้นดินมั้ย เอาเต็นท์ปักเข้าไปในกำแพง ผมเคยไปนอนมาแล้วคืนนึง

• ด้วยการที่คุณเป็นคนชอบเจรจาด้วยมั้ย ที่ทำให้มาเป็นตำรวจได้

ผมว่าเป็นเพราะประสบการณ์ส่วนตัวของเรามันเยอะพอสมควรนะ ทำมา 23 ปี เรียกว่ามีสมรรถนะ คือการทำอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ หรือว่ามีบทเรียนอะไรบ่อยๆ จนเอามาใช้ในการทำงาน ส่วนกิจกรรมในสมัยเรียนก็ไม่ได้เป็นนักกิจกรรมอะไรหรอก จะหนักไปทางเกเรมากกว่า แต่มันก็แปลกเหมือนกัน ที่คนเกเรก็มักจะมาเป็นตำรวจเลย แต่ก็เป็นความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น ขณะเดียวกัน โดยส่วนตัวเราไม่ใช่คนเก่งในเรื่องการเจรจานะ แต่เราจะมีลักษณะที่ถึงลูกถึงคน มีอะไรผมจะเข้าไปก่อน ผมไม่กลัวอะไรเลยนะ เพราะเราเชื่อมั่นว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อยู่ที่องค์อัลเลาะห์จะดลบันดาล ตามหลักศาสนาอิสลาม และคติที่ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด นี่คือคติประจำใจผมตั้งแต่จบมาเลย และจำมาถึงทุกวันนี้ อีกอย่างพ่อผมก็บอกเสมอว่า คนเราทำอะไรก็ได้อย่างงั้น ทำนาต้องได้ข้าว ทำนาไม่ใช่ได้แอปเปิล

• ทีนี้พอคุณเข้าหลักสูตรในการเจรจา จากที่คุณได้รับการอบรมมา เขาว่าอย่างไรบ้างครับ

หลักของมันก็คือ เราต้องประเมินสถานการณ์และคนก่อเหตุ เป็นกันเองกับเขา ว่าเป็นยังไง พูดคุยกับเขาเป็นภาษาเดียวกัน พยายามทำตัวให้ใกล้เคียงกับเขา คือทำให้เขาพอใจที่สุด แต่ถ้าเขาไม่พอใจนี่คือ คนพยายามที่จะทำก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เราต้องทำยังไงให้เขาสบายใจให้ได้ แต่ลำดับแรกสุดคือ เคลียร์คนออกไปก่อน หรือไม่ก็อยู่ให้ห่างเลย พยายามให้คนที่ยืนดูอยู่นี่คือเงียบๆ ไว้ แล้วพยายามพูดคุยกับเขา เข้าใจเขา แต่ก็อยู่ที่คนด้วยว่าคุณกล้าพอไหม ถ้าคุณกล้า คุณก็ทำได้ คือการเป็นตำรวจ มันก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกแหละ งานแบบนี้ ถ้าตำรวจไม่ทำ แล้วใครจะทำ คือมันเป็นหน้าที่ ผมจะหนีได้ไง ถูกมั้ยครับ คุณไม่มีสิทธิ์หนีเลย มันเป็นหน้าที่ของคุณ คุณจะให้ยามมาทำหน้าที่นี้เหรอ หรือจะให้เรียกนักธุรกิจมาทำก็ไม่มีใครเขามาหรอกครับ งานแบบนี้ต้องตำรวจอย่างเดียว เคยมีคำถามว่ามีตำรวจไว้ทำไม ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ทุกวันนี้เวลาที่ตำรวจทำงาน ความดีไม่เคยปรากฏ คือเวลาทำดีไม่ค่อยมีคนเห็น แต่เวลาที่มีอะไรนิดหน่อยมาแล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างกรณีรีดไถ ลองมองอีกมุมหนึ่งว่า ถ้าคุณไม่ไปสร้างบรรทัดฐานให้เขา แบบคุณขับรถ แล้วทำผิดจราจร แทนที่จะยอมรับผิดแต่โดยดี กลับกลายเป็นว่า “พี่ช่วยหน่อย” ซึ่งการขอความช่วยเหลือที่ว่านี่คือทำให้คนข้างหลังรถติดบานเลย บีบแตรกันลั่นเลย จนตำรวจต้องจำใจให้ไป เพราะเราเป็นคนที่เสนอให้เขา แล้วตำรวจก็ผิดที่รับเช่นกัน แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้น จะโดนด่าขนาดไหน ซี่งคนที่มาตรวจอย่างงี้ รถติดกันบานเลย เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกัน ถ้าไม่อยากให้ตำรวจและมีคนที่ทำผิด เราต้องสร้างบรรทัดฐานร่วมกัน คุณผิด คุณก็ไปเสียค่าปรับ ภาษีก็จะได้เข้ารัฐต่อ เป็นอย่างงั้นดีกว่า แล้วเมืองไทยมันก็เป็นระบบอุปถัมป์ คุณขอให้เขาช่วย แต่คุณกลับถ่ายคลิปประจาน ไปแฉเขา คุณแค่ต้องการทำลายเขา แต่คุณเป็นคนเอ่ยปากขอให้เขาชาวยเอง ซึ่งคนดีๆ เขาไม่ทำกันหรอก ซึ่งการเป็นจราจร ถ้าทำผิดก็ต้องจับ ถูกหรือเปล่า แล้วคนข้างหลังก็ต้องใช้ถนนเหมือนกัน เขารีบหมดแหละ แต่การที่คุณไปสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ดีขึ้นมา ก็ทำให้ทุกอย่างผิดหมด คือผิดทั้งคู่แหละ อีกอย่างเราต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกัน ไม่ใช่สักแต่รู้สิทธิของตัวเองอย่างเดียว แต่ไม่รู้หน้าที่พลเมืองของตัวเองเลย

• อยากให้ตัวดาบช่วยเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นหน่อยครับ

วันนั้นตรงกับวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ผมไปพบสายข่าวมา พอลงจากรถ พนักงานสอบสวนก็เรียกตัวให้มาช่วย จึงทราบว่ามีคนเอาอาวุธมีดมาจ่อคอตัวเองที่หน้าห้องแก ผมก็เลยชวนทั้งผู้กอง และดาบแต่ละคน ให้ออกจากที่เกิดเหตุ ก็ไปเจอพี่เขาที่ยืนเอามีดจ่อคออยู่ ผมก็เข้าไปเจรจาเลย ส่วนคนอื่นๆ ก็อยู่ไม่ห่างจากผม คือที่จริงทางผู้กองก็เข้าห้องได้นะ แต่เราเป็นประเภทไม่นิ่งดูดายไง เพราะว่าเราเป็นคนแบบนี้ เลยเข้าไปคุยก่อนเลย ถามชื่อ ถามข้อมูลเบื้องต้นไป แกก็ตอบกลับมาว่าแกชื่อ อ๊อด อันดามัน เป็นคนระนอง พ่อแม่เสียหมดแล้ว ผมก็เลยบอกพี่เขาไปว่า ผมสงขลา พี่ระนอง เรามาคุยภาษาใต้กัน เราสองคนก็คุยกันมาเรื่อยๆ แล้วแกก็ค่อยๆ ขยับมาใกล้ผม ผมก็รับปากแกในหลายๆ อย่าง เบื้องต้น แกบอกว่า แกชื่อ อ๊อด อันดามัน แกมีอาการเครียด เพราะว่ามาทำงานเป็นยามได้ 3 วัน แล้วโดนเบี้ยวค่าจ้าง ซึ่งพอคนเราได้พูดภาษาเดียวกันแล้ว มันก็เหมือนกับในตอนที่เราไปต่างประเทศน่ะ แล้วเจอคนไทย แบบเดียวกันเลย เราก็เลยบอกพี่เขาว่า อยากให้ตำรวจช่วยยังไงก็บอกมา แกก็บอกตามที่บอก แล้วกีตาร์ก็โดนขโมยที่พัทยาไปอีก แกเลยรู้สึกเครียด ผมเลยบอกกับพี่เขาไปว่า ผมมีกีตาร์อยู่ 3 ตัว เดี๋ยวผมให้พี่ไปตัวหนึ่ง ก็รับปากแกไป

