ตลอดระยะเวลาการเดินทางกว่า 20 ปี “มาลีฮวนน่า” วงดนตรีโฟล์กร็อกเพื่อชีวิตถิ่นสะตอเติบโตและส่งสารลำนำชีวิตจนเป็นที่ประจักษ์ชัด สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อกระทั่งรุ่นเด็กวัยเพิ่งแตกพานในวันนี้ “มาลีฮวนน่า” จึงไม่ใช่เพียงคนดนตรีหรือสัญลักษณ์แห่งความอิสรเสรี หากยังมัดรวมหลอมแนวความคิด ชีวิต ขับเคลื่อนวันวัยความฝันทั้งยามหลับและตื่น
บัดนี้ การเดินทางของบุปผาชนกลับมาอีกครั้งในงาน “กอดดินถิ่นพ่อ มาลีฮวนน่า EXCLUSIVE” คอนเสิร์ตบนแผ่นดินพ่อ ครั้งที่ 3
ปฐมบท “กอดดินถิ่นพ่อ”
เพราะชีวิตมีได้จากพ่อหลวง
“กอดดินถิ่นพ่อ มาลีฮวนน่า EXCLUSIVE” เกิดขึ้นครั้งแรกราวปี 2556 ที่จากความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ทรงมีต่อไพร่ฟ้าพสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ พื้นที่แห้งแล้งกันดารไม่ต่างไปจากทวีปตะวันออกกลาง ให้พลิกฟื้นเป็นท้องทุ่งเขียวขจีอย่างไร่หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ส่วนพระองค์ที่ทรงสละให้ประชาชนได้ทำกินมีสุข ซึ่งในปี 2560 ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้แฟนมาลีฮวนน่าได้ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 สัมผัสความรักความอบอุ่นแบบครอบครัวโดยมีคีตศิลป์แห่งเสียงเพลงส่งลำนำ ในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม
“อย่างที่เราทราบกันดี ในปีนี้ เป็นปีที่สำคัญอีกปีหนึ่งของเราชาวไทย เป็นปีที่เราจะจดจำไม่มีวันลืม และทำในสิ่งที่พ่อหลวงได้สอนและสั่ง เพื่อพ่อของเรา”
“อาจารย์ไข่" คฑาวุธ ทองไทย หรือ "ไข่ มาลีฮวนน่า" กล่าวเริ่มต้นถึงหมุดหมายของการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ก่อนหน้านี้
“คือตอนที่พระองค์ทรงครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์เสด็จฯ จากวังไกลกังวล ตามที่เราเห็นในข่าว แล้วก็มาที่หมู่บ้านห้วยมงคล หมู่บ้านห้วยทราย จนมาถึงหมู่บ้านหุบกะพง ซึ่งหุบกะพง ลักษณะภูมิประเทศมีลักษณะเป็นดินปนทราย แห้งแล้ง ไม่มีน้ำ พระองค์ก็ทรงไปนำองค์ความรู้จากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ที่หุบกะพง พระองค์ก็มาขุดห้วยหนองต่างๆ แล้วเอาพืชผักที่สามารถปลูกในลักษณะดินแบบนี้ได้มาปลูก แล้วหลังจากนั้นพืชผักที่ปลูกมาได้พระองค์ท่านก็ทรงนำมาแปรรูปสอนชาวบ้าน แล้วก็ตั้งเป็นสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อให้ชาวบ้านอยู่ได้ จึงถูกเรียกว่าแผ่นดินของพระราชา
“อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทาลัยศิลปากร บอกว่าศาสตร์ของศิลปะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม สถาปัตยกรรม คีตศิลป์ นาฏศิลป์ สิ่งที่เข้าถึงมนุษย์มากที่สุดก็คือเสียง คือเพลงดนตรี หรือคีตศิลป์ เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีเสียงเป็นตัวนำ ผมก็คาดหวังว่าเราน่าจะนำให้กับครอบครัวพ่อแม่ลูกในงานเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ ให้ได้มาเดินตามรอยพระองค์ท่านแล้วน้อมนำมาปรับใช้ในชีวิตอย่างที่พระองค์ท่านทรงตั้งพระราชหฤทัยให้ประชาชนมีความสุข
“ในส่วนของเนื้องาน วิธีตามรอยพระองค์ท่าน เราก็ทำเป็นกึ่งๆ แรลลี่ โดยเริ่มต้นที่อุทยานราชภักดิ์เพื่อแปรอักษร จากนั้นไปต่อที่โครงการชั่งหัวมัน ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ในภาคกลางวันที่จะได้เรียนรู้พระมหากรุณาธิคุณพ่อหลวง ก่อนจะกลับมาที่โครงการหุบกะพงพร้อมกิจกรรมการสักแทตทูชื่อดังเมืองพัทยา “ช่างอ้วน” มาสักเลข ๙ ที่เป็นการผสมผสานกับสัญลักษณ์โอม เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
“ภาคกลางวันแบบกึ่งๆ แรลลี่ตามรอยพระองค์ท่าน แต่ไม่ได้เป็นแรลลี่เต็มรูปแบบ เพราะเราไม่ได้มาค้นหาหรือเล่นเกมใดๆ แต่เราจะตามรอยพระองค์ท่าน ซึ่งเราจะรวมพลกันประมาณ 9 โมงเพื่อลงทะเบียนที่ช็อปร้านมาลีฮวนน่า ปั๊มไอ้เท่ง ที่อำเภอชะอำ 11 โมง ล้อหมุดไปอุทยานราชภักดิ์ที่หัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์มหาราชทั้งหมดของไทย ซึ่งจะมีกิจกรรมเป็นการแปรอักษรแล้วใช้โดรนถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก
“จากนั้นเป็นใจความสำคัญ เป็นจุดเริ่มของความคิด คือที่โครงการชั่งหัวมันซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะได้ไปเรียนรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรอย่างเราตลอดระยะเวลาที่ครองราชย์ 70 ปี ก่อนจะเข้าสู่กิจกรรมการสักแทตทูเลข ๙ จากช่างสัก 9 คน ร่วมสัก 89 คน โดยมีช่างสักชื่อดังพี่อ้วน พัทยา กับลูกศิษย์ ซึ่งเลข ๙ เลขนี้ หนึ่งคือพระองค์ท่าน สองเขียนโดยอาจารย์ช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติ ลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นรูปตัวโอมเป็นที่ระลึก เป็นมงคล หลังจากนั้นในตอนเย็นเราก็จุดเทียนเพื่อเคารพธงชาติและระลึกถึงพระองค์ท่าน
