ใครจะรวย ใครจะสุข ใครจะประสบความสำเร็จ?
ก็...ฉันน่ะสิๆ
อากัปกิริยาแรกของผู้คนที่นึกถึงศาสตร์สมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในรอบ 50 - 60 ปี “NLP” (Neuro - linguistic - programming) หรือที่เราบ้านๆ เรียกกันว่า ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมจิต ศาสตร์แห่งการโปรแกรมสมอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ใครคนใดคนหนึ่งบรรลุจุดประสงค์เป้าหมายที่ตั้งไว้ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนจิตใจในการควบคุมสั่งการสมอง
Manager Online เดินทางไปพบ “วันชัย ประชาเรืองวิทย์” ผู้ก่อตั้งบริษัทสำนักพิมพ์ต้นไม้และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือ how-to มากที่สุดสำนักพิมพ์หนึ่งในประเทศไทย นักพูด นักเขียน และเป็นโค้ชด้านความสำเร็จที่มีประสบการณ์ในการจัดสัมมนาและการทำ in-house training ให้กับองค์กรต่างๆ มามากกว่า 10 ปี นอกจากนี้ปัจจุบันยังเป็นผู้ผลักดันผลงานเขียนหนังสือแนวจิตวิทยา-พัฒนาชีวิตของตนเองออกสู่ท้องตลาดมากกว่าสิบเล่ม เพื่อไขกระจ่างความจริงที่คลุมเครือในเวลานี้
• คืออะไร? NLP
คือคำย่อของคำว่า Neuro - linguistic - programming ซึ่งสามคำนี้เวลาเอามาเขียนติดกันแล้วพยายามจะแปลให้เป็นประโยคเดียว มันจะเกิดความวุ่นวายและยุ่งยาก ยกตัวอย่างเช่น Neuro เป็นคำศัพท์ที่ไปยืมมาจากการแพทย์ หมายถึง สมอง จิตใจ หมายถึงระบบโสตประสาท ระบบประสาท คำว่า linguistic ความหมายที่แปลตรงๆ ว่า ภาษาศาสตร์ คำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ ส่วน programming เป็นคำของวงการคอมพิวเตอร์ ที่เวลาเราให้โปรแกรมเมอร์ลงซอฟต์แวร์ทำการโปรแกรมเครื่องเปล่าๆ ให้มันมีซอฟต์แวร์ มีแอปพลิเคชันไว้ใช้งานได้ ให้มันสามารถแดงนิสัยใจคอตามโปรแกรมได้
• แล้วในความหมายรวม NLP ศาสตร์แขนงนี้มีใจความสำคัญอย่างไร
มันคือการศึกษา 3 เรื่องที่เกี่ยวกับคน ความหมายจริงๆ Neuro - linguistic - programming คือคุณคิดในลักษณะอย่างไร มีกิจกรรมทางความคิดแบบใด คุณมีแอกทิวิตี้ยังไง เรียกว่า มโนกรรม คุณมีพฤติกรรมทางมโนกรรม คุณทำอะไรกับมโนกรรม เช่น คุณคิดไปถึงอดีต คิดถึงอนาคต หรือคุณกำลังจินตนาการอะไรบางอย่าง กำลังทบทวนรื้อฟื้นอดีต ก็คือกิจกรรมทางสมอง มันเป็นมโนกรรมชนิดหนึ่ง linguistic คือภาษาศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วมันหมายถึง คุณสื่อสารยังไง คุณสื่อสารกับตัวเอง สื่อสารกับคนอื่น ที่เป็นลักษณะที่มันเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของคำศัพท์ที่คุณใช้ การสื่อสารคือคุณสื่อความหมาย คำศัพท์ที่เรียงๆ แล้วพูดออกไป คุณกำลังต้องการให้เขาเข้าใจความหมายว่าอะไร เวลาคุณพูดกับตัวเองคุณก็กำลังลำเลียงความหมายให้กับตัวเองเข้าใจ ส่วน programming หมายความว่า คุณประพฤติตัวอย่างไรบ้าง คุณทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ฉะนั้นมันมีความคล้ายๆ คำพระ 3 คำของชาวพุทธ คือ มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ทีนี้ การที่คุณรู้จัก 3 ส่วนนี้มันก็จะครบถ้วนในความเป็นคน
แต่พอเราเอามา NLP มาเขียนติดกัน แล้วเราพยายามจะทำให้เป็นประโยคเดียวกัน มันก็จะคล้ายๆ กับว่ามันหมายถึงใครบางคนกำลังจะโปรแกรมจิตใจของตัวเอง ด้วยภาษาของสมอง หรือว่าการที่คุณพยายามโปรแกรมตัวคุณเอง เพื่อให้ตัวคุณเองมีพฤติกรรมที่ผลิตผลลัพธ์ที่ดีคุณจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร คุณก็ต้องเข้าใจว่าภาษาของสมองมันเป็นอย่างไรนั้นเอง ถ้าเรานำมารวมกัน บางคนอาจจะแปลว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการโปรแกรมจิตใจตัวเองด้วยภาษาจิต มันก็จะแปลยากหน่อย แต่นี่คือความสำคัญของเนื้อใน
• ไม่ใช่ศาสตร์แห่งพลังวิเศษอะไร
ไม่ใช่ครับ...ทีนี้เรามาดูสมอง มนุษย์เรามีทวารทั้ง 5 ในการรับข้อมูล เพราะฉะนั้น คุณจะต้องคิดเป็นภาพ เสียง กลิ่น รส และความรู้สึกที่มาสัมผัสกับผิวกายคุณ เช่น ห้องนี้มันร้อนหรือมันเย็น คุณก็จะคิดได้ 5 แบบ ฉะนั้น พอได้ 5 แบบ เวลาคุณจะโปรแกรมจิตใจของคุณ คุณก็จะต้องโปรแกรมด้วยคำศัพท์ที่มันเกี่ยวกับภาพ เสียง กลิ่น รส ความรู้สึกสัมผัสของผิวหนังคุณ หรือเวลาแตะต้องวัตถุชิ้นหนึ่ง มันหยาบหรือนุ่ม เบาหรือหนัก มันเป็นความรู้สึก นั่นคือสิ่งที่คนไม่ได้เรียนรู้กันว่า จริงๆ แล้ว เมื่อเราสื่อสารกับตัวเราเองด้วยคำศัพท์ที่เกี่ยวกับภาพเสียง กลิ่น เรากำลังโปรแกรมจิตใจด้วยภาษาของสมองอยู่แล้ว ซึ่งมันมีผลกระทบไปถึงพฤติกรรมของเราได้
สรุปชัดๆ เพราะเป็นความเข้าใจผิดของสังคมไทยมานานแล้วสำหรับ NPL ไม่ใช่การสะกดจิต การสะกดจิตที่เรียกว่า 'Hypnosis' เป็นศาสตร์ที่มีมาเป็นหมื่นๆ ปี มันไม่ได้ผิดอะไรที่คุณจะใช้เครื่องมือของการสะกดจิตหรือไปศึกษาการสะกดจิต แม้กระทั่งการไปรับการสะกดจิต ไม่ผิดอะไรเลย เป็นเครื่องมือตัวหนึ่ง แต่ NLP เพิ่งจะเกิดขึ้นมา 50-60 ปีนี้เท่านั้น ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต ดังนั้น เมื่อมันไม่เกี่ยวกันแล้วพยายามที่จะบิดเบือนมันว่า NLP คือการสะกดจิต ไม่ใช่ เพราะ NLP เป็นศาสตร์ที่ใหญ่มาก ใหญ่จนมันครอบคลุมเรื่องราวต่างๆ ไปมากแล้ว แล้วเราจะไปจำกัดว่ามันคือการสะกดจิตทำไม เพราะมันคนละเรื่องกัน
ง่ายๆ ให้คนเข้าใจ NLP คือการที่คุณจะพยายามศึกษาตัวเอง เข้าใจว่าจิตใจของคุณ ที่เรียกว่า The Mild จิตของคุณมันมีระบบการทำงานอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจมันแล้วเพื่อที่คุณจะได้เป็นเจ้านายมันและควบคุมมันสั่งการให้มันเหมือนกับเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเจริญเติบโตและก็ประสบความสำเร็จ แล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ
• เป็นความแตกต่างจากการสะกดจิต คือเป็นการฝึกให้รู้จิตรู้ใจของตัวเอง
