จากนายแพทย์สู่ผู้ป่วย ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี กระทั่งปัจจุบันต่อสู้ยืนหยัดจนเป็นนักวิ่งดีกรีทีมชาติ “นายแพทย์เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์” หรือ “หมอเถียร” ในห้วงเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนอกจากเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจที่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตทุกรูปแบบ ทั้งเรื่องความฝัน การทำงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิต ในระหว่างวันที่ 19-30 ส.ค.ที่ใกล้จะถึงนี้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เขายังเป็นหนึ่งในตัวแทนของคนไทยทั้งชาติ สู้ศึกซีเกมส์เพื่อร่วมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย

เหตุใดใครคนหนึ่งถึงสามารถทำหลายสิ่งอย่างได้ถึงเพียงนี้
เพราะอะไรเขาถึงทำได้อย่างสำเร็จลุล่วง แม้มีอุปสรรคนานัปการ
Manager Online ขอนำพาไปลัดเลาะ ต่อยอดแง่งามความคิด ที่ซึ่งจะทำให้คุณยืนหยัดบนถนนชีวิต และทำตามฝันได้ด้วยตัวคุณเอง

จากเสื้อกาวน์ สู่เสื้อกล้ามนักวิ่ง
ใครว่า “บ้า” แต่สุขกายใจ
“เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์” นายแพทย์ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ม.มหิดล วัย 34 ปี เกิดที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ใครจะรู้ว่าแรกเริ่มเดิมทีรักชอบในทางกีฬาสายลูกหนัง ควบคู่กับความถนัดทางคำนวณเป็นชีวิตจิตใจที่อาจจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในฐานะนักวิศวะ
“ตอนเลือกเอนทรานซ์ เรียนหมอ เพราะคุณพ่อคุณแม่ท่านชอบ อยากให้เรียนหมอ แล้วเราก็ยังเด็ก แค่ ม.ปลายยังไม่รู้ตัวเองว่าอยากจะไปทางด้านไหน รู้แค่ชอบเตะฟุตบอล แต่เราไม่ได้เข้าโรงเรียนกีฬา ไม่ได้มาทางนี้ ก็เลยแค่เตะเล่นตามประสา ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เชียร์ ก็อาจจะเลือกเรียนวิศวะ เพราะตอนนั้นถนัดคณิตศาสตร์ กับฟิสิกส์ แต่ก็เพราะความเป็นเด็ก ผมก็เลยไม่ได้ซีเรียส เป็นอะไรก็ได้”
ด้วยลักษณะนิสัยมุมมองที่เปิดกว้างของวัยรุ่นเป็นทุนเดิม ครั้นเมื่อลองได้สัมผัสก็ทำให้ก่อเกิดเป็นความรักชอบในศาสตร์แขนงนี้ แต่ทว่าก็เพียงไม่นาน ความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คนให้หายป่วย ต้องกลับตาลปัตร เป็นผู้ป่วยเสียเอง
“ตอนเรียนแพทย์ประมาณปี 3 อายุราว 21 ผมป่วย ทั้งๆ ที่กำลังสนุกกับการช่วยเหลืออยู่เลย แต่เราดันมาป่วยซะเอง ผมป่วยเป็นโรค Ankylosing Spondylitis มันเป็นโรคที่ไม่มีชื่อภาษาไทย และพบผู้ป่วยได้น้อยมาก ถ้าจะแปลเป็นไทยก็จะประมาณเป็นการอักเสบของข้อกระดูกหลัง สะโพก เรื้อรัง อาการจะค่อยๆ ปวด จนถึงปวดมาก คือมันต่างจากโรคอื่นที่เราปวดส่วนไหนก็คือเกิดจากการใช้งานส่วนนั้นมาก แต่ตัวโรคนี้คล้ายๆ ว่าภูมิคุ้มกันของผมมันต่อต้านข้อต่อตัวเอง มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือพฤติกรรม เหมือนคนเป็นโรคภูมิแพ้ เกิดจากปัจจัยภายในตัวของผมเอง ทีนี้ ยิ่งพักยิ่งแย่ แต่จะเล่นก็เจ็บ ก็ต้องออกกำลังกายเบาๆ ให้สมดุล ค่อยๆ หายปวด”
แต่กว่าจะวินิจฉัยโรครู้ว่าเป็นโรคนี้ ก็กินระยะเวลาร่วมๆ ปี จนกระทั่งอาการทรุดหนักถึงขั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ผมไม่สามารถเดินได้เอง ก้มแต่งตัวไปเรียนไม่ได้ ต้องเดือดร้อนรูมเมตใส่กางเกงให้ พยุงใส่รถเข็น พาไปเรียน พอปวดก็ทำตามหลักทั่วไป เวลาเราปวดตรงจุดไหน เราก็พักการใช้งาน มันก็ยิ่งปวด เพราะตัวโรคนี้เหมือนสารที่ค้างคาในข้อมันไม่ได้ถูกคัดอออกไป