“ในภาคกลางคืนดนตรีก็เป็นมาลีฮวนน่า อะคูสติก คำถามที่สื่อถามบ่อยคือความพิเศษ ปกติที่เราไปในคอนเสิร์ตไม่ว่าจะอินดอร์หรือเอาต์ดอร์ เราจะเล่นแค่เวลา 2 ชั่วโมง แล้วก็มีหลายเพลงที่ไม่ได้เล่น แต่เรามีเพลงเป็นร้อย แล้วพี่น้องเราทุกคนทั้งนั้น ความพิเศษคือพี่น้องเราได้มาร้องเพลง ได้มาพูดคุย อีกความพิเศษหนึ่งคือแขกรับเชิญคือครูผม อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติคนล่าสุด ซึ่งอาจารย์ก็จะมีเรื่องราวของพระองค์ท่านที่นอกจากพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพี่น้องชาวไทยตลอดระยะเวลา พระองค์ท่านยังทรงเป็นแสงส่องนำทางเป็นต้นแบบให้เราได้เดินตาม อย่างขลุ่ยเมดอินไทยแลนด์ที่โด่งดั่งก็ได้แรงบันดาลใจจากพระองค์ท่าน แต่จากเพลงอะไรก็ต้องไปฟังจากท่านเอง อาจารย์จะเล่าเรื่องที่เป็นแก่นความรู้ ที่สามารถน้อมนำมาปรับใช้ให้กับชีวิต พลิกให้เห็นต้นแบบจากพระอัจฉริยภาพและความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในทุกรายละเอียดแง่มุมที่พระองค์ทรงมีต่อราษฎร
“คือหลายคนหรือเด็กรุ่นใหม่เพิ่งมารู้ว่าในหลวงท่านทรงงานเยอะเหลือเกิน ทั้งหมดกว่า 5 พันโครงการที่มีประโยชน์ เรารู้แค่คร่าวๆ เศรษฐกิจพอเพียง แก้มลิง และที่สำคัญไม่เคยเอามาทำ ไม่เคยเอามาปรับใช้ ซึ่งจริงๆ ถ้าเอามาทำปรับใช้กับชีวิตจะมีประโยชน์แก่ตนเองมหาศาล ตัวอย่างในผู้ที่ทำก็แสดงให้เห็นประจักษ์ชัด ผมก็หวังใจว่าถ้างานนี้เสร็จสิ้นลง เราจะนำคำสอนของพ่อหลวงมาใช้ในชีวิตปรับใช้ให้พอดีกับตัวเรา คนอยู่เมือง ที่อยู่อาจจะคับแคบ ก็จัดสรรรูปแบบชีวิตตามที่พระองค์ท่านสอน ใช้คำสอนอย่างที่พระองค์สอน ไม่เบียดเบียนใคร เป็นคนดี สำคัญที่สุด อันนี้สังคมมันอยู่ได้และไปได้จริงๆ เพราะว่าในหลวงท่านทรงเป็นผู้ให้ ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ คิดดูว่าท่านทรงงานหนักแค่ไหน ทุกครั้งที่นึกถึงพระองค์ ภาพแรกๆ ของผมตั้งแต่เด็กๆ คือ เห็นพระองค์ท่านสะพายกล้องพร้อมหนีบม้วนกระดาษแผ่นที่ ผมจำได้แม่นเลย แล้วพระองค์ท่านชัดเจนที่สุดที่ทำเพื่อบ้านเมือง เพราะรัฐบาลมีมา 4 ปี แล้วเปลี่ยนกันไปที บางครั้งไม่ถึงวาระ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา ทว่าพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปหมดทั่วสารทิศตรงที่มีความยากจนของประชาชน พระองค์ท่านทรงไป
“พระองค์ท่านทรงถึงธรรมชาติมาก ธรรมชาติที่หมายถึง ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ธาตุทั้ง 4 ดินไม่ดีพระองค์ก็ไปปลูกป่า ทำต้นน้ำ ฝนไม่ตกก็ทรงทำฝนเทียม น้ำไม่ดีก็ทำกังหันชัยพัฒนา นี่แค่ตัวอย่าง แล้วที่สำคัญพระองค์ท่านไม่เคยลดละหรือหยุด พระองค์ท่านทรงทดลองซ้ำๆ ซึ่งห้องทดลองที่สำคัญของพระองค์ท่านก็อยู่ในพระราชฐานที่พักสวนจิตรลดา เด็กไทยไม่แข็งแรงก็ทำนมอัดเม็ดจิตรลดา ทุกวันนี้จีนเหมาไปหมด มีเท่าไหร่เหมาหมด เรื่องปลานิลอีก พระองค์ท่านทรงได้มาจากรัฐบาลญี่ปุ่น เด็กก็ได้กินทุกวันนี้
“พระองค์ท่านเป็นมหาราชที่ต่อสู้กับความยากจนอย่างที่เราเห็นกัน ถ้าลูกหลานไทยหรือรัฐบาล ในมุมมองส่วนตัวผมจริงๆ ไม่ต้องคิดนโยบายใหม่ๆ เอาแค่ 5,000 กว่าโครงการ ของพระองค์ท่านมาสานต่อ ยิ่งใหญ่มาก นอกจากนั้นแล้วก็ปรับไปตามวิถีของกลไกโลกที่เป็นไป เพราะอะไร เพราะล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าเป็นประโยชน์และเหมาะกับบ้านเมือง เข้ากับทุกช่วงเวลาสถานการณ์
“ตัวอย่างคือ ผู้นำทั่วโลกหลายประเทศใหญ่ๆ น้อมนำเอาโครงการ เกษตรทฤษฎีใหม่, เศรษฐกิจพอเพียง ของพระองค์ท่านไปใช้ คือโลกมันเป็นไปได้จริงๆ นิวเคลียร์ไม่ใช่เอามาใช้ฆ่าคน เอามาใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ พระองค์ท่านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ไปศึกษาดู ยิ่งใหญ่จริงๆ โครงการมูลนิธิพระดาบส เกิดครั้งแรกสมัยมหาวาตภัยตะลุมพุก พ.ศ. 2505 ให้เด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนได้เรียนวิชาชีพ มีมูลนิธิเยอะแยะมากมายล้วนแล้วแต่ทำเพื่อลูกหลานไทยทั้งสิ้น
“เป็นรูปที่มีทุกบ้าน คำคำนี้ ประโยคนี้ ตั้งแต่เกิดผมเคารพเทิดทูนพระองค์สุดชีวิต ที่ผมทำจริงๆ ไมได้สอดแทรกอะไรเลย แต่บังเอิญได้มามีพื้นที่แปลงเล็กๆ ที่หมู่บ้านหุบกะพง เรื่องานเพลงมาลีฮวนน่าเป็นเรื่องของกิเลสมนุษย์ รัก-โลภ-โกรธ-หลง แต่ที่มาแมตช์คือเราไปอยู่ที่นั่นจริงๆ แล้วได้ซึมซับในพระมหากรุณาธิคุณบนแผ่นดินของพ่อ”
มงคลชีวิตนำใจ
ชุ่มฉ่ำในดวงใจสร้างชีวิต
“โลกขับเคลื่อนไปสองอย่าง แต่พระองค์ท่านแก้ปัญหาให้พอดีตัวกับประเทศไทย ยามที่เกิดปัญหาบ้านเมืองจะฆ่ากันเกือบตายอยู่แล้ว พระองค์ท่านก็เรียกมาคุยแล้วทุกอย่างก็สงบ คือผมก็ไม่ได้ทำสิ่งใหม่ แต่ทำสิ่งที่มีของพระองค์ท่านนั่นแหละ เราก็เป็นจุดเล็กๆ ของเราจุดหนึ่งในฐานะศิลปินที่มีเสียง มีอะไรต่างๆ ของงานศิลปะที่จะนำให้มาเห็นงานของพระองค์ท่านได้ ในจุดเล็กๆ ของพวกเราที่ต้องช่วยกันทำ เราก็เป็นจุดหนึ่งที่คาดหวังไว้อย่างนั้น
“เพราะชีวิตผมเริ่มจากวันนั้นจนวันนี้ได้ก็จากพระบารมีของพระองค์ที่ทรงพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนและบ้านเมือง ผมเป็นเด็กนักเรียนศิลปะ เกิดในครอบครัวยากจน ซึ่งเด็กที่เกิดในสภาวะนี้ มันก็ต้องชดเชยด้วยศิลปะ ชดเชยด้วยการร้องรำทำเพลง ไม่ได้ต้องการไปเป็นศิลปินเป็นวงอย่างนี้ในตอนแรกๆ แค่ร้องรำกันเล่นๆ เป็นมหรสพที่เราสร้างขึ้นได้ด้วยมือเรา เพราะเรายากจน มีเพื่อนๆ ก็ดีดกีตาร์กัน คือเขียนเพลงเพื่อปลอบประโลมตัวเอง”
“ลมเพ-ลมพัด”, “หัวใจละเหี่ย”, “วิถีคนจร”, “นิรันดร์”, “ไปไกล”, “เรือรักกระดาษ”, “หัวใจพรือโฉ้”, “ลานนม-ลมเน”, “รักสาวพรานนก” และ “ชุ่มฉ่ำในดวงใจ” 10 บทเพลงสุขและทุกข์ในชีวิตบุปผาชน
“แล้ววันหนึ่งมันมียุคหนึ่งอัลเทอร์เนทีฟเข้ามา ยุคนั้น ป๊อด โมเดิร์นด็อก เพลงก่อน ดังกระฉูด ป๊อดน่าจะเป็นยุคที่สามในวงการร็อกเมื่อไทยที่เป็นเพลงของตัวเอง เพราะยุคแรกวงแรกจะเป็นวงดิ โอฬาร โปรเจคต์ วง VIP แหลม มอริสัน ยุคที่ฝรั่งเข้ามาทำสงครามอินโดจีน ช่วงสองแกรมมี่เริ่มสร้างพร้อมๆ กับการเกิดอัลบัมเมดอินไทยแลนด์ของวงคาราบาวแล้วก็อาร์เอสของเฮียฮ้อ ยุคของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กำลังสร้างช่องทางการสื่อสารโทรทัศน์ที่จะคลุมเอเชียสมัยแรกๆ เลย ในตอนนั้น ส่วนตัวผมที่ก่อให้เกิดแนวคิดให้รากข่าวในเชิงลึก กระทะข่าวที่มีอยู่ คือคุณสนธิ คุณสุทธิชัย หยุ่น คุณระวิ โหลทอง สิ่งเหล่านั้นเราเสพมา ข้อมูลทั้งหมดเพื่อจะปลอบขวัญตัวเองปลอบประโลมตัวเอง
“แล้วบังเอิญอีกคือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ท่านเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทุกคนก็ร่ำรวยเพราะขายที่กัน ยุคนั้นว่ากันว่า เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เปิดตัวกลับมาจากวัดพุทธปทีปที่อังกฤษ ซื้อภาพเฉลิมชัยหรืออาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แลกกับรถเบนซ์คันหนึ่ง ฟุ้งเฟื่องขนาดนั้น เราก็เกิดในยุคนั้น เราก็ทำเล็กๆ เป็นเครื่องอัด 8 แทร็ก ทำกันมา เป็นเทปคาสเสตต์ ทีนี้รุ่นน้องที่เรียนโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยศิลปกร เขารับเป็นฟรีแลนซ์ เขียนที่สำนักบันเทิงคดี ของพี่มาโนช พุฒตาล เขาก็เอาเทปเราไปให้เขาฟัง เขาก็เลยเรียกเราไปตอนนั้นมารู้ที่หลังว่าพี่มาโนชได้รับความสำเร็จจากการทำวง ดิ โอฬาร โปรเจคต์ เลยมีเงินทุนที่พอจะต่อยอดทำสองวง หนึ่งเป็นแบบโฟล์กร็อกแบบเรา ก็คือเรา มาลีฮวนน่า แล้วก็อีกวงคือโกรอิ้งเพน จากปุบผาแห่งเสียงเพลงก็เป็นบุปผาชนที่รู้จักกันในอัลบัมแรก ผู้คนในสังคมก็รับเราเป็นกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราก็มากันเรื่อยๆ ตามประสาเรา
“แล้วทั้งหมดก็อย่างที่กล่าวไป เราคือเพียงแค่จุดจุดหนึ่ง เป็นความบังเอิญเหลือเกิน แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระองค์ท่านทำกับเราชาวไทย ผมเรียนศิลปะ พระองค์ท่านก็วาดรูปผมเป็นนักดนตรี พระองค์ท่านก็ทรงดนตรีเก่งมาก ดนตรีก็ทรงเล่น ศิลปะทำหมดเลย กีฬาอีก ต่อเรือเอง เป็นไมโครมด แล้วไม่ใช่ธรรมดา ลงไปแข่งขันได้เหรียญทองด้วยอีก มีอะไรอีกที่ไม่ทำ พระองค์ท่านทรงทำทุกอย่างแล้วทำอย่างหนักด้วย จริงจังด้วย
“ถ้าได้ไปลองสัมผัสครั้งนี้ สิ่งที่เรากำลังจะกระจาย เราจะรับรู้ได้ว่าลงมือทำคือคำตอบ ท่านลงมือทำคือคำตอบ ทำให้เห็น ทำตามพระองค์ท่านไม่มีวันจน ไม่มีเจ๊งแน่ มีแต่มงคลของชีวิต พ่อแม่ผมพูดเสมอๆ เลย คนบ้านนอกที่บ้านทุกคน แม้ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้า แต่กราบในใจตลอด พระองค์ท่านอยู่ในใจตลอดแล้วปฏิบัติตาม ผมเชื่อสุดหัวใจ ภูมิใจสุดชีวิต เรามีในหลวง พระมหากษัตริย์ พ่อหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
ศรัทธา กำลังใจ และคนดี
บทส่งท้ายจากบุปผาชนเพื่อสังคม
“เสียอะไรเสียได้ อย่าเสียกำลังใจตัวเองเป็นอันขาด ต้องมีศรัทธาในตัวเอง คนทำงานในศิลปะไม่ว่าแขนงไหน อย่าสิ้นศรัทธา อย่าหมดพลังไฟในการดำเนินชีวิต ในการมีชีวิตอยู่ ไม่ใชคำพูดเอาเท่
“ไม่ใช่เท่ มนุษย์ถ้าเกิดไม่มีกำลังใจแล้ว ฆ่าตัวตายก็เยอะ ฆ่าคนอื่นก็เยอะ แล้วก็ไม่มีแรงมุ่งมั่น โลกมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือในเรื่องของศาสนาอย่างคำพระท่านว่า โลกุตระ และโลกทางด้านของมนุษย์ก็คือโลกียะ บรรพชิต ฆราวาส เราต้องเลือกเอาจะเดินทางไหน”
อาจารย์ไข่กล่าวฝากแง่คิดมุมมอง “กอดดินถิ่นพ่อ EXCLUSIVE” ครั้งที่ 3 ในปีพิเศษนี้จากประสบการณ์ร่วม 20 ปี บนถนนดนตรีศิลป์ที่ตกผลึกและถ่ายถอดออกมา