คุยไปคุยมา แกก็มีทีท่าอ่อนลง ผมก็เข้าไปใกล้แกอีก แต่ก็มีความระมัดระวังตัวอยู่ เผื่อแกอาจจะมาทำร้ายเรา แต่เรายังมีทีท่าเหมือนเดิม เพื่อไม่ให้แกรู้สึกว่ากำลังเป็ปฏิปักษ์กับแก ตอนเจรจาผมก็บอกแกไปว่า ถ้าผมให้กีตาร์ไป พี่ต้องวางมีดก่อนนะ เดี๋ยวไปเอากีตาร์ที่ห้องสืบด้วยกัน ผมก็พูดย้ำไปย้ำมา พอผ่านไปสักพัก แกก็ยื่นมีดมาให้ผม ผมก็พูดต่อไปว่า พี่ไว้ใจผมเถอะ เราคนบ้านเดียวกัน คุยกันได้ ถ้าพี่เป็นอะไรไป พ่อแม่จะเสียใจนะ ซึ่งเราก็รู้เพราะแกบอกมา พอแกยื่นมีดให้ ผมก็เดินเข้าไปกอดแก แล้วก็โยนมีดไปที่เพื่อนดาบอีกคนหนึ่ง แล้วก็กอดแก แกร้องไห้โฮเลย ซึ่งแกก็บอกแต่แรกแล้วว่า ผมไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายใคร หลังจากนั้น ผมก็พาแกไปนั่ง แล้วผู้กำกับก็มาช่วยเราอีกแรง ก็เอาเงินมาให้แก 50 บ้าง 100 บ้าง ใส่ในกระเป๋าเสื้อแก ผมเป็นคนยัดใส่ให้เอง ผมเอาให้แก 500 บอกแกว่าเอาไปกินข้าวเถอะ อย่างน้อยก็ทุ่นค่าข้าว แต่แกไม่เอา แกเอาแค่กีตาร์ตัวเดียว พอทุกอย่างเรียบร้อย แกก็มานั่งดีดกีตาร์ให้พวกเราฟังที่หน้า สน. (ชี้ไปที่ศาลา) แกยังบอกทิ้งท้ายว่าแกเป็นนักแต่งเพลงด้วย แต่ดูทรงแล้วน่าจะเมาด้วยนะ เพราะตอนนั้นยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์ในตัวแกอยู่ ซึ่งเราก็ไม่ทราบก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก จากนั้นผู้กำกับก็บอกให้พาแกไปโรงพยาบาล แล้วแกก็ขอลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วแกก็หายไปเลย จนตอนหลังมีคนโทร.เข้ามาว่าอยากจะเอากีตาร์ให้แก ผมก็ส่งต่อให้สารวัตร และผู้กำกับตามลำดับ

• ขณะเดียวกัน ด้วยตัวคุณก็ยังถือศีลอดในตอนนั้น คิดว่าเป็นอุปสรรคในการทำหน้าที่ด้วยมั้ย

