กลายเป็นประเด็นร้อนมาตลอดสัปดาห์ สำหรับเรื่องราวของ ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ “ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต” ที่มีการเปิดคอร์สให้กำลังใจคลายปมชีวิต โดยมีดารา นักธุรกิจ ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ที่เคยร่วมคอร์สจำนวนมาก และมีภาพปรากฏในคลิปโปรโมตผลงาน ซึ่งต่อ “เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน” ได้ออกมาโพสต์ชี้แจง ภาพดังกล่าวที่ร่วมคอร์สห้องเรียนเข็มทิศชีวิตนั้น เป็นภาพเก่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และก็ไม่ได้ไปคอร์สอีกแล้ว เพราะแนวทางไม่ตรงกัน และหลายคนที่มีภาพปรากฏในคอร์สให้กำลังใจคลายปมชีวิต ได้ออกมาเรียกร้องให้นำรูปของตนเองออก เนื่องจากไม่ได้ยินยอมให้นำภาพไปใช้ จนล่าสุด “ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต” ต้องออกมาแถลงข่าว ว่า กำลังถูกขู่เรียกเงิน 11 ล้านบาทนั้น
ย้อนไป เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ “ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต” ได้มีโอกาสเข้าเป็นลูกศิษย์ของพระนักปฏิบัติรูปหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี คือ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี แต่ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่นาน ก็กลายเป็นมีข่าวฉาวโฉ่ด้วยการที่เธอไปกล่าวหาพระปราโมทย์ถึงกับไปร้องเรียนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
กรณี พระปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ถูก นางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต อันโด่งดัง และคณะที่มี นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบางกอก และประธานมูลนิธิ บ้านอารีย์ กล่าวหาว่า มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุสธรรม และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช อดีตภรรยา เป็นข่าวต่อเนื่องมานานสามสัปดาห์แล้ว
ฝ่ายผู้กล่าวหา คงจะชำนาญเรื่องการประชาสัมพันธ์สร้างข่าวไม่น้อย จึงเลือกใช้วิธี อ่อยเหยื่อ ค่อยๆ เปิดประเด็นข้อกล่าวหาทีละประเด็น เพื่อหลอกล่อให้ติดตาม โดยมีเครื่องเคียงเรียกร้องความสนใจประเภท “ทีเด็ด” เทปลับ “คลิปเสียง” และ จดหมายน้อยถึงลูกรัก 2 ฉบับ
ดูๆ ไปก็คล้ายกับวิธีการของแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่ง ที่ชอบใช้วิธีตีปี๊บ สร้างกระแส ด้วยการอ้างเทปลับ คลิปวิดีโอ ที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ก็คือ เมื่อเปิดหลักฐานที่อ้างว่าเป็นข้อมูลเด็ดเหล่านี้แล้ว กลับปรากฏว่า ไม่ได้มีสาระ หรือนัยสำคัญที่จะสร้างน้ำหนักให้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นได้
ตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ที่ฝ่าย นางสาวฐิตินาถ กับพวก เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอยู่ข้างเดียว โดยพระปราโมทย์ ถือคติ “พระไม่ตีกับโยม” ไม่ตอบโต้ แต่ชี้แจงเท่าที่จำเป็น ปรากฏว่า ฝ่ายพระปราโมทย์ ชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินบริจาค ที่ทำไมต้องโอนให้นางอรนุช อดีตภรรยา ซึ่งมาบวชชีอยู่ในสำนักสวนสันติธรรม เป็นผู้ดูแล ทำไมต้องโอนที่ดินให้ภรรยา รายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีรายรับรายจ่าย สถานะของสวนสันติธรรม ฯลฯ
