xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “ช่างชุ่ย” สมชัย ส่งวัฒนา : สวรรค์แห่งใหม่ของนักใช้ชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บนเนื้อที่กว่า 11 ไร่ ริมถนนสิรินธรนี้ หลายๆ คนที่อาศัยในละแวกดังกล่าวนั้น อาจจะมีข้อสงสัยคร่าวๆ ว่า ณ ที่แห่งนี้มันคืออะไร บ้างก็ว่าเป็นแหล่งรวมเศษวัสดุต่างๆ ที่มาเรียงร้อยให้เข้ากันเพื่อความเท่ บ้างก็ว่าเป็นแหล่งของความชิกคูลตามสมัยนิยมที่เหมาะกับช่วงเวลาในปัจจุบันทันด่วน หรือบ้างก็ว่า ที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ที่รวบรวมความหลากหลายในเกือบทุกด้าน ทั้งงานแสดงศิลปะเกือบทุกแขนง ตลาดการค้าที่เหมาะกับการใช้สอยให้สบายอารมณ์ และสถานที่แปลกตาอันวิจิตรที่จะนำความคลาสสิกและความร่วมสมัยให้มาผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งที่แห่งนี้ก็ถูกเรียกขานกันว่า ‘ช่างชุ่ย’

สำหรับผู้อยู่เบื้องหลังของ ‘ช่างชุ่ย’ นี้ ไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคนนั้น คือ “ลิ้ม-สมชัย ส่งวัฒนา” เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทยนาม ‘Flynow’ ที่สามารถนำแบรนด์ดังกล่าวให้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ชื่อดังของไทยก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งการได้มาเปิด ‘ช่างชุ่ย’ นี่เอง ก็ถือได้ว่าเป็นบทพิสูจน์และความท้าทายของชายวัย 58 ผู้นี้ ต่อความร่วมสมัยดังกล่าวว่า สถานที่แห่งนี้ที่รวบรวมทั้งอาร์ตแกลเลอรี, โรงละคร, โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร ร้านกาแฟ เป็นต้นนี้ จะสามารถให้ผู้คนที่เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าวได้ลิ้มรสความแปลกใหม่บนพื้นที่ย่านนี้ ได้คำตอบตามที่เข้าใจมากเพียงใด และการกลับมาในครั้งต่อไปนี้ จะได้คำตอบเดิมหรือคำตอบใหม่จากครั้งก่อนหรือไม่ก็ตามที...

ความร่วมสมัยของตะวันออก
คืออนาคตของฝั่งตะวันตก

ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของทางสมชัยเอง ที่พบว่า วิถีชีวิตแห่งตะวันออกอันหมายถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง คือสิ่งที่ทั้งเขาและชาวตะวันตกคือความร่วมสมัยที่จะผลักดันไปสู่อนาคตที่ดีในภายภาคหน้า โดยสวนทางกับภาพตึกรามบ้านช่องอันใหญ่โตที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญเติบโต ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้สมชัยเริ่มมีแนวคิดบางอย่างที่จะทำให้คนในยุคปัจจุบันนี้ ได้ทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กับเขา...

“ช่างชุ่ยก็เป็นสำนึกของเราเอง ที่เราอยากจะเห็นประเทศนี้อยู่ในสังคมแบบ คือเราก็ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยมนะ แล้วสิ่งนี้ก็ยังอยู่ ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า มันเกิดขึ้นทุกประเทศ เพียงแต่ว่าเราจะสร้างความสมดุลกับเรื่องต่างๆ ยังไง คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้วัดว่าใครรวยที่สุด แต่สถิติก็มาชอบจัดอันดับว่าใครรวยที่สุด ลองให้มาจัดอีกทีสิว่า ใครมีความร่ำรวยมั่งคั่งอีกแบบ คือเราชอบตีว่า capital ของทุนเนี่ย มันคือเงิน ถ้าเอาเงินเป็นตัววัด ก็จะได้ว่า ใครมีเงินเยอะ แสดงว่าไอ้นั่นรวย แล้วกลายเป็นคนที่สังคมยกย่อง แล้วมันก็จะมีบริบทเยอะนะ คนที่ทำคุณงามความดี คนที่อุทิศตนเพื่อสังคม คนทื่พยายามจะสร้างให้สังคมมันดี หรืออะไรอีกเยอะแยะมากมาย เขาได้นำปัญญาเพื่อสร้างสรรค์คน คุณมีเงินมหาศาล มันอาจจะก่อให้เกิดรายได้ในระดับหนึ่ง
 
 ถึงวันนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะมีคนหลักหมื่น แต่ถ้าคุณใช้ปัญญาที่ทำให้คนหลายๆ ล้าน เขาก็ลืมตาอ้าปากได้ แล้วคนคนนั้นอาจจะเพิ่งรวยก็ได้ ถามว่าคุณจะจัดอันดับเขามั้ย ถ้าคุณจัดอันดับเขาแล้ว คุณจะตีค่าเขาแบบไหน เราไม่ว่ากัน เราอาจจะบอกว่าคนนี้รวยอันดับหนึ่งทางด้านเงิน ทางด้านทุน แต่อีกคนคือรวยในฐานะที่สร้างและพัฒนาบุคคลขึ้นมา แล้วก็คนอยู่เย็นเป็นสุข คนอยู่ดีกินดี คนอยู่มีความสุข แล้วก็ คนที่จัดเรื่องนี้มาเป็นองค์ประกอบ เพื่อให้มีความสมดุลและสังคมน่าอยู่ อย่างโลกตะวันตกจะมีรางวัลเยอะแยะมากมาย เช่น รางวัลโนเบล รางวัลอื่นๆ เยอะแยะ คือไม่ได้วัดด้วยว่าคนเหล่านั้นมีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่ แต่เขาวัดว่าคนเหล่านี้สร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นอย่างงี้ เราเป็นประเทศโลกที่ 2 ที่ 3 เราจะพยายามหาโลกที่ 1 ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ระบบคุณค่าของการศึกษา ระบบคุณค่าของการอยู่ วัฒนธรรมบางอย่าง มันก็เลยเป็นการดึงโลกตะวันตกเข้ามา

“แต่ขณะเดียวกัน เราก็เริ่มสำนึกอะไรบางอย่างว่า เวลาที่เราเดินทางเยอะๆ และได้ไปคุยกับคนเก่งเยอะๆ เขากลับไม่นิยมประเทศเขา เขากลับบอกว่าประเทศฉันมีปัญหา แต่เขากลับมองว่า ประเทศในแถบนี้กลับน่าอยู่ เขาอยากมาอยู่ในหลวงพระบาง หรือ ภาคเหนือกับภาคอีสานของเรา เขาบอกว่าเมืองไทยมันคือสวรรค์ เมืองไทยมีอาหาร 100 บาทก็อยู่ได้ ไม่มีตังค์ก็ปลูกผักกินได้ มีหนองน้ำที่ไหนก็ไปตกปลา มีนกที่ไหนก็ไปยิงได้ แต่ถ้าคุณไปอยู่ฝรั่งเศสดูสิ สมมติว่าคุณมีแค่ 100 บาท กินน้ำแค่ขวดเดียวก็หมดแล้ว โค้กกระป๋องก็ประมาณ 150 หรือบางทีคุณไปเจอสวนสาธารณะ ลองเอาเบ็ดไปตกปลาดูหรือยิงนกที่บินอยู่สิ คุณก็ถูกจับนะ
 