“ความมุ่งมั่น แรงศรัทธา อย่าหมดไฟในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือช่วงไหน ให้มีไฟ อย่าท้อแท้ ถ้าท้อแท้มันจะห่อเหี่ยว แต่ถ้าเกิดเราเข้าใจเรื่องศิลปะ เอาความท้อแท้มาเปลี่ยนเป็นพลังการทำงานทุกประเภท ยิ่งคนทำงานศิลปะมาเขียนเพลง เขียนภาพงานต่างๆ จะมีคุณค่ากับใจตัวเราเอง ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อชำระใจตัวเองเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็ต้องค้นหาทางของตัวเอง ผมไม่ใช่ศาสดา ไม่อาจจะบอกได้ แต่วิธีของผม ผมก็มีไอดอล อย่างอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อ่านงานของอา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เล่มที่ผมชอบ ผมก็ไปหาอย่างนั้นเพื่อหาบางสิ่งบางอย่างในตัวผมเอง หาคำพระที่ผมชอบ อ่านอัลกุรอาน พระคัมภีร์ไบเบิล อ่านศาสนาเชน อ่านขงจื๊อ เล่าจื๊อ หรือไปกอดแม่พ่อ ลูก เมีย หรือหาเพื่อนที่แนะนำผมได้ แต่เพื่อนยิ่งนานวันจะมีจำนวนน้อยลง ระหว่างคนรู้จักกับเพื่อนมันแยกกัน ก็ต้องเรียนรู้กันไปเอง ไม่อาจจะบอกได้ว่าจะเรียนรู้ได้แค่ไหน ท้ายที่สุดก็โดนด้วยตัวเองทั้งนั้น เรียนรู้ด้วยตัวเอง และอย่าไขว้เขวในโลกที่ข้อมูลข่าวสารเยอะ
“อย่าให้ข้อมูลมันทับเรา เพราะข้อมูลมันก็มีแก่นเดิมๆ เท่านั้น เรื่องรัก-โลภ-โกรธ-หลง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ยึดหลักนี้ สิ่งที่ผมเคารพก็คือคนดี ความดีสำคัญที่สุด คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แต่ต้องเป็นงานที่ดี งานสุจริต ไม่ใช่โกง รวยแล้วโกง ทุจริต ไม่ใช่ คนดีความดีสำคัญที่สุด มนุษย์ภายใต้วัฏจักรเกิดแก่เจ็บแต่เหมือนกันทั้งโลก อนาคตยังเป็นอย่างนี้ ต่อให้นักวิทยาศาสตร์คิดเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถชะลอความแก่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตาย เสร็จก็ต้องเกิด มันเป็นวงจรของชีวิตมนุษย์ในจักรวาล
“เพราะฉะนั้น ข่าวสารมันก็มีแก่นเดียว ถ้าเรามีฐานแค่นี้ คนยิ่งใหญ่ระดับเราขนาดไหนก็ตาย แล้วมีโกรธไหม มี ตายมีไหม มี น้ำตาเหมือนกันไหมทั่วโลก เหมือนรอยยิ้มเหมือนกันทั่วโลก ฉะนั้นถ้ามีแก่น ข่าวสารพวกนี้มันไม่สามารถล้มทับเราได้ แต่สังคมไทยเป็นอย่างนี้ ไม่ค่อยใช้สติปัญญาเท่าไหร่ ใช้ความรู้สึก ไม่ได้วิเคราะห์เลยว่า ภาพนิ่ง ต่างจากคนนิ่ง ไม่เหมือนกัน ละเอียดรอบคอบกับจู้จี้จุกจิกไม่เหมือนกัน ขี้เหนียวกับมัธยัสถ์ไม่เหมือนกัน แค่ใช่หลักการนี้ไว้ เพราะมันมีหลักการทั้งหมดที่เป็นแก่น
“บอกแบบนี้อาจจะตั้งคำถามแล้ว ผมคิดได้มานานหรือยัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมโชคดีที่ผมโตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณแม่พ่อ โตมาในวัด แล้วพ่อแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ด้านที่ดี เพราะฉะนั้น ข่าวสารที่เยอะขึ้นในโลกตอนนี้ ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องอยู่ที่ใจเรา คือเด็กเดี๋ยวนี้จะหัดเล่นกีตาร์ ก็มีสื่อเยอะ ที่ได้ฟังดูเยอะขึ้น ข่าวสารเยอะไม่ได้ทำให้เราอยู่ยากขึ้น อยู่ที่ใจเรา ถ้าฟุ่มเฟือยก็อยู่ไม่ได้ มี 10 บาท ใช้ 100 บาท กี่ชาติก็แย่ แก่นเหมือนเดิม รัก-โลภ-โกรธ-หลง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย คนดีสำคัญที่สุด คนดีอยู่ที่ไหนก็สบตากับคนได้ทั้งโลก เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน คำพูดคุณสนธิ เรื่องนี้เรื่องจริง ผมคิดอย่างนั้น
“แต่เราก็ต้องดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไร ใครบ้างไม่ดิ้นรนทุกชีวิตที่เกิดมา เราเป็น 1 ใน 300 ล้านสเปิร์มของพ่อเราที่เข้ามาปฏิสนธิกับไข่ มีชีวิตไหนไม่ดิ้นรนบ้าง ซึ่งทุกคนต้องดิ้นรน แต่อะไรคือความพอดีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อทฤษฎี ขาว-เทา-ดำ มันจะมาโดยธรรมชาติ ในขาวก็จะมีเทา-ดำ ในเทาก็จะมี ขาว-ดำ ในดำก็จะมีเทาและขาวเข้ามา เป็นหลักของมนุษย์ เพียงแต่ใครจะเรียนรู้อย่างไร เป็นเรื่องของชีวิตแต่ละคน
“แต่ที่แน่ๆ สังคมต้องมีคุณธรรม ความดี ถ้าไม่มีดี คุณธรรมสังคมอยู่ไม่ได้ ล่มสลาย ถ้าตราบใดสังคมนั้นที่ดูจากเด็กคนแก่ชราถูกรังแก อยู่ไม่ได้ สังคมต้องมีนักปราชญ์ ต้องมีคนดี สังคมไทยต้องสร้างสังคมที่มีวินัย ตัวอย่างการแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้โดยการสร้างวินัยเด็กรุ่นใหม่ แล้วนับไปอีก 20-50 ปีข้างหน้า ไม่ทิ้งขยะ ไม่นั่นโน่นนี่ แค่สร้างเด็กไทย เราอยู่ได้
“สำคัญที่สุดที่ผมย้ำหนักหนาคือ คนดี ความดีสำคัญที่สุด แล้วก็สร้างคนในชาติให้มีวินัย อีกอย่างหนึ่งในกรอบของศิลปะต้องเปิด 360 องศา เพราะศิลปะเป็นศาสตร์ของชีวิตอย่างที่บอก อันนี้ก็อยู่ที่ต้องช่วยกันทุกภาคส่วน คนใดคนหนึ่งไม่ได้