รวมทั้งความสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ที่ฝ่ายที่กล่าวหาให้ข้อมูลว่า มีกุฏิอยู่ใกล้กัน หน้าต่างตรงกัน มองเห็นกันได้โดยไม่มีสิ่งใดๆ ขวางกั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบของสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา ชี้ชัดว่า ข้อกล่าวหาเรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะกุฏิของพระปราโมทย์ กับอุบาสิกาอรนุช อยู่ห่างกันประมาณ 120 เมตร มีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐาก อยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์ เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถ เป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐาก เพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์ และอุบาสิกาอรนุช ยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้าน อนาลโย ของ น.ส.ฐิตินาถ ก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
ไม่เพียงแต่คำชี้แจงของลูกศิษย์พระปราโมทย์เท่านั้น แต่บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆ ของ น.ส.ฐิตินาถ และ นายวีรณัฐ ที่ยื่นเป็นหนังสือให้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวน นั้น ล้วนได้รับการรับรองยืนยันจากสองหน่วยงานว่า ไม่พบความผิดปกติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชลบุรี ว่า ผลการตรวจสอบเรื่องของที่ดิน และเงินของสำนักสวนสันติธรรมไม่มีปัญหา เนื่องจากทางสำนักสวนสันติธรรม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่ดินที่ขอตั้งวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง
สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่บอกว่า การตรวจสอบข้อร้องเรียนทั้งกรณีเรื่องเงินบริจาคและที่ดิน ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการถ่ายโอนทรัพย์สินให้เป็นชื่อของอุบาสิกาอรนุช อดีตภรรยา นั้น ยังไม่พบว่าพระปราโมทย์กระทำความผิดจริง โดยพระปราโมทย์ดำเนินการอย่างถูกต้อง ทั้งเรื่องของเงินบริจาค เรื่องที่ดินที่ขอจัดตั้งเป็นวัด เรื่องความใกล้ชิดกับอุบาสิกาอรนุชที่ถูกร้องเรียนว่ากุฏิอยู่ใกล้กัน รวมไปถึงการสอนที่ถูกร้องว่าอวดอุตริมนุสธรรม ก็ไม่พบว่าพระปราโมทย์มีการกระทำใดๆ ที่ผิดต่อพระธรรมวินัย และระหว่างการให้สัมภาษณ์ยังมีการเปิดเผยบัญชีเงินฝากของทางสวนสันติธรรม ทั้งหมด 7 บัญชี ให้ผู้สื่อข่าวดู
ส่วนข้อหาอวดอุตริมนุสธรรมนั้น หลักฐานที่ น.ส.ฐิตินาถ อ้าง มีเพียงคลิปเสียงพระปราโมทย์ ข้อความว่า
“.....โยนิโสมนสิกาสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอก โยนิโสมนสิกาสำคัญที่สุด ต้องสังเกต อย่าเชื่อง่าย เราจะรู้ว่าไม่ใช่ จิตไม่ได้ค้นคว้าของมันอยู่ พูดอีกก็หลุดอีก พอหลายๆ ทีเข้า ก็โอ้ชาตินี้ทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะไปทางไหน มันจบมุมเหมือนหลังชนกำแพง ถ้ารู้ที่วิเศษเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ เลย บางคนเห็นว่าไม่ใช่ตัวเรา เห็นแล้วมันวาง
แต่ว่าต้องมีโยนิโสมนสิกากำกับการดูนะ ถ้าดูไปเฉยๆ บางทีใจไปค้างไว้ข้างใน หลวงพ่อเคยเจอ ตอนนั้นผ่านชั้นที่ 2 แล้ว เข้าไปดูอย่างโสรัจ พอดีไปเจอ ... เจอหน้าแล้วท่านยิ้มหวานเลย ผู้รู้ๆ ออกมาอยู่นอกๆ นี้ ตอนนั้นงงเลย ทำไมต้องมาอยู่ข้างนอก ท่านก็ให้บอกต่อ กิเลสอยู่ข้างนอกเนี่ย ตอนที่บรรลุลงไปข้างในก็เผลอไปหมดแล้ว มีภายในมีภายนอก....”