ฉะนั้นในบริบทของสังคมเรา ผมคิดว่ามีเสน่ห์ มันมีคุณค่าของมัน ผมตั้งข้อสังเกตว่า หรือว่าเรากำลังจะเดินตามอดีตในโลกตะวันตกที่กำลังจะทิ้งแล้ว เหล่านี้คือสร้างตึกระฟ้า ทำลายป่า เรากำลังจะมีเรื่องอะไรเยอะแยะไปหมด ในขณะที่เขาขี่จักรยานกัน บ้านเมืองเขาปลูกต้นไม้กันเป็นว่าเล่น เขายอมเวนคืนแล้วปลูกป่า หากคุณไปในหลายๆ ที่ในยุโรปก็ตาม คุณจะเห็นว่าประเทศเขากำลังกลับมาสู่วิถีดั้งเดิม ประเทศเราเคยมีคลองที่สวย สมมติว่าบ้านเรามีคลองอยู่นะ เมืองถ้าสร้างใหม่ก็สร้างไป
 
แต่ถามว่าจะสร้างเมืองตรงนั้นมั้ย ก็ไม่จำเป็น เมืองเราขยายได้นี่ แต่มันก็ยัดอยู่ตรงนั้น แล้วคลองวันนี้ก็หายหมด แล้วทำไมน้ำท่วม เพราะไม่มีที่ไปไง เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ากรุงเทพฯ คือทะเลเก่า มันเตี้ยอยู่แล้ว แล้วแทนที่ฝนตกน้ำจะลงดิน มันจะต้องลงท่อ ท่อก็ต่อไปแม่น้ำ แม่น้ำไปไหนก็ไปทะเล แล้วก่อนหน้านี้ก็ขุดน้ำบาดาลมาใช้อีก มันก็กลายเป็นว่าทรุดตัวแน่นอน เพราะว่าน้ำก็ต้องพยุงเมืองข้างบนขึ้นมาได้ ผมเลยสังเกตว่า ทางโลกตะวันตกมาสนใจโลกตะวันออก แล้วยิ่งแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนี่ย เขาอยากมีชีวิต คุณดูฝรั่งเยอะแยะเลย มาจากทุกที่ แล้วมาอยู่แถวอีสานกัน แล้วมีบำนาญเหลือจากการทำงานแล้วชีวิตมีความสุข และเป็นลูกเขยลุงท้องถิ่น
 
 ขณะเดียวกัน ทำไมผู้หญิงไทยชายเยอรมันจึงชอบ เขาบอกว่าผู้หญิงไทยงามจากใจ ถามเขาอีกว่า คุณรู้สึกยังไงกับใบหน้าที่กรามใหญ่และจมูกบี้ เขาบอกว่าเซ็กซี่มากเลย คือมันกลายเป็นว่า วันนี้เขาอยากขี่ควาย ทำนา ทำสวน เขาอยากเข้าไปสู่ดินแดนของธรรมชาติ แต่ขณะที่เราอยากจะสร้างตึกระฟ้า อยากจะสร้างอะไรแล้วประโคมเข้าไป แล้วคุณไปดูต้นแบบสิ เขากำลังจะเลิกหมดแล้วนะ แถมหลายๆ กติกาก็เป็นการเขียนโดยโลกตะวันตกหรือฝั่งอเมริกา เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเดินตามเขาเกือบทุกเรื่อง สำหรับผม ไม่จำเป็น บริบทของเราน่าสนใจอยู่แล้ว

“ผมถามคนหลายคนว่า ถ้ามากรุงเทพฯ จะไปไหน เขาบอกว่าจะไปวัด สองก็ไปเที่ยวผู้หญิงเลย นี่คือความสวยงามไง แล้วก็มากินอาหาร street food แบบแบกะดิน เขาบอกว่ามันได้อรรถรสและท้าทายดี กูกินไป รถก็มา ควันก็มา ซึ่งประเทศเขามันไม่มีอย่างงี้ แล้วมันก็มีเสน่ห์ คุณอย่าลืมว่านี่คือเสน่ห์ แล้วเสน่ห์ที่ถูกบันทึกไว้ แล้วเราปฏิเสธสิ่งนี้ อย่างที่ผมนั่งกับบ้านสังกะสีที่เขามาอยู่ เขาก็ไม่เห็นว่าผมลำบากตรงไหน แถมมีหมาสองตัว ตกเย็นก็มาหาผม ซึ่งในความรู้สึกตรงนี้ ผมสะท้อนให้เห็นว่า นี่คือความรู้สึกลึกๆ ต่อตัวเรา
 
ในฐานะที่เราเป็นพลเมืองไทยคนหนึ่งที่รักประเทศนี้ รักประชาชน และเราก็รักเพื่อนพ้องน้องพี่ไม่แพ้คนอื่น ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะมีโมเดลสักอย่างที่มาร่วมแชร์กัน มันก็เลยเกิดเป็นช่างชุ่ย เพื่อที่จะเห็นคนในหลากหลายอายุ เราอาจจะเห็นตั้งแต่คนยุคผมที่เป็น baby bloommer จนถึงเจน z เราอยากเห็นคนเหล่านี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่ให้ฟรี เพราะสิ่งนั้นมันเท่ากับการสปอยล์คน ที่นี่ทุกคนจะต้องยืนหยัดด้วยตนเอง แต่เราจะเหมือนเป็นพี่เลี้ยง ช่วยแนะนำ ช่วยให้ข้อมูลบางอย่างที่จะให้เขายืนได้ด้วยลำแข้งของเขา คือหน้าที่ เพราะการให้ไปเปล่าๆ มันคือการสปอยล์ ฉะนั้น ถ้าเราเป็นพ่อแม่แล้วเลี้ยงว่า ลูกต้องไปหาเองนะ แล้วสุภาษิตเราคือ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี แต่วันนี้บางครั้งสังคมก็ไม่ใช่ ขอเงินไม่ได้ก็ไปหาวิธีอื่น ซึ่งบางคนก็ชื่นชม แต่บางคนเราก็แอบหดหู่ในใจไม่ได้ เราจะทำไงให้พื้นที่ช่างชุ่ยตอบโจทย์ได้ เราจะเอาคนที่มีความหลากหลายในความคิด

“คนเรามี 2 ประเภท คือ หนึ่ง ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย อีกบริบทหนึ่ง ใช้ซีกซ้ายมากกว่าซีกขวา ถ้าผู้ชายไว้ผมยาว เขาจะมีซีกขวามากกว่าซีกซ้าย แสดงว่าเขาชอบศิลปะ เขาชอบครีเอทีฟ แล้วพวกนี้ที่อยู่เมืองนอกมันรวยกันหมดนะ แต่บ้านเราครูสอนศิลปะและศิลปินมันจนมาก แล้วอาชีพพวกนี้ในบ้านเรามันเป็นอีกแบบ ซึ่งทำไมต้องเป็นแบบนั้น ผมก็เลยคิดว่า เราจะทำยังไงให้คน 2 ซีกนี้มาเจอกัน ไม่ว่าจะค้อนหรือว่าคนที่มีสมองซีกขวา แล้วมาฝึกความสมดุลจากซีกซ้ายที่เน้น logic ผมอยากให้ครีเอทีฟดีไดซน์ หรือว่าศิลปิน บุคคลเหล่านี้รู้จักทำมาหากิน คนที่เก่งอยู่แล้วก็ดันให้เก่งยิ่งขึ้น หรือ คนที่เริ่มต้นก็ฝึกเขา ฝึกให้เขาขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องไปคิดอะไรว่า สังคมคิดว่าเขาเก่งกว่า ซึ่งอย่าไปกลัว
 
ผมไม่กลัวหรอกการให้แบบนี้ คือให้ร่วมสร้างสรรค์ไป ที่นี่จะดีใจมาก ถ้าคนมาแล้วเก่ง แล้วจะดีใจมากว่าถ้าน้องไปได้น้องไปเลย แต่ถ้าไปแล้วไม่ดีกว่า มึงอย่าเพิ่งไป เพราะกูรู้ว่าสุดท้ายอาจจะไปไม่รอด เด็กที่นี่คนไหนเก่งเราจะเจียระไน วันนึงเราอาจจะมีกองทุนให้เด็กเหล่านี้ให้ไปไกลที่สุด ไม่ได้ไปไกลแบบไปรับรางวัลแล้วจบนะ คือประเทศนี้มีที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แล้วไม่ได้ไปต่อ คือแค่รับรางวัลก็จบ แล้วใครตามเขาต่อ แต่ที่นี่ ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรับรางวัล แต่ว่าชีวิตเขายืนได้ เขาอุ้มชูตัวเองได้ เขาสามารถภูมิใจในวิชาชีพของเขา

“มันมีคำพูดหนึ่งของคุณสุรชัย (พุฒิกุลางกูร) เขาบอกว่า ปัญหาอะไรก็แก้ด้วยเงิน แต่ถ้ามึงไม่ชอบ มึงไม่รัก เหี้ยอะไรก็แก้ไม่ได้ ปัญหาคือมึงทำงานในสิ่งที่มึงไม่ได้รัก มึงเรียนหนังสือมึงยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปทำไม แต่กูรู้ว่าพ่อกูให้เรียน แล้วมีการกำหนดว่าต้องเข้าคณะนี้แล้วพ่อแม่จะดีใจ มันใช่หรือเปล่าวะ ซึ่งค่านิยมนี้ยังมีอยู่ และผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องแล้ว ฉะนั้น ไม่เป็นไร อย่างเด็กบางคนที่มา บอกเขาว่า หนูไม่จบหรอก ไปเรียกพ่อแม่มาคุยกับพี่เลย เพราะเรารู้ว่า ถ้าลูกเขามา มันก็ต้องขัดแย้งกับพ่อเขาตลอด แล้วผมจะบอกกับพ่อเขาว่า ลูกคุณจะได้ทำในสิ่งที่มีความสุข มันมีอะไรบ้างที่คุณจะมอบให้เขา เท่ากับที่เขาทำในสิ่งที่รัก แล้วสิ่งที่เขารักมันทำให้เขาลืมตาอ้าปากได้ แล้วสิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เลียนแบบคุณที่กำลังล้าสมัยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
 
โลกวันนี้ อายุเฉลี่ยระหว่างพ่อกับลูก มันห่างกัน 30 ปี แล้วพ่ออยากให้เห็นเหมือนตัวเอง เท่ากับว่ามึงกำลังจะสตัฟฟ์ลูกให้ช้าเหมือนตัวเองไปอีก 30 ปี มีอยู่คนหนึ่ง เขาเอาลูกมาฝากผม ผมถามว่ามาทำอะไร เขาก็บอกว่าไม่รู้ไปคุยกันเอง พอมาคุย เด็กคนนี้ก็แต่งตัวเต็มเลย ผมก็ถามว่ามาทำอะไร เด็กคนนี้ก็ตอบว่า ผมจะมารับจ้างขัดรองเท้าที่ช่างชุ่ย พอเขาทำให้เราดู เรารู้สึกว่า นี่เทพนี่หว่า ไอ้นี่สามารถหาเงินเป็นแสนได้ ผมเลยให้อยู่ใต้เครื่องบิน ซึ่งเด็กคนนี้จะเป็นแบบใส่สูทนะ เหมือนหนังพวกมาเฟีย พอขัดเสร็จ เขาก็ถามเราต่อว่า ที่บ้านมีรองเท้าเยอะมั้ยครับ ถ้าคนมีตังค์ รองเท้าไม่ต่ำกว่าร้อยคู่ แค่บอกว่า รองเท้าดีๆ คู่ละ 20,000 ผมดูแลให้อย่างดีคู่ละ 100 แล้ว 100 คู่ ก็หมื่นนึงแล้ว แล้วมาดู 10 บ้าน ก็แสนนึงแล้วนะ แล้วผมคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ฉลาดมากเลย แล้วมันมีความสุขและภูมิใจในการขัดรองเท้า แล้วด้วยความที่มันหมกมุ่น ผมเชื่อเลยว่ามันเทพ
 
เช่นเดียวกัน บางคนกำลังทำนั่นทำนี่ พอมาที่นี่ น้องไปเรียกพ่อแม่มา เราก็คุยกับเขาว่า ผมก็มีลูก แล้วลูกผมก็โตแล้ว ผมก็ไม่ใช่เป็นคนดีมากนะ แต่ถ้าลูกคุณมาอยู่ที่นี่ เราก็จะช่วยดูแลเท่าที่ได้นะ แล้วถ้าคุณช่วยดูแลด้วย ผมก็จะช่วยลูกคุณ แล้วเวลาคุณมา คุณก็เอาอะไรดีๆ มาให้ผมกิน ที่นี่ดูแลกันแบบ เราดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าเราจะดูแลทุกคน ทุกคนก็ต้องช่วยดูแลเราด้วย เพราะว่าถ้ามันเกิดบรรยากาศ มันอาจจะมีการเรียงร้อยที่มีเสน่ห์ แต่ถ้าเอาจนมึงพอ กูก็ไม่ไหวแล้ว แต่ถ้ารู้จักมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน วันนี้มันไม่มีใครที่จะโง่หรือฉลาดกว่ากัน มันมีที่ใครจะให้เกียรติใครมากกว่า แค่นั้นเอง อย่างถ้าน้องมา แล้วมาขอยืมเงินพี่ คือถ้าเราดูแล้วมันได้ จะให้หมดก็ยอม หรือ จะเป็นแบบว่า อย่าเอาเลย เอาไว้มึงเจ็บจริงๆ เดี๋ยวกูช่วยมึง ซึ่งถ้าเงินก้อนนี้ช่วยให้มึงรอดได้ มึงเอาไปเลย
 