คือมนุษย์มีจิตทุกคน แต่มนุษย์ไม่ใช่จิตโดยตรง ตัวอย่างเช่น ฉันมีมือ ทุกคนก็มองไปที่มือก็เห็นชัด มีแขนเห็นชัด แต่พอเพิ่มสิ่งที่เห็นได้ยากกว่ามองมือหรือแขน เช่น ฉันมีกำปั้น แต่คุณไม่สามารถพูดได้ว่าคุณคือกำปั้น ทั้งๆ ที่ตัวคุณ 'y-o-u' มีร่างกาย มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ประกอบเป็นร่างกาย แล้วคุณก็มีจิตด้วย แล้วจิตของคุณมีความสามารถเยอะ เหมือนกับบอกว่า เท้าคุณทำอะไรได้บ้าง ก็ทรงตัวได้ เดินได้ พาคุณไปไหนมาไหนได้ นั่นคือฟังก์ชันการใช้งาน ประโยชน์ของมัน จิตของคุณก็เป็นอย่างนั้น จิตของคุณมันเป็นระบบที่ซับซ้อนและมันมีศักยภาพในการใช้งานมหาศาล เช่น จิตของคุณเป็นจิตที่ถูกสอนให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า 'ตรรกศาสตร์' 'เหตุผล' และ 'ภาษาศาสตร์' ลองสังเกตเด็กที่เกิดใหม่ในบ้านเรา เป็นคนไทยเกิดมา 4-5 เดือน คุณสามารถพูด เข้าใจ ภาษาไทยได้ หลังจากนั้นคุณสามารถไปพูดเข้าใจภาษาต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้เป็นฝรั่ง นั่นคือจิตสามารถศึกษาเรื่องของเหตุผล ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และการเรียนรู้เพิ่มนี้คือความสามารถของจิต
แต่ถ้าเกิดบอกว่า มือเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ไหม ทำไม่ได้ มันไม่ใช่ความสามารถของมือ แต่เป็นของจิต พูดง่ายๆ ตัวอย่าง คุณคือ The Soul คือวิญญาณหรือจิตวิญญาณที่มาเกิด แล้ว The Soul คือตัวตนแท้ มันดันมีจิตที่เป็นคนงานพิเศษที่มันเก่งมาก คุณต้องควบคุมลูกน้องคนนี้ คุณต้องควบคุมจิตว่าในเมื่อแกเก่งภาษาศาสตร์ เหตุผล ตรรกศาสตร์ แล้วถ้าฉันอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอยากเก่งอันนี้ ฉันอยากจะเป็นคนแบบนี้ อยากจะสร้างผลลัพธ์ อยากปีนเขา ใช้ความสามารถของจิต ผลิตผลลัพธ์อย่างนี้ให้ฉันได้ไหม ฉะนั้น NLP คือศาสตร์แห่งการที่คุณจะเป็นเจ้านายจิต คือตัวคุณมีจิตแล้วเป็นเจ้านายจิต แล้วทำให้จิตยอมร่วมมือโดยใช้จิตบวกกับร่างกาย ลูกน้องสองคนนี้ผสานพลังกันแล้วไปสร้างผลลัพธ์อย่างที่เจ้าของตัวตนแท้ต้องการ เพื่อผลักดันให้เกิดเป็นรูปร่างอย่างที่ปรารถนา นั่นคือจุดมุ่งหมายของ NLP
เพราะจิตมันไม่ใช่ตัวคุณ ถ้ามันใหญ่สุด คุณจะเป็นเจ้านายมันได้อย่างไร ในเมื่อมันคือใหญ่สุดแล้ว ถ้ามันคือบอส จะไปควบคุมบอสได้อย่างไร ตรงกันข้าม ตัวคุณนั้นคือบอส จิตคือลูกน้อง ร่างกายคือลูกน้อง กำปั้นของคุณคือลูกน้องคุณ คุณจะใช้กำปั้นของคุณไปชกกระสอบทรายได้ไหม คำตอบคือได้ แต่มือของคุณมันไม่ควรที่จะมาเป็นเจ้านายตัวคุณ ไม่ใช่จะทำอะไร ไปถามมือคุณก่อน เพราะคุณใหญ่สุด จิตมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่มันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ฟังก์ชันการใช้งานความสามารถ สกิลพิเศษมันสูง
เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตตัวนี้ลูกน้องเรา ถ้ามันเกเรมาก มันห่วย มันไปมีทัศนคติที่ไม่เป็นประโยชน์ มันก็สามารถที่จะทำลายตัวเรา The Soul ตัวตนแท้ก็อาจจะเกิดมาชาติหนึ่งแล้วล้มเหลวอย่างมาก เพราะจิตตัวนี้สามารถที่จะบงการร่างกายของคนคนเดียวกันไปเป็นฆาตกรได้ จิตตัวนี้สามารถที่จะสร้างความคิดดีได้ แต่ไอ้คนคนนี้มันขัดขวางกู จิตจะชอบเรียกตัวมันเองว่าตัวฉัน แล้วมันชอบเรียกสิ่งของที่มันมีว่าของฉัน มันเหมือนคล้ายๆ ผู้แทนราษฎร แค่เป็นตัวแทนชีวิตแล้วมันขอยึดอำนาจใช้ชีวิตแทน ส่งวิญญาณ หรือ The Soul ให้หลับไปนะ
ซึ่งพอรู้ว่า ในเมื่อจิตมันทำงานซับซ้อนอย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่ได้ไปคิดให้ดีว่านอกจากมีอีกคนแล้วมีเราอีกคนรึเปล่า มันสามารถที่จะใช้เงิน อิทธิพล ไปทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จ้างวานคนที่ขัดขวาง นั่นคือสิ่งที่มันซับซ้อนมาก แต่ NLP พยายามที่จะอธิบายว่าคุณจะต้องเข้าใจถึงจิตและการทำงานของจิต ตามมันให้ทันแล้วคุณถึงจะสามารถใช้งานมัน แล้ว Maximum Potential Partners คือคุณอยากจะได้อะไรออกมาจากชีวิตนี้จริงๆ ด้วยวิธีที่มันสง่างาม ไม่เป็นพิษภัยต่อสังคมหรือกฎหมายที่จะมาตามจับ นี่คือ NLP และ NLP ก็จะให้เครื่องมือมากมาย ทำให้คนคน หนึ่งสามารถที่จะเอาทรัพยากรภายในตัวเองและภายนอกออกมาใช้ประโยชน์ได้
แต่ที่สำคัญเมื่อเรารู้แล้ว 'ความเชื่อ' ตัวไหนที่ทำให้คุณ 'มีพลัง' หรือ 'หมดพลัง' ความเชื่อไหนที่ทำให้เข้มแข็ง-อ่อนแอ เพราะจิตมันสามารถพูดกับตัวมันเอง มันบอกว่าฉันไม่เก่งอะไรเลย ฉันไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ตัวจิตที่มันสื่อสารแล้วมันเข้าใจว่ามันเป็นเจ้าของชีวิตไปแล้ว มันก็จะหมดพลังไร้พลัง แล้วมันก็จะไม่มีปัญญาดึงเอาศักยภาพและความสามารถออกมา
ยกตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยของคนชอบเข้าใจตัวเองว่า “ไม่มีใครรักฉันเลย” ทีนี้มันจะเอาสิ่งนี้ลามไปคุมทั้งหมด โดยที่มันไม่ไตร่ตรองหรือหวนคิดว่า ทั้ง 7 พันล้านคนเลยหรือที่ไม่รัก ไม่มียกเว้นกระทั่งคนเดียวที่รักเรา เวลามันเหมารวมและสรุปความจะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นมันก็จะสามารถทำให้ตัวมันเองหดหู่สิ้นหวัง หมดแรงใจและเลยไปถึงขั้นฆ่าตัวตาย อยากตาย จิตตัวนี้ด้วยตรรกศาสตร์ของมัน ด้วยการที่มันสะสมความทรงจำจำนวนมาก จิตมันจะมีตัวซัปพอร์ตมัน เมมโมรีในสมอง สามารถไปถามใน Google มีวิธีการฆ่าตัวตายกี่วิธี ทำอย่างไรบ้าง ทั้งๆ ที่ยากหลากหลายขั้นตอน เพราะมันคิดว่ามันคือเจ้าของ แต่มันไม่มีสิทธิ์ มันเหมือนแขน-ขา ไม่มีสิทธิ์ทำลายบอดี้ ไม่มีความชอบธรรมตรงไหน ถาม The Soul ตัวตนแท้ แต่พอดีไม่ตื่นมันก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูดว่า 'ตัวกู ของกู ' ก็คือจิตเลย
ฉะนั้น เราต้องเป็นนายมัน ไม่อย่างนั้นมันก่อกรรมทำชั่วได้ แต่มันเป็นสิ่งที่เนียนมาก ตามทันได้อยาก NLP คือการที่คนคนหนึ่งพยายามศึกษามันเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ให้รู้ว่ามันทำงานอย่างไร ควบคุมมันได้อย่างไร จะเป็นเจ้านายมัน แล้วในที่สุดจะได้ผลลัพธ์ที่มันสร้างสรรค์ที่เราต้องการจริงๆ
ใน NLP จะมีคำพูดเสมอๆ ว่า “doing what works doing what matters” คือทำวิธีที่ได้ผลมากขึ้น หยุดทำในวิธีที่มันล้มเหลว มันไม่ได้ผล ไปค้นหาดูซิว่ามีใครได้ผลลัพธ์ในแบบเดียวกับที่คุณต้องการแล้ว แล้วทำการไปถอดแบบ ทั้งวิธีคิด วิธีจินตนาการ วิธีการใช้ร่างกายของเขา ถ้าถอดแบบได้ใกล้เคียง คุณมีโอกาสที่จะผลิตผลลัพธ์คล้ายๆ กัน หรือดีกว่านั้น และถ้าโชคดีไปขอเคล็ดลับ ผลิตผลลัพธ์อย่างนี้ทำได้อย่างไร เขาทำอะไร ต้องเชื่อแบบไหน คิดแบบไหน แล้วทำอะไรบ้าง ถึงได้อย่างนี้ มันจะช่วยทุนเวลาจากการที่เราค้นหาเอง วาดภาพเครื่องมือนี้ง่าย
สมมติอยากได้ซิกแพก วิธีแรกคืออาจจะลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ก็ได้ อาจจะนานหน่อยก็ได้ หรือถ้ามีใครบ้างที่เขามีซิกแพกในตอนนี้ แล้วเขาผ่านการลงมือทำจริงๆ ค้นหาให้เจอ ใครที่อยากจะเล่าบอก ถ้าศึกษาเรื่องนี้จากคนๆ นี้ โอกาสที่คุณจะได้ใกล้เคียงเขาแน่นอน แล้วมาลองทำดู เริ่มสร้าง มันก็จะเร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นระหว่างที่ทดลองเอง อาจจะจมปลักอยู่กับความคิดที่ไม่รู้ ใครทำได้ก็ช่างเขา การถอดแบบนี้เรียกว่าโมเดลลิ่ง เป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือที่ NLP แนะนำ คุณหาใครบางคนแชร์ประสบการณ์เขาให้คุณ
อีกเรื่องที่น่าสนใจ NLP พยายามอธิบายว่า จิตของคน ตัวจิตมันชอบทำกิจกรรม 2 แบบ หนึ่งคือ มันชอบรื้อฟื้นอดีต คือแม้มันจะอยู่กับปัจจุบันตอนนี้ แต่มันชอบรื้อฟื้นอดีตเพราะมันมีความทรงจำ เวลามันไปรื้อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าตอนนั้นเหตุการณ์ครั้งนั้นหรือประสบการณ์ครั้งนั้น เมื่อรวมด้วยวัยในอายุเท่านั้น ซึ่งเขาไปตีความแล้วให้ความหมายกับเหตุการณ์ครั้งนั้นไปแล้วว่าอะไรเชิงลบ เขาจะรู้สึกเจ็บปวด โกรธ ช้ำใจ เมื่อไปรื้อฟื้นมัน เหมือนฉายหนังซ้ำๆ แต่ไม่ได้เปลี่ยนความหมาย ยังยึดความหมายที่ให้เมื่อตอนนั้น ทั้งที่จริงๆ เขาเห็นโลกมาน้อยมันอาจจะแปลเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เขาไม่ยอม เขาตายตัวที่จะแปลอย่างนั้น แล้วก็เจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง น้อยใจอีกครั้งหนึ่ง เสียใจอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ทำไปแล้วไม่มีประโยชน์ แต่ก็ชอบและยังจะทำ
เราก็จะเสนอบอกว่า คุณมีอยู่สองทางเลือก หนึ่ง เอาง่ายๆ อดีตมันผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว ให้อดีตอยู่ในอดีตแล้วคุณจดจ่อปัจจุบันกับการเดินหน้าไปอนาคตเลยได้ไหม คุณหยุดเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วคุณก็ไปเรียกมันซะหรูเลยว่า 'ปม' แล้วก็บอกว่าปมอันนี้มันขจัดขัดขวางคุณ คุณติดปมในอดีตจนมันเหนี่ยวรั้งคุณ หยุดคุณ...ไม่ให้เดินหน้าไปสู่อนาคต ทั้งๆ ที่จริงๆ มันไม่มีผลกระทบ แต่อุปาทานของคุณ คุณไปอ้างความสมเหตุสมผลว่า เฮ้ย ฉันชอบทำ ที่ฉันไม่เดินหน้า ไปช้า ไปไม่ได้เนี่ย เพราะฉันมีปมในอดีตที่ยังคลี่คลายไม่ได้ คือจะเอาให้มันเกี่ยวให้ได้เท่านั้น
จริงๆ แล้ว NLP บอกไม่รู้แล้วตั้งกี่ครั้งว่า อดีต สถานที่ที่มันควรจะอยู่ คือให้มันอยู่ที่ตรงนั้นตลอดกาล อย่าไปยุ่งกับมันได้ไหม คือช่วยเลิกใช้เหตุผลที่บอกว่าอดีตมันเกี่ยวข้องกับปัจจุบันเต็มๆ เพราะจริงๆ แล้วคือ 'How do you Know' คุณไปรู้ได้อย่างไรว่าอดีตมันจะต้องเป็นสิ่งที่ผูกผันตลอดกาล มันอาจจะจริงหรือไม่จริงเลยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับคุณตัดสินใจว่าคุณจะเลือกแบบไหน นั่นคือวิธีการ คือตัดสินใจว่าอดีตมันจบแล้ว ผ่านไปแล้ว เรื่องที่มันจริงในอดีตคุณอาจจะไม่ชอบมันก็ได้ แต่มันจบแล้ว
สองคือ คุณสามารถที่จะรื้อฟื้นอดีตก็ได้ แต่คุณต้องถามก่อนว่าตอนอายุเท่านั้น เห็นโลกเท่านั้น ให้ความหมายและแปลตีความไว้อย่างนั้น นอกจากความหมายนั้น ด้วยวัยที่มากขึ้น เห็นโลกมากขึ้นในวันนี้ คุณตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้มีความหมายที่ 2-3-4-5 ที่แตกต่างออกไปได้ไหม คุณมีสิทธิ์ไหม...มี เพราะคุณเห็นโลกมากขึ้น ถ้าคุณให้ความหมายใหม่ ที่อย่างน้อยดีกว่าเดิม แล้วคุณบันทึกมันไว้ในความทรงจำว่า เวลาที่คุณรื้อฟื้นมันอีกครั้ง คุณจะมีทางเลือกความหมายเดิมกับใหม่ จะเอาอันไหน เราก็ก็ต้องเลือกใหม่ ก็จะรู้สึกว่าเป็นอิสระขึ้น รู้สึกว่าคุณไม่มี 'ปม'
• นี่เป็นรูปแบบหรือเครื่องมือที่จะได้จากการศึกษา NLP
อันนี้เป็นเครื่องมือที่เรียกว่า 'รีเฟรมมิ่ง' คือการกลับไปเปลี่ยนความหมายกับเหตุการณ์ในอดีตที่คุณคิดว่ามันเลวร้าย คุณอาจจะเปลี่ยนความหมายซะจนไอ้เรื่องเลวร้ายนั้นคือสาเหตุที่สุดยอดที่ทำให้คุณสามารถจะพลิกไปสู่สิ่งที่โคตรยอดเยี่ยมก็ได้ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจจะให้ความหมายที่ดีที่สุดก็ได้ ไม่มีใครคนไหนเอาปืนมาจ่อห้ามให้ความหมายใหม่ แต่เราไม่รู้ว่าเรามีสิทธิ์ทำอย่างนั้น NLP สอนให้คุณไปทำอย่างนั้น
• สรุปสุดท้ายก็คือย้อนกลับไป 3 สิ่งที่เกิดก่อเป็นมนุษย์
ใช่...แล้วกิจกรรมทางสมองที่จิตมันชอบอีกอย่างคือสิ่งที่เรียกว่า 'โปรเจกติ้ง' จิตมันชอบฉายหนังล่วงหน้า มโนเข้าไปอีก อนาคต แฟนตาซีเข้าไป โหย...ถ้าอีกหน่อยนะ ฉันเนี่ยคงจะต้องเหงาแล้วอยู่ตัวคนเดียว ถูกทอดทิ้ง จะเป็นอย่างไร อดตายนอนข้างถนนบนฟุตบาททางเท้า 'มโน' หรือ 'โปรเจกติ้ง' คือการฉายหนังล่วงหน้าในอนาคต ในกรณีที่มันเป็นลบ มันก็จะไปสร้างอีโมชัน สภาวะจิตที่รู้สึกหวาดกลัว กังวล แล้วหมดความสุข อีกไม่นานเป็นบ้า ถ้าทำกับตัวเองทุกวัน จะมีสิ่งที่เรียกว่าการอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร แล้วจะมีพลังอะไรไปทำชีวิตให้หลุดพ้นจากที่มโน สร้างภาพในอนาคตน่ากลัวมากเลย จิตคุณปรุงแต่ง เสร็จแน่
จริงๆ แล้วสิ่งที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบันแล้วไม่ต้องทำโปรเจกติ้ง ใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด แต่ถ้าจะทำโปรเจกติ้ง NLP เสนอว่า สมองมีความสามารถ จิตมีความสามารถนี้ นายช่วยทำให้ตัวนายรู้สึกถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน มีพลัง กระตือรือร้น อย่างนี้ก็เป็นทางเลือกที่ทำได้ ทำไมไม่ลอง เพื่อจะมีชีวิตชีวามากขึ้น สวยงามมากขึ้น ฟีลกู๊ดมากขึ้น เราต้องมีสติในการรู้ให้ทัน จิตมันเก่งสองเรื่อง คือชอบรื้อฟื้นอดีตกับชอบปรุงแต่งอนาคต แล้วถ้ามันเป็นเรื่องลบทั้งคู่ ก็เสร็จ