เอาความรู้ในเรื่องธรรมะชั้นไหนไปสรุปว่า คำพูดทำนองนี้คือ การอวดอุตริมนุสธรรม
ทั้ง น.ส.ฐิตินาถ นายวีรณัฐ เคยเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระปราโมทย์ มานานเกือบสิบปี เหตุใดจึงไม่สามารถหาหลักฐานที่หนาแน่นกว่านี้ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่มีต่อพระปราโมทย์ ในทุกๆ เรื่องได้
เมื่อฝ่ายที่ถูกกล่าวหา สามารถอธิบายข้อกล่าวหาได้ทุกเรื่อง ก็แสดงว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ เป็นเรื่องเท็จ ที่ถูกกุขึ้นมา เพื่อใส่ร้ายพระปราโมทย์ ถึงเวลาที่ น.ส.ฐิตินาถ กับพวก จะต้องตอบคำถามแล้วว่า เหตุใดจึงกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา
พระที่ได้ชื่อว่า เป็นพระดี มีลูกศิษย์ ลูกหาศรัทธาเลื่อมใสมากมาย หากจะต้องมีเรื่องมัวหมอง ก็หนีไม่พ้นสองเรื่องคือ สีกา กับเงินๆ ทองๆ
เช่นเดียวกัน บรรดาอุบาสิกา แม่ยกทางธรรมก็มีจุดตายอยู่สองเรื่อง คือ เรื่องเงินๆ ทองๆ กับ อยากเป็นเจ้าของพระ
ในอดีต พระรูปงาม ห้อมล้อมด้วยสีกามากหน้า เกิดความหึงหวง ชิงพระหักสวาท จนนำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรมของพระ จนต้องสึกก็มีมาแล้ว
สำหรับสีกาฐิตินาถ เรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น เธอแสดงความต้องการชัดเจนอยู่แล้วว่า ขอทวงเงิน 4 ล้าน 3 แสนบาท ที่เคยบริจาคให้พระปราโมทย์คืน เพราะพระปราโมทย์ โอน เงิน ที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคไปให้อดีตภรรยาดูแล ซึ่งเธอเห็นว่า เป็นการยักยอกเงินที่มีผู้บริจาค ไปเป็นสมบัติส่วนตัว
เหตุที่สีกาเกิดเสียดายเงิน ออกปากทวงทั้งที่บริจาคไปแล้ว พระอนุโมทนา ให้พร รับบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลกันไปแล้ว ลูกศิษย์พระปราโมทย์ ให้ข่าวผ่านทนายความมาว่า เพราะเธอผิดหวัง ที่อุตส่าห์ลงทุนไปมากแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็น somebody ในสำนักสวนสันติธรรม เพราะพระปราโมทย์ไม่ไว้ใจในพฤติกรรมบางอย่าง
เป็นอาจารย์ ลูกศิษย์กันมาสิบปี ศิษย์ยังเห็นความไม่ดีของอาจารย์ ในหลายเรื่อง ทำไมอาจารย์จะไม่ล่วงรู้เลยหรือว่าศิษย์คิดอะไรอยู่
เรื่องนี้ เป็นอุทาหรณ์ว่า เข็มทิศ ช่วยได้แค่ชี้ทาง แต่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ใจเป็นเครื่องกำหนด
ต่อมา ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ยังได้เขียนสรุปถึง กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าหากจะมองด้วยใจที่เป็น “ธรรม” คงต้องแยกแยะปฐมเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา
จากนั้นก็มาแยกแยะทีละประเด็นถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
กล่าวคือ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาคือตัวของพระปราโมทย์เองนั้นมีข้อกล่าวหาที่จะต้องตอบคำถามอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย
หนึ่ง - ข้อกล่าวหาในเรื่องทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเทให้กับ “แม่ชีอรนุช สันตยากร” อดีตภรรยา
สอง - ข้อกล่าวหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์ กับแม่ชีอรนุช
และสาม - ข้อกล่าวหาในเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม
ขณะที่ในส่วนของ “ผู้กล่าวหา” ที่นำโดย น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบางกอก และประธานมูลนิธิบ้านเอื้ออารีย์ รวมทั้ง นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะการที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกมาโจมตีพระปราโมทย์ด้วยข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัส 3 ข้อ พร้อมกับยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
เนื่องเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกศิษย์และได้รับผลประโยชน์จากการเป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ไปไม่น้อย
**หักเข็มทิศครั้งที่ 1 ที่ดิน-เงินไร้ปัญหา
เริ่มต้นจากตัวพระปราโมทย์เองนั้น ถ้าหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่นำมาแฉโพย พระปราโมทย์ ยังไม่มีหลักฐานเด็ดหรือหมัดน็อกที่ทำให้จนมุมเลยแม้แต่ข้อเดียว
สำหรับประเด็นแรก คือ กรณีเรื่องที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นคนดูแลบัญชีนั้น สิ่งที่น่าจะตอบคำถามทั้งหมด ก็น่าจะเป็นการที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า การที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ถือบัญชีถือว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเช่นกัน