“ทีนี้พออาจารย์วินิจฉัยได้ ท่านก็บอกว่า อย่างแรกต้องขยันหน่อย ออกกำลังกายเยอะหน่อย แต่กีฬาที่เราเล่นอยู่เป็นประจำอย่างฟุตบอล แรงปะทะมันเยอะ มันจะทำให้ข้อยิ่งอักเสบ ก็งดไป อาจารย์ก็จะแนะนำให้เล่นกีฬาที่ไม่มีแรงปะทะ อย่างว่ายน้ำ ผมก็ไปว่าย อาการมันก็ดีขึ้น แต่พอผมว่ายน้ำบ่อย ผมดันเป็นหวัดแล้วก็ไซนัสอักเสบ ก็เลยย้ายมาเป็นวิ่งจ๊อกกิ้งแทนเพื่อรักษาอาการปวดต่อไป”
ตอนแรกๆ ที่ออกมาวิ่ง ก็เป็นวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อสุขภาพจริงๆ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน ความสนุกจึงไม่บังเกิดเหมือนเช่นการออกกำลังกายด้วยกีฬาเป็นทีมอย่างฟุตบอล
“เพราะโรคมันไล่หลัง ผมเลยจำใจต้องวิ่ง ตัวโรคทำให้ต้องออกจากสังคมนั้น ผมวิ่งทั้งๆ ที่ผมไม่สนุกเลย เพราะเราเคยเป็นนักบอล เล่นกีฬาเป็นทีม เสียประตู ได้ประตู มันเฮ มันสนุก เป็นทีมมันสนุกกว่ากันเยอะ ยิ่งยุคนั้น สิบกว่าปีที่แล้ว การวิ่งยังไม่แพร่หลายในไทย ชวนใครมาวิ่ง ไม่มีมาวิ่งคู่ด้วย ต้องวิ่งคนเดียว เหงาๆ ก็จำใจวิ่งมาเรื่อย หยุดก็ไม่ได้ เพราะโรคค่อนข้างกำเริบง่าย ถ้าหยุดออกกำลังกายตอนเย็น ไม่ทันวันรุ่งขึ้นก็ปวดแล้ว
“ทีนี้พอเราทำอะไรซ้ำๆ สักสองเดือน ผมหยุดวิ่ง เริ่มไม่ปวด แต่ก็ยังวิ่งต่อเพราะกลายเป็นว่าวิ่งเพราะติดแทน เหมือนกับว่าเราทำอะไรซ้ำๆ มันจะติดเป็นนิสัย พอไม่ได้วิ่งเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
“มันก็เกิดความท้าทาย อยากจะลองสักตั้งในเส้นทางสายนี้ ซึ่งบังเอิญพอดี มันมีงานวิ่งที่จัดใกล้ๆ ที่เรียนตอนนั้น ก็เป็นการวิ่งถนนวันอาทิตย์ที่ชอบจัดฮิตๆ กันตอนนี้ แต่ตอนนั้นเดือนหนึ่งมีสักครั้งหนึ่งได้ ผมเห็นคิดว่ามีงานวิ่งอย่างนี้ด้วย ก็เลยสมัคร เพื่อไปหาเพื่อนวิ่ง ในงานเราได้เจอเพื่อนนักวิ่งเยอะแยะ”
แม้เพื่อนจะมีอายุเยอะหน่อย แต่อย่างน้อยๆ ก็ขจัดความเหงาออกไปได้ ซึ่งนั่นทำให้คุณหมอมีแรงฮึดที่จะวิ่งต่อ พร้อมกับเปลี่ยนชีวิตสู่นักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทย
“ก็กะว่าจะไปหาเพื่อน ไม่ได้คิดเรื่องรางวงรางวัลอะไร แต่เราไม่รู้ตัวว่าเราเก่งขึ้น วิ่งเป็นกีฬาที่ใช้พรสวรรค์น้อย ใช้ความขยันเยอะ เราออกวิ่งทุกวัน เราก็เก่งขึ้น ปรากฏว่าด้วยความที่เราต้องออกวิ่งทุกวัน มันเร็วขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว ไปออกงานแรก ก็ได้รางวัลเลย ก็คิดว่าไหนๆ มันเป็นกีฬาที่ตอนแรก เราไม่ค่อยสนุกอยู่แล้ว เราก็เลยลองหาความท้าทายด้วยการวิ่งเพื่อการแข่งขัน จากแต่เดิม ที่คิดว่าวิ่งเพื่อสุขภาพ

“สนามทั่วไปแถวย่านกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เดินทางไปได้ด้วยรถแท็กซี่ ผมก็ไปหมด ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะถ้าช่วงไหนเรียนหนักก็เปลี่ยนกลับมาเป็นวิ่งเพื่อสุขภาพ ว่างเมื่อไหร่ก็วิ่ง ดึกๆ 4 ทุ่ม เที่ยงคืนก็วิ่ง เพราะว่าหยุดแล้วปวด แต่มันไม่ได้ต้องใช้เวลาทุ่มเทในการซ้อมมาก เพราะว่าไม่ได้วิ่งเพื่อการแข่งขัน วิ่ง 10 - 20 นาที พอได้เหงื่อ ได้ความสดชื่นก็กลับไปนอนแล้ว แต่ตอนนั้นตลก สมัยนั้นคนวิ่งเที่ยงคืนโดนมองว่าประหลาดหน่อย คนเที่ยงคืนสมัยนั้นออกไปผับถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เที่ยงคืน เห็นผมใส่ชุดวิ่งเนี่ย แปลกๆ ล่ะ บ้าหรือเปล่า แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียส เราป่วยอยู่ เราก็ต้องรักษาโรคเราไป”

โอกาสเกิดขึ้นจากความพยายาม
รู้ตัวรู้ใจ แล้วไปให้ถึง
จากความท้าทายต่อยอดสู่ความมุ่งมั่นที่จะลองสักตั้ง ที่จะจริงจังในฐานะนักกีฬาคนหนึ่งที่ความฝันคือการได้มีชื่อในนามทีมชาติ
“คือผมเริ่มได้วิ่งในรายการใหญ่ขึ้น รายการเมเจอร์หลักๆ ของประเทศ อย่างรายการกรุงเทพมาราธอน จอมบึงมาราธอน มีผลงานได้ถ้วยพระราชทานบ้างอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ ผมก็เริ่มคิดเรื่องสองเรื่องนี้แล้ว ตลอดระยะเวลา 10 ปี คือตอนเอนทรานซ์มันยังเด็ก เรายังไม่ได้รู้วิชา ว่าชอบอะไรก็จริง แต่พอเรามาทำงาน เราก็สนุกกับงาน คือผมรักทางวิชาหมอและรักทั้งการวิ่ง
“เราก็บาลานซ์ชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งช่วงที่ผมได้โอกาสซ้อมจริงจังมากขึ้นก่อนที่จะขึ้นแคมป์ทีมชาติที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ได้โอกาสจากอดีตทีมชาติอย่างพี่อุ้มยศ กิจอุดม ด้วยความบังเอิญ ก็ไม่รู้ทำไมเขาคัดตัวผม พอได้โอกาส ก็ซ้อมด้วยกับเขา ก็มีความยากลำบากในการคิดทั้งสองเรื่อง เพราะสนามซ้อมของพี่อุ้มยศ ห่างจากโรงพยาบาล 50 กิโลเมตร แต่ตอนนั้น ผมก็ยังมองว่ายังไม่ต้องเลือก ทั้งสองอย่างทำได้ แค่ไปกลับ 100 กิโลเมตร ผมทำได้ เพียงแค่ช่วงไหนที่คนไข้หนัก ผมก็ไม่ได้ไปเป็นสัปดาห์เลย ก็มี ช่วงไหนที่พอมีก็ไปด้วย”
ฝีเท้าจึงเริ่มที่จะขยับจนสามารถเทียบขั้นอาชีพอีกแขนงหนึ่งที่เลือกได้และที่สำคัญเป็นอีกทางที่รักและชอบอีกด้วย
“สตาฟฟ์โค้ชทางทีมผู้ฝึกสอนชาวไทย เขาก็ชักชวน บอกว่าแคมป์ซีเกมส์จะเปิดช่วงปลายปี 59 เราสนใจไหม อยากจะลองขึ้นมาซ้อมด้วยกันไหม ผมก็ดูแล้วต้องเลือก จริงๆ มันตัดสินใจยากมาก หนึ่ง ผมมองว่า อย่างแรก คนไข้ผมต้องไม่เสียประโยชน์ ตอนแรกเนี่ยพอซ้อม พอเราเก่งขึ้นบ้าง ก็คิดว่าถ้าเราทะลุฝีเท้าขึ้นมาได้จริงๆ เราก็คงจอดอยู่แค่นี้ คือขึ้นไปแคมป์เชียงใหม่ไม่ได้ เพราะว่าคนไข้ผม ใครจะดูต่อ เพราะผมเป็นหมอเฉพาะทาง ทางด้านนี้คนเดียวของโรงพยาบาล ก็คือเราก็ไม่ได้หวัง เพราะหมอทางด้านผม มีไม่เยอะ แล้วทุกคนก็มักจะมีที่ทำงานประจำด้วย ก็เลยไม่ได้กล้าหวังอะไรมาก ก็คุยกับ ผอ. ท่านก็พูดมาคำหนึ่งว่า ถ้าเป็นน้องชายผม ผมอยากเชียร์น้องชายให้ขึ้น เนื่องจากมันโอกาสครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็ไม่รู้จะให้คนไข้ไปไหนต่อ
“แต่ทีนี้มันเหมือนโชค ก่อนที่โค้ชทีมชาติจะชวนขึ้นไปสองเดือน มีหมอทางด้านนี้มาอยู่ที่โรงพยาบาลมาช่วยผม ก็เลยเป็นจุดที่เราวางใจว่าคนไข้มีคนดูแลต่อที่ดีแล้ว ก็เลยกล้าที่จะขึ้นไป ปัญหาหนักใจสุด เรื่องคนไข้ก็มีทางอออก“

เมื่อได้มุ่งลงสนามเต็มที่ทักษะฝีเท้าก็ดีขึ้นคืนวัน ผลักดันให้ประตูแห่งโอกาสอีกบาน เปิดรับเข้าทดสอบ
“เราก็ขึ้นไปซ้อม แต่ไม่ได้เป็นตัวยืนในโครงการ ทว่าระหว่างที่เก็บตัวกับแคมป์ได้ประมาณ 3-4 เดือน โค้ชก็บอกว่า ดูจากการซ้อม เราน่าจะวิ่งมาราธอนได้ แล้วเวลาน่าจะรู้ตัวไหม ผมก็บอกว่าไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมเหนื่อยทุกวัน ก็เลยมีการคุยกันและแนะนำให้ไปทดสอบเวลามาราธอนสักอันหนึ่งที่ได้มาตรฐาน คือมีอิเล็กทรอนิกส์ไทม์ชิป ไม่ได้จับจากมือ เพราะว่าต้องเอาเวลาไปยื่นสมาคม ก็ดีใจมาก กอดโค้ชเลย ไม่คิดว่าจะได้โอกาสขนาดนี้ โดยเราต้องทำเวลาให้ใกล้เคียงกับเหรียญทองแดงซีเกมส์ปีที่แล้ว คือห้ามต่ำกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที แล้วจะได้เสนอทางหัวหน้าผู้ฝึกสอนไปยื่นทางสมาคมประชุมคัดเลือก
“ผมก็ไม่มีอะไรจะเสีย ผมบอกว่าผมเอา ก็เลยเป็นที่มาของการขึ้นมาราธอนแรก ทีนี้พอได้รับโอกาส ผมก็ใช้เวลาวันหนึ่งเพื่อหาสนามในไทย เพราะผมไม่เคยไปวิ่งต่างประเทศ พอหาสนามในไทย รายการมาตรฐานมันไม่มี แล้วปิดรับสมัครไปแล้ว เรากระชั้นชิด ปิดรับสมัครก่อนล่วงหน้านาน ก็เลยเป็นที่มาให้ไปต่างประเทศ ตอนแรกมองหาในอาเซียนก่อน ไม่อยากไปไกล ก็ไม่มี ก็เลยออกไปหาในย่านเอเชีย เจอสนามนี้สนามเดียว มีคนชอบถามว่าทำไมผมถึงเลือกไปญี่ปุ่น คำตอบคือผมไม่ได้เลือก มันมีสนามเดียว”