เราต้องหายใจลึกๆ แล้วอยู่กับปัจจุบัน คำว่า เดี๋ยวนี้ ที่นี่ ความสามารถที่คุณจะอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้ทุกๆ วัน ให้คุณเรียนรู้เครื่องมือ จิตใจตัวเอง และทันทีที่รู้ จะเกิดการตระหนักรู้ว่า เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ฉันกำลังรื้อฟื้นอดีต กลับมามีสติ เตรียมตัวให้พร้อมก่อน ฉันกำลังปรุงแต่ง ทำให้รู้สึกอย่างไร กลัวไหม กังวลไหม หมดความสุขไหม หยุดสักครู่ กลับมาสู่ที่นี่เดี๋ยวนี่ อยู่กับตัวเอง ตามลมหายใจได้ไหม วิปัสสนาได้ไหม อยู่นิ่งๆ สักพักหนึ่งได้ไหม NLP อยากให้เรามีสติ อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น แล้วถ้าจะปรุงแต่งก็อย่างน้อยปรุงแต่งในเชิงที่มันสร้างสรรค์ เป็นบวกแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มันมีพลังมากขึ้น
ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อหรือพลังจิตสะกด แต่เป็นการเสริมและติดอาวุธเพื่อพิชิตเป้าหมาย
อย่างนั้นก็ได้...มันทำให้เราย้อนกลับไปที่ตัวเราเอง ฉะนั้น ถ้าคุณจะใช้จินตนาการอะไรก็แล้วแต่ไปสู่อนาคต แฟนตาซีแค่ไหนก็ตาม ก็ขอให้คุณรู้ตัวด้วยว่านี่เป็นความสามารถของจิตของตัวคุณ ซึ่งจิตเป็นลูกน้องของคุณที่เราต้องควบคุมมัน บอกแกจะใช้ความสามารถนี้ก็ได้ แต่ฉันขอควบคุมหน่อย อย่าเยอะเกินไป แล้วถ้าจะทำ ก็ให้มันสร้างสรรค์ด้วย
• คืออย่างที่บอกว่าเพื่อพัฒนาศักยภาพ มันไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อตัวเรา ออกมาจากตัวเราแท้ ที่เรามีทุกคน
คิดดีก็ได้ ร้ายก็ได้ แล้วคุณเจ้าของชีวิต ต้องไม่ยอม ถ้าคุณยอม คุณพังแน่ NLP เป็นเรื่องคนๆ หนึ่งจะได้รู้จักตัวเองอย่างมากเลย และสามารถที่จะควบคุมจิตและร่างกายให้ไปสู่ทิศทางที่ควร สมมติจิตคิดว่า “อ้วนแค่ไหนก็ได้ร่างกายฉัน” คนอื่นอย่ามาเผือก ก็จริง คุณก็เลือกได้ แต่อีกด้าน คุณก็สามารถเลือกได้ว่าคุณจะมีร่างกายที่ดีแค่ไหนก็ได้ จะผลิตโปรแกรมที่จะกินและออกกำลังกายที่มันจะสร้างผลลัพธ์ที่บึกบึน ทนทาน สมรรถนะยอดเยี่ยม มันเป็นทางเลือกเท่านั้น แปลว่าการที่เราอนุญาตให้ร่างกายเราอ้วนแค่ไหนก็ได้ แต่ในเชิงของประสิทธิภาพคุณจะได้ศักยภาพเต็มที่ออกมจากร่างกายอย่างนี้ได้อย่างไร มันยาก มันไม่ผิด แต่คุณมีทางเลือก มีสิทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายคุณดีกว่านี้ เข้าใจจิตของคุณได้ คุณก็เลือกได้
เพราะจิตของคุณเชื่อมโยงความพึงพอใจอย่างมหาศาล ไม่ได้เชื่อมโยงความอ้วน หรือสุขภาพที่เสียหาย อ่อนแอ สุดท้ายแล้วจิตของคุณคือตัวที่ทำให้ร่างกายไปผลิตรับอย่างนั้น ก็ต้องแก้ไข้ที่ตัวจิต ให้มันได้แสดงศักยภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของคนคนหนึ่ง คนที่เป็นเจ้าของชีวิตคนคนนั้นจริงๆ
• ฉะนั้นเวลาศึกษาว่า NLP แท้หรือจริงเราก็จะรู้ได้เองในทันที
ต้องบอกก่อนว่าต้องมาศึกษา Real NLP เป็น NLP ที่ไม่ได้ถูกสอนอย่างผิดเพี้ยน เช่นอยู่ดีๆ คุณจะไปเรียนการสะกดจิต คุณก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าฉันเลือกไปเรียนการสะกดจิต ไปเรียนแล้วจะได้วิชาสะกดจิตกลับมา แต่วิชาสะกดจิตมันเกี่ยวอะไรไหมกับการเข้าใจตนเองกับสมองและจิตใจ ยังไม่ใช่ มันแค่เข้าไปสู่กระบวนการที่ผ่อนคลาย แค่สร้าง ชี้แนะจิตเข้าไปและการให้คุณร่วมมือ เป็นกระบวนการที่คุณจะเป็นนายของจิต ควบคุมจิต คนละตัวกัน คนละหัวข้อ คนละคอนเทนต์
ฉะนั้น คุณจะไปเรียนการสะกดจิตก็ไปเรียนการสะกดจิต ก็จะได้ทักษะและสกิลนี้มา ซึ่งไม่ได้ผิดเลย คือเหมือนอยากเรียนจัดดอกไม้ก็ไป ศาสตร์โยคะก็ไป แต่อย่าบอกว่าโยคะคือการจัดดอกไม้ การจัดดอกไม้คือศิลปะแห่งการยิงปืน มันคนละเรื่อง อย่าเอาเรื่องคนละเรื่องมาปนในเรื่องเดียวกัน ผมไม่ได้บอกว่า NLP มันจะต้องเป็นศาสตร์ที่มันจะต้องเหนือกว่าทุกศาสตร์ อาจมีรายละเอียดที่คล้ายกัน แต่จุดเด่นจะมีความแตกต่างในรายละเอียด ก็บอกเลยว่าในการที่เห็นคนนั้นคนนี้มาพูดว่า NLP คือการสะกดจิตบางล่ะ อะไรบ้างล่ะ อยากจะพูดว่าไม่เคยศึกษาอะไรเลยแล้วจะพูดทำไม ถ้าเพียงพูดว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ก็จบแล้ว มันคือความ Error ความคลาดเคลื่อนครั้งใหญ่ ก็อยากจะขอบอกช่วยเข้าใจว่า NLP คือ NLP การสะกดจิตคือการสะกดจิต มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เรียนได้ทั้งหมด แฟร์ ไม่ต้องมาโจมตีกัน ผมไม่ทราบว่าอะไรดีกว่าอะไร ดีทั้งคู่
แต่ NLP มันจะมีเครื่องมือหลายร้อยชิ้นในการที่จะพยายามในการที่ทำให้คนคนหนึ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะไปดึงหรือไปล้วงศักยภาพที่เก็บเอาไว้เฉยๆ NLP คล้ายๆ เหมือนคุณฝากธนาคาร 1 ล้านดอลลาร์ แต่ว่าคุณถอนมาใช้ 2,000 ดอลลาร์ แล้วคุณดันเข้าใจผิดว่าเงินคุณหมดแล้ว คุณพยายามจะใช้ประโยชน์จากเงิน 2,000 ดอลลาร์ แต่อีก 9 แสนกว่าดอลลาร์ คุณฝากเอาไว้ เป็นเงินของคุณ NLP พยายามจะบอกว่า เราใช้ศักยภาพของเรานิดเดียว แต่ที่เราฝากธนาคารไว้เยอะมาก ทำไมเราไม่ใช้ ก็เพียงเพราะเราไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ มีให้ศึกษาแต่ก็ไม่ดู เพราะเราอาจจะขี้เกียจ
แต่เมื่อเรามีความฝัน มีเป้าหมาย มีชะตาชีวิตที่อยากจะได้มีประสบการณ์ ถ้าคุณอยากให้มันเป็นจริง อยากน้อยคุณก็ต้องพยายามที่จะใช้ศักยภาพที่มีอยู่แล้วในตัวคุณให้มากขึ้น คุณจะไปร้องขอจากสิ่งไหนของจักรวาล ท้องฟ้า ดวงดาว ช่วยให้มันหล่นลงมา จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีตรรกศาสตร์หรือเหตุผลเลย คุณต้องร้องขอจากตัวคุณ เพราะตัวคุณมีจิต มีกายที่มีศักยภาพมาก ความสามารถที่คุณจะจัดการตัวคุณเองให้ลงมือทำ นั่นแหล่ะคือการที่คุณจะสร้างผลลัพธ์ โดยไม่แพ้เสียงเล็กๆ ในหัวคุณว่า พรุ่งนี้ ไว้ก่อน ในจิตของคุณ NLP เกี่ยวกับแบบนี้
NLP เกี่ยวกับสามอย่าง สร้างสิ่งที่คุณได้ทั้งหมด ที่คุณเป็นอยู่ คุณสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง สามตัวนี้บวกกันไปมา คุณเท่านั้น ซึ่งถ้าได้เรียนศาสตร์จากของจริงคนเรามีคอมมอนเซนส์ หรือสามัญสำนึก คุณจะตัดสินได้เองเลยว่าเรื่องที่คุณมาเรียนเนี่ย คุณยอมรับได้ไหม เราพิสูจน์เอง ไม่ต้องเชื่อผม ลองซื้อหนังสือดีๆ หลายเล่มเลย ของ 'ริชาร์ด เบนเนอร์' มาอ่าน หนึ่งในสองท่านที่ก่อตั้ง NLP และ 'โรเบิร์ต ดิลท์ส' กูรูด้าน NLP มาอ่าน แล้วไปตัดสินเองว่า NLP คืออะไร มันให้ประโยชน์มหาศาลอย่างไร
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก วันชัย ประชาเรืองวิทย์
ก็...ฉันน่ะสิๆ
อากัปกิริยาแรกของผู้คนที่นึกถึงศาสตร์สมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในรอบ 50 - 60 ปี “NLP” (Neuro - linguistic - programming) หรือที่เราบ้านๆ เรียกกันว่า ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมจิต ศาสตร์แห่งการโปรแกรมสมอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ใครคนใดคนหนึ่งบรรลุจุดประสงค์เป้าหมายที่ตั้งไว้ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนจิตใจในการควบคุมสั่งการสมอง
Manager Online เดินทางไปพบ “วันชัย ประชาเรืองวิทย์” ผู้ก่อตั้งบริษัทสำนักพิมพ์ต้นไม้และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือ how-to มากที่สุดสำนักพิมพ์หนึ่งในประเทศไทย นักพูด นักเขียน และเป็นโค้ชด้านความสำเร็จที่มีประสบการณ์ในการจัดสัมมนาและการทำ in-house training ให้กับองค์กรต่างๆ มามากกว่า 10 ปี นอกจากนี้ปัจจุบันยังเป็นผู้ผลักดันผลงานเขียนหนังสือแนวจิตวิทยา-พัฒนาชีวิตของตนเองออกสู่ท้องตลาดมากกว่าสิบเล่ม เพื่อไขกระจ่างความจริงที่คลุมเครือในเวลานี้
• คืออะไร? NLP
คือคำย่อของคำว่า Neuro - linguistic - programming ซึ่งสามคำนี้เวลาเอามาเขียนติดกันแล้วพยายามจะแปลให้เป็นประโยคเดียว มันจะเกิดความวุ่นวายและยุ่งยาก ยกตัวอย่างเช่น Neuro เป็นคำศัพท์ที่ไปยืมมาจากการแพทย์ หมายถึง สมอง จิตใจ หมายถึงระบบโสตประสาท ระบบประสาท คำว่า linguistic ความหมายที่แปลตรงๆ ว่า ภาษาศาสตร์ คำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ ส่วน programming เป็นคำของวงการคอมพิวเตอร์ ที่เวลาเราให้โปรแกรมเมอร์ลงซอฟต์แวร์ทำการโปรแกรมเครื่องเปล่าๆ ให้มันมีซอฟต์แวร์ มีแอปพลิเคชันไว้ใช้งานได้ ให้มันสามารถแดงนิสัยใจคอตามโปรแกรมได้
• แล้วในความหมายรวม NLP ศาสตร์แขนงนี้มีใจความสำคัญอย่างไร
มันคือการศึกษา 3 เรื่องที่เกี่ยวกับคน ความหมายจริงๆ Neuro - linguistic - programming คือคุณคิดในลักษณะอย่างไร มีกิจกรรมทางความคิดแบบใด คุณมีแอกทิวิตี้ยังไง เรียกว่า มโนกรรม คุณมีพฤติกรรมทางมโนกรรม คุณทำอะไรกับมโนกรรม เช่น คุณคิดไปถึงอดีต คิดถึงอนาคต หรือคุณกำลังจินตนาการอะไรบางอย่าง กำลังทบทวนรื้อฟื้นอดีต ก็คือกิจกรรมทางสมอง มันเป็นมโนกรรมชนิดหนึ่ง linguistic คือภาษาศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วมันหมายถึง คุณสื่อสารยังไง คุณสื่อสารกับตัวเอง สื่อสารกับคนอื่น ที่เป็นลักษณะที่มันเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของคำศัพท์ที่คุณใช้ การสื่อสารคือคุณสื่อความหมาย คำศัพท์ที่เรียงๆ แล้วพูดออกไป คุณกำลังต้องการให้เขาเข้าใจความหมายว่าอะไร เวลาคุณพูดกับตัวเองคุณก็กำลังลำเลียงความหมายให้กับตัวเองเข้าใจ ส่วน programming หมายความว่า คุณประพฤติตัวอย่างไรบ้าง คุณทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ฉะนั้นมันมีความคล้ายๆ คำพระ 3 คำของชาวพุทธ คือ มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ทีนี้ การที่คุณรู้จัก 3 ส่วนนี้มันก็จะครบถ้วนในความเป็นคน
แต่พอเราเอามา NLP มาเขียนติดกัน แล้วเราพยายามจะทำให้เป็นประโยคเดียวกัน มันก็จะคล้ายๆ กับว่ามันหมายถึงใครบางคนกำลังจะโปรแกรมจิตใจของตัวเอง ด้วยภาษาของสมอง หรือว่าการที่คุณพยายามโปรแกรมตัวคุณเอง เพื่อให้ตัวคุณเองมีพฤติกรรมที่ผลิตผลลัพธ์ที่ดีคุณจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร คุณก็ต้องเข้าใจว่าภาษาของสมองมันเป็นอย่างไรนั้นเอง ถ้าเรานำมารวมกัน บางคนอาจจะแปลว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการโปรแกรมจิตใจตัวเองด้วยภาษาจิต มันก็จะแปลยากหน่อย แต่นี่คือความสำคัญของเนื้อใน
• ไม่ใช่ศาสตร์แห่งพลังวิเศษอะไร
ไม่ใช่ครับ...ทีนี้เรามาดูสมอง มนุษย์เรามีทวารทั้ง 5 ในการรับข้อมูล เพราะฉะนั้น คุณจะต้องคิดเป็นภาพ เสียง กลิ่น รส และความรู้สึกที่มาสัมผัสกับผิวกายคุณ เช่น ห้องนี้มันร้อนหรือมันเย็น คุณก็จะคิดได้ 5 แบบ ฉะนั้น พอได้ 5 แบบ เวลาคุณจะโปรแกรมจิตใจของคุณ คุณก็จะต้องโปรแกรมด้วยคำศัพท์ที่มันเกี่ยวกับภาพ เสียง กลิ่น รส ความรู้สึกสัมผัสของผิวหนังคุณ หรือเวลาแตะต้องวัตถุชิ้นหนึ่ง มันหยาบหรือนุ่ม เบาหรือหนัก มันเป็นความรู้สึก นั่นคือสิ่งที่คนไม่ได้เรียนรู้กันว่า จริงๆ แล้ว เมื่อเราสื่อสารกับตัวเราเองด้วยคำศัพท์ที่เกี่ยวกับภาพเสียง กลิ่น เรากำลังโปรแกรมจิตใจด้วยภาษาของสมองอยู่แล้ว ซึ่งมันมีผลกระทบไปถึงพฤติกรรมของเราได้
สรุปชัดๆ เพราะเป็นความเข้าใจผิดของสังคมไทยมานานแล้วสำหรับ NPL ไม่ใช่การสะกดจิต การสะกดจิตที่เรียกว่า 'Hypnosis' เป็นศาสตร์ที่มีมาเป็นหมื่นๆ ปี มันไม่ได้ผิดอะไรที่คุณจะใช้เครื่องมือของการสะกดจิตหรือไปศึกษาการสะกดจิต แม้กระทั่งการไปรับการสะกดจิต ไม่ผิดอะไรเลย เป็นเครื่องมือตัวหนึ่ง แต่ NLP เพิ่งจะเกิดขึ้นมา 50-60 ปีนี้เท่านั้น ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต ดังนั้น เมื่อมันไม่เกี่ยวกันแล้วพยายามที่จะบิดเบือนมันว่า NLP คือการสะกดจิต ไม่ใช่ เพราะ NLP เป็นศาสตร์ที่ใหญ่มาก ใหญ่จนมันครอบคลุมเรื่องราวต่างๆ ไปมากแล้ว แล้วเราจะไปจำกัดว่ามันคือการสะกดจิตทำไม เพราะมันคนละเรื่องกัน
ง่ายๆ ให้คนเข้าใจ NLP คือการที่คุณจะพยายามศึกษาตัวเอง เข้าใจว่าจิตใจของคุณ ที่เรียกว่า The Mild จิตของคุณมันมีระบบการทำงานอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจมันแล้วเพื่อที่คุณจะได้เป็นเจ้านายมันและควบคุมมันสั่งการให้มันเหมือนกับเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเจริญเติบโตและก็ประสบความสำเร็จ แล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ
• เป็นความแตกต่างจากการสะกดจิต คือเป็นการฝึกให้รู้จิตรู้ใจของตัวเอง
คือมนุษย์มีจิตทุกคน แต่มนุษย์ไม่ใช่จิตโดยตรง ตัวอย่างเช่น ฉันมีมือ ทุกคนก็มองไปที่มือก็เห็นชัด มีแขนเห็นชัด แต่พอเพิ่มสิ่งที่เห็นได้ยากกว่ามองมือหรือแขน เช่น ฉันมีกำปั้น แต่คุณไม่สามารถพูดได้ว่าคุณคือกำปั้น ทั้งๆ ที่ตัวคุณ 'y-o-u' มีร่างกาย มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ประกอบเป็นร่างกาย แล้วคุณก็มีจิตด้วย แล้วจิตของคุณมีความสามารถเยอะ เหมือนกับบอกว่า เท้าคุณทำอะไรได้บ้าง ก็ทรงตัวได้ เดินได้ พาคุณไปไหนมาไหนได้ นั่นคือฟังก์ชันการใช้งาน ประโยชน์ของมัน จิตของคุณก็เป็นอย่างนั้น จิตของคุณมันเป็นระบบที่ซับซ้อนและมันมีศักยภาพในการใช้งานมหาศาล เช่น จิตของคุณเป็นจิตที่ถูกสอนให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า 'ตรรกศาสตร์' 'เหตุผล' และ 'ภาษาศาสตร์' ลองสังเกตเด็กที่เกิดใหม่ในบ้านเรา เป็นคนไทยเกิดมา 4-5 เดือน คุณสามารถพูด เข้าใจ ภาษาไทยได้ หลังจากนั้นคุณสามารถไปพูดเข้าใจภาษาต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้เป็นฝรั่ง นั่นคือจิตสามารถศึกษาเรื่องของเหตุผล ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และการเรียนรู้เพิ่มนี้คือความสามารถของจิต
แต่ถ้าเกิดบอกว่า มือเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ไหม ทำไม่ได้ มันไม่ใช่ความสามารถของมือ แต่เป็นของจิต พูดง่ายๆ ตัวอย่าง คุณคือ The Soul คือวิญญาณหรือจิตวิญญาณที่มาเกิด แล้ว The Soul คือตัวตนแท้ มันดันมีจิตที่เป็นคนงานพิเศษที่มันเก่งมาก คุณต้องควบคุมลูกน้องคนนี้ คุณต้องควบคุมจิตว่าในเมื่อแกเก่งภาษาศาสตร์ เหตุผล ตรรกศาสตร์ แล้วถ้าฉันอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอยากเก่งอันนี้ ฉันอยากจะเป็นคนแบบนี้ อยากจะสร้างผลลัพธ์ อยากปีนเขา ใช้ความสามารถของจิต ผลิตผลลัพธ์อย่างนี้ให้ฉันได้ไหม ฉะนั้น NLP คือศาสตร์แห่งการที่คุณจะเป็นเจ้านายจิต คือตัวคุณมีจิตแล้วเป็นเจ้านายจิต แล้วทำให้จิตยอมร่วมมือโดยใช้จิตบวกกับร่างกาย ลูกน้องสองคนนี้ผสานพลังกันแล้วไปสร้างผลลัพธ์อย่างที่เจ้าของตัวตนแท้ต้องการ เพื่อผลักดันให้เกิดเป็นรูปร่างอย่างที่ปรารถนา นั่นคือจุดมุ่งหมายของ NLP
เพราะจิตมันไม่ใช่ตัวคุณ ถ้ามันใหญ่สุด คุณจะเป็นเจ้านายมันได้อย่างไร ในเมื่อมันคือใหญ่สุดแล้ว ถ้ามันคือบอส จะไปควบคุมบอสได้อย่างไร ตรงกันข้าม ตัวคุณนั้นคือบอส จิตคือลูกน้อง ร่างกายคือลูกน้อง กำปั้นของคุณคือลูกน้องคุณ คุณจะใช้กำปั้นของคุณไปชกกระสอบทรายได้ไหม คำตอบคือได้ แต่มือของคุณมันไม่ควรที่จะมาเป็นเจ้านายตัวคุณ ไม่ใช่จะทำอะไร ไปถามมือคุณก่อน เพราะคุณใหญ่สุด จิตมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่มันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ฟังก์ชันการใช้งานความสามารถ สกิลพิเศษมันสูง
เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตตัวนี้ลูกน้องเรา ถ้ามันเกเรมาก มันห่วย มันไปมีทัศนคติที่ไม่เป็นประโยชน์ มันก็สามารถที่จะทำลายตัวเรา The Soul ตัวตนแท้ก็อาจจะเกิดมาชาติหนึ่งแล้วล้มเหลวอย่างมาก เพราะจิตตัวนี้สามารถที่จะบงการร่างกายของคนคนเดียวกันไปเป็นฆาตกรได้ จิตตัวนี้สามารถที่จะสร้างความคิดดีได้ แต่ไอ้คนคนนี้มันขัดขวางกู จิตจะชอบเรียกตัวมันเองว่าตัวฉัน แล้วมันชอบเรียกสิ่งของที่มันมีว่าของฉัน มันเหมือนคล้ายๆ ผู้แทนราษฎร แค่เป็นตัวแทนชีวิตแล้วมันขอยึดอำนาจใช้ชีวิตแทน ส่งวิญญาณ หรือ The Soul ให้หลับไปนะ
ซึ่งพอรู้ว่า ในเมื่อจิตมันทำงานซับซ้อนอย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่ได้ไปคิดให้ดีว่านอกจากมีอีกคนแล้วมีเราอีกคนรึเปล่า มันสามารถที่จะใช้เงิน อิทธิพล ไปทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จ้างวานคนที่ขัดขวาง นั่นคือสิ่งที่มันซับซ้อนมาก แต่ NLP พยายามที่จะอธิบายว่าคุณจะต้องเข้าใจถึงจิตและการทำงานของจิต ตามมันให้ทันแล้วคุณถึงจะสามารถใช้งานมัน แล้ว Maximum Potential Partners คือคุณอยากจะได้อะไรออกมาจากชีวิตนี้จริงๆ ด้วยวิธีที่มันสง่างาม ไม่เป็นพิษภัยต่อสังคมหรือกฎหมายที่จะมาตามจับ นี่คือ NLP และ NLP ก็จะให้เครื่องมือมากมาย ทำให้คนคน หนึ่งสามารถที่จะเอาทรัพยากรภายในตัวเองและภายนอกออกมาใช้ประโยชน์ได้
แต่ที่สำคัญเมื่อเรารู้แล้ว 'ความเชื่อ' ตัวไหนที่ทำให้คุณ 'มีพลัง' หรือ 'หมดพลัง' ความเชื่อไหนที่ทำให้เข้มแข็ง-อ่อนแอ เพราะจิตมันสามารถพูดกับตัวมันเอง มันบอกว่าฉันไม่เก่งอะไรเลย ฉันไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ตัวจิตที่มันสื่อสารแล้วมันเข้าใจว่ามันเป็นเจ้าของชีวิตไปแล้ว มันก็จะหมดพลังไร้พลัง แล้วมันก็จะไม่มีปัญญาดึงเอาศักยภาพและความสามารถออกมา
ยกตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยของคนชอบเข้าใจตัวเองว่า “ไม่มีใครรักฉันเลย” ทีนี้มันจะเอาสิ่งนี้ลามไปคุมทั้งหมด โดยที่มันไม่ไตร่ตรองหรือหวนคิดว่า ทั้ง 7 พันล้านคนเลยหรือที่ไม่รัก ไม่มียกเว้นกระทั่งคนเดียวที่รักเรา เวลามันเหมารวมและสรุปความจะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นมันก็จะสามารถทำให้ตัวมันเองหดหู่สิ้นหวัง หมดแรงใจและเลยไปถึงขั้นฆ่าตัวตาย อยากตาย จิตตัวนี้ด้วยตรรกศาสตร์ของมัน ด้วยการที่มันสะสมความทรงจำจำนวนมาก จิตมันจะมีตัวซัปพอร์ตมัน เมมโมรีในสมอง สามารถไปถามใน Google มีวิธีการฆ่าตัวตายกี่วิธี ทำอย่างไรบ้าง ทั้งๆ ที่ยากหลากหลายขั้นตอน เพราะมันคิดว่ามันคือเจ้าของ แต่มันไม่มีสิทธิ์ มันเหมือนแขน-ขา ไม่มีสิทธิ์ทำลายบอดี้ ไม่มีความชอบธรรมตรงไหน ถาม The Soul ตัวตนแท้ แต่พอดีไม่ตื่นมันก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูดว่า 'ตัวกู ของกู ' ก็คือจิตเลย
ฉะนั้น เราต้องเป็นนายมัน ไม่อย่างนั้นมันก่อกรรมทำชั่วได้ แต่มันเป็นสิ่งที่เนียนมาก ตามทันได้อยาก NLP คือการที่คนคนหนึ่งพยายามศึกษามันเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ให้รู้ว่ามันทำงานอย่างไร ควบคุมมันได้อย่างไร จะเป็นเจ้านายมัน แล้วในที่สุดจะได้ผลลัพธ์ที่มันสร้างสรรค์ที่เราต้องการจริงๆ
ใน NLP จะมีคำพูดเสมอๆ ว่า “doing what works doing what matters” คือทำวิธีที่ได้ผลมากขึ้น หยุดทำในวิธีที่มันล้มเหลว มันไม่ได้ผล ไปค้นหาดูซิว่ามีใครได้ผลลัพธ์ในแบบเดียวกับที่คุณต้องการแล้ว แล้วทำการไปถอดแบบ ทั้งวิธีคิด วิธีจินตนาการ วิธีการใช้ร่างกายของเขา ถ้าถอดแบบได้ใกล้เคียง คุณมีโอกาสที่จะผลิตผลลัพธ์คล้ายๆ กัน หรือดีกว่านั้น และถ้าโชคดีไปขอเคล็ดลับ ผลิตผลลัพธ์อย่างนี้ทำได้อย่างไร เขาทำอะไร ต้องเชื่อแบบไหน คิดแบบไหน แล้วทำอะไรบ้าง ถึงได้อย่างนี้ มันจะช่วยทุนเวลาจากการที่เราค้นหาเอง วาดภาพเครื่องมือนี้ง่าย
สมมติอยากได้ซิกแพก วิธีแรกคืออาจจะลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ก็ได้ อาจจะนานหน่อยก็ได้ หรือถ้ามีใครบ้างที่เขามีซิกแพกในตอนนี้ แล้วเขาผ่านการลงมือทำจริงๆ ค้นหาให้เจอ ใครที่อยากจะเล่าบอก ถ้าศึกษาเรื่องนี้จากคนๆ นี้ โอกาสที่คุณจะได้ใกล้เคียงเขาแน่นอน แล้วมาลองทำดู เริ่มสร้าง มันก็จะเร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นระหว่างที่ทดลองเอง อาจจะจมปลักอยู่กับความคิดที่ไม่รู้ ใครทำได้ก็ช่างเขา การถอดแบบนี้เรียกว่าโมเดลลิ่ง เป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือที่ NLP แนะนำ คุณหาใครบางคนแชร์ประสบการณ์เขาให้คุณ
อีกเรื่องที่น่าสนใจ NLP พยายามอธิบายว่า จิตของคน ตัวจิตมันชอบทำกิจกรรม 2 แบบ หนึ่งคือ มันชอบรื้อฟื้นอดีต คือแม้มันจะอยู่กับปัจจุบันตอนนี้ แต่มันชอบรื้อฟื้นอดีตเพราะมันมีความทรงจำ เวลามันไปรื้อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าตอนนั้นเหตุการณ์ครั้งนั้นหรือประสบการณ์ครั้งนั้น เมื่อรวมด้วยวัยในอายุเท่านั้น ซึ่งเขาไปตีความแล้วให้ความหมายกับเหตุการณ์ครั้งนั้นไปแล้วว่าอะไรเชิงลบ เขาจะรู้สึกเจ็บปวด โกรธ ช้ำใจ เมื่อไปรื้อฟื้นมัน เหมือนฉายหนังซ้ำๆ แต่ไม่ได้เปลี่ยนความหมาย ยังยึดความหมายที่ให้เมื่อตอนนั้น ทั้งที่จริงๆ เขาเห็นโลกมาน้อยมันอาจจะแปลเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เขาไม่ยอม เขาตายตัวที่จะแปลอย่างนั้น แล้วก็เจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง น้อยใจอีกครั้งหนึ่ง เสียใจอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ทำไปแล้วไม่มีประโยชน์ แต่ก็ชอบและยังจะทำ
เราก็จะเสนอบอกว่า คุณมีอยู่สองทางเลือก หนึ่ง เอาง่ายๆ อดีตมันผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว ให้อดีตอยู่ในอดีตแล้วคุณจดจ่อปัจจุบันกับการเดินหน้าไปอนาคตเลยได้ไหม คุณหยุดเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วคุณก็ไปเรียกมันซะหรูเลยว่า 'ปม' แล้วก็บอกว่าปมอันนี้มันขจัดขัดขวางคุณ คุณติดปมในอดีตจนมันเหนี่ยวรั้งคุณ หยุดคุณ...ไม่ให้เดินหน้าไปสู่อนาคต ทั้งๆ ที่จริงๆ มันไม่มีผลกระทบ แต่อุปาทานของคุณ คุณไปอ้างความสมเหตุสมผลว่า เฮ้ย ฉันชอบทำ ที่ฉันไม่เดินหน้า ไปช้า ไปไม่ได้เนี่ย เพราะฉันมีปมในอดีตที่ยังคลี่คลายไม่ได้ คือจะเอาให้มันเกี่ยวให้ได้เท่านั้น
จริงๆ แล้ว NLP บอกไม่รู้แล้วตั้งกี่ครั้งว่า อดีต สถานที่ที่มันควรจะอยู่ คือให้มันอยู่ที่ตรงนั้นตลอดกาล อย่าไปยุ่งกับมันได้ไหม คือช่วยเลิกใช้เหตุผลที่บอกว่าอดีตมันเกี่ยวข้องกับปัจจุบันเต็มๆ เพราะจริงๆ แล้วคือ 'How do you Know' คุณไปรู้ได้อย่างไรว่าอดีตมันจะต้องเป็นสิ่งที่ผูกผันตลอดกาล มันอาจจะจริงหรือไม่จริงเลยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับคุณตัดสินใจว่าคุณจะเลือกแบบไหน นั่นคือวิธีการ คือตัดสินใจว่าอดีตมันจบแล้ว ผ่านไปแล้ว เรื่องที่มันจริงในอดีตคุณอาจจะไม่ชอบมันก็ได้ แต่มันจบแล้ว
สองคือ คุณสามารถที่จะรื้อฟื้นอดีตก็ได้ แต่คุณต้องถามก่อนว่าตอนอายุเท่านั้น เห็นโลกเท่านั้น ให้ความหมายและแปลตีความไว้อย่างนั้น นอกจากความหมายนั้น ด้วยวัยที่มากขึ้น เห็นโลกมากขึ้นในวันนี้ คุณตีความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้มีความหมายที่ 2-3-4-5 ที่แตกต่างออกไปได้ไหม คุณมีสิทธิ์ไหม...มี เพราะคุณเห็นโลกมากขึ้น ถ้าคุณให้ความหมายใหม่ ที่อย่างน้อยดีกว่าเดิม แล้วคุณบันทึกมันไว้ในความทรงจำว่า เวลาที่คุณรื้อฟื้นมันอีกครั้ง คุณจะมีทางเลือกความหมายเดิมกับใหม่ จะเอาอันไหน เราก็ก็ต้องเลือกใหม่ ก็จะรู้สึกว่าเป็นอิสระขึ้น รู้สึกว่าคุณไม่มี 'ปม'
• นี่เป็นรูปแบบหรือเครื่องมือที่จะได้จากการศึกษา NLP
อันนี้เป็นเครื่องมือที่เรียกว่า 'รีเฟรมมิ่ง' คือการกลับไปเปลี่ยนความหมายกับเหตุการณ์ในอดีตที่คุณคิดว่ามันเลวร้าย คุณอาจจะเปลี่ยนความหมายซะจนไอ้เรื่องเลวร้ายนั้นคือสาเหตุที่สุดยอดที่ทำให้คุณสามารถจะพลิกไปสู่สิ่งที่โคตรยอดเยี่ยมก็ได้ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจจะให้ความหมายที่ดีที่สุดก็ได้ ไม่มีใครคนไหนเอาปืนมาจ่อห้ามให้ความหมายใหม่ แต่เราไม่รู้ว่าเรามีสิทธิ์ทำอย่างนั้น NLP สอนให้คุณไปทำอย่างนั้น
• สรุปสุดท้ายก็คือย้อนกลับไป 3 สิ่งที่เกิดก่อเป็นมนุษย์
ใช่...แล้วกิจกรรมทางสมองที่จิตมันชอบอีกอย่างคือสิ่งที่เรียกว่า 'โปรเจกติ้ง' จิตมันชอบฉายหนังล่วงหน้า มโนเข้าไปอีก อนาคต แฟนตาซีเข้าไป โหย...ถ้าอีกหน่อยนะ ฉันเนี่ยคงจะต้องเหงาแล้วอยู่ตัวคนเดียว ถูกทอดทิ้ง จะเป็นอย่างไร อดตายนอนข้างถนนบนฟุตบาททางเท้า 'มโน' หรือ 'โปรเจกติ้ง' คือการฉายหนังล่วงหน้าในอนาคต ในกรณีที่มันเป็นลบ มันก็จะไปสร้างอีโมชัน สภาวะจิตที่รู้สึกหวาดกลัว กังวล แล้วหมดความสุข อีกไม่นานเป็นบ้า ถ้าทำกับตัวเองทุกวัน จะมีสิ่งที่เรียกว่าการอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร แล้วจะมีพลังอะไรไปทำชีวิตให้หลุดพ้นจากที่มโน สร้างภาพในอนาคตน่ากลัวมากเลย จิตคุณปรุงแต่ง เสร็จแน่
จริงๆ แล้วสิ่งที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบันแล้วไม่ต้องทำโปรเจกติ้ง ใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ให้ดีที่สุด แต่ถ้าจะทำโปรเจกติ้ง NLP เสนอว่า สมองมีความสามารถ จิตมีความสามารถนี้ นายช่วยทำให้ตัวนายรู้สึกถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน มีพลัง กระตือรือร้น อย่างนี้ก็เป็นทางเลือกที่ทำได้ ทำไมไม่ลอง เพื่อจะมีชีวิตชีวามากขึ้น สวยงามมากขึ้น ฟีลกู๊ดมากขึ้น เราต้องมีสติในการรู้ให้ทัน จิตมันเก่งสองเรื่อง คือชอบรื้อฟื้นอดีตกับชอบปรุงแต่งอนาคต แล้วถ้ามันเป็นเรื่องลบทั้งคู่ ก็เสร็จ
เราต้องหายใจลึกๆ แล้วอยู่กับปัจจุบัน คำว่า เดี๋ยวนี้ ที่นี่ ความสามารถที่คุณจะอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้ทุกๆ วัน ให้คุณเรียนรู้เครื่องมือ จิตใจตัวเอง และทันทีที่รู้ จะเกิดการตระหนักรู้ว่า เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ฉันกำลังรื้อฟื้นอดีต กลับมามีสติ เตรียมตัวให้พร้อมก่อน ฉันกำลังปรุงแต่ง ทำให้รู้สึกอย่างไร กลัวไหม กังวลไหม หมดความสุขไหม หยุดสักครู่ กลับมาสู่ที่นี่เดี๋ยวนี่ อยู่กับตัวเอง ตามลมหายใจได้ไหม วิปัสสนาได้ไหม อยู่นิ่งๆ สักพักหนึ่งได้ไหม NLP อยากให้เรามีสติ อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น แล้วถ้าจะปรุงแต่งก็อย่างน้อยปรุงแต่งในเชิงที่มันสร้างสรรค์ เป็นบวกแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มันมีพลังมากขึ้น
ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อหรือพลังจิตสะกด แต่เป็นการเสริมและติดอาวุธเพื่อพิชิตเป้าหมาย
อย่างนั้นก็ได้...มันทำให้เราย้อนกลับไปที่ตัวเราเอง ฉะนั้น ถ้าคุณจะใช้จินตนาการอะไรก็แล้วแต่ไปสู่อนาคต แฟนตาซีแค่ไหนก็ตาม ก็ขอให้คุณรู้ตัวด้วยว่านี่เป็นความสามารถของจิตของตัวคุณ ซึ่งจิตเป็นลูกน้องของคุณที่เราต้องควบคุมมัน บอกแกจะใช้ความสามารถนี้ก็ได้ แต่ฉันขอควบคุมหน่อย อย่าเยอะเกินไป แล้วถ้าจะทำ ก็ให้มันสร้างสรรค์ด้วย
• คืออย่างที่บอกว่าเพื่อพัฒนาศักยภาพ มันไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อตัวเรา ออกมาจากตัวเราแท้ ที่เรามีทุกคน
คิดดีก็ได้ ร้ายก็ได้ แล้วคุณเจ้าของชีวิต ต้องไม่ยอม ถ้าคุณยอม คุณพังแน่ NLP เป็นเรื่องคนๆ หนึ่งจะได้รู้จักตัวเองอย่างมากเลย และสามารถที่จะควบคุมจิตและร่างกายให้ไปสู่ทิศทางที่ควร สมมติจิตคิดว่า “อ้วนแค่ไหนก็ได้ร่างกายฉัน” คนอื่นอย่ามาเผือก ก็จริง คุณก็เลือกได้ แต่อีกด้าน คุณก็สามารถเลือกได้ว่าคุณจะมีร่างกายที่ดีแค่ไหนก็ได้ จะผลิตโปรแกรมที่จะกินและออกกำลังกายที่มันจะสร้างผลลัพธ์ที่บึกบึน ทนทาน สมรรถนะยอดเยี่ยม มันเป็นทางเลือกเท่านั้น แปลว่าการที่เราอนุญาตให้ร่างกายเราอ้วนแค่ไหนก็ได้ แต่ในเชิงของประสิทธิภาพคุณจะได้ศักยภาพเต็มที่ออกมจากร่างกายอย่างนี้ได้อย่างไร มันยาก มันไม่ผิด แต่คุณมีทางเลือก มีสิทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายคุณดีกว่านี้ เข้าใจจิตของคุณได้ คุณก็เลือกได้
เพราะจิตของคุณเชื่อมโยงความพึงพอใจอย่างมหาศาล ไม่ได้เชื่อมโยงความอ้วน หรือสุขภาพที่เสียหาย อ่อนแอ สุดท้ายแล้วจิตของคุณคือตัวที่ทำให้ร่างกายไปผลิตรับอย่างนั้น ก็ต้องแก้ไข้ที่ตัวจิต ให้มันได้แสดงศักยภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของคนคนหนึ่ง คนที่เป็นเจ้าของชีวิตคนคนนั้นจริงๆ
• ฉะนั้นเวลาศึกษาว่า NLP แท้หรือจริงเราก็จะรู้ได้เองในทันที
ต้องบอกก่อนว่าต้องมาศึกษา Real NLP เป็น NLP ที่ไม่ได้ถูกสอนอย่างผิดเพี้ยน เช่นอยู่ดีๆ คุณจะไปเรียนการสะกดจิต คุณก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าฉันเลือกไปเรียนการสะกดจิต ไปเรียนแล้วจะได้วิชาสะกดจิตกลับมา แต่วิชาสะกดจิตมันเกี่ยวอะไรไหมกับการเข้าใจตนเองกับสมองและจิตใจ ยังไม่ใช่ มันแค่เข้าไปสู่กระบวนการที่ผ่อนคลาย แค่สร้าง ชี้แนะจิตเข้าไปและการให้คุณร่วมมือ เป็นกระบวนการที่คุณจะเป็นนายของจิต ควบคุมจิต คนละตัวกัน คนละหัวข้อ คนละคอนเทนต์
ฉะนั้น คุณจะไปเรียนการสะกดจิตก็ไปเรียนการสะกดจิต ก็จะได้ทักษะและสกิลนี้มา ซึ่งไม่ได้ผิดเลย คือเหมือนอยากเรียนจัดดอกไม้ก็ไป ศาสตร์โยคะก็ไป แต่อย่าบอกว่าโยคะคือการจัดดอกไม้ การจัดดอกไม้คือศิลปะแห่งการยิงปืน มันคนละเรื่อง อย่าเอาเรื่องคนละเรื่องมาปนในเรื่องเดียวกัน ผมไม่ได้บอกว่า NLP มันจะต้องเป็นศาสตร์ที่มันจะต้องเหนือกว่าทุกศาสตร์ อาจมีรายละเอียดที่คล้ายกัน แต่จุดเด่นจะมีความแตกต่างในรายละเอียด ก็บอกเลยว่าในการที่เห็นคนนั้นคนนี้มาพูดว่า NLP คือการสะกดจิตบางล่ะ อะไรบ้างล่ะ อยากจะพูดว่าไม่เคยศึกษาอะไรเลยแล้วจะพูดทำไม ถ้าเพียงพูดว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ก็จบแล้ว มันคือความ Error ความคลาดเคลื่อนครั้งใหญ่ ก็อยากจะขอบอกช่วยเข้าใจว่า NLP คือ NLP การสะกดจิตคือการสะกดจิต มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เรียนได้ทั้งหมด แฟร์ ไม่ต้องมาโจมตีกัน ผมไม่ทราบว่าอะไรดีกว่าอะไร ดีทั้งคู่
แต่ NLP มันจะมีเครื่องมือหลายร้อยชิ้นในการที่จะพยายามในการที่ทำให้คนคนหนึ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะไปดึงหรือไปล้วงศักยภาพที่เก็บเอาไว้เฉยๆ NLP คล้ายๆ เหมือนคุณฝากธนาคาร 1 ล้านดอลลาร์ แต่ว่าคุณถอนมาใช้ 2,000 ดอลลาร์ แล้วคุณดันเข้าใจผิดว่าเงินคุณหมดแล้ว คุณพยายามจะใช้ประโยชน์จากเงิน 2,000 ดอลลาร์ แต่อีก 9 แสนกว่าดอลลาร์ คุณฝากเอาไว้ เป็นเงินของคุณ NLP พยายามจะบอกว่า เราใช้ศักยภาพของเรานิดเดียว แต่ที่เราฝากธนาคารไว้เยอะมาก ทำไมเราไม่ใช้ ก็เพียงเพราะเราไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ มีให้ศึกษาแต่ก็ไม่ดู เพราะเราอาจจะขี้เกียจ
แต่เมื่อเรามีความฝัน มีเป้าหมาย มีชะตาชีวิตที่อยากจะได้มีประสบการณ์ ถ้าคุณอยากให้มันเป็นจริง อยากน้อยคุณก็ต้องพยายามที่จะใช้ศักยภาพที่มีอยู่แล้วในตัวคุณให้มากขึ้น คุณจะไปร้องขอจากสิ่งไหนของจักรวาล ท้องฟ้า ดวงดาว ช่วยให้มันหล่นลงมา จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีตรรกศาสตร์หรือเหตุผลเลย คุณต้องร้องขอจากตัวคุณ เพราะตัวคุณมีจิต มีกายที่มีศักยภาพมาก ความสามารถที่คุณจะจัดการตัวคุณเองให้ลงมือทำ นั่นแหล่ะคือการที่คุณจะสร้างผลลัพธ์ โดยไม่แพ้เสียงเล็กๆ ในหัวคุณว่า พรุ่งนี้ ไว้ก่อน ในจิตของคุณ NLP เกี่ยวกับแบบนี้
NLP เกี่ยวกับสามอย่าง สร้างสิ่งที่คุณได้ทั้งหมด ที่คุณเป็นอยู่ คุณสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง สามตัวนี้บวกกันไปมา คุณเท่านั้น ซึ่งถ้าได้เรียนศาสตร์จากของจริงคนเรามีคอมมอนเซนส์ หรือสามัญสำนึก คุณจะตัดสินได้เองเลยว่าเรื่องที่คุณมาเรียนเนี่ย คุณยอมรับได้ไหม เราพิสูจน์เอง ไม่ต้องเชื่อผม ลองซื้อหนังสือดีๆ หลายเล่มเลย ของ 'ริชาร์ด เบนเนอร์' มาอ่าน หนึ่งในสองท่านที่ก่อตั้ง NLP และ 'โรเบิร์ต ดิลท์ส' กูรูด้าน NLP มาอ่าน แล้วไปตัดสินเองว่า NLP คืออะไร มันให้ประโยชน์มหาศาลอย่างไร
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก วันชัย ประชาเรืองวิทย์