“ผมก็เป็นแค่จุดจุดหนึ่ง ส่วนส่วนหนึ่ง ผมก็ได้จากจุดจุดนั้นมาจนจุดจุดนี้ ก็คาดหวังไว้ว่าจะทำหน้าที่ในส่วนนี้ต่อไปให้นานที่สุด”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
บัดนี้ การเดินทางของบุปผาชนกลับมาอีกครั้งในงาน “กอดดินถิ่นพ่อ มาลีฮวนน่า EXCLUSIVE” คอนเสิร์ตบนแผ่นดินพ่อ ครั้งที่ 3
ปฐมบท “กอดดินถิ่นพ่อ”
เพราะชีวิตมีได้จากพ่อหลวง
“กอดดินถิ่นพ่อ มาลีฮวนน่า EXCLUSIVE” เกิดขึ้นครั้งแรกราวปี 2556 ที่จากความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ทรงมีต่อไพร่ฟ้าพสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ พื้นที่แห้งแล้งกันดารไม่ต่างไปจากทวีปตะวันออกกลาง ให้พลิกฟื้นเป็นท้องทุ่งเขียวขจีอย่างไร่หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ส่วนพระองค์ที่ทรงสละให้ประชาชนได้ทำกินมีสุข ซึ่งในปี 2560 ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้แฟนมาลีฮวนน่าได้ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 สัมผัสความรักความอบอุ่นแบบครอบครัวโดยมีคีตศิลป์แห่งเสียงเพลงส่งลำนำ ในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม
“อย่างที่เราทราบกันดี ในปีนี้ เป็นปีที่สำคัญอีกปีหนึ่งของเราชาวไทย เป็นปีที่เราจะจดจำไม่มีวันลืม และทำในสิ่งที่พ่อหลวงได้สอนและสั่ง เพื่อพ่อของเรา”
“อาจารย์ไข่" คฑาวุธ ทองไทย หรือ "ไข่ มาลีฮวนน่า" กล่าวเริ่มต้นถึงหมุดหมายของการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ก่อนหน้านี้
“คือตอนที่พระองค์ทรงครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์เสด็จฯ จากวังไกลกังวล ตามที่เราเห็นในข่าว แล้วก็มาที่หมู่บ้านห้วยมงคล หมู่บ้านห้วยทราย จนมาถึงหมู่บ้านหุบกะพง ซึ่งหุบกะพง ลักษณะภูมิประเทศมีลักษณะเป็นดินปนทราย แห้งแล้ง ไม่มีน้ำ พระองค์ก็ทรงไปนำองค์ความรู้จากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ที่หุบกะพง พระองค์ก็มาขุดห้วยหนองต่างๆ แล้วเอาพืชผักที่สามารถปลูกในลักษณะดินแบบนี้ได้มาปลูก แล้วหลังจากนั้นพืชผักที่ปลูกมาได้พระองค์ท่านก็ทรงนำมาแปรรูปสอนชาวบ้าน แล้วก็ตั้งเป็นสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อให้ชาวบ้านอยู่ได้ จึงถูกเรียกว่าแผ่นดินของพระราชา
“อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทาลัยศิลปากร บอกว่าศาสตร์ของศิลปะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม สถาปัตยกรรม คีตศิลป์ นาฏศิลป์ สิ่งที่เข้าถึงมนุษย์มากที่สุดก็คือเสียง คือเพลงดนตรี หรือคีตศิลป์ เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีเสียงเป็นตัวนำ ผมก็คาดหวังว่าเราน่าจะนำให้กับครอบครัวพ่อแม่ลูกในงานเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ ให้ได้มาเดินตามรอยพระองค์ท่านแล้วน้อมนำมาปรับใช้ในชีวิตอย่างที่พระองค์ท่านทรงตั้งพระราชหฤทัยให้ประชาชนมีความสุข
“ในส่วนของเนื้องาน วิธีตามรอยพระองค์ท่าน เราก็ทำเป็นกึ่งๆ แรลลี่ โดยเริ่มต้นที่อุทยานราชภักดิ์เพื่อแปรอักษร จากนั้นไปต่อที่โครงการชั่งหัวมัน ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ในภาคกลางวันที่จะได้เรียนรู้พระมหากรุณาธิคุณพ่อหลวง ก่อนจะกลับมาที่โครงการหุบกะพงพร้อมกิจกรรมการสักแทตทูชื่อดังเมืองพัทยา “ช่างอ้วน” มาสักเลข ๙ ที่เป็นการผสมผสานกับสัญลักษณ์โอม เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
“ภาคกลางวันแบบกึ่งๆ แรลลี่ตามรอยพระองค์ท่าน แต่ไม่ได้เป็นแรลลี่เต็มรูปแบบ เพราะเราไม่ได้มาค้นหาหรือเล่นเกมใดๆ แต่เราจะตามรอยพระองค์ท่าน ซึ่งเราจะรวมพลกันประมาณ 9 โมงเพื่อลงทะเบียนที่ช็อปร้านมาลีฮวนน่า ปั๊มไอ้เท่ง ที่อำเภอชะอำ 11 โมง ล้อหมุดไปอุทยานราชภักดิ์ที่หัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์มหาราชทั้งหมดของไทย ซึ่งจะมีกิจกรรมเป็นการแปรอักษรแล้วใช้โดรนถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก
“จากนั้นเป็นใจความสำคัญ เป็นจุดเริ่มของความคิด คือที่โครงการชั่งหัวมันซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะได้ไปเรียนรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรอย่างเราตลอดระยะเวลาที่ครองราชย์ 70 ปี ก่อนจะเข้าสู่กิจกรรมการสักแทตทูเลข ๙ จากช่างสัก 9 คน ร่วมสัก 89 คน โดยมีช่างสักชื่อดังพี่อ้วน พัทยา กับลูกศิษย์ ซึ่งเลข ๙ เลขนี้ หนึ่งคือพระองค์ท่าน สองเขียนโดยอาจารย์ช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติ ลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นรูปตัวโอมเป็นที่ระลึก เป็นมงคล หลังจากนั้นในตอนเย็นเราก็จุดเทียนเพื่อเคารพธงชาติและระลึกถึงพระองค์ท่าน