อันนี้มันเป็นเรื่องของสปิริตของน้ำใจ ผมเชื่อว่ามันหลอกกันไม่ได้หรอก สังคมหลอกกันไม่ได้ คนโง่หรือฉลาด แป๊บเดียวมันเท่ากันหมด สิ่งที่เราจะทำได้ คือ เอาความจริงใจมาแชร์กัน มาพูดคุยกัน ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าเราดีมาจากไหนนะ แต่เราจะเอาบรรทัดฐานของเราซึ่งถือว่าไม่ขี้เหร่ แต่จะบอกว่าเราวิเศษมากก็ไม่ใช่ แต่เราก็อยู่ในสังคมที่โอเคนะ เราสำรวจดูแล้ว คนดีๆ เป็นเพื่อนเราครึ่งประเทศ แล้วเราก็คบคนใช้ได้หมด เราก็หวังว่าเอาคนเหล่านี้มาผลักดันช่างชุ่ย มันเกิดบริบทในการสร้างองค์ความรู้และภูมิปัญญา ที่นี่เราคุยกันปากต่อปาก จะร้อยคน สิบคน หรือคนเดียวก็ได้ เราอยากหาอาสาสมัครแบบนี้ให้มาเป็นวงจรลูกโซ่แล้วสอนเป็นทอดๆ

สำเร็จจากแบรนด์แฟชั่น
ขอท้าทายด้วยพื้นที่นี้อีกครั้ง

จากการประสบความสำเร็จอย่างงดงามภายใต้แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยนาม ‘Flynow’ ที่สมชัยลงทุนลงแรงด้วยโจทย์ส่วนตัวที่ว่า ‘จะต้องนำแบรนด์ไทยให้ไปสู่ระดับโลกให้จงได้’ ซึ่งเขาก็สามารถทำให้แบรนด์ดังกล่าวนี้ไปยืนอยู่ ณ จุดนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเมื่อสมชัยได้มาเริ่มทำ ‘ช่างชุ่ย’ ด้วยแนวคิดเดิม เพิ่มเติมคือแง่ศิลปะสถาน อีกแห่งของเมืองไทย จึงถือได้ว่าเป็นความท้าทายอีกข้อหนึ่งของชายผู้นี้อีกครั้ง

“ในตอนที่เราทำแฟชั่น เราต้องการบอกโลกว่า ประเทศไทยจะมีแบรนด์แฟชั่นระดับโลกได้มั้ย ผมแค่ต้องการหาคำตอบนี้ว่ามันได้หรือไม่ได้ เพราะว่าเวลาที่ประเทศเราไปเทศกาลแฟชั่นไหนก็ตาม การ์ดแม่งยังเดินตาม (หัวเราะ) เพราะว่าบ้านเราเป็นประเทศที่ก๊อปเยอะมาก จนตอนหลังมีจีนกับกัมพูชาที่มาก๊อปแทนเรา ผมเคยไปทำโชว์ที่ลอนดอน ผมลืมเอาบัตรในงานที่ผมโชว์ การ์ดยังไม่ให้ผมเข้าเลย ซึ่งพอเราบอกไปว่าเป็นเจ้าของงาน ก็ไม่เชื่อ การ์ดมันบอกว่าต้องแสดงบัตร จนเหลือเวลาโชว์อีกครึ่ง ชม. เราก็บอกการ์ดเลยว่า ถ้าโชว์ไม่ได้ ยูต้องรับผิดชอบนะ แต่ถ้ายูฉลาดยูต้องเรียกนายใหญ่มาเจอผม นายใหญ่มา เขาขออภัยเรา แล้วเดินเข้าไป ถามว่ายามผิดมั้ย เขาไม่ผิดนะ ผมน่ะผิด เพราะว่ามันไม่รู้จักผม ซึ่งขนาดผมเป็นเจ้าของงาน มันยังต้องระวังผมเลย มันจะระวังว่าผมมีกล้องมั้ย ตอนนั้นมันยังไม่มีมือถือ มันจับตามองเราเลยนะ นั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น
 
นั่นคือข้อพิสูจน์ว่า Flynow จะไปในระดับโลกได้มั้ย เมื่อมันไปได้ เราก็ถือว่าบริบทนั้นเราทำได้แล้ว เรื่องราวที่คาใจก็ทำแล้ว และ Flynow ก็เติบใหญ่เป็นต้นไม้ใหญ่ ที่ถ้าเอ่ยถึงแบรนด์ไทย 10 แบรนด์ ผมเชื่อว่าเราต้องติดในลิสต์นี้แน่ๆ ซึ่งก็เติบโตมา เดินทางมา ลูกน้องเราก็มีความสามารถ เติบโต เติบใหญ่มาได้ เรื่องต่อไปก็คือ เราก็อายุ 58 แล้ว เราก็เริ่มคิดว่า เราจะทำอะไรวะ บางคนก็บอกว่าตอนนี้เราแก่ แต่กูไม่แก่ (หัวเราะ) ไม่ยอม กูไม่นับ ซึ่งถ้าเราปลอมบัตรประชาชนได้ จะขอกลับไป 35 ใหม่ คือวันที่ผมอายุ 40 กว่า เรายังไม่แข็งแรงเท่าตอนนี้เลย เพราะวันนี้เราดูแลสุขภาพเป็น รู้จักพัก รู้จักยืดหยุ่น รู้จักการถนอมพลัง ปล่อยพลัง แล้ววัย 50 นี่คือ ได้เรียนรู้มากกว่าเรื่องที่เคยโง่ แตกต่างจากตอนหนุ่มๆ ที่โง่จนเราไม่รู้ตัวเลย แต่ตอนนี้คือ ท่าไหนกูก็เห็นแล้ว

“คือถ้าเราผิด ก็คงเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เราก็เลือกวิถีเราได้แล้วใช่มั้ย เพราะผมถือว่า วัฒนธรรม norm มันเป็นบรรทัดฐาน คนจีนก็มีขงจื๊อ คนไทยก็มีอะไรหลายๆ อย่าง ผมเองนำขงจื๊อผสมพระพุทธเจ้า แล้วบวกสัจจะของหลักผู้ใหญ่ที่อบรมสั่งสอนเรามา เราก็รู้แล้วว่า เวลานี้ เราต้องทำอะไรบางอย่างที่เราคาใจ เราเลยเลือกทำเรื่องของคนและสังคม ดูเหมือนมาดูคอนเสิร์ตนะ แต่จริงๆมันไม่มีอะไรหรอก อาจจะเรียกว่าตลาด หรือที่นี่จะเรียกว่า Creative Space ก็ได้ แล้วแต่คนจะมอง แต่เนื้อหาคือ เอาคนมาคุยกัน เอาความหลากหลายของคนมาแลกเปลี่ยนกัน ให้เขารู้จักทำมาหากิน ถ้าใหญ่ก็ทำเรื่องใหญ่ ถ้าเรื่องเล็กก็ทำแบบเล็ก รุ่นจิ๋วก็ทำแบบจิ๋ว แต่อย่าไปข้ามรุ่นแล้วไปตาย เราไม่อยากเห็นคนมาตายที่นี่ ซึ่งถ้าตายควรจะตายก่อน ฉะนั้นมันคือความท้าทาย มันก็เลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจขึ้นมา
 
ซึ่งสิ่งนี้มันเลยเป็นการขับเคลื่อนพลังของเราขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความเชื่อนี้ ว่าทำแล้วจะเป็นไง มันได้มีการวาดฝันจากจินตนาการแล้วเรียงร้อยจนออกมาเป็น ณ จุดนี้ แล้วอีกแป๊บก็จะมีตัวแสดงเข้ามา และก็จะมีผู้ชมเข้ามา หลังจากนั้นก็จะมีคนด่าและชื่นชมซึ่งเราก็คอยเงี่ยหูฟังแล้วให้เราไปพัฒนาให้มันดีต่อไป เพราะเรารักมัน ไม่มีอะไรแก้ไม่ได้ แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว โมเดลนี้มันล้มเหลวก็จบ ไม่เป็นไร อย่าไปเสียดายมัน อย่างน้อยเราก็ได้ทำมาแล้ว แต่ถ้ามันดีก็บอกต่อได้ ขยายต่อไปได้ ที่นี่ไม่เป็นความลับ เพื่อนพ้องน้องพี่มาศึกษาเลย คือมึงมามึงถามเลย ซึ่งอย่ามาถามกูเพราะรู้ว่าเกรงใจ กูจะส่งลูกทีมไปตอบให้แทน แล้วไม่ต้องกลัว ไม่มีคำว่าปิดบัง วันนี้ผมคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลก ทุกคนมีอุดมการณ์บางอย่างที่คล้ายกัน อาจจะแตกต่างกันบ้าง ด้วยวิธีการและสไตล์ ซึ่งถ้าตรงนี้สำเร็จแล้วเกิดตรงนี้เยอะๆ ผมว่าสังคมมีที่ไป มีที่ยืน

“วันนี้ผมถามว่า ถ้าคุณจะเริ่มต้นอาชีพ คุณต้องมีเงินกี่ล้าน ถ้าคุณต้องไปอยู่ตามระบบค้าปลีกบางอย่างมันต้องวางเงินเป็นล้าน แต่ที่นี่คือน้องมาเลย เช่นว่า ผมขอถ่ายภาพได้มั้ยครับ หรือ ผมอยากทำนิทรรศการ ช่วยหาทุนหน่อย น้องมาเลย เพราะเราเชื่อว่า ช่างชุ่ยมีปัญญานำเงิน ไม่ใช่ใช้เงินนำปัญญา และปัญญาของที่นี่ ไม่ใช่เกิดจากผมคนเดียว มันเกิดจากทุกๆคน ที่มาร่ำเรียน และทั้งผู้ให้กับผู้รับทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่า เราก่อตั้งแล้วเราเก่งที่สุด เราจะมาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมต้องการเรียนรู้เรื่องเด็ก วันหนึ่งอาจจะมีเด็กบางคนมาพูดว่า นี่โคตรแน่เลย แล้วจะมีผู้ใหญ่บางคนมาสอนเราว่า น้อง พี่ว่าไปผิดทางแล้วนะ ทุกอย่าง ผมว่าอันนี้คือคุณค่าของช่างชุ่ย คุณค่าของชีวิตที่เราได้ทำเรื่อง branding ในแง่ของการทำแฟชั่นไทยสักแบรนด์หนึ่งให้ติดอันดับประเทศ ให้ติดอันดับสากล และกำลังจะเล่นบริบททางสังคม ก็คือบริบทของช่างชุ่ย

“คือถ้าคนมองเห็นผมจริงๆ อย่างที่คุณได้มีโอกาส แค่มีกิริยาทางความรู้สึกเบื้องต้น ว่าอยู่ๆ ผมเป็นพวกทำแฟชั่นแล้วก็ดันเสือกไปทำ hi-end ด้วย แล้วยันมาถึงแฟชั่นระดับกลาง แล้วอยู่ๆ ผมมาตั้งชื่อโครงการว่าช่างชุ่ย อยู่ๆ หน้าต่าง สังกะสีมา แต่เมื่อคุณดูจริงๆ แล้ว คุณจะรู้ว่า มันซ่อนเนื้อหาดีๆ อยู่ข้างใน คล้ายว่า คุณจะทำผ้าขึ้ริ้วห่อทอง หรือทำทองห่อผ้าขี้ริ้ว หรือจะเป็นทองห่อทอง แต่ที่นี่คือ ผ้าขี้ริ้วห่อทองก็แล้วกัน คุณดูรั้วผมสิ มันไม่ใช่อัลลอย เป็นไผ่ อยู่ได้ประมาณ 3 ปี เดี๋ยวก็ผุ หรือเอายากันปลวกลงไปหน่อย ไม่งั้นมันจะซับตู้เรา เดี๋ยวผมก็จะปลูกต้นไม้ แล้วให้คนมาหายใจตรงนี้ได้ น้องอยู่ที่ the’ มันจะอยู่แบบกระแดะๆ ใช่มั้ย หรือว่าน้องมาคุยกับพี่แถวเขาใหญ่หรือสวนผึ้งในมุมมองหนึ่ง นี่คือใจกลางฝั่งธนนะ ออฟฟิศน้องกับพี่มันใกล้กัน ข้ามแม่น้ำไปก็ถึงแล้ว แต่ว่ามันเปลี่ยนได้
 
เพราะที่นี่คือความหลากหลาย แต่ว่าเราก็มาจากไอเดียที่ว่า norting of choosless มันไม่มีอะไรที่ไม่มีค่า ระหว่างที่เราเอาอดีตของเรา มาสร้างเป็นเรื่องอนาคตโดยใช้คนเป็นผู้สร้าง กลับกันถ้าโลกตะวันตกได้มาเห็นว่า อดีตของเราเป็นอนาคตของเขา แล้วทำไมเราไม่เอาสิ่งนี้มาสร้างเป็นอนาคตไปเลยล่ะ ซึ่งความคิดนี้อาจจะผิดก็ได้นะ แต่มันก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา และมันก็เกิดการหล่อหลอมมาเรียงร้อยกัน ณ จุดนั้นมาถึงจุดนี้ คือเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ซึ่งเรื่องเรายังเหมือนเดิมนะ แต่ content คือเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของคน ผมเชื่อว่าจะมีชาวต่างชาติมาที่นี่ อาจจะถึงครึ่งหนึ่งในอนาคต