หรือดังเช่นที่ “นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์” เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของพระปราโมทย์ที่ให้ความเห็นว่า “การตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาอุทิศตนสามีบวชพระ ภรรยาบวชชี และอยู่กินกันมากับภรรยาก็คงไม่รู้จะใส่ชื่อใครเพราะเป็นพระจะถือครองที่ดินไม่ได้ จะไปใส่ชื่อคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะนำไปขายเมื่อไหร่ แล้วคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องอาศัยที่ตรงนั้นจะทำอย่างไรแล้วเงินที่บริจาคมาจะไว้ใจใครได้นอกจากคนที่เชื่อถือกันมากที่สุด”
ขณะเดียวกันเมื่อรับฟังคำชี้แจงของนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุเป็นผลไม่น้อย
นายธนเดชอธิบายว่า ในช่วงของการซื้อที่ดิน น.ส.ฐิตินาถ ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก
ด้านการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยในระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับ น.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและ น.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม
ส่วนระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจาก น.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 ส.ค.51 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และน.ส.ชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 ม.ค.53 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด
นายธนเดชชี้แจงด้วยว่า สำหรับระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 ก.พ.53 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และ น.ส.กนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย
นี่คือความกระจ่างชัดจากคำตอบที่มาจากพระปราโมทย์
และตอกย้ำกันที่ผลการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่สรุปข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินและเงินของสวนสันติธรรมว่า จากรายงานของผู้อำนวยการ พศ.จังหวัด คณะกรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ตั้งขึ้นมา สรุปผลออกมาเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ เรื่องเงินเรื่องและที่ดิน
กล่าวสำหรับเรื่องเงิน คณะกรรมการสรุปว่า มีการนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงให้ดูอย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ส่วนเรื่องที่ดินที่ต้องให้มีบุคคลถือครองที่ดินเพราะความมุ่งหมายเดิมต้องการเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นวัด ต่อมามีความพร้อมจึงยื่นขอจดทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากได้รับอนุญาต ภายใน 5 ปี จะต้องดำเนินการก่อสร้างวัด และขออนุญาตตั้งชื่อวัด และในเวลานั้น จึงต้องแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นชื่อวัด
สรุปก็คือ สวนสันติธรรมที่มีมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาทไม่ได้มีปัญหาตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด
ทว่า ปัญหาดูเหมือนจะไม่จบลงเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้กล่าวหาซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ย.โดยในเอกสารประกอบการแถลงข่าว นายเทิดศักดิ์ได้ตั้งคำถามอีกว่า บัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรมมีเพียง 21 ล้านบาทใน 7บัญชีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ถ้ามีเพิ่มจากบัญชีในชื่อนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา หรือ การตกแต่งบัญชีเงินบริจาค ถือเป็นการยักยอกหรือไม่ พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีบัญชีเงินฝากในนามนางอรนุช 1 บัญชีที่ไม่ได้ถูกยื่นให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบ ในเบื้องต้นมีการตรวจสอบบัญชีรายรับ/จ่าย ของนายอภิชาต อัศวเรืองชัย พบว่า น่าจะมีบางรายการที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในบัญชีรายรับ/จ่ายของสวนสันติธรรมด้วย ซึ่งจะนำให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป
สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ กลุ่มอดีตลูกศิษย์เหล่านี้ทำได้แค่เพียงตั้งข้อสงสัยและไม่ได้มีการนำหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมมาแสดงเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่อย่างใด