และผลการแข่งขันฟูลมาราธอนหนแรกในชีวิตนายแพทย์เสถียร นอกจากจะทำสถิติได้ตามเป้าคือ 2.39.51 ชม. ยังเป็นการคว้าแชมป์วิ่ง คาชิวะ โนะ ฮะ โซไก มาราธอน ที่เมืองคาชิวะ ประเทศญี่ปุ่นเป็นของแถม
“ก็แอบดีใจ เพราะแอบอยากจะเป็นทีมชาติกับเขา คือในมุมของนักกีฬา การได้เล่นกีฬาในนามทีมชาติ มันเป็นอะไรที่มีเกียรติสูงสุดแล้ว ถามว่า หวังอยู่ลึกๆ ไหม ผมว่านักกีฬาทุกคนมันต้องมีฟีลลิ่งนั้นบ้าง แต่ถามว่าเรากล้าที่จะฟิตแบบจริงจังไหม เราก็คงไม่กล้าขนาดนั้น เราไม่ใช่คนที่มาทางด้านกีฬาตั้งแต่เด็ก
“แต่เมื่อประตูเปิด มีโอกาส ในเรื่องความฝัน เราต้องเลือกในสิ่งที่รักและชอบ ฟังว่าช้าไปไหม 34 เพิ่งได้ติดทีมชาติ ผมว่าไม่ช้านะครับ ไม่มีอะไรสายเกินไป”

เก่าแต่เก๋า เชื่อว่าเราทำมันได้
ยอดนักสู้คุณหมอนักวิ่ง
“ผมว่าในเรื่องการทำความฝันให้เป็นจริง มันมีหลายหลักความคิด ที่อยากจะบอกก็คือ ผมมองว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่าจะทำได้ น่าจะเรื่องนี้มากกว่า ซึ่งจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีความฝันอะไรแล้วเราตั้งใจที่จะทำมัน ลงมือทำมัน ผมว่ามันเป็นไปได้ อย่าไปดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ ความฝันมันเป็นไปไม่ได้ตอนไหน ก็คือตอนที่เราไม่ได้ลงมือทำ ฝันยากแค่ไหนมันก็เป็นไปได้ ตราบใดที่เราคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่มันจะเป็นไปไม่ได้ในทันทีที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ความเชื่อเรา
“คือถ้าอย่างผม ถ้ามัวแต่มองว่าเราป่วยนะ เราแก่แล้วนะ เชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็คือจบ ไม่มีวันเป็นอย่างนี้” นายแพทย์เสถียร กล่าวเสริม ถึงหลักการความคิดอันเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้มาถึง ณ หนึ่งในทัพนักกีฬาทางไกลวิ่งมาราธอน 42.195 ก.ม. ทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง 19 - 30 ส.ค.นี้
“อย่างแรกคือเราต้องเชื่อว่ามันเป็นไปได้ แล้วอย่าเพ้อฝัน แต่ให้อยู่ในความเป็นจริง คือถ้าเรารู้สึกว่าเราแก่แล้ว เราเป็นโรค ดูถูกตัวเอง ก็ไม่มีวันนี้ ผมเคยฟังอยู่เรื่องหนึ่ง เขาบอกว่าคนเราเนี่ยเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง จะเป็นคอมพิวเตอร์สมัยโบราณ หรือเป็นเครื่องใหม่ก็ได้ แต่การที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะทำงานให้เราได้ อาทิ พรินต์งาน ทำโปรไฟล์เสนอ มันไม่ได้อยู่กับว่าเครื่องนี้เป็นเครื่องที่ถอยมาใหม่ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด เพราะต่อให้มันรุ่นเก่าสักหน่อยก็ได้ แต่ขอให้จุดต่างคือซอฟต์แวร์ที่ถูกใส่ถูกป้อนเข้าไปในคอมพ์เครื่องนั้น เพราะถ้ามันไม่มีโปรแกรม ต่อให้คอมพิวเตอร์เราแพงหรือใหม่แค่ไหน มันก็พรินต์งานให้เราไม่ได้

“อย่าไปดูถูกตังเองว่าเราเป็นคอมพ์รุ่นเก่าแล้วทำไม่ได้ ผมว่าส่วนใหญ่มักจะดูถูกตัวเอง ต่อให้เมาส์มันเก่า มันก็ทำงานของมันได้ ถ้าเรามีซอฟต์แวร์ที่ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวิ่งอย่างเดียว มันใช้ได้กับทุกเรื่อง ทั้งทำงาน ความฝัน ชีวิตที่เราอยากทำอะไรสักอย่าง เราจะทำงานให้สำเร็จสักงานหนึ่ง อย่าไปมองข้อเสียตัวเองมากนัก มันมีผลน้อย คือถ้าเราไม่เชื่อในพรสวรรค์ ให้เชื่อในความขยัน ความขยันมันทำให้เราทำตามความฝันได้
และนี่ก็คือเรื่องราวของคนคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาพลิกและเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองด้วยสองมือและสองขา สู่เป้าหมายความฝันที่ใครๆ ก็สามารถทำตามได้ เพียงแค่เชื่อมั่นและลงมือทำ
“ก็ฝากให้พี่น้องชาวไทย ในแคมป์ไม่ใช่มีผมคนเดียว นักวิ่งระยะไกลทั้งหมด ทีมทางไกลซ้อมกันหนักมาก ก็อยากจะฝากให้กำลังใจพวกเราด้วยในการสู้ศึกซีเกมส์ครั้งนี้ที่มาเลเซีย แรงบันดาลใจ ฝัน ตื่นจากฝัน ทำให้มันบาลานซ์กัน อย่าย่อท้อ เคล็ดลับมีแค่นั้น เราต้องบาลานซ์ชีวิตให้ได้”

เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : นายแพทย์เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์
เหตุใดใครคนหนึ่งถึงสามารถทำหลายสิ่งอย่างได้ถึงเพียงนี้
เพราะอะไรเขาถึงทำได้อย่างสำเร็จลุล่วง แม้มีอุปสรรคนานัปการ
Manager Online ขอนำพาไปลัดเลาะ ต่อยอดแง่งามความคิด ที่ซึ่งจะทำให้คุณยืนหยัดบนถนนชีวิต และทำตามฝันได้ด้วยตัวคุณเอง
จากเสื้อกาวน์ สู่เสื้อกล้ามนักวิ่ง
ใครว่า “บ้า” แต่สุขกายใจ
“เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์” นายแพทย์ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ม.มหิดล วัย 34 ปี เกิดที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ใครจะรู้ว่าแรกเริ่มเดิมทีรักชอบในทางกีฬาสายลูกหนัง ควบคู่กับความถนัดทางคำนวณเป็นชีวิตจิตใจที่อาจจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในฐานะนักวิศวะ
“ตอนเลือกเอนทรานซ์ เรียนหมอ เพราะคุณพ่อคุณแม่ท่านชอบ อยากให้เรียนหมอ แล้วเราก็ยังเด็ก แค่ ม.ปลายยังไม่รู้ตัวเองว่าอยากจะไปทางด้านไหน รู้แค่ชอบเตะฟุตบอล แต่เราไม่ได้เข้าโรงเรียนกีฬา ไม่ได้มาทางนี้ ก็เลยแค่เตะเล่นตามประสา ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เชียร์ ก็อาจจะเลือกเรียนวิศวะ เพราะตอนนั้นถนัดคณิตศาสตร์ กับฟิสิกส์ แต่ก็เพราะความเป็นเด็ก ผมก็เลยไม่ได้ซีเรียส เป็นอะไรก็ได้”
ด้วยลักษณะนิสัยมุมมองที่เปิดกว้างของวัยรุ่นเป็นทุนเดิม ครั้นเมื่อลองได้สัมผัสก็ทำให้ก่อเกิดเป็นความรักชอบในศาสตร์แขนงนี้ แต่ทว่าก็เพียงไม่นาน ความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คนให้หายป่วย ต้องกลับตาลปัตร เป็นผู้ป่วยเสียเอง
“ตอนเรียนแพทย์ประมาณปี 3 อายุราว 21 ผมป่วย ทั้งๆ ที่กำลังสนุกกับการช่วยเหลืออยู่เลย แต่เราดันมาป่วยซะเอง ผมป่วยเป็นโรค Ankylosing Spondylitis มันเป็นโรคที่ไม่มีชื่อภาษาไทย และพบผู้ป่วยได้น้อยมาก ถ้าจะแปลเป็นไทยก็จะประมาณเป็นการอักเสบของข้อกระดูกหลัง สะโพก เรื้อรัง อาการจะค่อยๆ ปวด จนถึงปวดมาก คือมันต่างจากโรคอื่นที่เราปวดส่วนไหนก็คือเกิดจากการใช้งานส่วนนั้นมาก แต่ตัวโรคนี้คล้ายๆ ว่าภูมิคุ้มกันของผมมันต่อต้านข้อต่อตัวเอง มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือพฤติกรรม เหมือนคนเป็นโรคภูมิแพ้ เกิดจากปัจจัยภายในตัวของผมเอง ทีนี้ ยิ่งพักยิ่งแย่ แต่จะเล่นก็เจ็บ ก็ต้องออกกำลังกายเบาๆ ให้สมดุล ค่อยๆ หายปวด”
แต่กว่าจะวินิจฉัยโรครู้ว่าเป็นโรคนี้ ก็กินระยะเวลาร่วมๆ ปี จนกระทั่งอาการทรุดหนักถึงขั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ผมไม่สามารถเดินได้เอง ก้มแต่งตัวไปเรียนไม่ได้ ต้องเดือดร้อนรูมเมตใส่กางเกงให้ พยุงใส่รถเข็น พาไปเรียน พอปวดก็ทำตามหลักทั่วไป เวลาเราปวดตรงจุดไหน เราก็พักการใช้งาน มันก็ยิ่งปวด เพราะตัวโรคนี้เหมือนสารที่ค้างคาในข้อมันไม่ได้ถูกคัดอออกไป
“ทีนี้พออาจารย์วินิจฉัยได้ ท่านก็บอกว่า อย่างแรกต้องขยันหน่อย ออกกำลังกายเยอะหน่อย แต่กีฬาที่เราเล่นอยู่เป็นประจำอย่างฟุตบอล แรงปะทะมันเยอะ มันจะทำให้ข้อยิ่งอักเสบ ก็งดไป อาจารย์ก็จะแนะนำให้เล่นกีฬาที่ไม่มีแรงปะทะ อย่างว่ายน้ำ ผมก็ไปว่าย อาการมันก็ดีขึ้น แต่พอผมว่ายน้ำบ่อย ผมดันเป็นหวัดแล้วก็ไซนัสอักเสบ ก็เลยย้ายมาเป็นวิ่งจ๊อกกิ้งแทนเพื่อรักษาอาการปวดต่อไป”
ตอนแรกๆ ที่ออกมาวิ่ง ก็เป็นวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อสุขภาพจริงๆ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน ความสนุกจึงไม่บังเกิดเหมือนเช่นการออกกำลังกายด้วยกีฬาเป็นทีมอย่างฟุตบอล
“เพราะโรคมันไล่หลัง ผมเลยจำใจต้องวิ่ง ตัวโรคทำให้ต้องออกจากสังคมนั้น ผมวิ่งทั้งๆ ที่ผมไม่สนุกเลย เพราะเราเคยเป็นนักบอล เล่นกีฬาเป็นทีม เสียประตู ได้ประตู มันเฮ มันสนุก เป็นทีมมันสนุกกว่ากันเยอะ ยิ่งยุคนั้น สิบกว่าปีที่แล้ว การวิ่งยังไม่แพร่หลายในไทย ชวนใครมาวิ่ง ไม่มีมาวิ่งคู่ด้วย ต้องวิ่งคนเดียว เหงาๆ ก็จำใจวิ่งมาเรื่อย หยุดก็ไม่ได้ เพราะโรคค่อนข้างกำเริบง่าย ถ้าหยุดออกกำลังกายตอนเย็น ไม่ทันวันรุ่งขึ้นก็ปวดแล้ว
“ทีนี้พอเราทำอะไรซ้ำๆ สักสองเดือน ผมหยุดวิ่ง เริ่มไม่ปวด แต่ก็ยังวิ่งต่อเพราะกลายเป็นว่าวิ่งเพราะติดแทน เหมือนกับว่าเราทำอะไรซ้ำๆ มันจะติดเป็นนิสัย พอไม่ได้วิ่งเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
“มันก็เกิดความท้าทาย อยากจะลองสักตั้งในเส้นทางสายนี้ ซึ่งบังเอิญพอดี มันมีงานวิ่งที่จัดใกล้ๆ ที่เรียนตอนนั้น ก็เป็นการวิ่งถนนวันอาทิตย์ที่ชอบจัดฮิตๆ กันตอนนี้ แต่ตอนนั้นเดือนหนึ่งมีสักครั้งหนึ่งได้ ผมเห็นคิดว่ามีงานวิ่งอย่างนี้ด้วย ก็เลยสมัคร เพื่อไปหาเพื่อนวิ่ง ในงานเราได้เจอเพื่อนนักวิ่งเยอะแยะ”
แม้เพื่อนจะมีอายุเยอะหน่อย แต่อย่างน้อยๆ ก็ขจัดความเหงาออกไปได้ ซึ่งนั่นทำให้คุณหมอมีแรงฮึดที่จะวิ่งต่อ พร้อมกับเปลี่ยนชีวิตสู่นักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทย
“ก็กะว่าจะไปหาเพื่อน ไม่ได้คิดเรื่องรางวงรางวัลอะไร แต่เราไม่รู้ตัวว่าเราเก่งขึ้น วิ่งเป็นกีฬาที่ใช้พรสวรรค์น้อย ใช้ความขยันเยอะ เราออกวิ่งทุกวัน เราก็เก่งขึ้น ปรากฏว่าด้วยความที่เราต้องออกวิ่งทุกวัน มันเร็วขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว ไปออกงานแรก ก็ได้รางวัลเลย ก็คิดว่าไหนๆ มันเป็นกีฬาที่ตอนแรก เราไม่ค่อยสนุกอยู่แล้ว เราก็เลยลองหาความท้าทายด้วยการวิ่งเพื่อการแข่งขัน จากแต่เดิม ที่คิดว่าวิ่งเพื่อสุขภาพ
“สนามทั่วไปแถวย่านกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เดินทางไปได้ด้วยรถแท็กซี่ ผมก็ไปหมด ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะถ้าช่วงไหนเรียนหนักก็เปลี่ยนกลับมาเป็นวิ่งเพื่อสุขภาพ ว่างเมื่อไหร่ก็วิ่ง ดึกๆ 4 ทุ่ม เที่ยงคืนก็วิ่ง เพราะว่าหยุดแล้วปวด แต่มันไม่ได้ต้องใช้เวลาทุ่มเทในการซ้อมมาก เพราะว่าไม่ได้วิ่งเพื่อการแข่งขัน วิ่ง 10 - 20 นาที พอได้เหงื่อ ได้ความสดชื่นก็กลับไปนอนแล้ว แต่ตอนนั้นตลก สมัยนั้นคนวิ่งเที่ยงคืนโดนมองว่าประหลาดหน่อย คนเที่ยงคืนสมัยนั้นออกไปผับถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เที่ยงคืน เห็นผมใส่ชุดวิ่งเนี่ย แปลกๆ ล่ะ บ้าหรือเปล่า แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียส เราป่วยอยู่ เราก็ต้องรักษาโรคเราไป”
โอกาสเกิดขึ้นจากความพยายาม
รู้ตัวรู้ใจ แล้วไปให้ถึง
จากความท้าทายต่อยอดสู่ความมุ่งมั่นที่จะลองสักตั้ง ที่จะจริงจังในฐานะนักกีฬาคนหนึ่งที่ความฝันคือการได้มีชื่อในนามทีมชาติ
“คือผมเริ่มได้วิ่งในรายการใหญ่ขึ้น รายการเมเจอร์หลักๆ ของประเทศ อย่างรายการกรุงเทพมาราธอน จอมบึงมาราธอน มีผลงานได้ถ้วยพระราชทานบ้างอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ ผมก็เริ่มคิดเรื่องสองเรื่องนี้แล้ว ตลอดระยะเวลา 10 ปี คือตอนเอนทรานซ์มันยังเด็ก เรายังไม่ได้รู้วิชา ว่าชอบอะไรก็จริง แต่พอเรามาทำงาน เราก็สนุกกับงาน คือผมรักทางวิชาหมอและรักทั้งการวิ่ง
“เราก็บาลานซ์ชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งช่วงที่ผมได้โอกาสซ้อมจริงจังมากขึ้นก่อนที่จะขึ้นแคมป์ทีมชาติที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ได้โอกาสจากอดีตทีมชาติอย่างพี่อุ้มยศ กิจอุดม ด้วยความบังเอิญ ก็ไม่รู้ทำไมเขาคัดตัวผม พอได้โอกาส ก็ซ้อมด้วยกับเขา ก็มีความยากลำบากในการคิดทั้งสองเรื่อง เพราะสนามซ้อมของพี่อุ้มยศ ห่างจากโรงพยาบาล 50 กิโลเมตร แต่ตอนนั้น ผมก็ยังมองว่ายังไม่ต้องเลือก ทั้งสองอย่างทำได้ แค่ไปกลับ 100 กิโลเมตร ผมทำได้ เพียงแค่ช่วงไหนที่คนไข้หนัก ผมก็ไม่ได้ไปเป็นสัปดาห์เลย ก็มี ช่วงไหนที่พอมีก็ไปด้วย”
ฝีเท้าจึงเริ่มที่จะขยับจนสามารถเทียบขั้นอาชีพอีกแขนงหนึ่งที่เลือกได้และที่สำคัญเป็นอีกทางที่รักและชอบอีกด้วย
“สตาฟฟ์โค้ชทางทีมผู้ฝึกสอนชาวไทย เขาก็ชักชวน บอกว่าแคมป์ซีเกมส์จะเปิดช่วงปลายปี 59 เราสนใจไหม อยากจะลองขึ้นมาซ้อมด้วยกันไหม ผมก็ดูแล้วต้องเลือก จริงๆ มันตัดสินใจยากมาก หนึ่ง ผมมองว่า อย่างแรก คนไข้ผมต้องไม่เสียประโยชน์ ตอนแรกเนี่ยพอซ้อม พอเราเก่งขึ้นบ้าง ก็คิดว่าถ้าเราทะลุฝีเท้าขึ้นมาได้จริงๆ เราก็คงจอดอยู่แค่นี้ คือขึ้นไปแคมป์เชียงใหม่ไม่ได้ เพราะว่าคนไข้ผม ใครจะดูต่อ เพราะผมเป็นหมอเฉพาะทาง ทางด้านนี้คนเดียวของโรงพยาบาล ก็คือเราก็ไม่ได้หวัง เพราะหมอทางด้านผม มีไม่เยอะ แล้วทุกคนก็มักจะมีที่ทำงานประจำด้วย ก็เลยไม่ได้กล้าหวังอะไรมาก ก็คุยกับ ผอ. ท่านก็พูดมาคำหนึ่งว่า ถ้าเป็นน้องชายผม ผมอยากเชียร์น้องชายให้ขึ้น เนื่องจากมันโอกาสครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็ไม่รู้จะให้คนไข้ไปไหนต่อ
“แต่ทีนี้มันเหมือนโชค ก่อนที่โค้ชทีมชาติจะชวนขึ้นไปสองเดือน มีหมอทางด้านนี้มาอยู่ที่โรงพยาบาลมาช่วยผม ก็เลยเป็นจุดที่เราวางใจว่าคนไข้มีคนดูแลต่อที่ดีแล้ว ก็เลยกล้าที่จะขึ้นไป ปัญหาหนักใจสุด เรื่องคนไข้ก็มีทางอออก“
เมื่อได้มุ่งลงสนามเต็มที่ทักษะฝีเท้าก็ดีขึ้นคืนวัน ผลักดันให้ประตูแห่งโอกาสอีกบาน เปิดรับเข้าทดสอบ
“เราก็ขึ้นไปซ้อม แต่ไม่ได้เป็นตัวยืนในโครงการ ทว่าระหว่างที่เก็บตัวกับแคมป์ได้ประมาณ 3-4 เดือน โค้ชก็บอกว่า ดูจากการซ้อม เราน่าจะวิ่งมาราธอนได้ แล้วเวลาน่าจะรู้ตัวไหม ผมก็บอกว่าไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมเหนื่อยทุกวัน ก็เลยมีการคุยกันและแนะนำให้ไปทดสอบเวลามาราธอนสักอันหนึ่งที่ได้มาตรฐาน คือมีอิเล็กทรอนิกส์ไทม์ชิป ไม่ได้จับจากมือ เพราะว่าต้องเอาเวลาไปยื่นสมาคม ก็ดีใจมาก กอดโค้ชเลย ไม่คิดว่าจะได้โอกาสขนาดนี้ โดยเราต้องทำเวลาให้ใกล้เคียงกับเหรียญทองแดงซีเกมส์ปีที่แล้ว คือห้ามต่ำกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที แล้วจะได้เสนอทางหัวหน้าผู้ฝึกสอนไปยื่นทางสมาคมประชุมคัดเลือก
“ผมก็ไม่มีอะไรจะเสีย ผมบอกว่าผมเอา ก็เลยเป็นที่มาของการขึ้นมาราธอนแรก ทีนี้พอได้รับโอกาส ผมก็ใช้เวลาวันหนึ่งเพื่อหาสนามในไทย เพราะผมไม่เคยไปวิ่งต่างประเทศ พอหาสนามในไทย รายการมาตรฐานมันไม่มี แล้วปิดรับสมัครไปแล้ว เรากระชั้นชิด ปิดรับสมัครก่อนล่วงหน้านาน ก็เลยเป็นที่มาให้ไปต่างประเทศ ตอนแรกมองหาในอาเซียนก่อน ไม่อยากไปไกล ก็ไม่มี ก็เลยออกไปหาในย่านเอเชีย เจอสนามนี้สนามเดียว มีคนชอบถามว่าทำไมผมถึงเลือกไปญี่ปุ่น คำตอบคือผมไม่ได้เลือก มันมีสนามเดียว”
และผลการแข่งขันฟูลมาราธอนหนแรกในชีวิตนายแพทย์เสถียร นอกจากจะทำสถิติได้ตามเป้าคือ 2.39.51 ชม. ยังเป็นการคว้าแชมป์วิ่ง คาชิวะ โนะ ฮะ โซไก มาราธอน ที่เมืองคาชิวะ ประเทศญี่ปุ่นเป็นของแถม
“ก็แอบดีใจ เพราะแอบอยากจะเป็นทีมชาติกับเขา คือในมุมของนักกีฬา การได้เล่นกีฬาในนามทีมชาติ มันเป็นอะไรที่มีเกียรติสูงสุดแล้ว ถามว่า หวังอยู่ลึกๆ ไหม ผมว่านักกีฬาทุกคนมันต้องมีฟีลลิ่งนั้นบ้าง แต่ถามว่าเรากล้าที่จะฟิตแบบจริงจังไหม เราก็คงไม่กล้าขนาดนั้น เราไม่ใช่คนที่มาทางด้านกีฬาตั้งแต่เด็ก
“แต่เมื่อประตูเปิด มีโอกาส ในเรื่องความฝัน เราต้องเลือกในสิ่งที่รักและชอบ ฟังว่าช้าไปไหม 34 เพิ่งได้ติดทีมชาติ ผมว่าไม่ช้านะครับ ไม่มีอะไรสายเกินไป”
เก่าแต่เก๋า เชื่อว่าเราทำมันได้
ยอดนักสู้คุณหมอนักวิ่ง
“ผมว่าในเรื่องการทำความฝันให้เป็นจริง มันมีหลายหลักความคิด ที่อยากจะบอกก็คือ ผมมองว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่าจะทำได้ น่าจะเรื่องนี้มากกว่า ซึ่งจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีความฝันอะไรแล้วเราตั้งใจที่จะทำมัน ลงมือทำมัน ผมว่ามันเป็นไปได้ อย่าไปดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ ความฝันมันเป็นไปไม่ได้ตอนไหน ก็คือตอนที่เราไม่ได้ลงมือทำ ฝันยากแค่ไหนมันก็เป็นไปได้ ตราบใดที่เราคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่มันจะเป็นไปไม่ได้ในทันทีที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ความเชื่อเรา
“คือถ้าอย่างผม ถ้ามัวแต่มองว่าเราป่วยนะ เราแก่แล้วนะ เชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็คือจบ ไม่มีวันเป็นอย่างนี้” นายแพทย์เสถียร กล่าวเสริม ถึงหลักการความคิดอันเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้มาถึง ณ หนึ่งในทัพนักกีฬาทางไกลวิ่งมาราธอน 42.195 ก.ม. ทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง 19 - 30 ส.ค.นี้
“อย่างแรกคือเราต้องเชื่อว่ามันเป็นไปได้ แล้วอย่าเพ้อฝัน แต่ให้อยู่ในความเป็นจริง คือถ้าเรารู้สึกว่าเราแก่แล้ว เราเป็นโรค ดูถูกตัวเอง ก็ไม่มีวันนี้ ผมเคยฟังอยู่เรื่องหนึ่ง เขาบอกว่าคนเราเนี่ยเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง จะเป็นคอมพิวเตอร์สมัยโบราณ หรือเป็นเครื่องใหม่ก็ได้ แต่การที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะทำงานให้เราได้ อาทิ พรินต์งาน ทำโปรไฟล์เสนอ มันไม่ได้อยู่กับว่าเครื่องนี้เป็นเครื่องที่ถอยมาใหม่ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด เพราะต่อให้มันรุ่นเก่าสักหน่อยก็ได้ แต่ขอให้จุดต่างคือซอฟต์แวร์ที่ถูกใส่ถูกป้อนเข้าไปในคอมพ์เครื่องนั้น เพราะถ้ามันไม่มีโปรแกรม ต่อให้คอมพิวเตอร์เราแพงหรือใหม่แค่ไหน มันก็พรินต์งานให้เราไม่ได้
“อย่าไปดูถูกตังเองว่าเราเป็นคอมพ์รุ่นเก่าแล้วทำไม่ได้ ผมว่าส่วนใหญ่มักจะดูถูกตัวเอง ต่อให้เมาส์มันเก่า มันก็ทำงานของมันได้ ถ้าเรามีซอฟต์แวร์ที่ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวิ่งอย่างเดียว มันใช้ได้กับทุกเรื่อง ทั้งทำงาน ความฝัน ชีวิตที่เราอยากทำอะไรสักอย่าง เราจะทำงานให้สำเร็จสักงานหนึ่ง อย่าไปมองข้อเสียตัวเองมากนัก มันมีผลน้อย คือถ้าเราไม่เชื่อในพรสวรรค์ ให้เชื่อในความขยัน ความขยันมันทำให้เราทำตามความฝันได้
และนี่ก็คือเรื่องราวของคนคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาพลิกและเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองด้วยสองมือและสองขา สู่เป้าหมายความฝันที่ใครๆ ก็สามารถทำตามได้ เพียงแค่เชื่อมั่นและลงมือทำ
“ก็ฝากให้พี่น้องชาวไทย ในแคมป์ไม่ใช่มีผมคนเดียว นักวิ่งระยะไกลทั้งหมด ทีมทางไกลซ้อมกันหนักมาก ก็อยากจะฝากให้กำลังใจพวกเราด้วยในการสู้ศึกซีเกมส์ครั้งนี้ที่มาเลเซีย แรงบันดาลใจ ฝัน ตื่นจากฝัน ทำให้มันบาลานซ์กัน อย่าย่อท้อ เคล็ดลับมีแค่นั้น เราต้องบาลานซ์ชีวิตให้ได้”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : นายแพทย์เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์