ถ้าพูดถึงเรื่องการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ในยุคสมัยใหม่นี้ หลายคนอาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ออฟฟิศต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงปวด เช่น ปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนิ้วมือ หรือแม้แต่ผู้ติดเทคโนโลยีทั้งหลายที่ต่างต้องใช้สมาร์ทโฟนหรือโทรศัพท์มือถือก็อาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เพราะต้องใช้แขนและมือจนก่อให้เกิดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนนั้นจนมีอาการปวดเมื่อยตามมาได้
การเยียวยาอาการดังกล่าวข้างต้นนั้น บางคนก็อาจจะไปซื้อยาแก้ปวดมารับประทานเอง หรือซื้อน้ำมันนวดมานวดเอง บางรายก็อาจจะมีเวลา มีทุนทรัพย์มากหน่อยก็เข้าสปานวดแทนซึ่งก็อาจจะช่วยได้ หรือแย่หน่อยบางคนก็ปล่อยทิ้งไว้ทนปวดอยู่อย่างนั้นเพราะคิดว่าเล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวก็หายไปเอง
วันนี้เราเลยจะมาขอความรู้จาก กภ.สิริอาภรณ์ ธนางทิพย์กุล นักกายภาพบำบัดจากเพจ “หมอพลอยกายบำบัด หนองแค สระบุรี” เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าแท้จริงแล้วเราควรปฏิบัติตนอย่างไรหากต้องเผชิญกับอาการปวดเมื่อยดังกล่าว ทั้งนี้จะได้ทำความรู้จักกับตัวตนของนักกายบำบัดคนสวยคนนี้ไปพร้อมกันเลย
• ก่อนอื่นขอถามถึงเส้นทางการเป็นกายภาพบำบัดหน่อยค่ะ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงเลือกทางสายนี้คะ
อาชีพนักกายภาพบำบัดจริงๆ แล้วคงเป็นความชอบของพลอยมาตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างเวลาที่เราเห็นภาพในรายการที่เขาพาไปดูการรักษาคนไข้ในที่กันดาร ในชนบท เห็นภาพทีมหมอที่ลงไปช่วยรักษา ภาพคนไข้ที่เขามารอด้วยความหวัง คือบรรยากาศของการให้แบบนี้แหละ ที่พอดูแล้วเรารู้สึกว่ามันอิน อินกับภาพพวกนี้ คือดูแล้วใจเราฟู มันมีความสุข เลยคิดว่าโตไปเราอยากเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นบ้าง มันเจ๋งมากๆ เลยสำหรับเรา เลยตั้งใจไว้เลยว่าโตไปจะทำงานที่รักษาคนเท่านั้น แล้วด้วยความที่ครอบครัวมีคุณแม่เลี้ยงมาคนเดียว เลยมีอีกเงื่อนไขที่เราให้กับตัวเองอีกอย่างคือ งานที่ทำต้องสามารถให้เวลากับครอบครัวได้ด้วย ปรากฏว่าคณะที่ตอบโจทย์ก็คือ ทันตแพทย์กับกายภาพบำบัด สุดท้ายพลอยก็เลยเลือกเฉพาะมหา'ลัยในกรุงเทพฯ เพราะอยากอยู่กับครอบครัว ปรากฏว่าก็มาสอบติดที่คณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัดค่ะ
ที่มาเรียนตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้นะคะว่ากายภาพบำบัดคืออะไร เพราะเป็นสาขาที่ค่อนข้างใหม่สำหรับสังคมไทย เรียกว่าเป็นคณะหนึ่งที่สนใจ เรามองว่าต่อไปสังคมไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ และเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยมีคนดูแล เพราะสมัยนี้ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนขึ้นแต่กลุ่มที่ดูแลกลับมีเท่าเดิม ซึ่งค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณคนไข้ เลยคิดว่าสาขานี้จะช่วยคนกลุ่มนี้ได้มากๆ เลยในอนาคต พลอยก็เลยได้เรียนจบจากสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัด จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาค่ะ
• แล้วพอได้มาเป็นนักกายภาพบำบัดต้องมีหน้าที่ทำอะไรบ้างคะ
หลังจากเรียนจบก็ตั้งใจว่าอยากจะออกไปเปิดแผนกกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่างจังหวัดให้ได้ อยากไปช่วยคนที่เขาไม่มีจริงๆ อีกอย่างถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ในสมัยนั้นวิชาชีพกายภาพบำบัดคนรู้จักน้อยมาก คนไข้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองต้องมารักษา โรคอะไรถึงจะทำกายภาพบำบัดได้ ยิ่งแถบต่างจังหวัดคนไข้รู้จักและเข้าถึงการรักษาด้านนี้น้อยมาก โรงพยาบาลชุมชนบางแห่งยังไม่มีแผนกนี้เลย ทำให้เรายิ่งอยากลงไปสร้างให้คนไข้ในพื้นที่ไกลๆ เข้าถึงการรักษาทางนี้ให้มากขึ้น โชคดีมากที่พอลองหา ปรากฏว่าเจอโรงพยาบาลชุมชนเป็นโรงพยาบาลระดับอำเภอ ขนาด 30 เตียง ในจังหวัดสระบุรีพอดี ตรงกับความฝันที่เราอยากเป็นพอดี จำได้ว่าวันนั้นไม่รอเลยนะคะ พอเห็นปุ๊บ วันรุ่งขึ้นรีบนั่งรถหวานเย็นไปสมัครกับคุณแม่เลยค่ะ หลังจากนั้นก็ทำงานที่นั่นมาเกือบ 7 ปี แล้วค่ะ
สองปีแรกที่ทำงานจำได้เลยว่าพลอยเขียนใบลาออกเกือบทุกอาทิตย์ เขียนเสร็จก็โยนทิ้งขยะ คือมันเจอแรงกดดันเยอะมาก ด้วยความที่เราเรียนมาแต่การรักษาพอต้องมาเปิดแผนกมันไม่มีความรู้เรื่องการบริหารในหัวเลย ไม่รู้จะเริ่มจากไหนถึงจะถูก เลยเหมือนนับหนึ่งใหม่ ค่อยๆ ทำไป ถูกบ้างผิดบ้าง บางวันท้อจนเก็บกระเป๋าจะขึ้นรถออกจากโรงพยาบาลแล้วตั้งใจว่าจะไม่กลับมาแล้ว พอกันที นี่เรามาทำอะไรตรงนี้ แต่พอเดินออกมาเห็นคนไข้มันไปไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกว่ายังทิ้งเขาไม่ได้นะ เราต้องทำให้เสร็จ เลยกลับมาสู้ต่อ ทำแผนก ทำโครงการกายภาพบำบัดลงรักษาในพื้นที่ชุมชน พอสำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ ก็ออกมาเปิดคลินิกเองที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ร่วมกับบรรยายพิเศษให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน
ความฝันในอนาคตของพลอยต่อไปคืออยากถ่ายทอดความรู้ อยากให้สิ่งที่เรามีเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ให้มากที่สุด ให้เขาดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ก่อนจะป่วย ดูแลคนที่เขารักได้ อันนี้คือความฝันที่ตั้งใจทำตอนนี้ในช่วง 3 ปีนี้ค่ะ
• ในฐานะที่เป็นนักกายภาพบำบัด อยากให้อธิบายถึงคำว่า “กายภาพบำบัด” ให้กับคนที่เขาอาจจะยังไม่รู้จักหน่อยค่ะ
คำว่า “กายภาพบำบัด” ถ้าอ้างอิงจากประกาศพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ กายภาพบำบัด คือ การกระทำในการช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อบำบัด ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูการเสื่อมสมรรถภาพ หรือความพิการของร่างกาย หรือจิตใจ ด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด แน่นอนใครที่ไม่ได้ทำงานทางสายการแพทย์ฟังแล้วก็คงนึกภาพออกยากว่าคืออะไร ดังนั้นขอพูดง่ายๆ คือ กายภาพบำบัดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มโรคที่มีปัญหาทางกลไกหรือโครงสร้างร่างกาย (mechanical factor) นี่แหละค่ะ กายภาพบำบัดจึงเป็นศาสตร์ที่ช่วยปรับร่างกายของเราให้กลับเข้าสู่สมดุลหรือใกล้เคียงปกติด้วยวิธีธรรมชาติโดยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองผ่านการรักษาด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น ดัดดึงข้อต่อ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาท การออกแบบท่าบริหารที่เหมาะสมกับแต่ละโรค เป็นต้น กายภาพบำบัดจึงไม่มีรักษาด้วยยาเลย แต่จ่ายเป็นท่าบริหารให้คนไข้กลับไปแทนค่ะ
กายภาพบำบัดมีหลายด้านเลยค่ะ เช่น
- ทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ(Orthopedic) กลุ่มนี้คนน่าจะคุ้นเคยกันมากเพราะเป็นกลุ่มคนไข้ที่พบได้มาก เช่น ผู้ที่มีอาการปวด หมอนรองกระดูกเคลื่อน กระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม กลุ่มนี้จะใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่พบได้บ่อย เช่น อัลตราซาวด์ เครื่องดึงกระดูกสันหลัง เครื่องสลายพังผืด เลเซอร์ เป็นต้น
- ด้านระบบประสาท (Neurological) เช่น โรคเลือดในสมองตีบทำให้อ่อนแรงครึ่งซีก อัมพาต ก็จะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกการเดินการทรงตัว
- ทางระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiopulmonary) เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) คนไข้หลังผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจและปอด ก็จะมีการเคาะปอดระบายเสมหะ ฝึกหายใจ
- ด้านผู้ป่วยเด็ก (Pediatric) เช่นเด็กพิการทางสมอง เด็กพัฒนาการล่าช้า
- ด้านกีฬา ฝึกร่างกายป้องกันการบาดเจ็บ การเพิ่มประสิทธิภาพกล้ามเนื้อในการเล่นกีฬา
ความยากง่ายของอาชีพนี้ก็คือด้วยความที่วิชาชีพกายภาพบำบัดเป็นการรักษาที่ไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปในตัวคนไข้เลย สิ่งที่ทำคือการใช้เทคนิคต่างๆ การดัดดึงข้อต่อ เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เพื่อกระตุ้นหรือทำให้ร่างกายเกิดกระบวนการฟื้นฟูตัวเองกลับเข้าใกล้เคียงปกติมากที่สุดจึงเป็นเหมือนวิถีธรรมชาติให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง ดังนั้นความท้าทายของวิชาชีพนี้คือ คุณจะรักษาคนไข้ให้หายได้ยังไงถ้ามีแค่สองมือ ส่วนตัวมองว่านี่แหละคือเสน่ห์ของวิชาชีพนี้ เพราะต่อให้เราลงไปในที่ที่ไม่มีอะไรให้เลย เราก็จะยังรักษาคนไข้เราได้อยู่ ซึ่งนักกายภาพบำบัดในสังคมไทยตอนนี้จะขึ้นอยู่กับพื้นที่นะคะ ถ้าเป็นในกรุงเทพฯ ก็จะมีค่อนข้างเยอะ สองสามปีมามีคลินิกกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้นหลายแห่งอาจเพราะคนเริ่มเข้าใจและรู้จักวิชาชีพนี้มากขึ้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่ในชนบทห่างไกล กายภาพบำบัดยังถือว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณคนไข้ค่ะ
• ช่วยเล่าถึงประสบการณ์การดูแลคนไข้หน่อยค่ะ ส่วนใหญ่คนไข้ที่เข้ามาปรึกษาจะเป็นวัยไหน แล้วการกายภาพบำบัดในแต่ละวัยแตกต่างกันไหมคะ
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุค่ะ เพราะเป็นกลุ่มที่พบความเสื่อมของร่างกาย จึงเข้ารับการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัดค่อนข้างเยอะ
ในแต่ละวัยจะแตกต่างกันนะคะ เพราะระยะเวลาการฟื้นตัวของร่างกายต่างกันแน่นอน อีกทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงโรคที่มักพบ เช่น วัยทำงานก็จะพบปัญหาการปวดจากการใช้งานกล้ามเนื้อในท่าเดิมซ้ำๆ นานๆ จากการเล่นกีฬา ส่วนผู้สูงอายุก็มักพบโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายค่ะ
• แล้วมีเคสไหนรักษายากเป็นพิเศษไหมคะ เคยเจอคนไข้ดื้อๆ บ้างหรือเปล่า รับมือยังไงบ้าง
ความยากส่วนใหญ่ที่พบมักไม่ได้อยู่ที่ตัวโรคที่เป็น แต่อยู่ที่พฤติกรรมของคนไข้ค่ะ มีบางเคสที่รักษาหายแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม สุดท้ายกลับมาเป็นใหม่ กรณีแบบนี้จะยากตรงที่เราจะทำยังไงให้เขาไม่กลับมาเป็นซ้ำ ไม่ใช่แค่ให้หายแต่ต้องไม่เป็นอีก ดังนั้นในแต่ละเคสถึงแม้จะเป็นโรคเดียวกัน ก็จะแนะนำต่างกัน โดยยึดเอาคนไข้เป็นหลัก แล้วค่อยมาปรับวิธีรักษาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของเขา คุยกับคนไข้ว่าแบบไหนที่เขาพอจะทำได้บ้าง คือให้เป้าหมายเขากับเรามันตรงกันนะคะ ส่วนตัวมองว่ามันคุ้ม ถ้าเราจะให้เวลาคนไข้เพิ่มอีกสักหน่อย เพื่อให้เขาได้เล่าว่าความเจ็บป่วยที่เขาเจอมันส่งผลต่อชีวิตเขายังไง เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่าจะดูแลคนไข้เคสนี้ยังไง
• แบบนี้ต้องเป็นถึงขั้นไหน หรือรุนแรงขนาดไหนถึงควรไปพบหมอคะ เพราะบางคนอาจจะมีอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ เลยอาจจะคิดว่าไม่ค่อยรุนแรงแล้วก็ปล่อยไว้ไม่ไปพบหมอ ตรงนี้ควรกระทำไหมคะ หรือมันจะส่งผลในอนาคตไหม
อย่างแรกให้ลองสังเกตอาการตัวเองให้ดีก่อน ถ้าเราลองปรับพฤติกรรม ลดการใช้งาน หรือดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการดีขึ้นแบบนี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าสังเกตดูอาการยิ่งเป็นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นซ้ำๆ บ่อยขึ้น กรณีนี้ควรรีบรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าปล่อยไว้นานจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง ร่างกายก็จะเกิดผลกระทบหลายส่วน ให้ลองนึกง่ายๆ ว่ากระดูกเราเหมือนเสา กล้ามเนื้อกับเอ็นคือเชือกที่ดึงยึดเสาไว้ ถ้าเชือกตึงหรือหย่อนไปนานๆ เสาก็เอียง ถ้าเสาผุกร่อน โครงสร้างก็ทรุดย่อมส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลแน่นอน เมื่อเสียสมดุลระบบการทำงานอื่นๆ ก็รวนไปด้วย ยิ่งถ้าเกิดการผิดรูปหรือเสื่อมของกระดูกไปแล้วแบบนี้ก็จะแก้ไขยากกว่าเดิมค่ะ
• อย่างบางคนเขาก็อาจจะหันไปหาหมอนวด หรือเข้าสปาแทน ตรงนี้ช่วยได้หรือไม่อย่างไร
แต่ละวิชาชีพมีข้อดีหรือจุดเด่นแตกต่างกันนะคะ อาการปวดบางอย่างการนวดหรือทำสปาร่วมด้วยก็ช่วยให้อาการคนไข้ดีขึ้น แต่บางโรคก็อาจจะต้องระวัง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาจากตัวโรคเป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง หากเป็นการปวดที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมากจนเมื่อยล้า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กรณีแบบนี้การนวดหรือสปาก็จะช่วยให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น สามารถไล่ของเสียที่คั่งค้างตามกล้ามเนื้อ เมื่อระบบไหลเวียนดีกล้ามเนื้อก็จะได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น อาการปวดตึงก็ลดลง แต่หากคนไข้อยู่ในระยะอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) การนวดหรือทำสปาก็ควรงดไปก่อนค่ะ
อีกกรณีคืออาการปวดที่มีสาเหตุมาจากโครงสร้างของร่างกายที่ผิดปกติ จะพบว่าคนไข้นวดแล้วอาการดีขึ้นเป็นพักๆ ไม่นานก็กลับมาเป็นใหม่ ลักษณะนี้ควรหาสาเหตุที่แท้จริงแล้วแก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่าที่จะปล่อยให้เป็นเรื้อรัง ยิ่งในปัจจุบันเราพบว่ามีแพทย์ทางเลือกเกิดขึ้นหลายสาขา แต่ละสาขาก็จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะโรคต่างกัน คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีนี้จะช่วยได้ไหมแต่อยู่ที่ว่าการรักษานี้เหมาะกับโรคที่เราเป็นอยู่ไหม เหมือนกับเวลาเราเลือกซื้อของต่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นดีแต่ไม่ตรงกับความต้องการเรา ก็เกิดประโยชน์น้อย ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีแต่แค่ไม่เหมาะ การเลือกวิธีการรักษาก็เหมือนกันค่ะ ดังนั้นหากมีอาการที่ผิดปกติ เช่น ปวดร้าวชาไปตามปลายมือปลายเท้า มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ เรื้อรังมานาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินหาสาเหตุให้แน่ชัด ก่อนทำการรักษาจะปลอดภัยและได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้มากที่สุดค่ะ
• หลายคนอาจสงสัยว่าการกายภาพบำบัดสามารถหายได้จริงหรือเปล่า อยากให้ยืนยันตรงนี้หน่อยค่ะ
หายได้จริงค่ะ ส่วนเวลาในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ตัวโรคที่เป็น โดยเฉพาะกลุ่มโรคเรื้อรัง (Chronic disease) ที่เป็นมานานหลายปี กลุ่มนี้จะรักษายากและนานกว่า
สองพฤติกรรมของคนไข้เอง ข้อนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะการรักษาทางกายภาพบำบัดไม่มีการจ่ายยา สิ่งที่เราจ่ายให้คนไข้ก่อนกลับ คือ ท่าบริหารที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับโรคของคนไข้ ดังนั้นหากคนไข้ได้ไปแต่ไม่ทำก็เหมือนมียาแต่ไม่ทาน ระยะเวลาที่เป็นมา ถ้าเป็นแล้วรีบรักษาดูแลตัวเองตั้งแต่เริ่มแรกโอกาสหายได้ในไม่กี่ครั้งก็มีสูง
สามภาวะร่างกายของคนไข้ กลุ่มที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน เกาต์ ความดันก็มีผลต่อระยะเวลาการฟื้นฟูด้วยค่ะ
ทั้งนี้ความเครียดมีผลกับฮอร์โมนที่ทำให้กล้ามเนื้อเราตึงตัวเพิ่มขึ้นนะคะ เราเลยพบบ่อยว่าในโรคเรื้อรังแพทย์มักจะให้ยาคลายกังวลควบคู่มาด้วย บางโรคอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เวลาพลอยเจอคนไข้ที่หมดหวัง จะบอกคนไข้เสมอว่า เดี๋ยวเราจะสู้กับโรคนี้ไปด้วยกัน หายไม่หายอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้เวลานี้หน้าที่เราคือรักษาโรคให้ ส่วนเรื่องของใจคนไข้ต้องช่วยกันค่ะ
• ในการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ในยุคสมัยใหม่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ยกตัวอย่างที่หมอพลอยบอกไว้ข้างต้นก็คือ มนุษย์ออฟฟิศเพราะต้องนั่งทำงานหน้าคอมพ์เป็นเวลานานๆ อาจจะส่งผลให้ปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนิ้วมือหรือแม้แต่ผู้ติดเทคโนโลยีทั้งหลาย แบบนี้มีเคล็ดลับการป้องกันหรือการรักษาอย่างไรบ้างคะ
“ทำแต่พอดี” ค่ะ พอดีที่ว่าคือแค่ไหน อย่างแรกเราต้องเข้าใจธรรมชาติของร่างกายก่อนว่า ร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่นิ่ง หรือทำงานแบบเดิมซ้ำๆ เหมือนเครื่องจักร วิธีที่ดีที่สุดคือก็อย่าไปทำอะไรที่มันขัดกับธรรมชาติ ถ้าเรารู้ว่าต้องอยู่ท่าเดิมนานๆ ก็ตั้งเวลาไว้ลุกเดินไปทำกิจกรรมอื่นบ้าง ถ้ารู้ว่าต้องใช้งานท่าเดิมซ้ำๆ ก็หาอุปกรณ์ตัวช่วยหรือออกกำลังให้กล้ามเนื้อที่เราใช้งานหนักแข็งแรงขึ้น ยืดเหยียดให้บ่อย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลักการพื้นฐานจึงไม่มีอะไรมาก แต่ที่ยากคือเรื่องพฤติกรรม
รูปแบบความคิดและการใช้ชีวิตจะบอกเราได้เลยว่าคนคนนี้เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคอะไร อย่างแรกคือคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าการมีสุขภาพดีสำคัญกับชีวิตคุณยังไง สุดท้ายแล้วมันจึงเป็นเรื่องของวินัยล้วนๆ เลยค่ะ เราจะมีสุขภาพดีได้ไม่ใช่เพราะทานอาหารที่มีประโยชน์แค่มื้อสองมื้อ ออกกำลังกายแค่เดือนสองเดือน แต่มันต้องทำสะสม นี่คือสิ่งที่คนไข้ส่วนใหญ่ยังขาด เดี๋ยวนี้มีช่องทางเยอะมากในการหาความรู้หรือขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุขภาพ จึงเป็นเรื่องง่ายที่เราจะหาวิธีดูแลตัวเองได้เบื้องต้น ในเพจ “หมอพลอยกายภาพบำบัด” ก็จะพยายามหาข้อมูลใหม่ๆ ในการดูแลตัวเอง การตรวจเช็กร่างกายในรูปแบบที่เข้าใจง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป เพื่อให้หลายคนได้ดูแลสุขภาพตัวเองได้เหมาะสม เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ต้องดูแลเลยตั้งแต่ตอนนี้ไม่มีคำว่าเดี๋ยวก่อน ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงนะคะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : เพจหมอพลอยกายภาพบำบัด หนองแค สระบุรี
สามารถปรึกษาเพิ่มเติม ได้ที่ : Facebook :
หมอพลอยกายภาพบำบัด หนองแค สระบุรี