“ผมอยากเห็นการเชื่อมโยงกันระหว่างไทยกับต่างชาตินะ เราไม่ควรคิดว่าเราเก่ง และเราก็ไม่ควรที่จะสบประมาทตัวเองว่าเราด้อย วันนี้เราเป็นประเทศที่เก่งและมีข้อด้อย ซึ่งทุกประเทศมันก็เช่นเดียวกับเรา แต่สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ต้องรู้ว่าเราด้อยอะไรและเรามีความสามารถอะไร จงหาคนที่รู้จักข้อด้อยเราแล้วมาอุดตรงนี้ ซึ่งวิธีการคือมาเชื่อมโยงกัน มันก็จะเกิดการเรียนรู้ระหว่างไทยกับส่วนอื่นๆ ซึ่งมันก็จะทำให้เกิดการเรียงร้อยกัน มันอาจจะเริ่มต้นว่า อาจจะขับเคลื่อนด้วยคนไทยมากหน่อย แต่สุดท้ายผมเชื่อว่า วันหนึ่งมันมี CONNECTION เข้าไปถึงประเทศต่างๆ แล้วก็ต่อไปอีกประเทศอื่นๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เราควรทำ และเราไม่ถือว่าใครขี่ใครนะ แต่เราถือว่าเราได้เอาองค์ความรู้ที่ดีในสองฝั่งมาแลกกัน คือโลกใบนี้ปัจจุบันนี้ใจมันกว้าง เขาเห็นความงาม คือโลกของการสื่อสารและไร้พรมแดนมันมีมานานมากแล้ว แล้วคนที่มาบ้านเรานี่คือตื่นเต้นมาก เช่นเดียวกัน เราไปเมืองนอก เราก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน เพราะกูก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่มึงมี เช่นเดียวกัน มันมาก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่เรามี แล้วถ้ามันเป็นนักคิดหน่อย มันก็จะได้ความคิดที่ไปผสมผสานกันจนได้ความสมดุล อีกหน่อยมันจะกลายเป็นเรื่องราวที่ตอบโจทย์ ณ ประเทศใดประเทศหนึ่ง มันตอบโจทย์ให้กับโลกทั้งใบ แล้วก็สามารถค้นหาให้เข้าใจในแต่ละคนได้ จริงอยู่ เราอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ได้ทุกเรื่อง แต่ผมว่าที่นี่เป็นพื้นที่ในการค้นหา ช่างชุ่ยเป็นทั้งโจทย์ และคำตอบ คุณจะตั้งโจทย์มาก่อนว่า ช่างชุ่ยคืออะไร แล้วพอเข้ามาก็จะได้คำตอบกลับไป และพอออกไปก็จะได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน แล้วโจทย์ที่ตั้งมาก็ไม่เหมือนกัน ผมว่าตรงนี้แหละที่เราอยากรู้ สนุกด้วย มันจะไม่สนุกเลย ถ้ารู้คำถามและคำตอบแล้วอ่ะ แบบเดียวกับเวลาไปดูหนังมา รอบแรกมันมีความตื่นเต้น แต่พอรอบสองมันก็เบื่อแล้ว แต่ที่นี่จะเป็นแบบว่า มาแล้วคุณได้ดูหนังไปเรื่อยๆ คุณได้เรียนรู้บทเรียนไปเรื่อยๆ เพราะว่าตัวบริบทของคนจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งคนขายของแล้วเบื่อลองไปเดิน หรือคนเดินก็อยากขายของ สลับกัน อยากเป็นผู้เล่น คือไม่ต้องผูกใครเลย ถ้าไม่สบายใจ อย่าทำ ถ้าสบายใจทำ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน

หลากความคิด หลายสร้างสรรค์
จนเกิด ‘ช่างชุ่ย’ อย่างที่เห็น

สำหรับการเริ่มต้นของ ‘ช่างชุ่ย’ นั้น ไม่ใช่แค่ความคิดของสมชัยเพียงอย่างเดียว ที่จะให้สถานที่แห่งนี้ได้กำเนิดขึ้นมา ส้ม-ชนกพร ถิ่นพังงา General Manager ของช่างชุ่ย ได้เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นว่า สมชัยได้เชิญบุคคลจากเกือบทุกสาขาวิชาชีพในบ้านเรา มาร่วมออกแนวคิดสร้างสรรค์ให้ถือกำเนิดในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลาพอสมควร จนในที่สุด ‘ช่างชุ่ย’ ก็ได้ดำเนินการในการสร้างพื้นที่แห่งคำถามปลายเปิดสำหรับผู้ชม ที่จะต้องค้นหาคำตอบเองในคราวต่อไปที่มาเยือนที่แห่งนี้

“คือนอกจากที่คุณลิ้มทำ Flynow แล้ว ให้เป็นแบรนด์ไทยไปอยู่ในเวทีโลกได้แล้วค่ะ อีกส่วนหนึ่งคือ คุณลิ้มได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครีเอทีฟในพาร์ตประเทศไทย คือหน่วยงานพัฒนาสร้างสรรค์และการเรียนรู้ โดยที่คุณลิ้มได้รับเชิญไปสู่ในส่วนของ OKMD TCDC TK Park มิวเซียมสยาม รวมไปถึงโครงการ Bangkok fashion week ซึ่งเป็นงานในส่วนของ creative economie ทั้งนั้นเลย ซึ่งพอคุณลิ้มได้ทำสักระยะหนึ่ง ก็ได้เจอคนรุ่นใหม่เยอะมาก ปรากฏว่าได้สัมผัสในความเก่งและมีศักยภาพ แต่ว่าอาจจะประสบความสำเร็จยากหรือน้อย ณ ตรงนี้ คือที่มาของจุดเริ่มต้น จากสิ่งที่คุณลิ้มเจอ ซึ่งพอคิดประโยคนี้ได้ จึงเกิดเป็นช่างชุ่ยขึ้นมา โดยใช้แกนว่า โอกาสและอนาคตนี่แหละ เข้ามาเป็นตัวเริ่มต้น
 
ซึ่งจริงๆ คุณลิ้มเริ่มต้นจากเล็กมากๆ ตอนแรกแค่ตั้งต้นว่าเป็นตลาดกลางคืน เป็นพื้นที่ที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ในการทำมาหากิน คิดแค่นี้ มีที่ยืนในสังคม ซึ่งขนาดคุณลิ้มพอจะมีสตางค์อยู่บ้าง ก็ยังทำธุรกิจยากเลย แล้วคนรุ่นใหม่จากที่ว่ามานี้ ไม่มี ทำยังไงดี เลยเป็นเหตุให้เรามาสร้างช่างชุ่ยขึ้น แล้วคุณลิ้มก็ใช้ที่นี่ให้เป็นรูปแบบของการทำธุรกิจแบบการให้ซึ่งกันและกัน หมายถึงว่า ไม่ใช่คุณลิ้มให้ฝ่ายเดียว คนรุ่นใหม่ หรือ คนที่อยากลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องเอาอะไรมาแลก เอาความคิด ความกล้า และความสร้างสรรค์มาแลก แต่เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงกันได้

“จริงๆ มันเริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง แล้วเราก็ได้เชิญคนที่มีความสามารถของบ้านเมืองเราในทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักคิด สื่อสารมวลชน สถาปนิก พ่อค้า แทบทุกอาชีพเลย ประมาณ 150 คน ที่คุณลิ้มเชิญมา แล้วมาฟังที่คุณลิ้มเล่าว่า เขามีความคิดแบบนี้ แล้วมีความเห็นยังไง มีข้อเสนอแนะ แล้วอะไรที่คิดว่าเป็นจุดอ่อน จุดแข็ง แล้วความเห็นเหล่านี้แหละ ที่ก่อร่างสร้างตัวให้เป็นช่างชุ่ยในทุกวันนี้ พอทุกคนเข้าใจวิธีการของคุณลิ้มแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันเสริม ช่วยกันเติม และนั่นเป็นมุมมองที่ว่า กำลังจะเกิดสิ่งใหม่ๆ ในสังคม มีบางท่านพูดเลยว่ามันคือของขวัญและปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองไทยในยุคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย บางท่านก็บอกว่าที่นี่จะเป็นโอเอซิสทางด้านปัญญาของประเทศไทย อย่างสัตว์บางตัวที่เป็นศัตรูกัน ฆ่ากัน ทำร้ายกัน แต่พอมาอยู่ตรงนี้คือ ทานน้ำบ่อเดียวกัน ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และมีความสุขร่วมกันในที่แห่งนี้ได้ และเดินหน้าไปด้วยกัน

“เราว่าตรงนี้ไม่ใช่โลกสมมติ คือมันเป็นโลกจริงๆ เลย เพราะเขาบอกว่าทุกวันนี้คนอยู่ในโลกออนไลน์ นั่นคือโลกสมมติมากๆ แต่ว่าที่นี่จะทำให้คน จับต้อง สัมผัส และเจอผู้คนได้มากจริงๆ นี่คือโลกของความเป็นจริง ที่จะทำให้คุณได้เจ็บปวด ร้อนหนาว สนุก รู้สึก รัก หรือ ไม่ชอบ กับที่นี่หมด ฉะนั้นมันคือโลกแห่งความเป็นจริง เหมือนช่างชุ่ยเป็นคำถามปลายเปิดตลอดเวลา มันไม่มีบทสรุป ไม่มีค่าเท่ากับเท่าไหร่ มันจะไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบแน่นอน มาครั้งต่อไปก็จะมีคำตอบใหม่ๆ

เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสิ่งรอบข้าง
และผู้ร่วมชมภายในช่างชุ่ย

เช่นเดียวกัน การที่ได้สร้างอาณาจักรแห่งความคิดสร้างสรรค์บนพื้นที่ 11 ไร่ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยนี้แล้ว อีกความตั้งใจหนึ่งของสมชัย นั่นคือ การเอื้อประโยชน์ให้กับคนรอบข้างพื้นที่ได้อย่างสูงสุด ซึ่งถ้าสถานที่แห่งความร่วมสมัยนี้ สามารถจัดการได้ทั้งผู้อาศัยโดยรอบและผู้มาเยือน สมชัยเชื่อว่า ‘ช่างชุ่ย’ แห่งนี้ จะต้องเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ อย่างน้อยจะต้องมาเยือนที่แห่งนี้สักครั้งอย่างแน่นอน...

“ผมว่าถ้าเปรียบกับของสักอย่าง มันก็ไม่ต่างจาก ยาหม่องตราถ้วยทอง คือนอกจากที่จะสูบซิการ์แล้วพกยาหม่องแล้ว ก็มีคนถามผมว่า ยาหม่องเอาไว้ทำอะไรได้บ้าง ผมสามารถเขียนได้แบบเดียวกับผ้าขะม้า ซึ่งก็สารพัดประโยชน์เช่นเดียวกัน โอเคว่าบริบทช่างชุ่ยดูเท่กว่านี้นิดหน่อย แต่ว่ามันไม่ได้เหนือกว่ายาหม่องหรือผ้าขะม้าไทยหรอก ยาหม่อง ปวดหัวก็ทาถู แพ้อากาศก็ดม ไปเมืองนอกเป็นเล็บขบก็อุดเข้าไป แมลงสัตว์กัดต่อย คุณก็ทา หรือบางคนปวดท้อง ก็เอามาผสมน้ำร้อนแล้วดื่มเข้าไปช่วยทุเลา หรือจะเรียกว่าจับฉ่ายหม้อใหญ่อย่างงั้นก็ได้ แต่เราก็พยายามจะเลือกของทุกอย่างให้มารวมกันแล้วมีคุณภาพ แล้วประเทศนี้ เวลาที่คุณแยกอะไรเป็นเรื่องราว ก็ไม่ค่อยมีคนไปดู แต่เวลาเป็นเรื่องเป็นราวได้มันจะดี คือแล้วแต่คนแล้วกัน ผมเชื่อว่าคนที่มาที่นี่ เขาจะมีปูมแล้วมาเทียบเคียงกับประสบการณ์ตัวเอง และที่นี่จะมีเรื่องใหม่ ที่ประสบการณ์ตัวเองไม่เคยมี และมันเป็นการเรียงร้อยแล้วจากคนทุกรุ่น ทุกเพศ ทุกวัย จูงหมามาก็ได้

“ผมว่าสัญญาณมันให้ทั้งคุณและโทษนะ คือแรกๆ กูก็ตั้งใจทำแหละ พอไปได้ แต่สัญญาณมันกลับมาดีเกินไป ก็แสดงว่า ความคาดหวังทางสังคมมีสูง ซึ่งก็ทำให้ standard เราก็ต้องสูงตามไปด้วย จากเดิมที่เดินไฟง่ายๆ แล้วเรียงร้อยเหมือนงานวัด ทำไปทำมานี่คือไม่ใช่เลย ทุกคนต้องการอย่างงั้นอย่างงี้ อยากติดแอร์ ไฟฟ้าก็อยากจะจัดให้มันเป็น park ที่ให้มันสวย เครื่องบินจากที่กลางวันแทบไม่มีชีวิต พอมากลางคืนนี่คือแปลงเป็นสีได้ จากนั้นก็เริ่มมาแล้วครับท่านผู้ชม อยากเห็นต้นไม้ซึ่งถ้าอยู่ในป่ามันไม่แพงหรอก แต่พอลองขนมันมาสิ กูหมดไป 5 ล้าน ยังเห็นไม่กี่ต้นเลย (หัวเราะ) ระบบไฟ ก็ต้องถูกต้องตามการไฟฟ้านครหลวง ต้องดูด้วยว่า ถ้าลูกเด็กเล็กแดงมา มันอาจจะไปคว้าสายไฟ แล้วถ้าแม่งไฟดูดจะเป็นไง สเปกก็เพิ่มขึ้นไปอีก มันก็เลยเป็นข้อดีที่สังคมคาดหวัง
 
เมื่อคาดหวัง เราก็ต้องทำให้ดีเท่าที่เราทำได้ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงตอนเปิด มันก็ยังไม่สมบูรณ์หรอก เพราะที่นี่มันก็ไม่ได้สร้างแบบสูตรสำเร็จ ก่อนหน้านี้มันคือขยะกองใหญ่ ผมเริ่มปรับให้เป็นอย่างงี้ พอถ้ามาใหม่อีก 3 เดือน ที่นี่ก็จะกลายเป็นสวน แล้วผมกำลังไล่หากระท้อนพันธุ์แถวนี้ ตอนแรกเขาบอกว่าไม่มีแล้ว แต่โชคดีที่ไปเจอต้นหนึ่ง ผมไปเอากระท้อนต้นนี้ แล้วมาปลูก เพื่อหวังว่า กระท้อนบางพลัดคือกระท้อนที่ดีที่สุด ผมจะลองปลูกแข่งกับแคนตาลูปญี่ปุ่นดู แต่กระท้อนนี้จะขายในราคา 500-1,500 ผมจะประคบประหงมเขานะ เพราะที่นี่คือแหล่งปลูกสวนกระท้อน แล้วตรงนี้ตารางวาละ 300,000-400,000 ใครจะมาปลูกล่ะ แต่เราจะปลูก

“เราก็คิดบรรยากาศเรื่องราวกับชุมชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะหาผู้สูงอายุที่เขาเหงา แต่เราไม่เหงาเพราะว่าเราแรดไปเรื่อยๆ ถ้าแบบคนทั่วไปสิ เมื่อไหร่ลูกจะมา เรี่ยวแรงก็น้อย เราจะทำยังไงให้คนเหล่านี้มีโอกาสเชื่อมโยงกับช่างชุ่ย และทั้งผู้พิการและผู้ต้องขัง ทั้งหมดยากหมดเลย แล้วถ้าทำไม่เป็นคือยุ่งหมดเลยนะ แต่ก็ต้องมีการคิดคำนึงว่าจะต้องทำให้ได้ และจากเล็กไปหาใหญ่ ถามว่าเราเป็นใครที่จะมาทำเสียงดังแถวนี้ เราต้องไปกราบไหว้ทุกคนว่าขอนะ ที่นี่เคยเงียบ มันเคยเป็นกองขยะ แต่มันมีกลิ่น แต่ตอนนี้เราก็จะพยายามทำให้มันไพเราะหูคุณ ตอนนี้ก็เดินสายว่า เรามาขออาศัยหน่อยนะ ขาดเกินอะไรก็บอกกันด้วย แล้วเราก็พยายามสร้างบางพลัดโมเดลขึ้นมา อาจจะเป็นว่าเอาของดีบางพลัดมารวมกัน

“ทุกอย่างมันก็ยากหมดเลยนะ เพราะว่าสิ่งนี้คือความฝัน คนเราต้องมีสิ่งเหล่านี้ แล้วมันก็ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ แล้วมันก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อน ซึ่งถ้าไม่มีความมุมานะ อุตสาหะและมีความอดทนเป็นเลิศเนี่ย เพราะเราฝ่าอนาคตมาแล้วว่าเราจะทำอะไร มีแรงบันดาลใจ แต่พอเจอยก 2 ยก เลิกดีกว่าว่ะ ซึ่งมันยาก แต่พี่มีความรู้สึกว่า เรื่องยากมันต้องทำให้ได้ เพราะถ้ามันง่ายๆ ใครๆก็ทำได้ แล้วถ้าเราทำเรื่องยากให้มันง่าย แล้วถ้ามีคนเดินตาม เราก็สอนมันได้ เราจะทำยังไง ซึ่งอีกหน่อยอาจจะมีช่างชุ่ยในอีกหลายรูปแบบ ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะ แล้วมันกลายเป็นเรื่องที่เราไปที่นั่น ต้องมาที่นี่ มันจะสนุกขนาดไหน ประเทศนี้ นอกจากที่ไปวัดแล้ว ไปไหนอีก ทะเล มีพระอาทิตย์ ทราย ภูเขา และระบบค้าปลีกที่เราคุ้นๆ อยู่ นอกนั้นไม่มีแล้วนะ ฉะนั้น เราก็หวังว่าเรื่องแบบนี้มันก็อาจจะดี และถ้าเราทำแล้วได้ดี แล้วขยายผลไปเรื่อยๆ มันจะกลับมาสู่วิถีดั้งเดิมของเราแล้วนะ น้ำใจและวิถีของคนไทย แล้วพื้นที่ขนาดนี้ ต้องทำมาหากิน ซึ่งถ้าสร้างศูนย์การค้า ต้องได้แสนตารางเมตรแล้วจะสวย แต่เรามาทำพื้นที่ตรงนี้ แล้วได้ 6,000 ตารางเมตร แล้วมีคนมาถามผมว่า ตรงนี้มันจะรอดได้ยังไง ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร เรื่องของกู (หัวเราะ)

“คำว่าร่วมสมัย คืออะไรก็ได้ ที่มันอยู่ในสมัยที่อยู่ร่วมกันตลอด จะแก่แค่ไหนแต่พูดจาร่วมสมัยก็ยังไม่แก่หรอก แต่บางคนยังโง่เพราะพูดเรื่องเดิม แม้กระทั่งเด็กพอพูfมาคำเดียวนี่คือ ผู้ใหญ่ชัดๆ ผมว่าความร่วมสมัยมันไม่มีอายุหรอก ไม่มีเพศ ไม่มีวัย ฉะนั้นตรงนี้อย่าไปคาดการณ์ เอาเป็นว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ พี่ป้าน้าอาคือรุ่นเดียวกันหมด และก็มีกาลเทศะใส่กัน มองตรงนี้มากกว่า แล้วมันจะเกิดพื้นที่ในความร่วมสมัย แล้วเราก็บอกว่า ถ้าที่อื่นมันเคยมี ก็ไม่ต้องมีที่นี่ก็ได้ แต่ ณ ที่อื่นเขาไม่ให้มึงทำ มึงมาหากู ส่วนในพื้นที่ที่รวมงานแสดงศิลปะเกือบทุกที่แหละ ผมย้ำว่าคนที่มีลักษณะสมองซีกขวา อย่างที่บอก แล้วมาสมดุลกับซีกซ้าย แต่ที่สุด ทุกวิชาชีพที่สุดยอด มันก็ต้องมีความสมดุลทั้ง 2 ซีก สมมติว่า คุณจะเป็นหมดผ่าตัดแล้ว จะต้องเป็นหมอที่สุดยอดมาก หรือ อาชีพ เชฟ สมัยก่อนเขาเรียกพ่อครัว พอต่อมาก็เรียกว่ากุ๊ก ตอนนี้เขาเรียกว่าเชฟ แล้วดูสิว่าอาชีพไหนไม่สร้างสรรค์บ้าง อาชีพทุกอย่างมันสร้างสรรค์หมด เพียงแค่ว่า อย่าแยกมัน 2 แบบ พยายามเอามาเชื่อมโยงกันให้ได้











เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา และ ช่างชุ่ย

กำลังโหลดความคิดเห็น