ไม่ครับ อิสลามถือว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ถึงเวลาละหมาดตรงไหนก็ได้ที่มันสะอาด ไม่ต้องมีน้ำก็ได้ ลูบตามแขน ตามหน้าก็เสร็จแล้ว มีเวลาก็ละหมาด ซึ่งเราก็คิดว่าจะทำอยู่ตลอดเวลา แต่เราต้องทำงานให้เสร็จก่อน เสร็จก็ทำตามหลักศาสนาไป ซึ่งถ้าพลาดก็เอามาชดใช้นะ คือถ้าคนเราอยู่ในศาสนานะ จิตใจจะสั่งไม่ให้ทำชั่ว อย่างศาสนาอิสลามเขาให้ละหมาด 5 เวลา ซึ่งไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นหรอก แต่พวกที่ทำเรื่องไม่ดีนี่คือ แหวกแนวไปแล้ว เพราะศาสนาอิสลามเขาสอนว่าให้ทำตามศาสดา เหมือนกับพุทธศาสนาที่ให้ทำตามหลักของพระพุทธเจ้า

• จากอารมณ์ของคู่กรณีที่คุณสัมผัสมา คิดว่าเขามีความรู้สึกยังไง

เครียดล้านเปอร์เซ็นต์ คือเขาทำงานแต่ไม่มีเงิน โดนโกง แล้วของทำมาหากินของเขามาโดนขโมยอีก ญาติพี่น้องก็ไม่มีอีก แต่แกยังโชคดีที่มาหาตำรวจ ซึ่งผมก็ขอบคุณพี่แกด้วย เรียกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษเลย พอการทำหน้าที่ของเราได้เผยแพร่ออกไป ผมรู้สึกดีใจนะคือไม่ได้โดนด่า แต่กลายเป็นเสียงชื่นชมแทนในการกระทำของผม ผมเชื่อว่าเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยนะ มองในมุมนี้ ผมต้องใจเย็น ทำความดี อย่างเดือนฮารีรายอ มันมีแค่ครั้งเดียวต่อปี ผมถือศีลอดเกือบครบนะ ขาดไปแค่วันเดียวเอง

• พอเหตุการณ์ที่ดาบทำหน้าที่ ได้ถูกเผยแพร่ออกไปตั้งแต่ในประเทศ จนถึงระดับโลกเนี่ย ความรู้สึกของคุณเป็นยังไงครับ

ผมรู้สึกประทับใจนะ เพราะเรายังรู้สึกว่า ยังมีคนมองเห็นการทำหน้าที่ของเราได้อย่างมองทะลุปรุโปร่งนะ คือชาวตะวันตกเขามองอย่างละเอียดนะ ละเอียดไปถึงขั้นภาษากายเลยนะ อย่างการโอบกอดเนี่ย นั่นคือจิตวิทยาของเขาเลย ว่าการที่เราเปิดเผยตัวตนให้คู่กรณี เราอยู่ในระดับเดียวกับเขาไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับเขา มันเป็นหลักจิตวิทยา แล้วฝั่งนั้นเขามีความคิดมากกว่าเรา แต่คนไทยยังมีความแซะอยู่บ้างแต่น้อย คือมีอะไรก็ยังติอยู่ นักเลงคีย์บอร์ดน่ะ แต่ผมไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น แล้วเราไม่เคยไปดูด้วยนะ จนกระทั่งมีคนเอามาให้ดู เราไม่ได้ไปเช็กยอดวิวว่าไปถึงไหนแล้ว

• หลังจากนั้น ตัวดาบก็ยังทำหน้าที่ของเราตามปกติ

ใช่ครับ พอหลังจากเหตุการณ์นั้น เราก็ยังเหมือนเดิม บางทีมีคนบอกว่า เปิดหน้าแล้วจับใครไม่ได้แล้ว มาสิ ลองจับให้ดู (หัวเราะ) คือเราก็ไม่ใช่นินจานะ ที่จะต้องคลุมหน้าคลุมตา คือทำงานด้านสืบสวนก็ต้องเดินเข้าไปหาเขาไง ส่วนวิธีการทำงาน เราก็มีเทคนิคของเรา ไปเจอกันหน้างาน ถามว่า คนผมสั้นหรือผมยาว มันแตกต่างกันยังไงในการทำงาน อย่างที่บอก มันอยู่ที่ความเอาใจใส่ของงานมากกว่า ผมก็ทำงานเหมือนเดิม และทำให้ผมรักงานของผมมากขึ้นด้วย แล้วเสียงชื่นชมที่ได้มา ก็เกิดแรงกระตุ้นให้กับตัวเราด้วย มันทำให้เราได้ทำหน้าที่ให้ดีขึ้น และต้องระวังตัวด้วย คือถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีหรือผิดพลาด ผลตอบรับอาจจะหนักกว่าที่เราทำหน้าที่ให้ดีนะ กลายเป็นว่า ตำรวจฮีโร่ทำซะเอง ตอนนี้เราเป็นอย่างที่เขาตั้งฉายา ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักเขา คือมันค่อยๆ ทยอยไป แต่เขาก็มีถามเหมือนกันว่า ไม่กลัวเหรอ คิดยังไงถึงเข้าไปแบบนั้น ไม่กลัวเขาจะแทงสวนมาเหรอ แต่ก็มีอีกคนมาช่วยตอบแทนว่า เขายกมือแล้ว ดูแล้วไม่มีอาวุธแน่ เขาไม่มีเจตนาทำร้ายใคร ยกมือ ยอม

• มองในมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นวัฒนธรรมในการต่อรองเฉพาะตัวในบ้านเราด้วยมั้ย

ผมว่าเป็นนะ เพราะว่าถ้าเป็นในต่างประเทศนี่คือเขายิงเลย ลองดูในข่าวต่างประเทศหรือในหนังก็ได้ อย่างบางเรื่องนี่คือแค่เรื่องเล็กน้อยเอง เรื่องยิง ก็หาว่าเขามีอาวุธ แต่คนไทยไม่ใช่ เรามีความโอบอ้อมอารีนะ จะคุยก่อน ซึ่งผมว่าดีนะ สังคมบ้านเรามันอบอุ่นนะ แต่ปัจจุบันนี้อะไรก็ไม่รู้นะ ชอบกัดกันเอง ซึ่งชาติอื่นมันก็มี แต่เราแย่ตรงมีการใช้โลกออนไลน์ทำร้ายคนอื่น เอาให้มันปาก

การเป็นตำรวจในลักษณะแบบนี้ มันก็ต้องมีความเครียดค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน คุณรับมือในช่วงเวลาในการรับมือตรงนี้ยังไง

เครียดครับ เราจะทำยังไงให้คู่กรณีเขาวางอาวุธ เราจะคุยยังไงให้เขาเห็นด้วยกับเรา ซึ่งมันก็เครียดเป็นธรรมดาครับ แต่ว่าโดยส่วนตัวผมเอง ผมถือว่าสบายๆ นะ เพราะถือว่าไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะว่าถ้ามีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น อันนี้เริ่มเครียดแน่ แต่ว่าเราก็ดูตามเคสต่างๆ ซึ่งก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเคสนึงที่ผมได้ทำ คือ คนจีนคลุ้มคลั่งจับลูกตัวเองเป็นตัวประกันที่ข้างสถานทูตจีน เราก็ใช้ล่ามคุยกับภรรยาเขา ผมก็เข้าไป พอเราขยับ แฟนเขาก็กระซิบ แล้วก็จะโวยวาย จนกระทั่งต้องเรียกมาใหม่ ก็ไม่มีอะไรมาก คุยใหม่ ปรากฏว่า สงสารลูก จังหวะที่คุยอยู่ ตอนนั้นคู่กรณีนั่งหันหลังให้ พอแกเดินไปปุ๊บ ผมก็ทำตามหน้าที่ตรวจเลย จนมาถึงตัวแกปุ๊บ ก็ล็อกตัวแก เอาลูกเขาออกมาได้ แต่กว่าที่จะทำภารกิจได้ แกก็ยื้ออยู่พอควร เพราะแกแข็งแรงมาก ต้องจับกัน 3-4 คน

• แล้วยิ่งมาใช้หลักจิตวิทยาในการทำงานเป็นตำรวจด้วยแล้ว โดยส่วนตัวดาบเองถือว่าเครียดกว่าเดิมมั้ย

อย่างพวกเราต้องเจอกันทุกวันอยู่แล้ว ทำงานเจอกับผู้ร้ายหรือกับคู่กรณี มันต้องใช้สมองในการทำงาน ซึ่งมันก็ต้องพบเจอกับความเครียดอยู่แล้ว ซึ่งเราจะกังวลว่าถ้าเขาทำร้ายร่างกายตัวเองหรือตัวประกันล่ะ แล้วไทยมุงอาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้เขาก่อเหตุด้วย บางทีเราก็ต้องทำงานเป็นทีม ต้องแบ่งกันว่าคนนี้คอยกันคนอื่น แล้วเรามาคุยกับคู่กรณีกันสองต่อสอง คือตัวเราไม่กลัวหรอก เพราะเราพร้อมตั้งรับอยู่เสมอ แต่ถามว่ามีความเครียดในการทำแต่ละคดีมั้ย โดยส่วนตัวผมถือว่าไม่นะ เพราะด้วยหน้าที่หนึ่ง ถ้าประสบเหตุที่ใกล้ๆ ยังไงก็ต้องเข้า แต่เราจะสบายๆ เพราะเราชอบความเสี่ยงอยู่แล้ว อย่างกิจกรรมส่วนตัวที่ผมบอกไป เราพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ

• ในการทำหน้าที่ตำรวจสืบสวน มันให้การเรียนรู้โดยส่วนตัวยังไงบ้าง

ได้เรียนรู้ในเรื่องของการระงับอารมณ์ของตัวเอง รู้จักใช้สมองคิดว่า จะแก้ไขปัญหายังไง รู้ว่าคนเขามีความเครียดนั้นเป็นยังไง เป็นเราเราจะแก้ไขยังไง ถ้าเป็นเราแล้วตำรวจทำอย่างที่เราทำก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอีกแบบนึงละ พอเห็นว่ามีอาวุธแล้ว เขาจะมาทำให้บาดเจ็บได้ อีกเรื่องนึง ถ้าวันนั้นมีการกระทำอย่างว่า ผมว่ายาว แล้วถ้าภาพมันออกไปแล้ว พังอีก

• จากประสบการณ์ของคุณเอง คุณอยากจะบอกอะไรกับคนทั่วไป ถึงจิตใจและอารมณ์ของคู่กรณีในตอนนั้นหน่อยครับ ถ้าได้ไปอยู่ถึงการรับมือในสภาวการณ์นั้นครับ

สมมติว่าถ้ามีสถานการณ์อย่างนี้ แล้วคนทั่วไปไปเจอ ผมแนะนำว่าให้พยายามใจเย็น พูดง่ายๆ คือ เรากำลังจะไปหลอกเด็ก คุยพูดจาลักษณะอย่างงี้ ทำยังไงก็ได้ เออออห่อหมกกับเขาไป แต่ว่าเราต้องลดแรงกดดัน ลดความเครียดของเขาก่อนนะ จากนั้นก็กันคนออกไปให้มากที่สุด แล้วคุยกันอย่างใจเย็น ผมเคยถอดเสื้อเดินเข้าไปหาตอนที่จับยาเสพติดเลย คือทำยังไงก็ได้ให้เขาสบายใจ เราอย่าไปยั่วยุเขา พยายามเห็นใจเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วถ้าเขามาเป็นเราล่ะ แน่นอนว่าเราก็ไม่ชอบอยู่แล้ว อยากให้ช่วยเหลือกัน อย่าทะเลาะกันเลย ยึดพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 ว่าคนไทยต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี

กำลังโหลดความคิดเห็น