“ในภาคกลางคืนดนตรีก็เป็นมาลีฮวนน่า อะคูสติก คำถามที่สื่อถามบ่อยคือความพิเศษ ปกติที่เราไปในคอนเสิร์ตไม่ว่าจะอินดอร์หรือเอาต์ดอร์ เราจะเล่นแค่เวลา 2 ชั่วโมง แล้วก็มีหลายเพลงที่ไม่ได้เล่น แต่เรามีเพลงเป็นร้อย แล้วพี่น้องเราทุกคนทั้งนั้น ความพิเศษคือพี่น้องเราได้มาร้องเพลง ได้มาพูดคุย อีกความพิเศษหนึ่งคือแขกรับเชิญคือครูผม อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติคนล่าสุด ซึ่งอาจารย์ก็จะมีเรื่องราวของพระองค์ท่านที่นอกจากพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพี่น้องชาวไทยตลอดระยะเวลา พระองค์ท่านยังทรงเป็นแสงส่องนำทางเป็นต้นแบบให้เราได้เดินตาม อย่างขลุ่ยเมดอินไทยแลนด์ที่โด่งดั่งก็ได้แรงบันดาลใจจากพระองค์ท่าน แต่จากเพลงอะไรก็ต้องไปฟังจากท่านเอง อาจารย์จะเล่าเรื่องที่เป็นแก่นความรู้ ที่สามารถน้อมนำมาปรับใช้ให้กับชีวิต พลิกให้เห็นต้นแบบจากพระอัจฉริยภาพและความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในทุกรายละเอียดแง่มุมที่พระองค์ทรงมีต่อราษฎร
“คือหลายคนหรือเด็กรุ่นใหม่เพิ่งมารู้ว่าในหลวงท่านทรงงานเยอะเหลือเกิน ทั้งหมดกว่า 5 พันโครงการที่มีประโยชน์ เรารู้แค่คร่าวๆ เศรษฐกิจพอเพียง แก้มลิง และที่สำคัญไม่เคยเอามาทำ ไม่เคยเอามาปรับใช้ ซึ่งจริงๆ ถ้าเอามาทำปรับใช้กับชีวิตจะมีประโยชน์แก่ตนเองมหาศาล ตัวอย่างในผู้ที่ทำก็แสดงให้เห็นประจักษ์ชัด ผมก็หวังใจว่าถ้างานนี้เสร็จสิ้นลง เราจะนำคำสอนของพ่อหลวงมาใช้ในชีวิตปรับใช้ให้พอดีกับตัวเรา คนอยู่เมือง ที่อยู่อาจจะคับแคบ ก็จัดสรรรูปแบบชีวิตตามที่พระองค์ท่านสอน ใช้คำสอนอย่างที่พระองค์สอน ไม่เบียดเบียนใคร เป็นคนดี สำคัญที่สุด อันนี้สังคมมันอยู่ได้และไปได้จริงๆ เพราะว่าในหลวงท่านทรงเป็นผู้ให้ ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ คิดดูว่าท่านทรงงานหนักแค่ไหน ทุกครั้งที่นึกถึงพระองค์ ภาพแรกๆ ของผมตั้งแต่เด็กๆ คือ เห็นพระองค์ท่านสะพายกล้องพร้อมหนีบม้วนกระดาษแผ่นที่ ผมจำได้แม่นเลย แล้วพระองค์ท่านชัดเจนที่สุดที่ทำเพื่อบ้านเมือง เพราะรัฐบาลมีมา 4 ปี แล้วเปลี่ยนกันไปที บางครั้งไม่ถึงวาระ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา ทว่าพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปหมดทั่วสารทิศตรงที่มีความยากจนของประชาชน พระองค์ท่านทรงไป
“พระองค์ท่านทรงถึงธรรมชาติมาก ธรรมชาติที่หมายถึง ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ธาตุทั้ง 4 ดินไม่ดีพระองค์ก็ไปปลูกป่า ทำต้นน้ำ ฝนไม่ตกก็ทรงทำฝนเทียม น้ำไม่ดีก็ทำกังหันชัยพัฒนา นี่แค่ตัวอย่าง แล้วที่สำคัญพระองค์ท่านไม่เคยลดละหรือหยุด พระองค์ท่านทรงทดลองซ้ำๆ ซึ่งห้องทดลองที่สำคัญของพระองค์ท่านก็อยู่ในพระราชฐานที่พักสวนจิตรลดา เด็กไทยไม่แข็งแรงก็ทำนมอัดเม็ดจิตรลดา ทุกวันนี้จีนเหมาไปหมด มีเท่าไหร่เหมาหมด เรื่องปลานิลอีก พระองค์ท่านทรงได้มาจากรัฐบาลญี่ปุ่น เด็กก็ได้กินทุกวันนี้
“พระองค์ท่านเป็นมหาราชที่ต่อสู้กับความยากจนอย่างที่เราเห็นกัน ถ้าลูกหลานไทยหรือรัฐบาล ในมุมมองส่วนตัวผมจริงๆ ไม่ต้องคิดนโยบายใหม่ๆ เอาแค่ 5,000 กว่าโครงการ ของพระองค์ท่านมาสานต่อ ยิ่งใหญ่มาก นอกจากนั้นแล้วก็ปรับไปตามวิถีของกลไกโลกที่เป็นไป เพราะอะไร เพราะล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าเป็นประโยชน์และเหมาะกับบ้านเมือง เข้ากับทุกช่วงเวลาสถานการณ์
“ตัวอย่างคือ ผู้นำทั่วโลกหลายประเทศใหญ่ๆ น้อมนำเอาโครงการ เกษตรทฤษฎีใหม่, เศรษฐกิจพอเพียง ของพระองค์ท่านไปใช้ คือโลกมันเป็นไปได้จริงๆ นิวเคลียร์ไม่ใช่เอามาใช้ฆ่าคน เอามาใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ พระองค์ท่านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ไปศึกษาดู ยิ่งใหญ่จริงๆ โครงการมูลนิธิพระดาบส เกิดครั้งแรกสมัยมหาวาตภัยตะลุมพุก พ.ศ. 2505 ให้เด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนได้เรียนวิชาชีพ มีมูลนิธิเยอะแยะมากมายล้วนแล้วแต่ทำเพื่อลูกหลานไทยทั้งสิ้น
“เป็นรูปที่มีทุกบ้าน คำคำนี้ ประโยคนี้ ตั้งแต่เกิดผมเคารพเทิดทูนพระองค์สุดชีวิต ที่ผมทำจริงๆ ไมได้สอดแทรกอะไรเลย แต่บังเอิญได้มามีพื้นที่แปลงเล็กๆ ที่หมู่บ้านหุบกะพง เรื่องานเพลงมาลีฮวนน่าเป็นเรื่องของกิเลสมนุษย์ รัก-โลภ-โกรธ-หลง แต่ที่มาแมตช์คือเราไปอยู่ที่นั่นจริงๆ แล้วได้ซึมซับในพระมหากรุณาธิคุณบนแผ่นดินของพ่อ”
มงคลชีวิตนำใจ
ชุ่มฉ่ำในดวงใจสร้างชีวิต
“โลกขับเคลื่อนไปสองอย่าง แต่พระองค์ท่านแก้ปัญหาให้พอดีตัวกับประเทศไทย ยามที่เกิดปัญหาบ้านเมืองจะฆ่ากันเกือบตายอยู่แล้ว พระองค์ท่านก็เรียกมาคุยแล้วทุกอย่างก็สงบ คือผมก็ไม่ได้ทำสิ่งใหม่ แต่ทำสิ่งที่มีของพระองค์ท่านนั่นแหละ เราก็เป็นจุดเล็กๆ ของเราจุดหนึ่งในฐานะศิลปินที่มีเสียง มีอะไรต่างๆ ของงานศิลปะที่จะนำให้มาเห็นงานของพระองค์ท่านได้ ในจุดเล็กๆ ของพวกเราที่ต้องช่วยกันทำ เราก็เป็นจุดหนึ่งที่คาดหวังไว้อย่างนั้น
“เพราะชีวิตผมเริ่มจากวันนั้นจนวันนี้ได้ก็จากพระบารมีของพระองค์ที่ทรงพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนและบ้านเมือง ผมเป็นเด็กนักเรียนศิลปะ เกิดในครอบครัวยากจน ซึ่งเด็กที่เกิดในสภาวะนี้ มันก็ต้องชดเชยด้วยศิลปะ ชดเชยด้วยการร้องรำทำเพลง ไม่ได้ต้องการไปเป็นศิลปินเป็นวงอย่างนี้ในตอนแรกๆ แค่ร้องรำกันเล่นๆ เป็นมหรสพที่เราสร้างขึ้นได้ด้วยมือเรา เพราะเรายากจน มีเพื่อนๆ ก็ดีดกีตาร์กัน คือเขียนเพลงเพื่อปลอบประโลมตัวเอง”
“ลมเพ-ลมพัด”, “หัวใจละเหี่ย”, “วิถีคนจร”, “นิรันดร์”, “ไปไกล”, “เรือรักกระดาษ”, “หัวใจพรือโฉ้”, “ลานนม-ลมเน”, “รักสาวพรานนก” และ “ชุ่มฉ่ำในดวงใจ” 10 บทเพลงสุขและทุกข์ในชีวิตบุปผาชน
“แล้ววันหนึ่งมันมียุคหนึ่งอัลเทอร์เนทีฟเข้ามา ยุคนั้น ป๊อด โมเดิร์นด็อก เพลงก่อน ดังกระฉูด ป๊อดน่าจะเป็นยุคที่สามในวงการร็อกเมื่อไทยที่เป็นเพลงของตัวเอง เพราะยุคแรกวงแรกจะเป็นวงดิ โอฬาร โปรเจคต์ วง VIP แหลม มอริสัน ยุคที่ฝรั่งเข้ามาทำสงครามอินโดจีน ช่วงสองแกรมมี่เริ่มสร้างพร้อมๆ กับการเกิดอัลบัมเมดอินไทยแลนด์ของวงคาราบาวแล้วก็อาร์เอสของเฮียฮ้อ ยุคของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กำลังสร้างช่องทางการสื่อสารโทรทัศน์ที่จะคลุมเอเชียสมัยแรกๆ เลย ในตอนนั้น ส่วนตัวผมที่ก่อให้เกิดแนวคิดให้รากข่าวในเชิงลึก กระทะข่าวที่มีอยู่ คือคุณสนธิ คุณสุทธิชัย หยุ่น คุณระวิ โหลทอง สิ่งเหล่านั้นเราเสพมา ข้อมูลทั้งหมดเพื่อจะปลอบขวัญตัวเองปลอบประโลมตัวเอง
“แล้วบังเอิญอีกคือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ท่านเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทุกคนก็ร่ำรวยเพราะขายที่กัน ยุคนั้นว่ากันว่า เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เปิดตัวกลับมาจากวัดพุทธปทีปที่อังกฤษ ซื้อภาพเฉลิมชัยหรืออาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แลกกับรถเบนซ์คันหนึ่ง ฟุ้งเฟื่องขนาดนั้น เราก็เกิดในยุคนั้น เราก็ทำเล็กๆ เป็นเครื่องอัด 8 แทร็ก ทำกันมา เป็นเทปคาสเสตต์ ทีนี้รุ่นน้องที่เรียนโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยศิลปกร เขารับเป็นฟรีแลนซ์ เขียนที่สำนักบันเทิงคดี ของพี่มาโนช พุฒตาล เขาก็เอาเทปเราไปให้เขาฟัง เขาก็เลยเรียกเราไปตอนนั้นมารู้ที่หลังว่าพี่มาโนชได้รับความสำเร็จจากการทำวง ดิ โอฬาร โปรเจคต์ เลยมีเงินทุนที่พอจะต่อยอดทำสองวง หนึ่งเป็นแบบโฟล์กร็อกแบบเรา ก็คือเรา มาลีฮวนน่า แล้วก็อีกวงคือโกรอิ้งเพน จากปุบผาแห่งเสียงเพลงก็เป็นบุปผาชนที่รู้จักกันในอัลบัมแรก ผู้คนในสังคมก็รับเราเป็นกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราก็มากันเรื่อยๆ ตามประสาเรา
“แล้วทั้งหมดก็อย่างที่กล่าวไป เราคือเพียงแค่จุดจุดหนึ่ง เป็นความบังเอิญเหลือเกิน แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระองค์ท่านทำกับเราชาวไทย ผมเรียนศิลปะ พระองค์ท่านก็วาดรูปผมเป็นนักดนตรี พระองค์ท่านก็ทรงดนตรีเก่งมาก ดนตรีก็ทรงเล่น ศิลปะทำหมดเลย กีฬาอีก ต่อเรือเอง เป็นไมโครมด แล้วไม่ใช่ธรรมดา ลงไปแข่งขันได้เหรียญทองด้วยอีก มีอะไรอีกที่ไม่ทำ พระองค์ท่านทรงทำทุกอย่างแล้วทำอย่างหนักด้วย จริงจังด้วย
“ถ้าได้ไปลองสัมผัสครั้งนี้ สิ่งที่เรากำลังจะกระจาย เราจะรับรู้ได้ว่าลงมือทำคือคำตอบ ท่านลงมือทำคือคำตอบ ทำให้เห็น ทำตามพระองค์ท่านไม่มีวันจน ไม่มีเจ๊งแน่ มีแต่มงคลของชีวิต พ่อแม่ผมพูดเสมอๆ เลย คนบ้านนอกที่บ้านทุกคน แม้ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้า แต่กราบในใจตลอด พระองค์ท่านอยู่ในใจตลอดแล้วปฏิบัติตาม ผมเชื่อสุดหัวใจ ภูมิใจสุดชีวิต เรามีในหลวง พระมหากษัตริย์ พ่อหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
ศรัทธา กำลังใจ และคนดี
บทส่งท้ายจากบุปผาชนเพื่อสังคม
“เสียอะไรเสียได้ อย่าเสียกำลังใจตัวเองเป็นอันขาด ต้องมีศรัทธาในตัวเอง คนทำงานในศิลปะไม่ว่าแขนงไหน อย่าสิ้นศรัทธา อย่าหมดพลังไฟในการดำเนินชีวิต ในการมีชีวิตอยู่ ไม่ใชคำพูดเอาเท่
“ไม่ใช่เท่ มนุษย์ถ้าเกิดไม่มีกำลังใจแล้ว ฆ่าตัวตายก็เยอะ ฆ่าคนอื่นก็เยอะ แล้วก็ไม่มีแรงมุ่งมั่น โลกมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือในเรื่องของศาสนาอย่างคำพระท่านว่า โลกุตระ และโลกทางด้านของมนุษย์ก็คือโลกียะ บรรพชิต ฆราวาส เราต้องเลือกเอาจะเดินทางไหน”
อาจารย์ไข่กล่าวฝากแง่คิดมุมมอง “กอดดินถิ่นพ่อ EXCLUSIVE” ครั้งที่ 3 ในปีพิเศษนี้จากประสบการณ์ร่วม 20 ปี บนถนนดนตรีศิลป์ที่ตกผลึกและถ่ายถอดออกมา
“ความมุ่งมั่น แรงศรัทธา อย่าหมดไฟในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือช่วงไหน ให้มีไฟ อย่าท้อแท้ ถ้าท้อแท้มันจะห่อเหี่ยว แต่ถ้าเกิดเราเข้าใจเรื่องศิลปะ เอาความท้อแท้มาเปลี่ยนเป็นพลังการทำงานทุกประเภท ยิ่งคนทำงานศิลปะมาเขียนเพลง เขียนภาพงานต่างๆ จะมีคุณค่ากับใจตัวเราเอง ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อชำระใจตัวเองเท่านั้น ซึ่งทุกคนก็ต้องค้นหาทางของตัวเอง ผมไม่ใช่ศาสดา ไม่อาจจะบอกได้ แต่วิธีของผม ผมก็มีไอดอล อย่างอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อ่านงานของอา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เล่มที่ผมชอบ ผมก็ไปหาอย่างนั้นเพื่อหาบางสิ่งบางอย่างในตัวผมเอง หาคำพระที่ผมชอบ อ่านอัลกุรอาน พระคัมภีร์ไบเบิล อ่านศาสนาเชน อ่านขงจื๊อ เล่าจื๊อ หรือไปกอดแม่พ่อ ลูก เมีย หรือหาเพื่อนที่แนะนำผมได้ แต่เพื่อนยิ่งนานวันจะมีจำนวนน้อยลง ระหว่างคนรู้จักกับเพื่อนมันแยกกัน ก็ต้องเรียนรู้กันไปเอง ไม่อาจจะบอกได้ว่าจะเรียนรู้ได้แค่ไหน ท้ายที่สุดก็โดนด้วยตัวเองทั้งนั้น เรียนรู้ด้วยตัวเอง และอย่าไขว้เขวในโลกที่ข้อมูลข่าวสารเยอะ
“อย่าให้ข้อมูลมันทับเรา เพราะข้อมูลมันก็มีแก่นเดิมๆ เท่านั้น เรื่องรัก-โลภ-โกรธ-หลง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ยึดหลักนี้ สิ่งที่ผมเคารพก็คือคนดี ความดีสำคัญที่สุด คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แต่ต้องเป็นงานที่ดี งานสุจริต ไม่ใช่โกง รวยแล้วโกง ทุจริต ไม่ใช่ คนดีความดีสำคัญที่สุด มนุษย์ภายใต้วัฏจักรเกิดแก่เจ็บแต่เหมือนกันทั้งโลก อนาคตยังเป็นอย่างนี้ ต่อให้นักวิทยาศาสตร์คิดเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถชะลอความแก่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตาย เสร็จก็ต้องเกิด มันเป็นวงจรของชีวิตมนุษย์ในจักรวาล
“เพราะฉะนั้น ข่าวสารมันก็มีแก่นเดียว ถ้าเรามีฐานแค่นี้ คนยิ่งใหญ่ระดับเราขนาดไหนก็ตาย แล้วมีโกรธไหม มี ตายมีไหม มี น้ำตาเหมือนกันไหมทั่วโลก เหมือนรอยยิ้มเหมือนกันทั่วโลก ฉะนั้นถ้ามีแก่น ข่าวสารพวกนี้มันไม่สามารถล้มทับเราได้ แต่สังคมไทยเป็นอย่างนี้ ไม่ค่อยใช้สติปัญญาเท่าไหร่ ใช้ความรู้สึก ไม่ได้วิเคราะห์เลยว่า ภาพนิ่ง ต่างจากคนนิ่ง ไม่เหมือนกัน ละเอียดรอบคอบกับจู้จี้จุกจิกไม่เหมือนกัน ขี้เหนียวกับมัธยัสถ์ไม่เหมือนกัน แค่ใช่หลักการนี้ไว้ เพราะมันมีหลักการทั้งหมดที่เป็นแก่น
“บอกแบบนี้อาจจะตั้งคำถามแล้ว ผมคิดได้มานานหรือยัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมโชคดีที่ผมโตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณแม่พ่อ โตมาในวัด แล้วพ่อแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ด้านที่ดี เพราะฉะนั้น ข่าวสารที่เยอะขึ้นในโลกตอนนี้ ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องอยู่ที่ใจเรา คือเด็กเดี๋ยวนี้จะหัดเล่นกีตาร์ ก็มีสื่อเยอะ ที่ได้ฟังดูเยอะขึ้น ข่าวสารเยอะไม่ได้ทำให้เราอยู่ยากขึ้น อยู่ที่ใจเรา ถ้าฟุ่มเฟือยก็อยู่ไม่ได้ มี 10 บาท ใช้ 100 บาท กี่ชาติก็แย่ แก่นเหมือนเดิม รัก-โลภ-โกรธ-หลง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย คนดีสำคัญที่สุด คนดีอยู่ที่ไหนก็สบตากับคนได้ทั้งโลก เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน คำพูดคุณสนธิ เรื่องนี้เรื่องจริง ผมคิดอย่างนั้น
“แต่เราก็ต้องดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไร ใครบ้างไม่ดิ้นรนทุกชีวิตที่เกิดมา เราเป็น 1 ใน 300 ล้านสเปิร์มของพ่อเราที่เข้ามาปฏิสนธิกับไข่ มีชีวิตไหนไม่ดิ้นรนบ้าง ซึ่งทุกคนต้องดิ้นรน แต่อะไรคือความพอดีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อทฤษฎี ขาว-เทา-ดำ มันจะมาโดยธรรมชาติ ในขาวก็จะมีเทา-ดำ ในเทาก็จะมี ขาว-ดำ ในดำก็จะมีเทาและขาวเข้ามา เป็นหลักของมนุษย์ เพียงแต่ใครจะเรียนรู้อย่างไร เป็นเรื่องของชีวิตแต่ละคน
“แต่ที่แน่ๆ สังคมต้องมีคุณธรรม ความดี ถ้าไม่มีดี คุณธรรมสังคมอยู่ไม่ได้ ล่มสลาย ถ้าตราบใดสังคมนั้นที่ดูจากเด็กคนแก่ชราถูกรังแก อยู่ไม่ได้ สังคมต้องมีนักปราชญ์ ต้องมีคนดี สังคมไทยต้องสร้างสังคมที่มีวินัย ตัวอย่างการแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้โดยการสร้างวินัยเด็กรุ่นใหม่ แล้วนับไปอีก 20-50 ปีข้างหน้า ไม่ทิ้งขยะ ไม่นั่นโน่นนี่ แค่สร้างเด็กไทย เราอยู่ได้
“สำคัญที่สุดที่ผมย้ำหนักหนาคือ คนดี ความดีสำคัญที่สุด แล้วก็สร้างคนในชาติให้มีวินัย อีกอย่างหนึ่งในกรอบของศิลปะต้องเปิด 360 องศา เพราะศิลปะเป็นศาสตร์ของชีวิตอย่างที่บอก อันนี้ก็อยู่ที่ต้องช่วยกันทุกภาคส่วน คนใดคนหนึ่งไม่ได้
“ผมก็เป็นแค่จุดจุดหนึ่ง ส่วนส่วนหนึ่ง ผมก็ได้จากจุดจุดนั้นมาจนจุดจุดนี้ ก็คาดหวังไว้ว่าจะทำหน้าที่ในส่วนนี้ต่อไปให้นานที่สุด”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร