xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 25 มิ.ย.-1 ก.ค.2560

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“บิ๊กตู่” ยังกั๊กจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ ชี้สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนด ด้านสมาชิก สปท.แห่ลาออกเพื่อลงสมัคร ส.ส.ครั้งหน้า!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ความเคลื่อนไหวด้านการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นสืบเนื่องจากกรณีที่นิด้าโพลสำรวจพบ ประชาชนเห็นด้วยให้มีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ เพราะต้องการเห็นทางออกใหม่ๆ ที่ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมือง ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่า ทหารจะตั้งพรรคหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า “ผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป็นคนตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตั้งหรือไม่ ต้องไปถามนายกฯ แต่ขอยืนยันว่า ไม่มีการตั้งพรรคการเมืองแต่อย่างใด”

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ผลโพลพบว่า ประชาชนสนับสนุนให้มีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า ส่วนตัวยังไม่คิดถึงตรงนั้น คิดแค่ว่าจะแก้ปัญหาราชการแผ่นดินอย่างไร “อย่ามากังวลกับผมว่า ผมจะอยู่ต่อหรือเปล่า หรือตั้งพรรคการเมืองหรือเปล่า แต่จะทำวันนี้ให้ผ่านไปก่อน สถานการณ์จะเป็นตัวชี้ชัดต่อไปเองว่า เราควรจะทำอย่างไรในอนาคต โดยจะต้องคาดหวังแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ทำได้ ทำสำเร็จ อย่าไปคิดว่าจะต้องทำโน่นทำนี่ให้สมาธิเสีย วันหน้าก็อยู่ที่ประชาชนนั่นแหละ เรื่องโพลก็ขอบคุณผู้สนับสนุน ส่วนผู้ไม่สนับสนุน ผมก็ขอบคุณเช่นกัน โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นทั้งสองทาง”

ส่วนกรณีที่มีบางคนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ และร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ ที่ผ่านวาระ 3 จากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากอาจเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายมาตลอด และว่า การทำกฎหมายทุกฉบับ มีการรับฟังความคิดเห็น ทั้งในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ได้มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มร่าง เมื่อถึงเวลาพิจารณาในชั้น สนช. ก็เปิดรับฟังผ่านเว็บไซต์ ยูทูบ และสื่อต่างๆ ถือเป็นการรับฟังความคิดเห็นอยู่แล้ว

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุถึงกรณีผลโพลสนับสนุนให้ตั้งพรรคการเมืองว่า สถานการณ์จะเป็นตัวชี้ชัดว่าควรทำอย่างไรในอนาคตว่า เป็นสิทธิของนายกฯ หากประชาชนสนับสนุน ก็ตั้งพรรคได้ แต่นายกฯ ควรประกาศให้ชัดว่าจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าไม่ชัด หลายคนจะมองว่าเป็นการเอาเปรียบทางการเมืองหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า การเลือกตั้งตามโรดแมปจะเกิดขึ้นปลายปี 2561 นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า “ถ้าให้ผมฟันธง เลิกคิดเลย เพราะเห็นได้จากความขัดแย้งของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และ สนช.ในการตั้งกรรมาธิการร่วมทำกฎหมายลูก ดูแล้วเป็นละครเหมือนลิเกมาแสดงเอาดาบไม้มาเสียบรักแร้กัน ไม่ได้แทงกันจริง ดังนั้นดูแล้วการเลือกตั้งยังอยู่อีกไกล หากจะยืดเวลาเลือกตั้งออกไป มีทางเดียวคือคว่ำกฎหมายลูก เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนตรงนี้ไว้ สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่นายกฯ”

ขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้วว่า “กระบวนการรับฟังความคิดเห็น คิดว่าควรจะจัดเป็นเวทีขนาดใหญ่ รับฟังอย่างทั่วถึงทั้งประเทศและรอบด้าน และกระบวนการรับฟังความเห็นก็ไม่ใช่แค่รับฟังอย่างเดียว ต้องมีการแถลงให้ประชาชนทราบด้วยว่า รับฟังความเห็นมาแล้วเป็นอย่างไร ผมยังไม่เห็นว่ารัฐบาลได้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ครบทุกกระบวนการ ซึ่งจะส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้เป็นอันตรายอย่างมาก”

ส่วนความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีสมาชิก สปท.หลายคนทยอยยื่นใบลาออก เพื่อให้มีคุณสมัครที่จะไปลงสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สปท.ที่จะไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องลาออกภายใน 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ หรือภายในวันที่ 4 ก.ค.นี้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 มิ.ย.พบว่า มี สปท.ลาออกก่อนครบกำหนด 90 วันตามรัฐธรรมนูญ 18 คน โดยบางคนเขียนลาออกโดยให้มีผลวันที่ 1 ก.ค. ขณะที่บางคนให้มีผลวันที่ 4 ก.ค. ได้แก่ นายวิทยา แก้วภราดัย, นายนิกร จำนง, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, นายสุชน ชาลีเครือ, นายชัย ชิดชอบ, นายดำรงค์ พิเดช, นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นต้น

2.สหรัฐฯ คงอันดับค้ามนุษย์ไทยเท่าเดิม “เทียร์ 2” อ้างยังไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่สาวไทยจากเชียงใหม่ได้รางวัล “ทิป ฮีโร่” !
นางวีรวรรณ มอสบี้ นักกิจกรรมหญิง ผู้ก่อตั้งโครงการฮัก เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์จาก จ.เชียงใหม่ รางวัลนักต่อสู้ด้านการค้ามนุษย์ หรือทิป ฮีโร่
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ต ประจำปี 2560 ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ โดยยังคงจัดอันดับไทยอยู่ในเทียร์ 2 วอตช์ลิสต์ หรือระดับ 2 บัญชีที่ต้องเฝ้าจับตามองเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว โดยสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลไทยยังไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำสุดในการจัดการค้ามนุษย์

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยก็ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างชัดเจนหลายด้านในรอบปีของการจัดทำรายงานฉบับนี้ ทั้งการยึดทรัพย์ของผู้กระทำความผิดในการค้ามนุษย์ได้ 784 ล้านบาท มีการสอบสวน ดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษเจ้าของธุรกิจที่ใช้แรงงานบังคับในภาคอุตสาหกรรมการประมง

รายงานระบุด้วยว่า แม้การสอบสวนในเรื่องการใช้แรงงานบังคับจะเพิ่มขึ้น แต่กลับมีการระบุตัวตนของเหยื่อการค้ามนุษย์น้อยมาก เมื่อเทียบกับระดับของปัญหาที่ใหญ่โต

ทั้งนี้ รอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐฯ ได้ปรับอันดับไทยขึ้นจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 วอตช์ลิสต์ เมื่อปี 2559 หลังจากความพยายามของรัฐบาลที่จะต่อสู้กับการค้ามนุษย์ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ รวมทั้งมีการปฏิรูปกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์

ด้านเว็บไซต์โอเอไทยรายงานว่า ในการเปิดเผยทิปรีพอร์ตดังกล่าว ได้มีการจัดพิธีมอบรางวัลนักต่อสู้ด้านการค้ามนุษย์ หรือทิป ฮีโร่ ให้แก่ผู้ที่มีผลงานที่ได้รับการยกย่องในการต่อต้านการค้ามนุษย์จากประเทศต่างๆ และในปีนี้ นางวีรวรรณ มอสบี้ นักกิจกรรมหญิง ผู้ก่อตั้งโครงการฮัก เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์จาก จ.เชียงใหม่ เป็นหนี่งในผู้ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวจากผู้ได้รับรางวัลทั้งหมด 8 ประเทศ

ซึ่งนางวีรวรรณ ได้เป็นตัวแทนของทิป ฮีโร่ ทั้งหมด ขึ้นกล่าวต่อผู้ร่วมงานในห้องประชุมด้วย โดยตอนหนึ่ง เธอได้กล่าวเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย และทรงเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเสียสละ

3.ศาลฎีกานักการเมืองไต่สวนพยานนัดสุดท้ายคดีสลายพันธมิตรฯ นัดฟังคำพิพากษา 2 ส.ค.นี้ ด้าน “สมชาย” ปัดสั่งใช้แก๊สน้ำตาสลายพันธมิตรฯ!
(บน) 3 ใน 4 จำเลย คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (ล่าง) ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาอานุภาพร้ายแรงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเมื่อ 7 ต.ค.2551
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดไต่สวนพยานในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นการนัดไต่พยานนัดสุดท้ายจำนวน 5 ปาก

ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ 1 ในจำเลย ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยได้แจ้งต่อศาลว่ามีอาการป่วย จึงได้ส่งทนายมาชี้แจงและรับฟังการไต่สวนแทน

หลังการไต่สวนพยานเสร็จสิ้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงปิดคดีด้วยวาจาต่อศาล โดยย้ำว่า ตนไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่ถูกกล่าวหา และไม่เคยคิดร้ายหรือเลือกปฏิบัติ พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่า ไม่มีคำสั่งใดที่ละเมิดต่อกฎหมายและสั่งให้สลายการชุมนุม

นายสมชาย ยังชี้แจงถึงเหตุการณ์ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2551 ด้วยว่า ได้เรียกประชุม ครม. เพื่อประเมินสถานการณ์ในการเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เนื่องจากประธานรัฐสภาระบุว่าไม่สามารถเลื่อนวันหรือเปลี่ยนสถานที่แถลงนโยบายได้ โดยไม่ได้มีการกำชับคำสั่งใดเป็นพิเศษ แต่ได้มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลเหตุการณ์ในขณะนั้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และระหว่างปฏิบัติงานได้สั่งห้ามใช้แก๊สน้ำตา ย้ำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาควบคุมสถานการณ์อย่างละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย นายสมชาย ยังกล่าวด้วยว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้รับรายงาน เนื่องจากการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของตำรวจ

นายสมชายชี้แจงถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมอีกว่า ในช่วงเกิดสถานการณ์ ตนก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้สั่งการใดๆ ทั้งสิ้น และหลังแถลงนโยบายเสร็จได้เดินทางไปกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ผ่านมาได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และรับราชการมาหลายปี เป็นทั้งตุลาการ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ไม่เคยมุ่งร้ายต่อฝ่ายใด มีแต่ทำงานด้วยความประนีประนอม ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ต้องดูแลประชาชนทุกคน ไม่คิดทำร้ายคนไทยด้วยกัน

ทั้งนี้ ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 ส.ค.นี้ เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับจำเลยที่ 2 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ให้มาฟังคำพิพากษาตามนัด

4.สตง.จี้ “ไทยพีบีเอส” สอบอดีต ผอ.-กรรมการบริหารกรณีซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ ชี้ ขัดระเบียบ-เจตนารมณ์การจัดตั้งองค์การ ให้รายงานผลใน 60 วัน!
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ได้มีการเผยแพร่เอกสารจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ถึงประธานคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) โดยระบุว่า การแสวงหากำไรของ ส.ส.ท. ด้วยการนำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้ เป็นกิจการนอกเหนือภารกิจหลัก และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การจัดตั้งองค์การ ส่งผลให้ระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงินการบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดให้ ส.ส.ท. สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์ได้ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เป็นระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550

นอกจากนี้ กระบวนการอนุมัติซื้อและสั่งจ่ายเงินฝากจำนวน 193,615,553.80 บาท เพื่อซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ มีการปฏิบัติไม่เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นการสั่งจ่ายเงินคราวหนึ่งเกินกว่าห้าสิบล้านบาท ซึ่งระเบียบกำหนดว่าต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการนโยบายมิได้กำหนดให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการบริหาร มีอำนาจสั่งจ่ายเงินสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก ผู้อำนวยการ และกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินดังกล่าว จึงขอให้ ส.ส.ท. พิจารณาดำเนินการกรณีการซื้อหุ้นกู้ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โดยเคร่งครัด และแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทราบภายใน 60 วัน

อนึ่ง ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงความรับผิดชอบหลังการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วน โดย ทพ.กฤษดาให้สัมภาษณ์ขณะนั้นว่า แม้การดำเนินงานจะถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อองค์กร แต่กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก รวมทั้งเครือข่ายที่เคยทำงานร่วมกับไทยพีบีเอส ตนจึงขออภัยต่อการดำเนินการที่กระทบความรู้สึกของทุกคนเป็นอย่างมาก และขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากผู้อำนวยการไทยพีบีเอส

5.ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง “มือปืนป๊อบคอร์น” ชี้ หลักฐานไม่เพียงพอ แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา!
นายวิวัฒน์ หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ หรือที่กระแสสังคมเรียกกันว่า มือปืนป๊อบคอร์น
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายวิวัฒน์ หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ อายุ 25 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหะสถาน ภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 มาตรา 5, 6, 11, และ 18

คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2557 สรุปความผิดจำเลยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2557 จำเลยกับพวก ได้มีปืนเล็กยาวไม่ทราบชนิดและขนาด ติดตัวไปที่ทางแยกหลักสี่ เขตหลักสี่ ซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และยิงปืนเข้าไปในอาคารศูนย์การค้าไอที สแควร์ จนนายอะแกว แซ่ลิ้ว เสียชีวิต ส่วน น.ส.สมบุญ สักทอง นายนครินทร์ อุตสาหะ และนายพยนต์ คงปรางค์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย ด้านจำเลยให้การปฏิเสธ

ต่อมา ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 37 ปี 4 เดือน ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน ได้สืบสวนทราบว่ามีคนร้ายเกี่ยวข้องกับการยิงรวม 21 คน ในจำนวนนี้มีชายชุดดำคือนายวิวัฒน์ จำเลยคดีนี้รวมอยู่ด้วย ดังที่ปรากฏในภาพนิ่งที่เห็นชายชุดดำในสถานที่และเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุหลายภาพ อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า แม้โจทก์จะมีเทปภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่ายจากหนังสือพิมพ์ แต่โจทก์ไม่นำสืบถึงความเกี่ยวข้องหรือนำตัวผู้ถ่ายหรือนำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับภาพมาเปรียบเทียบกับจำเลย หลักฐานดังกล่าวจึงไม่อาจยืนยันได้ว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดและตัวจำเลยนั้นเป็นคนคนเดียวกัน มีเพียงคำให้การของจำเลยที่ให้การรับสารภาพ ซึ่งมีพิรุธเคลือบแคลงสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย แต่ให้คุมขังไว้ระหว่างฎีกา

หลังฟังคำพิพากษา นายวิวัฒน์ หรือที่กระแสสังคมเรียกกันว่า มือปืนป๊อปคอร์น ซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำคลองเปรม เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ถูกฟ้อง และถูกเบิกตัวมาฟังคำพิพากษา กล่าวสั้นๆ ว่า รู้สึกดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก

ด้าน น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทีมทนายความจำเลย เปิดเผยว่า หลังจากนี้เตรียมที่จะยื่นขอประกันตัวนายวิวัฒน์ หลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า การประกันตัวจะต้องใช้หลักทรัพย์ 3,700,000 บาท ถึงแม้ตอนนี้เรายังไม่มีหลักทรัพย์ แต่เชื่อว่ายังมีคนที่พร้อมจะช่วย

เมื่อถามว่า ผลคำพิพากษาเกินความคาดหมายหรือไม่ น.ส.พวงทิพย์กล่าวว่า เราทราบอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นอย่างไร และมีพยานหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งอาวุธปืนที่ทำให้มีคนบาดเจ็บเป็นปืนกระบอกอื่น ไม่ใช่ของจำเลย

ขณะที่ น.ส.เอื้องฟ้า แซ่ลิ้ว บุตรสาวนายอะแกว ผู้เสียชีวิต ซึ่งขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาทั้งน้ำตาว่า รู้สึกเสียใจ ไม่คิดว่าศาลจะยกฟ้อง ซึ่งหลังจากนี้ทนายความจะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อสู้คดีถึงที่สุดต่อไป ตนก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งคดีนี้จับคนร้ายได้เพียงคนเดียว ส่วนเหตุการณ์ในวันนั้น นายอะแกว บิดา ได้มาหาตนที่ทำงานและถูกลูกหลงเสียชีวิต ซึ่งบิดาของตนไม่เคยไปร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มไหน

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ อินทุโสมา อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ให้สัมภาษณ์หลังศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนายวิวัฒน์ว่า หลังจากนี้จะต้องนำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาดูรายละเอียดก่อนที่จะส่งอัยการสำนักงานศาลสูงพิจารณาว่าจะยื่นฎีกาต่อหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่ชัดเจนได้

6.ศาลพิพากษาจำคุก “น็อต” คดีบังคับกราบรถและทำร้ายร่างกาย 1 ปี แต่รอลงอาญา 2 ปี เหตุไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน!
นายอัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล หรือน็อต เวคคลับ อดีตพิธีกรรายการชื่อดัง จำเลยคดีบังคับกราบรถและทำร้ายร่างกาย
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายอัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล หรือน็อต เวคคลับ อายุ 28 ปี อดีตพิธีกรรายการชื่อดัง และนายวิทวัส ศรีบัณฑิตมงคล อายุ 29 ปี เพื่อนของนายอัครณัฐ เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2559 นายอัครณัฐ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าของนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงห์โต อายุ 26 ปี พนักงานคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน ผู้เสียหาย และเป็นโจทก์ร่วมในคดี 2 ครั้ง และต่อยที่บริเวณใบหน้าอีก 1 ครั้ง ทำให้กระดูกจมูกชิ้นใหญ่จำนวน 4 ชิ้นหัก กระดูกจมูกชิ้นเล็กอีกจำนวนหลายชิ้นหัก รวมทั้งมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตาทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอันตรายแก่กายเและจิตใจ นอกจากนี้ยังบังคับให้นายกิตติศักดิ์ ผู้เสียหายกราบรถของจำเลยที่ 1 เนื่องจากไม่พอใจที่นายกิตติศักดิ์ขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ยี่ห้อ “ มินิคูเปอร์” ของนายอัครณัฐ จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย บริเวณปาก ซ.เจริญกรุง 44 กทม.

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยค่าเสียหายทางแพ่งสำเร็จโดยนายอัครณัฐ ให้การรับสารภาพ และยินยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่นายกิตติศักดิ์ ผู้เสียหาย เป็นเงิน 180,000 บาท เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าผ่าตัดทำดั้งจมูกใหม่

ทั้งนี้ ก่อนศาลมีคำพิพากษาได้มีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะประวัติ ครอบครัว สถานะ การศึกษา และอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสอง แล้วรายงานให้ศาลทราบ เพื่อนำมาพิจารณาประกอบคำพิพากษา

ซึ่งศาลพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะ ประกอบคำรับสารภาพแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง จึงพิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 1 ปี และจากรายงานการสืบเสาะไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยทั้งสองบริการสังคม เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนรวม 4 ครั้งในเวลา 1 ปี

ภายหลังฟังคำพิพากษานายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความนายกิตติศักดิ์โจทก์ร่วม เปิดเผยว่า โจทก์ร่วมจะไม่อุทธรณ์คดี เนื่องจากมีการเยียวยาเป็นเงิน 180,000 บาทแก่่โจทก์ร่วมเรียบร้อยแล้ว

ส่วนคดีที่นายอัครณัฐ แจ้งความดำเนินคดีนายกิตติศักดิ์ ฐานขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีหลังเกิดเหตุเฉี่ยวชน นั้นขณะนี้พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้สั่งฟ้อง และส่งสำนวนให้อัยการศาลแขวงพระนครใต้พิจารณา โดยอัยการยังไม่มีคำสั่งทางคดี ทั้งนี้นายกิตติศักดิ์ ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการด้วย เนื่องจากได้เสียค่าปรับจำนวน 400 บาทแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น