**หักเข็มทิศครั้งที่ 2 ไร้หลักฐานโยงความสัมพันธ์แม่ชีอรนุช
ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชนั้น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องพึงทราบก็คือ แม้พระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชจะไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่ในทางธรรมแล้ว “ขนบ” และ “ประเพณี” ซึ่งเป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันมาโดยตลอดก็คือ เมื่อมีการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา และเป็นสมณเพศแล้ว ก็ถือเป็นการขาดจากกันในความสัมพันธ์ที่เคยมีมาในทางโลกไปด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อมีการพาสื่อมวลชนไปตรวจสอบกุฏิที่อาศัยระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช ก็จะเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างกัน 120-130 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นอจากนี้ยังมีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐากอยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถเป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐากเพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์และแม่ชีอรนุชยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้านอนาลโยของ น.ส.ฐิตินาถก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
เช่นเดียวกับปัญหาเรื่อง “เขตห้ามเข้า” ที่มีความพยายามที่จะตีประเด็นว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่จึงห้ามเข้า ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่า เป็นเรื่องปกติของเขตพื้นที่ปฏิบัติธรรม เขตสังฆาวาสที่จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่สวนสันติธรรมเท่านั้น หากแต่วัดสายปฏิบัติเกือบทุกวันก็มีข้อห้ามเยี่ยงนี้เช่นกัน
**หักเข็มทิศครั้งที่ 3 ใครกันแน่อวดอุตริมนุสธรรม
ส่วนเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ฝ่ายผู้กล่าวหากำลังเร่งเครื่องอย่างหนักในเวลานี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยกันได้โดยง่าย หากแต่ต้องอาศัยผู้ทรงภูมิธรรมว่าวิเคราะห์กันทีละประเด็นว่าเข้าข่ายหรือไม่
ที่สำคัญคือหลักฐานที่ฝ่ายผู้กล่าวหานำมาแสดงเป็นคลิปเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้นำมาแสดงทั้งหมด แต่ตัดเอามาจากบางส่วนบางตอนของคำเทศนา ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมที่จะกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมในทันที เพราะถ้าฟังคำเทศนาโดยรวม อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ ก็คงต้องรอการพิสูจน์จากผลสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันต่อไป
เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรมที่อ้างจากหนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยระบุว่า “ผู้เขียน(ซึ่งหมายถึงพระปราโมทย์) ก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง” ก็เป็นข้อกล่าวหาซึ่งผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พระปราโมทย์เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นฆราวาส เขียนในนามปากกาที่ชื่อว่า “สันตินันท์”
ที่สำคัญคือการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ก็เป็นการดำเนินการโดยลูกศิษย์ พระปราโมทย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด
นอกจากนั้น ถ้าหันกลับไปพิจารณาจากคำให้การของลูกศิษย์ที่ยังคงศรัทธาในธรรมะและตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะพบว่า เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ดังเช่นในรายของ “สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา” ที่สรุปเอาไว้ว่า....”ในประเด็นอวดอุตริมนุสธรรมนั้น ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ.....ผมเชื่อมั่นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ครับ เพราะหลวงพ่อสอนให้มีสติ มีจิตตั้งมั่นและหัดรู้รูปนามเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ซึ่งจากการได้ปฏิบัติตาม ก็เห็นไตรลักษณ์ได้จริงๆ”
ขณะที่เมื่อไปตรวจสอบผู้กล่าวหาคนสำคัญจากมูลนิธิบ้านอารีย์อย่าง “วีรณัฐ โรจนประภา” ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็มีข้อให้ชวนให้ขบคิดเช่นกันเช่นกัน
“เท่าที่ผมสังเกตดู ก่อนหน้านี้จะไม่มีการดูจิตทายใจเป็นถี่ๆ หรือมากๆ แบบหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งเพิ่งจะมีมาตอนที่หลวงพ่อปราโมทย์มาสอนนี่แหละ ตอนแรกที่เรียนก็จะได้ผลดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนประสบ อย่างผม เห็นญาติธรรมที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกที่มีทุกข์ เข้ามาก็มาพึ่งธรรมะ พึ่งคำสอนในระบบนี้ไป สามเดือนห้าเดือนทุกข์จากคลาย มีความสุขมากขึ้น ผ่านไปปีนึ่งก็มีความอยากให้พ้นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้น ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่ได้เผยแผ่การสอนในระบบนี้ แต่พอมาถึงช่วงหนึ่ง จุดหนึ่ง นานวันเข้า ความสุขอะไรก็ยังมีอยู่จริง แต่ว่าความอ่อนแอตามาด้วย คือทุกคนรอที่จะถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อปราโมทย์ท่าน”
และเมื่อถามว่าพิสูจน์จากอะไร
นายวีรณัฐตอบว่า “จากที่เวลารับกิจนิมนต์ คนจองคิวกันยาวเหยียด การสอบทานเรื่องการปฏิบัติก็ต้อมีการจับฉลากบัตร จัดคิว ระบบการเรียนการสอนเองที่พอเรียนเข้าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกแต่ว่า วันเสาร์ไปส่งการบ้าน วันไหนไปให้หลวงพ่อตรวจ อันนี้ต้องให้หลวงพ่อดู ทั้งหลายทั้งปวงในระบบนี้ สุดท้ายเรากลับไปพึ่งความสามารถพิเศษของพระรูปหนึ่ง จุดนี้เองที่ผมทักท้วงไปว่า อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ตอนหลังคนเรียนมีการพึ่งพิงตนเองได้น้อยลงขนาดนี้”
**เข็มทิศชีวิตที่หลงทางของ “อ้อย-ฐิตินาถ”
ดังนั้น เมื่อประจักษ์พยานและหลักฐานปรากฏออกมาในลักษณะนี้ สังคมก็มีสิทธิที่จะย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกลุ่มผู้กล่าวหาเช่นกัน เพราะถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางของคนเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์จากธรรมะของพระปราโมทย์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ฐิตินาถหรือมูลนิธิบ้านอารีย์
โดยเฉพาะน.ส.ฐิตินาถนั้น การที่เธอออกมาเรียกร้องขอคืนเงินบริจาค 4.3 ล้านบาท ที่ได้ร่วมก่อสร้างสวนสันติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคนั้น พระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความผิดหวังที่ไม่สามารถเป็น “เข็มทิศชีวิต” ให้กับสวนสันติธรรมและพระปราโมทย์ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
เพราะถ้า น.ส.ฐิตินาถสามารถดำรงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของพระปราโมทย์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังที่เคยวางผังปลูก “บ้านอนาลโย” เอาไว้ใกล้ๆ กับกุฎิของพระปราโมทย์แล้ว คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ออกมาเป็นแน่แท้
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมนั้น ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ ก็มีที่ดินอีกหลายแปลงที่เป็นทางเลือกและไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับที่ดินผืนนี้ เช่น ที่ดินที่จังหวัดนครนายกเป็นต้น
แต่เหตุที่มาลงเอยที่อำเภอศรีราชาก็เพราะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นผู้อ้อนวอน ร้องขอ เป็นตัวตั้งตัวตีและเจ้ากี้เจ้าการอย่างผิดปกติ
ว่ากันว่า ข้ออ้างสำคัญที่ทำให้พระปราโมทย์ตัดสินใจซื้อก็เพราะมีข้ออ้างว่า “ได้มีการวางเงินไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ขณะเดียวกัน คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสวนสันติธรรม ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็น “ที่ดินผืนงาม” และ “ขนาดใหญ่” อีกผืนหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติธรรมแห่งนี้ และผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อีกเช่นเคย
ไม่มีใครรู้ว่า ที่ดินผืนนี้บังเอิญหรือเจตนามาอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรมของพระปราโมทย์กันแน่ แต่วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรมคงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะซื้อไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่ซื้อแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล เนื่องจาก “มีความไว้วางใจมากกว่า” ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นมูลเหตุของปัญหาที่เกิดกับสวนสันติธรรมในเวลาต่อมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหนังสือชื่อดังจะต้องกลับไปทบทวนตัวเองและตกผลึกความคิดของตัวเองอีกครั้งก็คือ เข็มทิศชีวิตที่ตัวเองเขียนขึ้นมาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นจนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น ทำไมถึงไม่สามารถเป็นเข็มทิศชีวิตให้เธอดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรได้