หากให้พูดถึงวงไอดอลระดับโลกที่มีมาอย่างยาวนานและจากรุ่นสู่อีกรุ่นแล้ว ชื่อของ วงเอเคบีโฟร์ตีเอท หรือ AKB48 จะต้องลอยมาเป็นลำดับแรกๆ อย่างแน่นอน เพราะจากการเดินทางมาตั้งแต่ปี 2005 มาจนถึงปัจจุบันที่มีกว่า 15 รุ่น พวกเธอต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อเข้าถึงในความเป็น ‘ไอดอล’ ที่สัมผัสได้ ในท่ามกลางเรื่องราวทั้งดีและแย่ในระหว่างทาง ซึ่งหลายๆ คนที่เคยเป็นสมาชิกของวงไอดอลแห่งนี้ ก็ได้ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนเองเลือกไว้ และมีผลงานประดับวงการและตนเองได้อย่างเชิดหน้าชูตา
เช่นเดียวกัน เมื่อประสบความสำเร็จอย่างสูงในดินแดนอาทิตย์อุทัย AKB48 ก็ได้ต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ประเทศไทย ในนามวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอท หรือ BNK48 ภายใต้การกุมบังเหียนโดย พงศ์จักร พิษฐานพร หรือ เอ๊ะ ละอองฟอง มาร่วมเป็นหนึ่งใน Music Director ของ BNK48 และนำทัพโดย “เฌอปราง อารีย์กุล” นักศึกษาสาววัยน่ารัก ผู้ชื่นชอบในการแต่งกายคอสเพลย์ ให้มารับหน้าที่กัปตันคนแรกของ BNK48 ที่พร้อมจะนำพาความน่ารัก สดใส และ ความพยายามในการเป็นไอดอล ให้เราๆ ท่านๆ ได้เห็นสัมผัสถึงบทพิสูจน์จากที่กล่าวมา ไปพร้อมๆ กัน !!!
• อยากให้ตัวเฌอฯ ช่วยเล่าถึงช่วงที่เคยเป็นคนติดตามมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นยังไงบ้างครับ
เฌอปราง : เป็นลักษณะทั่วไปค่ะ เป็นแฟนคลับธรรมดา มีการติดตามบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นว่างไปติดตามถึงสนามบินขนาดนั้น คือตามในโลกออนไลน์เอาว่าเขาทำอะไร เราก็คอยดูกันพักๆ คือถ้าเรามีกำลังสนับสนุนพอ เราก็ซื้อของเข้ามา เพราะว่ายุคสมัยเราก็ตรงกับโลกออนไลน์กำลังมาพอดี ซึ่งตอนที่เราเป็นแฟนคลับ ก็เป็นเด็กธรรมดา ใส่แว่นอยู่ห้องวิทยาศาสตร์ เรียนอย่างเดียวเลยค่ะ อารมณ์ประมาณว่า เด็กเรียน กลับมาหอ เปิดคอมพิวเตอร์แล้วเล่นอินเทอร์เน็ต เช็กความเคลื่อนไหว แค่นี้เอง ไม่ได้ไปตามติดอะไร แต่ถ้าแบบศิลปินจากต่างประเทศมา แล้วเวลาเราได้ ก็สามารถที่จะไป อีกอย่าง ตัวเราจะเป็นในลักษณะสายคอสเพลย์ค่ะ ซึ่งตัวแรกที่แต่งคือ (ฮะสึนะ) มิกุ (ตัวละครหญิงจากการ์ตูนเรื่อง Vocaloid 2) ก็เป็นตัวการ์ตูนตัวหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในญี่ปุ่น และเป็นตัวพื้นฐานที่คนแต่งคอสเพลย์ส่วนใหญ่รู้จัก เพราะว่าเป็นโปรแกรม เป็นนักร้องดิจิตอลที่ทำเพลง และแน่นอนว่า เราก็เคยไปแต่งคอสเพลย์ในที่ต่างๆ เราจะเน้นเรื่องเรียนเป็นหลัก แต่เราจะมีมุมที่เป็นเด็กกิจกรรมด้วย เช่นทำงานรุ่น เป็นกรรมการรุ่น นู่นนี่นั่น แต่พอเราขึ้นมหา'ลัย กิจกรรมมันก็น้อยลง แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปในจุดไหนที่อยู่ด้วยได้ในขนาดนั้นของช่วงแรกๆ ซึ่งงานที่เราจะไปก็จะเป็นแบบงานคอสเพลย์แทน
• เหมือนกับว่าการที่เราทำกิจกรรมข้างนอกคือ เป็นการสนองตัวตนในทางหนึ่งด้วย
เฌอปราง : ใช่ค่ะ คือถ้าเรามีเวลา เราก็จะตามคอสเพลย์ตัวการ์ตูนอยู่แล้ว เพราะว่าเราก็ติดตามการ์ตูนอยู่ นอกนั้นก็อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เรียนปกติไป และทำงานกิจกรรมที่โรงเรียนปกติ แล้วถ้างานกิจกรรมที่โรงเรียนไม่มี เราก็เห็นว่ามันมีเวลาว่างที่นอกจากเรื่องเรียน ก็หาอะไรทำดีกว่า ซึ่งคอสเพลย์ก็ตอบสนองในตรงนี้ แต่พอเรามีกิจกรรมรุ่นที่โรงเรียน เราก็จะเป็นแบบว่างก็แต่ง ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เพราะเราแต่งคอสเพลย์มาตั้งแต่อายุ 16 แล้วค่ะ และตัวล่าสุดที่แต่งก็คือ คอสเพลย์ตัวผู้ชายหัวแดงๆ จากเรื่อง Reinhardt นี่คือตัวล่าสุดที่ทำการคอสเพลย์ หลังจากนั้นมาก็ไม่ค่อยได้แต่งแล้วค่ะ เพราะว่า เวลาที่เราคอสแต่ละครั้งเราก็ทำชุดเองมาตลอด พอมาเข้าวงนี่คือไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาทำเลย อย่างที่บอกคือ พอเรามาเข้า BNK48 นี่คือแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย (หัวเราะ)
• พอมีการเปิดรับสมัคร BNK48 อะไรที่ดลใจให้เราตัดสินใจที่จะมาสมัครครับ
เฌอปราง : เราติดการ์ตูนเรื่อง AKB48 ซึ่งในเรื่องก็บอกว่ามีของจริงอยู่ด้วย เราก็ตามไปดูวงจริง แล้วก็กลายเป็นแฟนคลับของวงมาตั้งแต่นั้น ประมาณ 6 ปีได้ และน่าจะเป็นช่วงก่อนที่จะคอสเพลย์ด้วยซ้ำ คือติดตามเพลงเขามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ถามว่ามีความฝันที่อยากจะเป็นไอดอลมั้ย ก็ไม่เชิงค่ะ แต่มันจะเป็นลักษณะว่า เหมือนกับเราชอบดาราคนหนึ่งมากกว่า แต่พอเราได้แต่งคอสเพลย์ไปประมาณหนึ่ง ก็เริ่มที่จะมีความมั่นใจขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เราไม่แต่งหน้า ไม่แต่งความสวยงามอะไรเลย (เน้นเสียง) แล้วพอเข้ามหา'ลัยก็เริ่มที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น จนพอเขาประกาศรับสมัคร เราก็ติดตามมาตั้งแต่แรก แล้วพอรู้ข่าวเรากรี๊ดลั่นบ้านเลย ตอนนั้นจำได้ว่าดูคอนเสิร์ตของ ทาคามินะซัง แล้วมีประกาศว่ามีรับสมัคร BNK48 ไปด้วย เราก็กรี๊ดมากว่าจะมีในไทยแล้ว รอเชียร์เลย แรกสุดเขารับสมัครจำกัดอายุแค่ 18 ปี แต่ต่อมาเขาก็ยืดอายุมาจน 22
ซึ่งตอนแรกสุด ที่เขาจำกัดอายุแค่ 18 ก็คิดว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็เป็นโอตะอีกหนึ่งคน ติดตามให้กำลังใจน้องๆ ก็ได้ แต่พอเขาเพิ่มอายุขึ้นมา เราก็คิดอีกแบบว่า ได้ไปสัมผัสlydครั้งก็ยังดี ให้สัมผัสความรู้สึกว่าไอดอลที่เราชื่นชอบนั้น เขาผ่านอะไรมา เขาเจออะไร ตอนมาออดิชัน เขาเป็นยังไง เราก็แค่อยากรู้ เอาตัวเองมาสัมผัส เพราะว่าเราเรียนวิทยาศาสตร์มาด้วย มันจะเป็นความคิดที่ว่า เวลาจะทำอะไรก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง อยากลองเองว่าเป็นยังไง และคิดแค่ว่าลองส่งใบสมัครมาดู และคงคิดว่าติดสักรอบนึงก็พอใจแล้ว ประมาณนี้
• แล้วในโครงการนี้ มันมีที่มาที่ไปยังไงบ้างครับ
พงศ์จักร : ตอนแรกสุด เราจะทำงานในลักษณะร่วมกับทางญี่ปุ่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน โปรเจกต์เรื่องเพลง ซึ่งผมกับคุณแดน วรเวช ก็ทำโปรเจกต์ในบริษัทนี้มาก่อนเช่นกัน คือ ภาพยนตร์เรื่อง คิวชู เดอะมูฟวี่ แล้วในระหว่างนั้น เราก็ได้คุยกับทางผู้บริหารทางบริษัทว่า มีความชื่นชอบวง AKB48 อยู่แล้ว เราเลยมีความคิดว่าอยากจะให้ไอดอลได้มาเกิดในเมืองไทย เราก็เลยมีการพูดคุยกันว่า อยากจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยให้ได้ ก็เลยไปคุยกับทาง AKB48 ซึ่งทางเขาก็ให้การตอบรับที่ดีนะ แล้วก็อยากจะให้มาเกิดขึ้นที่เมืองไทย ซึ่งนับจากวันนั้นมา เราก็เริ่มต้นโปรเจกต์นี้ครับ
• ในส่วนของการออดิชันของ BNK48 มันเหมือนกับทางญี่ปุ่นมั้ย
พงศ์จักร : คล้ายๆ ครับ คือเราจะใช้วิธีระบบปิด ไม่มีการเผยแพร่ให้ใครได้ทราบ คือจะมีการรับสมัครผ่านทางเอกสารประมาณ 1,500 กว่าคน คือพอมีการส่งมา ก็มีการคัดเลือก จนเหลือ 300 คน ไปจน 80 คน แล้วก็มีการสัมภาษณ์ จากนั้นก็ไปเวิร์กชอป และร้อง เต้น
เฌอปราง : คือการคัดเลือกในแต่ละรอบ เราไปในสภาพแบบเด็กเนิร์ดมาก มันจะเป็นลักษณะว่า ให้เพื่อนถ่ายรูปให้ แล้วส่งรูปไป ซึ่งตอนนั้นอวบกว่าตอนนี้ด้วย พอผ่านรอบแรก 300 คน มาได้ ก็รู้สึกดีใจ จากนั้นก็ผ่านมารอบ 80 คน ซึ่งรอบนี้ ก็มีการเวิร์กชอป ซ้อมและฝึกเต้น ซึ่งเจอในที่ที่เราซ้อมประจำอยู่แล้ว แล้วก็ได้ลองร้องเจอของจริง คือที่จริงเขาให้ลองซ้อมมาตั้งนานแล้ว คือให้แกะท่าเองด้วย เราก็เอาเท่าที่ได้ จนในที่สุดเราก็ได้มาเรียนกับคุณครูที่เขาอธิบายท่าทางให้ชัดเจนขึ้นอีกทีหนึ่ง ว่าจะไปปรับเปลี่ยนตอนไหน ซึ่งเราเป็นคนที่เต้นและร้องไม่เป็นเลย (หัวเราะเบาๆ) แต่ก็เหมือนกับเป็นความท้าทายโดยส่วนตัวด้วย คือเรามาด้วยใจรักใน 48 Group จริงๆ
• จนกระทั่ง เราได้เข้ามาเป็น 1 ใน 29 คนแรก คิดว่าทำไมถึงติดจนเข้ามาเป็นสมาชิกวงได้ครับ
พงศ์จักร : อย่างตัวเฌอปรางเอง เขามีทั้งใจและสายตาที่เป็นประกาย ตอนเวลาที่เขาพูดถึง AKB48 โดยปกติ น้องๆที่เราเรียกเข้ามา จะเป็นลักษณะที่น้ำไม่เต็มแก้วก่อน เราต้องการเด็กที่เปิดใจในการพัฒนา ทั้งในเรื่องการร้อง การแสดงออก ทุกสิ่งอย่าง เราไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบมาก เพราะว่านั่นคือเขาถูกเซตอัพเตรียมไว้หมดแล้ว รวมถึงรูปร่างและหน้าตาด้วยนะครับ (หัวเราะเบาๆ) พูดง่ายๆ คือ เหมือนกับเป็นการนับหนึ่งไปพร้อมกันด้วย อย่างตัวเฌอฯ อย่างที่บอกแล้ว เวลาที่เราพัฒนาตัวเฌอไปในทางที่เป็น คิดว่าเฌอน่าจะไปได้ไกลมากๆ จากลุคที่ก่อนเข้ามานี่คือไม่เป็นเลย ซึ่งพอเราเชื่อว่าน้องทุกคนน่าจะทำได้ ซึ่งน้องทุกคนมีหมด แล้วเขาก็จะมีเส้นทางของเขาในการเดินทางในเส้นทางของเขาไปเรื่อยๆ
อีกอย่าง หนึ่ง เฌอฯจะเป็นแบบสายออราในตัว เขามีข้อมูลในเรื่อง AKB48 เยอะมาก สอง เขารัก สาม เขาก็รู้ด้วยว่าจะต้องทำยังไง เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำอะไรด้วยความรักและความตั้งใจ ผมเชื่อว่ามันไปได้ อันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคนนะครับ ซึ่งถ้าเขาเข้ามาถึงแล้วบอกว่า หนูอยากดัง หนูอยากมีชื่อเสียง หนูอยากเป็นไอดอล อันนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ของเรา แต่สิ่งแรกที่หนูทำ ถ้าหนูรักในสิ่งที่หนูทำ นั่นคือสิ่งที่มันจะได้จาก AKB48 และสุดท้ายคือ ธรรมชาติของน้องแต่ละคน เขามีอะไรบางอย่างที่เราคิดว่า เราอยากที่จะสนับสนุน อยากติดตาม เข้าใจและช่วยเหลือเขา และพาเขาไปสู่จุดที่ตัวเองไปถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่เราที่จะต้องทำให้ได้ นี่คือสิ่งแรกเลยที่เราจะนำจุดเด่นของแต่ละคนนั้นออกมาได้ยังไง ซึ่งอยู่ที่ทุกคนจะสนับสนุนด้วย ซึ่งตัวเฌอปรางก็มีความน่ารักอยู่แล้ว แต่นอกเหนืออกว่านั้นคือจิตใจเขา กับสิ่งที่เราเห็นว่าเขาตั้งใจจริงๆ นั่นแหละ ที่ทำให้คนติดตามและสนับสนุนเยอะมาก
• ถ้าถามแบบคนทั่วไปเลย การเป็นไอดอล ในแง่นี้ มันคือยังไงครับ
เฌอปราง : มันคือการฝึกตัวเอง แล้วให้คนอื่นเห็นว่ามันเริ่มต้นมายังไง และจะไปที่ไหนบ้าง อารมณ์ประมาณว่า ได้เห็นคนคนหนึ่งเติบโต ได้เห็นพัฒนาการของเขา ซึ่งคนที่ติดตามก็จะรู้สึกว่า เขาพัฒนานะ เขามีผลงานจนเราเห็นแล้วเราอยากเชียร์นะ เราเชียร์ถูกคนนะ เหมือนกับเราเป็นอีกตัวอย่างที่ดีอีกหนึ่งตัวอย่างให้คน เชื่อว่าความพยายามจะตอบแทนเราแน่นอน อีกแง่หนึ่งเหมือนกับเป็นแรงบันดาลใจ เวลาที่ติดตามแล้วให้รู้สึกว่า จากเด็กปกติคนหนึ่ง เขาก็มีการต่อสู้ให้วงดังขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างเช่นตัวเฌอเอง เวลาที่เราท้อ แล้วเปิดเพลงของวงขึ้นมา มันทำให้เรารู้สึกว่า เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ด้วยสิ ประมาณนี้ค่ะ
พงศ์จักร : ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ ในบ้านเรายังไม่มีลักษณะนี้มาก่อน จะมีในลักษณะบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ป แล้วคำว่าไอดอลในปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจแบบว่า เป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะขายครีมหรือลักษณะอย่างเดียวกัน แต่ความหมายนี้จะเป็นลักษณะว่าเป็น artist เป็นศิลปิน อย่างผม คือทำงานมาก็เอาผลงานให้ฟัง พิสูจน์ด้วยผลงาน แต่ไอดอลกลุ่มนี้ เราจะพิสูจน์ด้วยความพยายามของน้องๆ เอาความพยายามของน้องๆ มาพิสูจน์ให้เห็นว่า น้องมีเป้าหมายอยู่นะ ฉะนั้นจะต้องฝึกฝนต่างๆ นานา เพื่อจะไปให้ถึงจุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้ และเป็นการพิสูจน์ตัวเองบนวิถีแห่งไอดอล ฉะนั้นในการติดตามนั้น จะได้รู้ว่า ขนาดน้องเขายังมีความพยายามเลย ทำไมตัวเราเองถึงไม่ลองดูล่ะ
• แน่นอนว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหม่มากในบ้านเรา และก็ต้องแลกกับบางอย่างด้วยเช่นกัน อยากให้เราช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ
เฌอปราง : คือการเข้ามาแน่นอนว่าจะต้องมีคนสนับสนุนเยอะขึ้น แต่สิ่งที่แลกแน่ๆ คือ เวลาส่วนตัวที่ต้องให้กับการทำงาน ซึ่งทุกเย็นเราต้องขับรถจากศาลายาเพื่อมาซ้อมและทำงานเกือบทุกวัน คือเราให้ตรงนี้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งวันเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องมา แล้วก่อนหน้านี้ตัวเฌอเองก็เคยมีแฟนมาก่อน แล้วพอมาเข้าวง เราก็คุยกับเขาว่า เราจะเข้ามาในจุดที่มีคนสนับสนุนเรานะ ก็จะมีสัญญาใจบางอย่างเกิดขึ้น ฉะนั้นต้องหยุดไว้ก่อน หลังจากที่เราเสร็จภารกิจตรงนี้ ค่อยมาว่ากันใหม่อีกที
• มองในมุมหนึ่ง การที่เราเข้าวงนี้มา ถือว่าเป็นการเติบโตด้วยวุฒิภาวะด้วยมั้ย
เฌอปราง : ใช่ค่ะ เพราะว่าเราก็นึกไม่ถึงว่าจะได้อยู่ในท่ามกลางอะไรแบบนี้มาก่อน (ยิ้ม) ถ้าเกิดเราไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเราด้วย จากที่เราเป็นคนปกติธรรมดา เรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อนเฮฮาไป พอเข้ามาตรงนี้ก็เป็นอีกสังคมหนึ่ง ทำให้เราต้องปรับตัวใหม่ให้เข้ากับหลายอย่าง ทั้งในการวางตัว รวมถึงเรื่องอื่นๆ แต่ถามว่ามีผลต่อนิสัยมั้ย เฌอว่าก็ปกตินะคะ เวลาเจอเพื่อนก็ยังเหมือนเดิม คุยกับเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าถ่ายรูปกับเพื่อนไม่ได้แล้ว
พงศ์จักร : ซึ่งมันเป็นสิ่งใหม่สำหรับบ้านเรา เพราะบ้านเราเวลาที่ถ่ายรูปกับคนดังนี่คือได้ ซึ่งถ้าไม่ได้นี่คือ อาจจะโดนด่าว่าหยิ่งหรือเปล่า คือสิ่งนี้ในบ้านเราต้องเรียนรู้กัน แต่ว่าตอนนี้อย่างกลุ่มที่อยู่ในโอตะ ที่เราเรียกว่า call fan เขาเข้าใจแล้ว แต่วันหนึ่งถ้าเราก้าวข้ามไปยังกระแสหลักที่คนทั่วไปเข้ามา เราก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันเสมอ แล้วต่อไปก็ต้องเรียนรู้สำหรับสังคมไทยเช่นกัน คือถ้าไม่แอบถ่ายก็ไม่ได้
เฌอปราง : แต่บางทีเวลาที่โดนไกลๆ บางทีก็ห้ามไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในสตูดิโออย่างงี้ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้ามองกล้อง ก็เหมือนรู้สึกว่า ทำไมให้เขาถ่าย แต่ว่าถ้าอยู่ในสถานที่ปกติ บางทีก็ห้ามไม่ได้ แน่นอนว่าการห้ามถ่ายรูปคู่นั้น คนไทยก็ต้องตั้งคำถามเช่นกัน
พงศ์จักร : ซึ่งตรงนี้ ผมถือว่าเราอยู่ใน call fan อยู่ แต่ถ้าเราเดินก้าวออกจาก call fan แล้ว อย่างเช่นเราไปเจอคนทั่วไป ที่ไหนไม่รู้ แล้วเขาจำเราไม่ได้ เราก็ต้องศึกษากันไป แต่เราจะสื่อสารกับเขายังไงให้โอเค อย่างที่บอกว่าคนดังไทยไม่มีอย่างงี้ไง ซึ่งในวันข้างหน้าก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป
• แน่นอนว่า ในบ้านเราก็ยังมีบางคนที่เขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เราฝ่าด่านตรงนี้มาได้ยังไง
เฌอปราง : ตอนแรกที่บ้าน อย่างคุณพ่อจะไม่สนับสนุนเลย แต่ตอนนี้คุณปู่จะเป็นคนเดียวที่ยังไม่เข้าใจ คือตอนนี้เราเหมือนกับ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เหมือนกับหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยนิดนึง (ยิ้ม) อย่างคุณพ่อในตอนแรกคือไม่โอเค เขาก็ถามว่าจะมาตรงนี้จริงเหรอ มันหนักนะ แล้วอีกอย่างท่านก็บอกว่าอยากให้เรียนให้จบก่อน แล้วอาชีพนักร้อง มันก็ต้องมีพื้นฐานอย่างอื่นด้วย ท่านมองว่าอย่างน้อยก็มีวิชาชีพทางที่เรียนมาให้อุ่นใจ ซึ่งเราก็พยายามสู้กับมันอยู่ อีกอย่างเราก็เหมือนกับพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราก็ทำได้นะ เราก็เลยคุยกับคุณพ่อด้วยว่า เราก็อายุ 20 แล้ว หนูอยากทำจริงๆ หนูชอบกรุ๊ปนี้ แล้วเราก็ได้โอกาสจากคนพันกว่าคน แล้วจะให้เฌอฯทิ้งโอกาสที่ได้มา มันก็ไม่ใช่ เพราะเรามีโอกาสได้ทำแทนคนพันกว่าคน ก็เลยสู้ต่อ เฌอก็บอกพ่อไปว่า เฌอทำได้น่า (ยิ้ม)
• จนกระทั่งเฌอปรางถูกรับเลือกให้เป็นกัปตัน อยากให้เราช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ
เฌอปราง : เรื่องนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราได้มายังไงนะ แต่ตำแหน่งนี้เท่าที่ศึกษาเองจากสารคดีของวง AKB48 ซึ่งหน้าที่กัปตันจะเป็นลักษณะว่าจะคอยดูแลในเรื่องการซ้อมของวงเป็นหลัก แล้วก็คอยแก้ปัญหาหน้างานว่า หากมีสมาชิกวงที่ยังเต้นไม่ได้ เราก็จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะให้ใครขึ้นมาเต้นในแต่ละเพลงด้วย ซึ่งหน้าที่นี้ก็จะทำร่วมกับคุณครูด้วย ซึ่งบางทีทีมงานก็คอยส่งรายละเอียดมาให้ แต่ถ้ามันเกิดความฉุกละหุกจริงๆ แล้วคุณครูหรือคนที่คอยช่วยเหลือเราไม่อยู่ จะทำยังไง เราก็ต้องจัดการตรงนี้ คือถ้าเปรียบได้มันก็จะเป็นแบบหัวหน้าวง
พงศ์จักร : คือกระบวนการเลือกกัปตันทีมของ BNK48 ก็จะมีทั้งผู้บริหารญี่ปุ่นและผู้บริหารไทย ตั้งแต่ 15 คน เซ็นบัสสึ รวมถึงใครจะเป็นเซ็นเตอร์ ใครจะเป็นกัปตันทีม แล้วในตัวเฌอปรางเองเขาจะมีความเป็นผู้นำสูง มีความรับผิดชอบสูง จากการที่เป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน ซึ่งเรามองแล้วว่าน้องเขาเอาการเอางานและจะชอบในทางกิจกรรม แล้วพอให้เขามาเป็นตรงนี้ ก็จะมีความเหมาะสมซึ่งถือว่าจัดการอะไรได้ดีทีเดียว
เฌอปราง : จริงๆ ในวันแรกที่เปิดตัวในเดือนกุมภาฯที่ผ่านมา แล้วสื่อมาสัมภาษณ์เขาถามว่ามีหัวหน้าวงมั้ย แล้วก่อนหน้านี้เราก็ไปญี่ปุ่นกับมาร์คซัง เขาก็บอกว่า ทำอะไรได้เยอะดี เอาไปเป็นกัปตันชั่วคราวไปก่อนละกัน เราก็เลยได้เป็นมาตั้งแต่นั้น เสร็จแล้วก็เหมือนกับเรายังไม่รู้อะไร พอเขาโยนมา หนูก็ตอบคำถามเลย ความรู้สึกว่า เออ คงเป็นไปก่อนก็ได้มั้งแล้วค่อยเปลี่ยนคนทีหลัง แต่ก็ยังไม่ได้ทำมากเท่าไหร่ เพราะคุณครูก็จะเป็นคนดูอยู่แล้ว เราก็เป็นเด็กอีกคนหนึ่งที่ค่อยๆ พัฒนาไปเฉยๆ อาจจะมีบ้างที่เป็นต้นเสียงให้ และพูดสวัสดีแค่นี้เอง มารู้จริงๆ ก็ตอนประกาศวันนั้นเลยว่าตัวเองเป็นอย่างเป็นทางการ แต่บางทีเราก็ถูกดุเหมือนกันว่า เราไปดุและไปพูดกับน้องตรงๆ หรือว่าเยอะไปหรือเปล่า ซึ่งนี่เป็นข้อด้อยจากการที่เราทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบอยู่บ้าง ทั้งๆ เราก็วางไว้ก็ได้ว่ามันเป็นเสน่ห์ของน้องเขา
• การที่มีตำแหน่งในวงอย่างงี้ มันเป็นลักษณะเบื้องต้นยังไงครับ
พงศ์จักร : เหมือนกับเป็นการดูแลกันเอง เหมือนกับมีห้องเรียน 1 ห้อง ซึ่งมีเด็กเยอะเลย ถ้าเราไม่มีหัวหน้าห้องเนี่ย จะเป็นแบบว่า ครูมาบอกกิจกรรมต่างๆ ก็จะมาบอกหัวหน้าห้องก็จะช่วยกันจัดการอีกที แล้วเฌอปรางจะมีความเป็นเฟมินิสต์นะ คือมีความเท่ กวน งและหวานในตัวเอง บางครั้งก็หวาน บางครั้งก็แมน
เฌอปราง : เพราะว่าจริงๆ AKB48 ในยุคแรกๆ ยังไม่มีตำแหน่งกัปตันนะคะ แต่ก็มีคนหนึ่งแหละที่ขึ้นมาจัดการต่างๆ เขาก็เลยมีตำแหน่งนี้ในตอนหลัง คือฉายแสงในเรื่องผู้นำและการจัดการไป ดูแลกัน พูดนำ กล่าวนำ กระตุ้นเพื่อนๆ ซึ่งบางคราวเราก็เหมือนคนดุเหมือนกันนะ เพราะว่าเราโตมากับกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยค่ะ แล้วช่วงมัธยม 5 ถึง 6 เราก็เป้นผู้หญิงคนเดียวในห้อง ที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นโรงเรียนแนวทางเลือก แล้วสายวิทย์รุ่นเราไม่ค่อยมีผู้หญิงเรียน เลยกลายเป็นเฌอฯ ที่เรียนคนเดียว แล้วเราก็กลายเป็นแบบห้าวๆ ไป อีกอย่างเพื่อนในห้องก้ไม่ค่อยทำอะไร เราก็เลยกลายเป็นแบบประสานงานให้อะไรอย่างงี้ คอยชี้นิ้วสั่ง ยืนขู่ให้ (ยิ้ม)
• อีกด้านหนึ่ง ด้วยความที่เราเป็นนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ก็ค่อนข้างย้อนแย้งด้วยนะ
เฌอปราง : ใช่ค่ะ คือเมื่อก่อนเฌอเคยทำงานวิจัยกับอาจารย์ ก็ทำงานธรรมดาไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วพอมาอยู่ตรงนี้ อาจจะทำงานวิจัยน้อยลง แล้วเวลาเรียนปกติเราก็พยายามเรียนเท่าที่เรียนได้ พอถึงเวลาทำงานก็ต้องออกมา แล้วก็มาอ่านหนังสือเอาเอง ส่วนความสนใจแรกเริ่ม ก็จะชอบเคมีกับฟิสิกส์ค่ะ แต่พอเข้ามาเรียน ก็ไม่รู้ว่าด้านไหนเหมาะกับตัวเอง แต่วิชาเคมีเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดในทุกๆ อย่าง เพราะการที่จะเรียนด้านวิทย์ทุกแขนง มันก็ต้องเริ่มจากสสาร เฌอก็เลยเลือกเรียนสาขานี้ แล้วพอเรามาตรงนี้มาก มันก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างนะ อีกอย่าง พอเลือกเข้ามาทำตรงนี้ได้ เพราะอาจารย์เคยบอกเราว่า ถึงแม้ว่าเราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าไม่มีใครอ่านงานเรา ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเราสามารถเป็นกระบอกเสียงด้วยตัวเอง ทั้งผลงานเราในสองด้าน มันก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่าเดิม เพราะเฌอคิดว่าถ้าคนแบบเราพูดไปแล้วคนฟังเยอะ มันก็ดีกว่าคนธรรมดาที่พูดไปคนก็อาจไม่ฟัง น้ำหนักเสียงที่พูดไปก็ต่างกันไป ทำให้การมาทำตรงนี้ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่ และไม่ได้ขัดกับการเรียนวิทยาศาสตร์
• ในเรื่องวงไอดอลลักษณะนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับบ้านเรา
พงศ์จักร : ใช่ครับ อย่างที่ทราบว่า BNK48 เป็นวงน้องสาวของ AKB48 ซึ่งวงนี้ก็มีวงน้องสาวในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ถือว่าเปิดใหม่แหละ แล้วเขาก็ประกาศตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ที่เรามีฐานแฟนคลับ AKB48 ในเมืองไทยอยู่แล้ว แล้วเขาก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีในบ้านเราบ้าง เราอยากจะสนับสนุนเด็กไทยบ้าง แล้วพอมันมีปุ๊บ ทุกคนที่รอคอยก็ให้การตอบรับที่ดี แล้วเราในฐานะนี้ ก็รู้สึกว่าทั้งดีใจและตกใจที่ทุกคนรอจริงๆ แล้วเราก็อยากที่จะทำสิ่งนี้ให้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ call fan อย่างเดียว เราจะเดินต่อไปข้างหน้า ขยายฐานคนฟังให้ติดตามมากขึ้น
เฌอปราง : เฌอคิดว่า 48 Group มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ แต่เราคิดว่า ถ้ามีในเมืองไทย ก็เป็นเรื่องอะไรที่ใหม่มาก เปลี่ยนแนวทางไอดอล ที่ให้น้องๆ ยึดมาเป็นต้นแบบได้บ้าง ซึ่งถ้ามาเปรียบกับ AKB48 ที่ญี่ปุ่น เขาถือว่าดังมาก เขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนเยอะมาก จนเป็นไอดอลกรุ๊ปประจำชาติเลย ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแบบจริงจังมาก
พงศ์จักร : ซึ่งผมตื่นเต้นกับหนังสือพิมพ์ในวันประกาศ เขาลงข่าวหน้าหนึ่งในวันถัดไปทุกฉบับเลยว่า จะมี BNK48 ในเมืองไทย ผมนี่คือเก็บเล่มนั้นเลยครับ แล้วข่าวนี้ถือว่าเป็นที่ฮือฮามากสำหรับบ้านเขา ซึ่งจากวันนั้นเราใช้ประมาณปีกว่า ที่เราสร้าง BNK48 ขึ้นมา ในการจัดการบริหาร ซึ่งทุกคนได้มาเห็นแล้วก็ชื่นใจ ตอนนี้ในระดับวงแคบๆ ถือว่าเกินความคาดหมายมาก ซึ่งในตอนแรกเราคิดว่า ฐานคอลล์แฟน ที่มาให้กำลังใจน้องๆ เราก็เห็นว่าเยอะจริงๆ แล้วสเต็ปต่อไปของเราก็คือว่า เดินต่อไปข้างหน้า ให้ขยายฐานแฟนให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนเห็นว่า ไอดอลในเมืองไทยเป็นแบบไหน และแบบ AKB Style นั้นเป็นยังไง เพื่อให้คนติดตามมากขึ้น ซึ่งในส่วนของคาเฟ่และเธียเตอร์ของน้องๆ นั้น จะต้องมีในปีนี้แน่นอน พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างที่ AKB48 มี BNK48 ก็จะต้องมีในเมืองไทยด้วย แต่ตอนนี้ก็มีสตูดิโอที่เอ็มควอเทียร์ และซิงเกิลแรกชื่อว่า อยากจะได้พบ ออกมาก่อน
เฌอปราง : คือจริงๆ AKB ก็เริ่มมาจากแสดงในเธียเตอร์ธรรมดา จากนั้นก็มีคนติดตามมาเรื่อยๆ แล้วเราเห็นว่าเขามีการพัฒนาตัวเองตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นแฟนจ๋าขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้จักวงนี้เลย ยังมีคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้จริงๆ
• ขณะเดียวกัน AKB48 จะมีการแต่งตัวเซ็กซี่ ในส่วนของ BNK48 ตรงนี้มีข้อจำกัดด้วยมั้ยครับ
พงศ์จักร : อันนี้มีแน่นอน เพราะว่าบ้านเราเป็นเมืองพุทธ เรื่องนี้ก็ต้องเก็บไว้ งดไว้ก่อน เราจะนำเสนอในความสดใส ความร่าเริง ความเป็นไอดอล และความเป็นธรรมชาติของเด็ก นี่คือสิ่งที่เราอยากจะเอามาเล่ามากกว่าความเซ็กซี่ เพราะอย่างเด็กบ้านเรา จะมีความสดใสน่ารัก ซึ่งจุดขายนี้ มันน่าจะโอเคในบ้านเรามากกว่า เพราะถ้านำเสนออย่างที่บอกไป มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่อยากมที่จะให้เป็นแบบนั้น เราอยากจะขายในอีกด้านหนึ่งของน้องๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นเราอยากจะให้พิสูจน์ คือความพยายาม ความมั่นใจ ธรรมชาติที่น้องมี คาแรกเตอร์ของน้องแต่ละคน คืออย่างที่รู้ว่า การเข้ามาของ BNK48 ไปจนถึงช่วงจบการศึกษาแล้ว น้องๆ ก็อาจจะไปทำงานตามความสนใจของน้องๆ ต่อ อันนี้ก็สุดแท้แต่ว่าจะทำยังไงต่อ
• อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีคนทั่วไป อาจจะยังไม่เข้าใจในวัฒนธรรมแบบนี้ เรามองเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ
พงศ์จักร : ผมบอกอีกนิดละกัน อันนี้คือความแตกต่าง ระบบแฟนคลับจะอยู่ในเพศหญิงซึ่งเยอะมาก จากที่เราเห็นตามอีเวนต์หรือคอนเสิร์ตต่างๆ ผมเลยพูดกับผู้บริหารเลยว่า เมื่อไหร่จะมีพื้นที่ของเรานะ (หัวเราะ) ผู้ชายมันก็อยากที่จะมีอะไรแบบนี้เช่นกัน แต่เราไม่รู้จะไปหาที่ไหน หรือว่าติดตามใคร ซึ่งพอเราได้เห็นเหล่าโอตะที่อยู่ในที่ของเราแล้ว แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้บ้างล่ะ เราก็มีเหมือนกัน สนับสนุนน้อง ให้กำลังใจน้อง ติดตามน้องไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว นี่คือทุกคนก็มีโอกาสที่จะทำได้หมด คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบ้านเรา แต่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แค่นั้นเอง เพียงแต่เปลี่ยนผู้หญิงเป็นผู้ชายแค่นั้น ซึ่งนอกจากที่ว่ามาเมื่อกี้แล้ว เหล่าโอตะจะมีการเชียร์ที่แตกต่างจากแฟนคลับปกติ ที่มีจังหวะในการเชียร์ด้วย นี่ก็คือเป็นการเชียร์อีกแบบหนึ่ง
• แต่เวลานี้บางคนก็ยังไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมนี้อยู่ดี ตรงนี้มองยังไงบ้างครับ
เฌอปราง : อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องทัศนคติของแต่ละบุคคล เราก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งมันก็ถูกของเขา แต่สิ่งที่เราพอรับได้ และพร้อมที่สนับสนุนตรงนี้ มันก็เป็นเรื่องถูกของเรา แต่อาจจะผิดของเขาก็ได้ มันก็แค่รสนิยมของแต่ละคน ว่าเติบโตมายังไง คือถ้าเขามองอย่างงั้น ก็ไม่แปลกใจ เพราะว่าเขาโตมากับการดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น พอมามองตรงนี้ ก็จะแบบว่า ‘อะไรเนี่ย’ ซึ่งบางทีเขาก็อาจจะลืมไปว่า เขาเองอาจจะเคยชื่นชอบศิลปินเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ารูปแบบอาจจะไม่เหมือนในยุคสมัยเขาก็เป็นได้ แล้วมีกิจกรรมใหม่ขึ้นมา เขาอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ คือไม่ผิดสำหรับเขา แต่ก็ไม่ผิดสำหรับเราเช่นกันค่ะ (ยิ้ม)
• เป้าหมายของทั้งตัวเฌอปราง และ BNK48 ครับ
เฌอปราง : ทำทุกวันให้ดีที่สุดค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ เราไม่คิดอะไรมาก ทำงานได้ ทำ แต่ถ้าติดสอบ ก็ขอสลับตารางไป คือเราก็วางแผนอนาคตเหมือนกัน แต่ช่วงนี้คือเป็นความฉับพลันทุกอย่าง แล้วทุกอย่างใหม่หมด
พงศ์จักร : ส่วนตัววง ก็ถือว่าอยากให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในวงการเพลงไทย ไอดอลไทย ศิลปินไทย ให้มีพื้นที่ให้กับ BNK48 ให้รู้จัก และทำให้เห็นว่ารูปแบบไอดอลที่เป็นนั้นเป็นอย่างไร ทุกอย่างเป็นยังไง รูปแบบเป็นแบบไหน คุณก็สามารถติดตาม ชื่นชอบ และสนับสนุนน้องได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเรา ไม่ใช่เฉพาะแค่คอลล์แฟนอย่างเดียว จะเป็นใครก็ได้ มาติดตามและสนับสนุนเรา แล้วคุณจะรู้ว่า การเป็นไอดอลนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่คุณคิด อย่างต่อจากนี้เราก็จะมีเธียเตอร์ให้ ซึ่งสามารถมาดูเหล่าน้องๆ โชว์ได้ทุกสัปดาห์ ซึ่งนอกจากนี้ งานอีเวนต์ต่างๆ ก็ไปตามเชียร์กันได้ แต่ในช่วงแรก อาจจะโชว์น้อยๆ ก่อน ดูก่อนว่ามีเยอะขนาดไหน ซึ่งจะแตกต่างที่ญี่ปุ่น ที่มีทุกวัน ดูก่อนว่า ระหว่างนั้น น้องก็ใช้ชีวิตประจำวัน และฝึกซ้อม ซึ่งก็ทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้มีแค่โชว์อย่างเดียวนะครับ อาจจะมีงานนี่นั่นด้วย
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
เช่นเดียวกัน เมื่อประสบความสำเร็จอย่างสูงในดินแดนอาทิตย์อุทัย AKB48 ก็ได้ต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ประเทศไทย ในนามวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอท หรือ BNK48 ภายใต้การกุมบังเหียนโดย พงศ์จักร พิษฐานพร หรือ เอ๊ะ ละอองฟอง มาร่วมเป็นหนึ่งใน Music Director ของ BNK48 และนำทัพโดย “เฌอปราง อารีย์กุล” นักศึกษาสาววัยน่ารัก ผู้ชื่นชอบในการแต่งกายคอสเพลย์ ให้มารับหน้าที่กัปตันคนแรกของ BNK48 ที่พร้อมจะนำพาความน่ารัก สดใส และ ความพยายามในการเป็นไอดอล ให้เราๆ ท่านๆ ได้เห็นสัมผัสถึงบทพิสูจน์จากที่กล่าวมา ไปพร้อมๆ กัน !!!
• อยากให้ตัวเฌอฯ ช่วยเล่าถึงช่วงที่เคยเป็นคนติดตามมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นยังไงบ้างครับ
เฌอปราง : เป็นลักษณะทั่วไปค่ะ เป็นแฟนคลับธรรมดา มีการติดตามบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นว่างไปติดตามถึงสนามบินขนาดนั้น คือตามในโลกออนไลน์เอาว่าเขาทำอะไร เราก็คอยดูกันพักๆ คือถ้าเรามีกำลังสนับสนุนพอ เราก็ซื้อของเข้ามา เพราะว่ายุคสมัยเราก็ตรงกับโลกออนไลน์กำลังมาพอดี ซึ่งตอนที่เราเป็นแฟนคลับ ก็เป็นเด็กธรรมดา ใส่แว่นอยู่ห้องวิทยาศาสตร์ เรียนอย่างเดียวเลยค่ะ อารมณ์ประมาณว่า เด็กเรียน กลับมาหอ เปิดคอมพิวเตอร์แล้วเล่นอินเทอร์เน็ต เช็กความเคลื่อนไหว แค่นี้เอง ไม่ได้ไปตามติดอะไร แต่ถ้าแบบศิลปินจากต่างประเทศมา แล้วเวลาเราได้ ก็สามารถที่จะไป อีกอย่าง ตัวเราจะเป็นในลักษณะสายคอสเพลย์ค่ะ ซึ่งตัวแรกที่แต่งคือ (ฮะสึนะ) มิกุ (ตัวละครหญิงจากการ์ตูนเรื่อง Vocaloid 2) ก็เป็นตัวการ์ตูนตัวหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในญี่ปุ่น และเป็นตัวพื้นฐานที่คนแต่งคอสเพลย์ส่วนใหญ่รู้จัก เพราะว่าเป็นโปรแกรม เป็นนักร้องดิจิตอลที่ทำเพลง และแน่นอนว่า เราก็เคยไปแต่งคอสเพลย์ในที่ต่างๆ เราจะเน้นเรื่องเรียนเป็นหลัก แต่เราจะมีมุมที่เป็นเด็กกิจกรรมด้วย เช่นทำงานรุ่น เป็นกรรมการรุ่น นู่นนี่นั่น แต่พอเราขึ้นมหา'ลัย กิจกรรมมันก็น้อยลง แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปในจุดไหนที่อยู่ด้วยได้ในขนาดนั้นของช่วงแรกๆ ซึ่งงานที่เราจะไปก็จะเป็นแบบงานคอสเพลย์แทน
• เหมือนกับว่าการที่เราทำกิจกรรมข้างนอกคือ เป็นการสนองตัวตนในทางหนึ่งด้วย
เฌอปราง : ใช่ค่ะ คือถ้าเรามีเวลา เราก็จะตามคอสเพลย์ตัวการ์ตูนอยู่แล้ว เพราะว่าเราก็ติดตามการ์ตูนอยู่ นอกนั้นก็อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เรียนปกติไป และทำงานกิจกรรมที่โรงเรียนปกติ แล้วถ้างานกิจกรรมที่โรงเรียนไม่มี เราก็เห็นว่ามันมีเวลาว่างที่นอกจากเรื่องเรียน ก็หาอะไรทำดีกว่า ซึ่งคอสเพลย์ก็ตอบสนองในตรงนี้ แต่พอเรามีกิจกรรมรุ่นที่โรงเรียน เราก็จะเป็นแบบว่างก็แต่ง ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เพราะเราแต่งคอสเพลย์มาตั้งแต่อายุ 16 แล้วค่ะ และตัวล่าสุดที่แต่งก็คือ คอสเพลย์ตัวผู้ชายหัวแดงๆ จากเรื่อง Reinhardt นี่คือตัวล่าสุดที่ทำการคอสเพลย์ หลังจากนั้นมาก็ไม่ค่อยได้แต่งแล้วค่ะ เพราะว่า เวลาที่เราคอสแต่ละครั้งเราก็ทำชุดเองมาตลอด พอมาเข้าวงนี่คือไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาทำเลย อย่างที่บอกคือ พอเรามาเข้า BNK48 นี่คือแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย (หัวเราะ)
• พอมีการเปิดรับสมัคร BNK48 อะไรที่ดลใจให้เราตัดสินใจที่จะมาสมัครครับ
เฌอปราง : เราติดการ์ตูนเรื่อง AKB48 ซึ่งในเรื่องก็บอกว่ามีของจริงอยู่ด้วย เราก็ตามไปดูวงจริง แล้วก็กลายเป็นแฟนคลับของวงมาตั้งแต่นั้น ประมาณ 6 ปีได้ และน่าจะเป็นช่วงก่อนที่จะคอสเพลย์ด้วยซ้ำ คือติดตามเพลงเขามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ถามว่ามีความฝันที่อยากจะเป็นไอดอลมั้ย ก็ไม่เชิงค่ะ แต่มันจะเป็นลักษณะว่า เหมือนกับเราชอบดาราคนหนึ่งมากกว่า แต่พอเราได้แต่งคอสเพลย์ไปประมาณหนึ่ง ก็เริ่มที่จะมีความมั่นใจขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เราไม่แต่งหน้า ไม่แต่งความสวยงามอะไรเลย (เน้นเสียง) แล้วพอเข้ามหา'ลัยก็เริ่มที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น จนพอเขาประกาศรับสมัคร เราก็ติดตามมาตั้งแต่แรก แล้วพอรู้ข่าวเรากรี๊ดลั่นบ้านเลย ตอนนั้นจำได้ว่าดูคอนเสิร์ตของ ทาคามินะซัง แล้วมีประกาศว่ามีรับสมัคร BNK48 ไปด้วย เราก็กรี๊ดมากว่าจะมีในไทยแล้ว รอเชียร์เลย แรกสุดเขารับสมัครจำกัดอายุแค่ 18 ปี แต่ต่อมาเขาก็ยืดอายุมาจน 22
ซึ่งตอนแรกสุด ที่เขาจำกัดอายุแค่ 18 ก็คิดว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็เป็นโอตะอีกหนึ่งคน ติดตามให้กำลังใจน้องๆ ก็ได้ แต่พอเขาเพิ่มอายุขึ้นมา เราก็คิดอีกแบบว่า ได้ไปสัมผัสlydครั้งก็ยังดี ให้สัมผัสความรู้สึกว่าไอดอลที่เราชื่นชอบนั้น เขาผ่านอะไรมา เขาเจออะไร ตอนมาออดิชัน เขาเป็นยังไง เราก็แค่อยากรู้ เอาตัวเองมาสัมผัส เพราะว่าเราเรียนวิทยาศาสตร์มาด้วย มันจะเป็นความคิดที่ว่า เวลาจะทำอะไรก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง อยากลองเองว่าเป็นยังไง และคิดแค่ว่าลองส่งใบสมัครมาดู และคงคิดว่าติดสักรอบนึงก็พอใจแล้ว ประมาณนี้
• แล้วในโครงการนี้ มันมีที่มาที่ไปยังไงบ้างครับ
พงศ์จักร : ตอนแรกสุด เราจะทำงานในลักษณะร่วมกับทางญี่ปุ่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน โปรเจกต์เรื่องเพลง ซึ่งผมกับคุณแดน วรเวช ก็ทำโปรเจกต์ในบริษัทนี้มาก่อนเช่นกัน คือ ภาพยนตร์เรื่อง คิวชู เดอะมูฟวี่ แล้วในระหว่างนั้น เราก็ได้คุยกับทางผู้บริหารทางบริษัทว่า มีความชื่นชอบวง AKB48 อยู่แล้ว เราเลยมีความคิดว่าอยากจะให้ไอดอลได้มาเกิดในเมืองไทย เราก็เลยมีการพูดคุยกันว่า อยากจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยให้ได้ ก็เลยไปคุยกับทาง AKB48 ซึ่งทางเขาก็ให้การตอบรับที่ดีนะ แล้วก็อยากจะให้มาเกิดขึ้นที่เมืองไทย ซึ่งนับจากวันนั้นมา เราก็เริ่มต้นโปรเจกต์นี้ครับ
• ในส่วนของการออดิชันของ BNK48 มันเหมือนกับทางญี่ปุ่นมั้ย
พงศ์จักร : คล้ายๆ ครับ คือเราจะใช้วิธีระบบปิด ไม่มีการเผยแพร่ให้ใครได้ทราบ คือจะมีการรับสมัครผ่านทางเอกสารประมาณ 1,500 กว่าคน คือพอมีการส่งมา ก็มีการคัดเลือก จนเหลือ 300 คน ไปจน 80 คน แล้วก็มีการสัมภาษณ์ จากนั้นก็ไปเวิร์กชอป และร้อง เต้น
เฌอปราง : คือการคัดเลือกในแต่ละรอบ เราไปในสภาพแบบเด็กเนิร์ดมาก มันจะเป็นลักษณะว่า ให้เพื่อนถ่ายรูปให้ แล้วส่งรูปไป ซึ่งตอนนั้นอวบกว่าตอนนี้ด้วย พอผ่านรอบแรก 300 คน มาได้ ก็รู้สึกดีใจ จากนั้นก็ผ่านมารอบ 80 คน ซึ่งรอบนี้ ก็มีการเวิร์กชอป ซ้อมและฝึกเต้น ซึ่งเจอในที่ที่เราซ้อมประจำอยู่แล้ว แล้วก็ได้ลองร้องเจอของจริง คือที่จริงเขาให้ลองซ้อมมาตั้งนานแล้ว คือให้แกะท่าเองด้วย เราก็เอาเท่าที่ได้ จนในที่สุดเราก็ได้มาเรียนกับคุณครูที่เขาอธิบายท่าทางให้ชัดเจนขึ้นอีกทีหนึ่ง ว่าจะไปปรับเปลี่ยนตอนไหน ซึ่งเราเป็นคนที่เต้นและร้องไม่เป็นเลย (หัวเราะเบาๆ) แต่ก็เหมือนกับเป็นความท้าทายโดยส่วนตัวด้วย คือเรามาด้วยใจรักใน 48 Group จริงๆ
• จนกระทั่ง เราได้เข้ามาเป็น 1 ใน 29 คนแรก คิดว่าทำไมถึงติดจนเข้ามาเป็นสมาชิกวงได้ครับ
พงศ์จักร : อย่างตัวเฌอปรางเอง เขามีทั้งใจและสายตาที่เป็นประกาย ตอนเวลาที่เขาพูดถึง AKB48 โดยปกติ น้องๆที่เราเรียกเข้ามา จะเป็นลักษณะที่น้ำไม่เต็มแก้วก่อน เราต้องการเด็กที่เปิดใจในการพัฒนา ทั้งในเรื่องการร้อง การแสดงออก ทุกสิ่งอย่าง เราไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบมาก เพราะว่านั่นคือเขาถูกเซตอัพเตรียมไว้หมดแล้ว รวมถึงรูปร่างและหน้าตาด้วยนะครับ (หัวเราะเบาๆ) พูดง่ายๆ คือ เหมือนกับเป็นการนับหนึ่งไปพร้อมกันด้วย อย่างตัวเฌอฯ อย่างที่บอกแล้ว เวลาที่เราพัฒนาตัวเฌอไปในทางที่เป็น คิดว่าเฌอน่าจะไปได้ไกลมากๆ จากลุคที่ก่อนเข้ามานี่คือไม่เป็นเลย ซึ่งพอเราเชื่อว่าน้องทุกคนน่าจะทำได้ ซึ่งน้องทุกคนมีหมด แล้วเขาก็จะมีเส้นทางของเขาในการเดินทางในเส้นทางของเขาไปเรื่อยๆ
อีกอย่าง หนึ่ง เฌอฯจะเป็นแบบสายออราในตัว เขามีข้อมูลในเรื่อง AKB48 เยอะมาก สอง เขารัก สาม เขาก็รู้ด้วยว่าจะต้องทำยังไง เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำอะไรด้วยความรักและความตั้งใจ ผมเชื่อว่ามันไปได้ อันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคนนะครับ ซึ่งถ้าเขาเข้ามาถึงแล้วบอกว่า หนูอยากดัง หนูอยากมีชื่อเสียง หนูอยากเป็นไอดอล อันนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ของเรา แต่สิ่งแรกที่หนูทำ ถ้าหนูรักในสิ่งที่หนูทำ นั่นคือสิ่งที่มันจะได้จาก AKB48 และสุดท้ายคือ ธรรมชาติของน้องแต่ละคน เขามีอะไรบางอย่างที่เราคิดว่า เราอยากที่จะสนับสนุน อยากติดตาม เข้าใจและช่วยเหลือเขา และพาเขาไปสู่จุดที่ตัวเองไปถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่เราที่จะต้องทำให้ได้ นี่คือสิ่งแรกเลยที่เราจะนำจุดเด่นของแต่ละคนนั้นออกมาได้ยังไง ซึ่งอยู่ที่ทุกคนจะสนับสนุนด้วย ซึ่งตัวเฌอปรางก็มีความน่ารักอยู่แล้ว แต่นอกเหนืออกว่านั้นคือจิตใจเขา กับสิ่งที่เราเห็นว่าเขาตั้งใจจริงๆ นั่นแหละ ที่ทำให้คนติดตามและสนับสนุนเยอะมาก
• ถ้าถามแบบคนทั่วไปเลย การเป็นไอดอล ในแง่นี้ มันคือยังไงครับ
เฌอปราง : มันคือการฝึกตัวเอง แล้วให้คนอื่นเห็นว่ามันเริ่มต้นมายังไง และจะไปที่ไหนบ้าง อารมณ์ประมาณว่า ได้เห็นคนคนหนึ่งเติบโต ได้เห็นพัฒนาการของเขา ซึ่งคนที่ติดตามก็จะรู้สึกว่า เขาพัฒนานะ เขามีผลงานจนเราเห็นแล้วเราอยากเชียร์นะ เราเชียร์ถูกคนนะ เหมือนกับเราเป็นอีกตัวอย่างที่ดีอีกหนึ่งตัวอย่างให้คน เชื่อว่าความพยายามจะตอบแทนเราแน่นอน อีกแง่หนึ่งเหมือนกับเป็นแรงบันดาลใจ เวลาที่ติดตามแล้วให้รู้สึกว่า จากเด็กปกติคนหนึ่ง เขาก็มีการต่อสู้ให้วงดังขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างเช่นตัวเฌอเอง เวลาที่เราท้อ แล้วเปิดเพลงของวงขึ้นมา มันทำให้เรารู้สึกว่า เขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ด้วยสิ ประมาณนี้ค่ะ
พงศ์จักร : ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ ในบ้านเรายังไม่มีลักษณะนี้มาก่อน จะมีในลักษณะบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ป แล้วคำว่าไอดอลในปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจแบบว่า เป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะขายครีมหรือลักษณะอย่างเดียวกัน แต่ความหมายนี้จะเป็นลักษณะว่าเป็น artist เป็นศิลปิน อย่างผม คือทำงานมาก็เอาผลงานให้ฟัง พิสูจน์ด้วยผลงาน แต่ไอดอลกลุ่มนี้ เราจะพิสูจน์ด้วยความพยายามของน้องๆ เอาความพยายามของน้องๆ มาพิสูจน์ให้เห็นว่า น้องมีเป้าหมายอยู่นะ ฉะนั้นจะต้องฝึกฝนต่างๆ นานา เพื่อจะไปให้ถึงจุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้ และเป็นการพิสูจน์ตัวเองบนวิถีแห่งไอดอล ฉะนั้นในการติดตามนั้น จะได้รู้ว่า ขนาดน้องเขายังมีความพยายามเลย ทำไมตัวเราเองถึงไม่ลองดูล่ะ
• แน่นอนว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหม่มากในบ้านเรา และก็ต้องแลกกับบางอย่างด้วยเช่นกัน อยากให้เราช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ
เฌอปราง : คือการเข้ามาแน่นอนว่าจะต้องมีคนสนับสนุนเยอะขึ้น แต่สิ่งที่แลกแน่ๆ คือ เวลาส่วนตัวที่ต้องให้กับการทำงาน ซึ่งทุกเย็นเราต้องขับรถจากศาลายาเพื่อมาซ้อมและทำงานเกือบทุกวัน คือเราให้ตรงนี้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งวันเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องมา แล้วก่อนหน้านี้ตัวเฌอเองก็เคยมีแฟนมาก่อน แล้วพอมาเข้าวง เราก็คุยกับเขาว่า เราจะเข้ามาในจุดที่มีคนสนับสนุนเรานะ ก็จะมีสัญญาใจบางอย่างเกิดขึ้น ฉะนั้นต้องหยุดไว้ก่อน หลังจากที่เราเสร็จภารกิจตรงนี้ ค่อยมาว่ากันใหม่อีกที
• มองในมุมหนึ่ง การที่เราเข้าวงนี้มา ถือว่าเป็นการเติบโตด้วยวุฒิภาวะด้วยมั้ย
เฌอปราง : ใช่ค่ะ เพราะว่าเราก็นึกไม่ถึงว่าจะได้อยู่ในท่ามกลางอะไรแบบนี้มาก่อน (ยิ้ม) ถ้าเกิดเราไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเราด้วย จากที่เราเป็นคนปกติธรรมดา เรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อนเฮฮาไป พอเข้ามาตรงนี้ก็เป็นอีกสังคมหนึ่ง ทำให้เราต้องปรับตัวใหม่ให้เข้ากับหลายอย่าง ทั้งในการวางตัว รวมถึงเรื่องอื่นๆ แต่ถามว่ามีผลต่อนิสัยมั้ย เฌอว่าก็ปกตินะคะ เวลาเจอเพื่อนก็ยังเหมือนเดิม คุยกับเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าถ่ายรูปกับเพื่อนไม่ได้แล้ว
พงศ์จักร : ซึ่งมันเป็นสิ่งใหม่สำหรับบ้านเรา เพราะบ้านเราเวลาที่ถ่ายรูปกับคนดังนี่คือได้ ซึ่งถ้าไม่ได้นี่คือ อาจจะโดนด่าว่าหยิ่งหรือเปล่า คือสิ่งนี้ในบ้านเราต้องเรียนรู้กัน แต่ว่าตอนนี้อย่างกลุ่มที่อยู่ในโอตะ ที่เราเรียกว่า call fan เขาเข้าใจแล้ว แต่วันหนึ่งถ้าเราก้าวข้ามไปยังกระแสหลักที่คนทั่วไปเข้ามา เราก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันเสมอ แล้วต่อไปก็ต้องเรียนรู้สำหรับสังคมไทยเช่นกัน คือถ้าไม่แอบถ่ายก็ไม่ได้
เฌอปราง : แต่บางทีเวลาที่โดนไกลๆ บางทีก็ห้ามไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในสตูดิโออย่างงี้ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้ามองกล้อง ก็เหมือนรู้สึกว่า ทำไมให้เขาถ่าย แต่ว่าถ้าอยู่ในสถานที่ปกติ บางทีก็ห้ามไม่ได้ แน่นอนว่าการห้ามถ่ายรูปคู่นั้น คนไทยก็ต้องตั้งคำถามเช่นกัน
พงศ์จักร : ซึ่งตรงนี้ ผมถือว่าเราอยู่ใน call fan อยู่ แต่ถ้าเราเดินก้าวออกจาก call fan แล้ว อย่างเช่นเราไปเจอคนทั่วไป ที่ไหนไม่รู้ แล้วเขาจำเราไม่ได้ เราก็ต้องศึกษากันไป แต่เราจะสื่อสารกับเขายังไงให้โอเค อย่างที่บอกว่าคนดังไทยไม่มีอย่างงี้ไง ซึ่งในวันข้างหน้าก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป
• แน่นอนว่า ในบ้านเราก็ยังมีบางคนที่เขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เราฝ่าด่านตรงนี้มาได้ยังไง
เฌอปราง : ตอนแรกที่บ้าน อย่างคุณพ่อจะไม่สนับสนุนเลย แต่ตอนนี้คุณปู่จะเป็นคนเดียวที่ยังไม่เข้าใจ คือตอนนี้เราเหมือนกับ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เหมือนกับหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยนิดนึง (ยิ้ม) อย่างคุณพ่อในตอนแรกคือไม่โอเค เขาก็ถามว่าจะมาตรงนี้จริงเหรอ มันหนักนะ แล้วอีกอย่างท่านก็บอกว่าอยากให้เรียนให้จบก่อน แล้วอาชีพนักร้อง มันก็ต้องมีพื้นฐานอย่างอื่นด้วย ท่านมองว่าอย่างน้อยก็มีวิชาชีพทางที่เรียนมาให้อุ่นใจ ซึ่งเราก็พยายามสู้กับมันอยู่ อีกอย่างเราก็เหมือนกับพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราก็ทำได้นะ เราก็เลยคุยกับคุณพ่อด้วยว่า เราก็อายุ 20 แล้ว หนูอยากทำจริงๆ หนูชอบกรุ๊ปนี้ แล้วเราก็ได้โอกาสจากคนพันกว่าคน แล้วจะให้เฌอฯทิ้งโอกาสที่ได้มา มันก็ไม่ใช่ เพราะเรามีโอกาสได้ทำแทนคนพันกว่าคน ก็เลยสู้ต่อ เฌอก็บอกพ่อไปว่า เฌอทำได้น่า (ยิ้ม)
• จนกระทั่งเฌอปรางถูกรับเลือกให้เป็นกัปตัน อยากให้เราช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ
เฌอปราง : เรื่องนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราได้มายังไงนะ แต่ตำแหน่งนี้เท่าที่ศึกษาเองจากสารคดีของวง AKB48 ซึ่งหน้าที่กัปตันจะเป็นลักษณะว่าจะคอยดูแลในเรื่องการซ้อมของวงเป็นหลัก แล้วก็คอยแก้ปัญหาหน้างานว่า หากมีสมาชิกวงที่ยังเต้นไม่ได้ เราก็จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะให้ใครขึ้นมาเต้นในแต่ละเพลงด้วย ซึ่งหน้าที่นี้ก็จะทำร่วมกับคุณครูด้วย ซึ่งบางทีทีมงานก็คอยส่งรายละเอียดมาให้ แต่ถ้ามันเกิดความฉุกละหุกจริงๆ แล้วคุณครูหรือคนที่คอยช่วยเหลือเราไม่อยู่ จะทำยังไง เราก็ต้องจัดการตรงนี้ คือถ้าเปรียบได้มันก็จะเป็นแบบหัวหน้าวง
พงศ์จักร : คือกระบวนการเลือกกัปตันทีมของ BNK48 ก็จะมีทั้งผู้บริหารญี่ปุ่นและผู้บริหารไทย ตั้งแต่ 15 คน เซ็นบัสสึ รวมถึงใครจะเป็นเซ็นเตอร์ ใครจะเป็นกัปตันทีม แล้วในตัวเฌอปรางเองเขาจะมีความเป็นผู้นำสูง มีความรับผิดชอบสูง จากการที่เป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน ซึ่งเรามองแล้วว่าน้องเขาเอาการเอางานและจะชอบในทางกิจกรรม แล้วพอให้เขามาเป็นตรงนี้ ก็จะมีความเหมาะสมซึ่งถือว่าจัดการอะไรได้ดีทีเดียว
เฌอปราง : จริงๆ ในวันแรกที่เปิดตัวในเดือนกุมภาฯที่ผ่านมา แล้วสื่อมาสัมภาษณ์เขาถามว่ามีหัวหน้าวงมั้ย แล้วก่อนหน้านี้เราก็ไปญี่ปุ่นกับมาร์คซัง เขาก็บอกว่า ทำอะไรได้เยอะดี เอาไปเป็นกัปตันชั่วคราวไปก่อนละกัน เราก็เลยได้เป็นมาตั้งแต่นั้น เสร็จแล้วก็เหมือนกับเรายังไม่รู้อะไร พอเขาโยนมา หนูก็ตอบคำถามเลย ความรู้สึกว่า เออ คงเป็นไปก่อนก็ได้มั้งแล้วค่อยเปลี่ยนคนทีหลัง แต่ก็ยังไม่ได้ทำมากเท่าไหร่ เพราะคุณครูก็จะเป็นคนดูอยู่แล้ว เราก็เป็นเด็กอีกคนหนึ่งที่ค่อยๆ พัฒนาไปเฉยๆ อาจจะมีบ้างที่เป็นต้นเสียงให้ และพูดสวัสดีแค่นี้เอง มารู้จริงๆ ก็ตอนประกาศวันนั้นเลยว่าตัวเองเป็นอย่างเป็นทางการ แต่บางทีเราก็ถูกดุเหมือนกันว่า เราไปดุและไปพูดกับน้องตรงๆ หรือว่าเยอะไปหรือเปล่า ซึ่งนี่เป็นข้อด้อยจากการที่เราทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบอยู่บ้าง ทั้งๆ เราก็วางไว้ก็ได้ว่ามันเป็นเสน่ห์ของน้องเขา
• การที่มีตำแหน่งในวงอย่างงี้ มันเป็นลักษณะเบื้องต้นยังไงครับ
พงศ์จักร : เหมือนกับเป็นการดูแลกันเอง เหมือนกับมีห้องเรียน 1 ห้อง ซึ่งมีเด็กเยอะเลย ถ้าเราไม่มีหัวหน้าห้องเนี่ย จะเป็นแบบว่า ครูมาบอกกิจกรรมต่างๆ ก็จะมาบอกหัวหน้าห้องก็จะช่วยกันจัดการอีกที แล้วเฌอปรางจะมีความเป็นเฟมินิสต์นะ คือมีความเท่ กวน งและหวานในตัวเอง บางครั้งก็หวาน บางครั้งก็แมน
เฌอปราง : เพราะว่าจริงๆ AKB48 ในยุคแรกๆ ยังไม่มีตำแหน่งกัปตันนะคะ แต่ก็มีคนหนึ่งแหละที่ขึ้นมาจัดการต่างๆ เขาก็เลยมีตำแหน่งนี้ในตอนหลัง คือฉายแสงในเรื่องผู้นำและการจัดการไป ดูแลกัน พูดนำ กล่าวนำ กระตุ้นเพื่อนๆ ซึ่งบางคราวเราก็เหมือนคนดุเหมือนกันนะ เพราะว่าเราโตมากับกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยค่ะ แล้วช่วงมัธยม 5 ถึง 6 เราก็เป้นผู้หญิงคนเดียวในห้อง ที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นโรงเรียนแนวทางเลือก แล้วสายวิทย์รุ่นเราไม่ค่อยมีผู้หญิงเรียน เลยกลายเป็นเฌอฯ ที่เรียนคนเดียว แล้วเราก็กลายเป็นแบบห้าวๆ ไป อีกอย่างเพื่อนในห้องก้ไม่ค่อยทำอะไร เราก็เลยกลายเป็นแบบประสานงานให้อะไรอย่างงี้ คอยชี้นิ้วสั่ง ยืนขู่ให้ (ยิ้ม)
• อีกด้านหนึ่ง ด้วยความที่เราเป็นนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ก็ค่อนข้างย้อนแย้งด้วยนะ
เฌอปราง : ใช่ค่ะ คือเมื่อก่อนเฌอเคยทำงานวิจัยกับอาจารย์ ก็ทำงานธรรมดาไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วพอมาอยู่ตรงนี้ อาจจะทำงานวิจัยน้อยลง แล้วเวลาเรียนปกติเราก็พยายามเรียนเท่าที่เรียนได้ พอถึงเวลาทำงานก็ต้องออกมา แล้วก็มาอ่านหนังสือเอาเอง ส่วนความสนใจแรกเริ่ม ก็จะชอบเคมีกับฟิสิกส์ค่ะ แต่พอเข้ามาเรียน ก็ไม่รู้ว่าด้านไหนเหมาะกับตัวเอง แต่วิชาเคมีเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดในทุกๆ อย่าง เพราะการที่จะเรียนด้านวิทย์ทุกแขนง มันก็ต้องเริ่มจากสสาร เฌอก็เลยเลือกเรียนสาขานี้ แล้วพอเรามาตรงนี้มาก มันก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างนะ อีกอย่าง พอเลือกเข้ามาทำตรงนี้ได้ เพราะอาจารย์เคยบอกเราว่า ถึงแม้ว่าเราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าไม่มีใครอ่านงานเรา ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเราสามารถเป็นกระบอกเสียงด้วยตัวเอง ทั้งผลงานเราในสองด้าน มันก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่าเดิม เพราะเฌอคิดว่าถ้าคนแบบเราพูดไปแล้วคนฟังเยอะ มันก็ดีกว่าคนธรรมดาที่พูดไปคนก็อาจไม่ฟัง น้ำหนักเสียงที่พูดไปก็ต่างกันไป ทำให้การมาทำตรงนี้ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่ และไม่ได้ขัดกับการเรียนวิทยาศาสตร์
• ในเรื่องวงไอดอลลักษณะนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับบ้านเรา
พงศ์จักร : ใช่ครับ อย่างที่ทราบว่า BNK48 เป็นวงน้องสาวของ AKB48 ซึ่งวงนี้ก็มีวงน้องสาวในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ถือว่าเปิดใหม่แหละ แล้วเขาก็ประกาศตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ที่เรามีฐานแฟนคลับ AKB48 ในเมืองไทยอยู่แล้ว แล้วเขาก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีในบ้านเราบ้าง เราอยากจะสนับสนุนเด็กไทยบ้าง แล้วพอมันมีปุ๊บ ทุกคนที่รอคอยก็ให้การตอบรับที่ดี แล้วเราในฐานะนี้ ก็รู้สึกว่าทั้งดีใจและตกใจที่ทุกคนรอจริงๆ แล้วเราก็อยากที่จะทำสิ่งนี้ให้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ call fan อย่างเดียว เราจะเดินต่อไปข้างหน้า ขยายฐานคนฟังให้ติดตามมากขึ้น
เฌอปราง : เฌอคิดว่า 48 Group มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ แต่เราคิดว่า ถ้ามีในเมืองไทย ก็เป็นเรื่องอะไรที่ใหม่มาก เปลี่ยนแนวทางไอดอล ที่ให้น้องๆ ยึดมาเป็นต้นแบบได้บ้าง ซึ่งถ้ามาเปรียบกับ AKB48 ที่ญี่ปุ่น เขาถือว่าดังมาก เขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนเยอะมาก จนเป็นไอดอลกรุ๊ปประจำชาติเลย ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแบบจริงจังมาก
พงศ์จักร : ซึ่งผมตื่นเต้นกับหนังสือพิมพ์ในวันประกาศ เขาลงข่าวหน้าหนึ่งในวันถัดไปทุกฉบับเลยว่า จะมี BNK48 ในเมืองไทย ผมนี่คือเก็บเล่มนั้นเลยครับ แล้วข่าวนี้ถือว่าเป็นที่ฮือฮามากสำหรับบ้านเขา ซึ่งจากวันนั้นเราใช้ประมาณปีกว่า ที่เราสร้าง BNK48 ขึ้นมา ในการจัดการบริหาร ซึ่งทุกคนได้มาเห็นแล้วก็ชื่นใจ ตอนนี้ในระดับวงแคบๆ ถือว่าเกินความคาดหมายมาก ซึ่งในตอนแรกเราคิดว่า ฐานคอลล์แฟน ที่มาให้กำลังใจน้องๆ เราก็เห็นว่าเยอะจริงๆ แล้วสเต็ปต่อไปของเราก็คือว่า เดินต่อไปข้างหน้า ให้ขยายฐานแฟนให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนเห็นว่า ไอดอลในเมืองไทยเป็นแบบไหน และแบบ AKB Style นั้นเป็นยังไง เพื่อให้คนติดตามมากขึ้น ซึ่งในส่วนของคาเฟ่และเธียเตอร์ของน้องๆ นั้น จะต้องมีในปีนี้แน่นอน พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างที่ AKB48 มี BNK48 ก็จะต้องมีในเมืองไทยด้วย แต่ตอนนี้ก็มีสตูดิโอที่เอ็มควอเทียร์ และซิงเกิลแรกชื่อว่า อยากจะได้พบ ออกมาก่อน
เฌอปราง : คือจริงๆ AKB ก็เริ่มมาจากแสดงในเธียเตอร์ธรรมดา จากนั้นก็มีคนติดตามมาเรื่อยๆ แล้วเราเห็นว่าเขามีการพัฒนาตัวเองตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นแฟนจ๋าขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้จักวงนี้เลย ยังมีคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้จริงๆ
• ขณะเดียวกัน AKB48 จะมีการแต่งตัวเซ็กซี่ ในส่วนของ BNK48 ตรงนี้มีข้อจำกัดด้วยมั้ยครับ
พงศ์จักร : อันนี้มีแน่นอน เพราะว่าบ้านเราเป็นเมืองพุทธ เรื่องนี้ก็ต้องเก็บไว้ งดไว้ก่อน เราจะนำเสนอในความสดใส ความร่าเริง ความเป็นไอดอล และความเป็นธรรมชาติของเด็ก นี่คือสิ่งที่เราอยากจะเอามาเล่ามากกว่าความเซ็กซี่ เพราะอย่างเด็กบ้านเรา จะมีความสดใสน่ารัก ซึ่งจุดขายนี้ มันน่าจะโอเคในบ้านเรามากกว่า เพราะถ้านำเสนออย่างที่บอกไป มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่อยากมที่จะให้เป็นแบบนั้น เราอยากจะขายในอีกด้านหนึ่งของน้องๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นเราอยากจะให้พิสูจน์ คือความพยายาม ความมั่นใจ ธรรมชาติที่น้องมี คาแรกเตอร์ของน้องแต่ละคน คืออย่างที่รู้ว่า การเข้ามาของ BNK48 ไปจนถึงช่วงจบการศึกษาแล้ว น้องๆ ก็อาจจะไปทำงานตามความสนใจของน้องๆ ต่อ อันนี้ก็สุดแท้แต่ว่าจะทำยังไงต่อ
• อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีคนทั่วไป อาจจะยังไม่เข้าใจในวัฒนธรรมแบบนี้ เรามองเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ
พงศ์จักร : ผมบอกอีกนิดละกัน อันนี้คือความแตกต่าง ระบบแฟนคลับจะอยู่ในเพศหญิงซึ่งเยอะมาก จากที่เราเห็นตามอีเวนต์หรือคอนเสิร์ตต่างๆ ผมเลยพูดกับผู้บริหารเลยว่า เมื่อไหร่จะมีพื้นที่ของเรานะ (หัวเราะ) ผู้ชายมันก็อยากที่จะมีอะไรแบบนี้เช่นกัน แต่เราไม่รู้จะไปหาที่ไหน หรือว่าติดตามใคร ซึ่งพอเราได้เห็นเหล่าโอตะที่อยู่ในที่ของเราแล้ว แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้บ้างล่ะ เราก็มีเหมือนกัน สนับสนุนน้อง ให้กำลังใจน้อง ติดตามน้องไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว นี่คือทุกคนก็มีโอกาสที่จะทำได้หมด คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบ้านเรา แต่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แค่นั้นเอง เพียงแต่เปลี่ยนผู้หญิงเป็นผู้ชายแค่นั้น ซึ่งนอกจากที่ว่ามาเมื่อกี้แล้ว เหล่าโอตะจะมีการเชียร์ที่แตกต่างจากแฟนคลับปกติ ที่มีจังหวะในการเชียร์ด้วย นี่ก็คือเป็นการเชียร์อีกแบบหนึ่ง
• แต่เวลานี้บางคนก็ยังไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมนี้อยู่ดี ตรงนี้มองยังไงบ้างครับ
เฌอปราง : อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องทัศนคติของแต่ละบุคคล เราก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งมันก็ถูกของเขา แต่สิ่งที่เราพอรับได้ และพร้อมที่สนับสนุนตรงนี้ มันก็เป็นเรื่องถูกของเรา แต่อาจจะผิดของเขาก็ได้ มันก็แค่รสนิยมของแต่ละคน ว่าเติบโตมายังไง คือถ้าเขามองอย่างงั้น ก็ไม่แปลกใจ เพราะว่าเขาโตมากับการดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น พอมามองตรงนี้ ก็จะแบบว่า ‘อะไรเนี่ย’ ซึ่งบางทีเขาก็อาจจะลืมไปว่า เขาเองอาจจะเคยชื่นชอบศิลปินเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ารูปแบบอาจจะไม่เหมือนในยุคสมัยเขาก็เป็นได้ แล้วมีกิจกรรมใหม่ขึ้นมา เขาอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ คือไม่ผิดสำหรับเขา แต่ก็ไม่ผิดสำหรับเราเช่นกันค่ะ (ยิ้ม)
• เป้าหมายของทั้งตัวเฌอปราง และ BNK48 ครับ
เฌอปราง : ทำทุกวันให้ดีที่สุดค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ เราไม่คิดอะไรมาก ทำงานได้ ทำ แต่ถ้าติดสอบ ก็ขอสลับตารางไป คือเราก็วางแผนอนาคตเหมือนกัน แต่ช่วงนี้คือเป็นความฉับพลันทุกอย่าง แล้วทุกอย่างใหม่หมด
พงศ์จักร : ส่วนตัววง ก็ถือว่าอยากให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในวงการเพลงไทย ไอดอลไทย ศิลปินไทย ให้มีพื้นที่ให้กับ BNK48 ให้รู้จัก และทำให้เห็นว่ารูปแบบไอดอลที่เป็นนั้นเป็นอย่างไร ทุกอย่างเป็นยังไง รูปแบบเป็นแบบไหน คุณก็สามารถติดตาม ชื่นชอบ และสนับสนุนน้องได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเรา ไม่ใช่เฉพาะแค่คอลล์แฟนอย่างเดียว จะเป็นใครก็ได้ มาติดตามและสนับสนุนเรา แล้วคุณจะรู้ว่า การเป็นไอดอลนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่คุณคิด อย่างต่อจากนี้เราก็จะมีเธียเตอร์ให้ ซึ่งสามารถมาดูเหล่าน้องๆ โชว์ได้ทุกสัปดาห์ ซึ่งนอกจากนี้ งานอีเวนต์ต่างๆ ก็ไปตามเชียร์กันได้ แต่ในช่วงแรก อาจจะโชว์น้อยๆ ก่อน ดูก่อนว่ามีเยอะขนาดไหน ซึ่งจะแตกต่างที่ญี่ปุ่น ที่มีทุกวัน ดูก่อนว่า ระหว่างนั้น น้องก็ใช้ชีวิตประจำวัน และฝึกซ้อม ซึ่งก็ทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้มีแค่โชว์อย่างเดียวนะครับ อาจจะมีงานนี่นั่นด้วย
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี