คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.เกิดเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้า ห้อง “วงษ์สุวรรณ” เจ็บ 25 ราย ด้าน “พล.อ.พัลลภ-โกตี๋” ปัดโยงบึ้ม!
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เวลา 10.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 ปี ชั้น 1 บริเวณห้อง “วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นห้องจ่ายยานายทหารชั้นสัญญาบัตร และชื่อห้องเหมือนกับนามสกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แรงระเบิดส่งผลให้กระจกบริเวณจุดเกิดเหตุแตกกระจายหลายบาน และทำให้มีผู้บาดเจ็บ 25 ราย
หลังตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียกประชุมตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ก่อนแถลงว่า หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด(อีโอดี) ให้รายละเอียดว่า ซิกเนเจอร์ของเหตุระเบิดครั้งนี้ และอีก 2 ครั้งก่อนหน้านี้ คือที่หน้ากองสลากเดิมและหน้าโรงละครแห่งชาติ มีความคล้ายกัน เชื่อว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน กลุ่มไม่หวังดีต่อประเทศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวด้วยว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเกี่ยวกับที่วันดังกล่าวครบ 3 ปีของการรัฐประหารหรือไม่ ตนไม่ทราบ พร้อมชี้ว่า คนร้ายจิตใจอำมหิตวางระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ถ้าฟ้าดินมีจริง ขอให้จับได้
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุระเบิดดังกล่าวว่า คนร้ายถือว่าใช้ไม่ได้ที่ทำแบบนี้ เพราะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ทำกัน พร้อมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ และว่า การเยียวยานั้น จะให้รักษาฟรี พร้อมเชื่อว่า ตำรวจจะจับคนร้ายมาลงโทษได้โดยเร็ว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงเหตุระเบิดดังกล่าวว่า ไม่มีใครคิดว่าจะมีใครทำในพื้นที่โรงพยาบาล คนที่ทำ ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ให้อภัยไม่ได้ พร้อมชี้ว่า อย่ามีการบิดเบือนว่ารัฐบาลเป็นคนทำเอง เพราะไม่มีรัฐบาลบ้าที่ไหนที่ทำแบบนั้น เว้นแต่คนที่อยากเป็นรัฐบาล แล้วคิดจะทำ ซึ่งตนไม่เคยคิดแบบนั้น
หลังเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว หลายภาคส่วนในสังคมต่างพากันประณามผู้ก่อเหตุอย่างหนัก เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, แพทยสภา, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคเพื่อไทย ฯลฯ รวมถึงองค์ต่างประเทศ เช่น องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอทช์ สำนักงานใหญ่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นต้น
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดให้ผู้แทนพระองค์เชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน และกระเช้าพระราชทาน มอบให้ผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่พักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า หลังจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้ผู้แทนพระองค์นำแจกันดอกไม้พระราชทานมอบให้ผู้บาดเจ็บเช่นกัน
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า โชคดีมีคนถ่ายภาพก่อนเกิดเหตุไม่เกิน 5 นาทีไว้ได้ แต่ พล.ต.ท.ศานิตย์ ไม่ยอมเผยรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา มีภาพปรากฏต่อสาธารณะ โดยในภาพถ่าย มีแจกันกระเบื้องสีเขียวใส่ดอกไม้พลาสติกสีส้ม ที่คาดว่าคนร้ายใช้กาวสองหน้าแปะติดไว้กับฝาผนังบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยภายในแจกันดอกไม้ คาดว่าคนร้ายได้บรรจุไปป์บอมบ์ไว้ นอกจากนี้ในภาพถ่ายดังกล่าว ยังมีผู้ชายนั่งอยู่ 3 คน ซึ่งตำรวจได้สอบปากคำชายทั้งสามคนแล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด เพราะถ้าเป็นคนวางระเบิด คงไม่นั่งตรงนั้น ซึ่งชายทั้งสามคนก็ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำพยานที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด ทำให้ตำรวจสามารถสเกตช์ภาพผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนแล้ว อยู่ระหว่างเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอื่นๆ หากสอดคล้องตรงกัน จะขอศาลอนุมัติหมายจับต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) เผยเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทั้งที่กองสลากเดิม, โรงละครแห่งชาติ และโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า พบวัตถุพยานเหมือนกัน คือ ท่อพีวีซี ไอซีไทม์เมอร์ ตัวบรรจุเชื้อปะทุ ตัวเก็บประจุ แบตเตอรี่ สายไฟ ลักษณะวงจรระเบิดเหมือนกันทั้ง 3 จุด ลักษณะการประกอบเหมือนกันหมด เป็นระเบิดแสวงเครื่อง จุดระเบิดด้วยการตั้งเวลา แต่ที่ รพ.พระมงกุฏเกล้าใส่ตะปูเข้าไปด้วย ซึ่งในปี 2550 ที่เกิดเหตุระเบิด 3 จุด ก็พบการจุดระเบิดด้วยไอซีไทม์เมอร์เหมือนกัน ตัวพื้นฐานเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกัน แต่เชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกัน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนเกิดเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า 3 วัน มีผู้ส่งจดหมายเตือนไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โดยอ้างชื่อ อาแว ยูโซฟ โดยเตือนให้ระวังเหตุการณ์ก่อการร้ายภายในโรงพยาบาลรัฐที่อยู่ใกล้เคียง 3 แห่ง จากขบวนการบีอาร์เอ็น และไอเอส เดินทางมาจากมาเลย์ โดยให้ระวังผู้หญิงมุสลิม โพกผ้า สะพายเป้ ลงชื่อจดหมายว่า โจรกลับใจ ด้านสถาบันมะเร็งแห่งชาติ หลังได้รับจดหมายเตือนดังกล่าว จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ขณะที่ตำรวจกำลังพยายามสืบหาชายที่ส่งจดหมายเตือนดังกล่าว
มีรายงานว่า หลังเกิดเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบบุคคลที่เดินทางมาใช้บริการ รพ. พบหลักฐานจากสมุดเข้าเยี่ยมผู้ป่วย มีรายชื่อบุคคลต้องสงสัย 2 คนเข้ามาติดต่อเพื่อเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บุคคลทั้งสองเป็นลูกน้องอดีตนายทหารยศพันเอก เคยตกเป็นจำเลยคดีร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดและพาไปในเขตเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร และร่วมกันมียุทธ์ภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นตำรวจได้นำภาพบุคคลทั้งสองไปให้พยานชี้ ซึ่งพยานยืนยันว่า บุคคล 1 ใน 2 นั้นเดินทางมา รพ.จริง ตำรวจจึงสเกตช์ภาพเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ค. น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุคำพูดของนายพล พ. ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกฯ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังมีกระแสข่าวว่า 3 นายพล พ.-ช.-ส.เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้า โดยนายพล พ.ยืนยันว่า “ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุเลวร้ายในโรงพยาบาล เพราะทหารถูกสอนมา ไม่สู้กันในพื้นที่กาชาด โรงพยาบาล ไม่ทำอะไรบ้าๆ ตนไม่เลวชาติขนาดนั้นหรอก หาใครรับผิดชอบไม่ได้ ก็โยนมาที่ตนทุกที ทั้งที่อยู่เงียบๆ เลี้ยงหลานตามประสาคนแก่ ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใคร แล้วจะทำไปเพื่ออะไร”
ด้านนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี กล่าวในรายการยูทูป Thai Voice ของนายจอม เพชรประดับ ว่า เหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าเป็นฝีมือของคนบางกลุ่มที่ทำกันเอง ถ้าพวกตนทำได้ คงไม่ระเบิดโรงพยาบาล แต่จะระเบิดทำเนียบรัฐบาลหรือบ้านของคนในรัฐบาลแทน ถ้าพวกตนทำ จะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน โกตี๋ยังระบุด้วยว่า การส่งหน่วยรบพิเศษเบเร่ต์แดง 20 นายเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า มีพวกตนหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องความลับไม่มี
2.คปพ.ยื่น คตง.ดำเนินคดีนายกฯ-รมว.คลัง-รมว.พลังงาน-บิ๊ก ปตท. ฐานไม่ทำตามมติ คตง.เรื่องทวงคืนท่อก๊าซ ปตท.!
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, น.ส.รสนา โตสิตระกูล, น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ร่วมกันแถลงข่าว และอ่านแถลงการณ์ คปพ. เรื่องข้อมูลใหม่และความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลต่อการดำเนินการด้านปิโตรเลียม 3 เรื่อง เรื่องที่ 1 การดำเนินคดีผู้กระทำความผิดกรณีการคืนท่อก๊าซธรรมชาติ ที่มีการยื่นคำร้องอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด โดย คปพ.จะยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ให้ดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพราะไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา 44 ที่ คตง. มีมติให้ส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติให้ครบถ้วน และยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนภายใน 60 วัน ซึ่งปัจจุบันเวลาได้ผ่านไปแล้วถึง 273 วันก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ให้ถูกต้อง การกระทำความผิดดังกล่าวจึงได้สำเร็จไปแล้ว ทั้งนี้ คปพ. ได้ยื่นหนังสือต่อ คตง. แล้วเมื่อวันที่ 26 พ.ค.
นอกจากนี้ คปพ.ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวมถึงอัยการสูงสุด เพื่อเรียกร้องให้ส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติให้ครบถ้วน แล้วยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 และตามมติ คตง. ที่ได้ยื่นต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 มิใช่ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยไม่ชัดเจน หรือมีกรณีข้อเท็จจริงใหม่ หรือใช้วิธียื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อถ่วงเวลา อันมีความเสี่ยงที่จะทำให้คดีหมดอายุความในวันที่ 18 ธันวาคม 2560 โดย คปพ. ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 23 พ.ค.
นอกจากนี้ คปพ. ยังเห็นควรสนับสนุนให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อเอาผิดทางอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้ปกปิดข้อมูลการทักท้วงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และยื่นคำร้องอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด โดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล และพวก จะดำเนินการฟ้องร้องโดยเร็วที่สุด
เรื่องที่ 2 การทวงสิทธิของประชาชนในความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ตลอดจนการรักษาประโยชน์ของชาติสูงสุด กรณีการตรากฎกระทรวงพลังงาน 3 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา ในการนำส่งค่าภาคหลวง ให้แก่รัฐสำหรับผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต, ร่างกฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขอและการได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต และร่างกฎกระทรวง กำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทางเว็บไซต์ www.dmf.go.th ระหว่างวันที่ 11-26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะวิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนดังกล่าว อาจเป็นการปิดกั้น ลิดรอน และละเมิดสิทธิของประชาชนที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือไม่รู้วิธีการหรือไม่สะดวกในการเข้าไปในเว็บไซต์ ถือเป็นการกระทำที่ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมาย ไม่มีสิทธิเสรีภาพและไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
นอกจากนี้ คปพ. ยังพบว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมิได้นำไปสู่การประมูลตามระบบแบ่งปันผลผลิตที่แท้จริง ไม่ได้ยึดผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน อีกทั้งยังทำให้ระบบแบ่งปันผลผลิตมีลักษณะเนื้อหาเหมือนกับระบบสัมปทานเดิม โดยอำนาจในการบริหารและขายปิโตรเลียมตกเป็นของเอกชนคู่สัญญา ตลอดจนยังมิได้แก้ไขปัญหาหรือช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดการรั่วไหล หรืออาจทำให้เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจึงขาดความรอบคอบ ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชนส่วนรวม ไม่ยึดถือและไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และไม่สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ไม่ผาสุก และไม่สามัคคีปรองดองกัน
และเนื่องจากร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับของกระทรวงพลังงานอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ คปพ. จึงได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าชื่อคัดค้านร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับของกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องที่ 3 เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ที่ได้ซื้อหุ้นในโควตาผู้มีอุปการคุณ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จากการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2544 โดย คปพ. มีมติเห็นสมควรให้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลรายชื่อดังกล่าวต่อประชาชน โดยจะยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจร่วมลงชื่อ เวลา 09.00น. ณ โรงอาหาร สำนักงาน ก.พ.ร. (ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์) และในเวลา 10.00 น. คปพ.จะเดินทางไปยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชน ณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
3.“ไพบูลย์” เปิดหลักฐาน “ศุภชัย” โกงเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น ด้วยการกู้เงินเองกว่า 2 พันล้าน แฉ “กรมส่งเสริมสหกรณ์” รู้กลับเฉย จี้รัฐตั้งกองทุนเยียวยา ปชช.!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป รวมทั้งเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เผยว่า ตนได้มีหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อเท็จจริงว่า ความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนที่ฝากเงิน และฝากลงหุ้นในกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เกิดจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย รัฐย่อมต้องให้การเยียวยาแก่ประชาชนผู้เสียหายเหล่านั้นโดยตรงและโดยเร็ว ไม่ใช่รัฐหาทางปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยเบี่ยงเบนไปให้เป็นเรื่องของแผนฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ฯ ทั้งที่สร้างปัญหากับประชาชน
ดังนั้น จึงเป็นความถูกต้องและยุติธรรมที่รัฐบาลจะดำเนินการจัดตั้ง “กองทุนเยียวยาประชาชนผู้เสียหายจากการฝากเงินและฝากลงหุ้นกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด” ขึ้น เพื่อนำเงินที่ดีเอสไอ และ ปปง. จะยึดได้เป็นมูลค่านับหมื่นล้านบาท คืนให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง ไม่ใช่คืนให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่เป็นนิติบุคคลที่ทุจริตฉ้อโกงประชาชน และจะเป็นตัวอย่างที่จะสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล คสช. จากประชาชนผู้ฝากเงินและฝากลงหุ้นในสหกรณ์อื่นนับล้านคนทั้งประเทศด้วย และรวมทั้งจะทำให้สหกรณ์อื่น ผู้บริหารกิจการสหกรณ์อื่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลสหกรณ์ ต้องดำเนินการโดยสุจริตใช้ความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้ฝากเงินลงหุ้นสหกรณ์อีก เพราะหากทุจริตทำให้ประชาชนเดือดร้อน จะต้องถูก ปปง. และดีเอสไอ ดำเนินคดีฐานฟอกเงิน และยึดทรัพย์จนถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ยังเผยแพร่เอกสารสัญญายืมเงิน ที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ให้นายศุภชัยกู้เงินเองจำนวน 2,479 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์รู้แล้วแต่ไม่ทำอะไร กลับให้รางวัลสหกรณ์ดีเด่นอีกต่างหาก เรื่องนี้ถือเป็นความเสียหายของหน่วยงานรัฐ ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงเป็นผู้ที่ต้องเยียวยาความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขปัญหาครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนที่ฝากเงินกับสหกรณ์ ไม่เช่นนั้น จะทำให้ประชาชนแห่ไปถอนเงินออกจากสหกรณ์ได้
4.อัยการ ยื่นฟ้อง “เบนซ์ เรซซิ่ง” และเครือข่าย “บอย” ฐานสมคบฟอกเงิน-ช่วยผู้ทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ด้านศาลนัดสอบคำให้การ 29 พ.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช อายุ 30 ปี หรือเบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถชื่อดัง, นายสรรเสริญ หรือเน็ต รสานนท์ อายุ 25 ปี และ น.ส.อังสุพร หรืออุ้ม อินา อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522, พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2559 - 2 ก.พ. 2560 จำเลยทั้งสามกับนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ จำเลยในคดีอาญา, นายชัยวัฒน์ หรือแป๊ะ ชูสาย จำเลยคดียาเสพติด ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว กับพวกที่หลบหนี และยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกัน สมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ที่เป็นยาเสพติดประเภท 1 และร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้า และเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งดำเนินการจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติด ที่นายณัฐพล หรือบอย นาคคำ กับพวก เป็นผู้จัดหายาเสพติด และเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง โดยนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาวรจักร ส่วนนายสรรเสริญ จำเลยที่ 2 และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 ร่วมกันเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยใช้ชื่อของ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยได้จัดการรับฝากเงินและโอนเงินค่ายาเสพติดไปยังบัญชีธนาคารบุคคลตามคำสั่งของนายณัฐพล จำนวนหลายครั้ง ขณะที่นายณัฐพลก็ได้มีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นไปยังบัญชีของจำเลยที่ 1-3 หลายครั้ง ขณะที่พวกจำเลยเมื่อได้รับเงินก็จะโอนกลับคืนไปยังนายณัฐพล และโอนไปยังบัญชีธนาคารของ ณปภา หรือแพท ตันตระกูล หลายครั้ง และนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ยังนำเงินที่ได้รับจากนายณัฐพล ไปซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ราคาแพง
ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้รับโอนเงินจากนายณัฐพล ในบัญชีชื่อบุคคลต่างๆ และจากจำเลยที่ 2 - 3 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2557 จนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2560 รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท ซึ่งเป็นการซุกซ่อนเพื่อปกปิดแหล่งที่มา หรืออำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สิน เพื่อมิให้นายณัฐพลต้องรับโทษ
ต่อมาจำเลยทั้งสามได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 6 และ 28 มี.ค. 2560 ซึ่งในชั้นสอบสวน นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนนายสรรเสริญ และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 2 - 3 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ท้ายคำฟ้อง อัยการระบุด้วยว่า หากจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้าน เนื่องจากจำเลยมีพฤติการณ์เป็นกระบวนการลักลอบขนลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้า การกระทำเป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งคดีมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต จึงเกรงว่าจำเลยทั้งสามจะหลบหนี อย่างไรก็ตาม หากจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพต่อศาล โจทก์ก็ประสงค์จะสืบพยานประกอบคำรับสารภาพด้วย ด้านศาลประทับรับฟ้อง และนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสามในวันที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
5.กรมวิทยาศาสตร์ฯ-เอ็มเทคส่งผลตรวจกระทะ “โคเรีย คิง” ให้ สคบ.แล้ว บางข้อสงสัยยังตรวจไม่ได้ เหตุไม่มีเครื่องตรวจ!
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้รับรายงานผลการตรวจสอบคุณสมบัติกระทะ “โคเรีย คิง” จากหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ของรัฐ ประกอบด้วย ศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใน 6 ประเด็นเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1 ด้านความปลอดภัย กรมวิทยาศาสตร์บริการตรวจสอบพบว่า ปริมาณสารละลายที่ออกมา ไม่พบว่าเป็นตะกั่ว แคดเมียม ในสภาวะหุงต้มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีความปลอดภัย ประเด็นที่ 2 ทั้งสองหน่วยงานพบว่า การเคลือบหินอ่อน 8 ชั้น มีสารเคลือบจริง แต่ระบุจำนวนชั้นไม่ได้ ประเด็นที่ 3 ทดสอบพบสารเทฟลอน ประเด็นที่ 4 ประเด็นการทนความร้อน พบว่า ด้ามจับโป่งพองเมื่ออยู่ในความร้อน 280 องศาเซลเซียส สำหรับประเด็นที่ 5 ที่มีการระบุถึงนวัตกรรมไทเทเนียมยับยั้งแบคทีเรีย และประเด็นที่ 6 ที่ระบุว่าไม่ติดกระทะนั้น ทั้งสองหน่วยงานไม่มีเครื่องมือทดสอบ
สำหรับประเด็นการลงโฆษณาที่ถูกระงับอยู่นั้น มีรายงานว่า ผู้ประกอบการต้องรอมติของคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรงก่อนว่าจะให้แก้ไขถ้อยคำใดบ้าง เมื่อแก้ไขเสร็จแล้ว ก่อนจะออกโฆษณาใหม่ ควรขอความเห็นของบอร์ดขายตรงก่อน เพื่อความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ สคบ.จะมีการหารือร่วมกับสมาคมนักการตลาด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อวางกรอบแนวทางการโฆษณาตั้งราคาสินค้า โดยจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 30 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งผลตรวจสอบกระทะโคเรีย คิง ให้ สคบ. พบว่า 1. เนื้อกระทะทำมาจากอะลูมิเนียมเสริมเหล็ก 2. เนื้อกระทะเคลือบด้วยพอลิเมอร์ และ 3. ตรวจสอบดูชั้นเคลือบของกระทะ พบว่า ไม่ได้มี 8 ชั้น โดยกระทะรุ่นโกลด์ซีรีส์ มีการเคลือบ 5 ชั้น ส่วนรุ่นโกลด์ไดม่อน เคลือบ 2 ชั้น และไม่พบหินอ่อนในชั้นเคลือบกระทะ นอกจากนี้ยังไม่มีการอ้างอิงที่มาของราคาที่จำหน่าย 15,000 และ 18,000 บาท เป็นการโฆษณาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามนั้น ถือเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรม Fake Original Price หรือการปลอมราคาจริง สคบ.จึงมีมติสั่งห้ามโฆษณา แต่ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องบทลงโทษ
1.เกิดเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้า ห้อง “วงษ์สุวรรณ” เจ็บ 25 ราย ด้าน “พล.อ.พัลลภ-โกตี๋” ปัดโยงบึ้ม!
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เวลา 10.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 ปี ชั้น 1 บริเวณห้อง “วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นห้องจ่ายยานายทหารชั้นสัญญาบัตร และชื่อห้องเหมือนกับนามสกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แรงระเบิดส่งผลให้กระจกบริเวณจุดเกิดเหตุแตกกระจายหลายบาน และทำให้มีผู้บาดเจ็บ 25 ราย
หลังตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียกประชุมตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ก่อนแถลงว่า หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด(อีโอดี) ให้รายละเอียดว่า ซิกเนเจอร์ของเหตุระเบิดครั้งนี้ และอีก 2 ครั้งก่อนหน้านี้ คือที่หน้ากองสลากเดิมและหน้าโรงละครแห่งชาติ มีความคล้ายกัน เชื่อว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน กลุ่มไม่หวังดีต่อประเทศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวด้วยว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเกี่ยวกับที่วันดังกล่าวครบ 3 ปีของการรัฐประหารหรือไม่ ตนไม่ทราบ พร้อมชี้ว่า คนร้ายจิตใจอำมหิตวางระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ถ้าฟ้าดินมีจริง ขอให้จับได้
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุระเบิดดังกล่าวว่า คนร้ายถือว่าใช้ไม่ได้ที่ทำแบบนี้ เพราะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ทำกัน พร้อมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ และว่า การเยียวยานั้น จะให้รักษาฟรี พร้อมเชื่อว่า ตำรวจจะจับคนร้ายมาลงโทษได้โดยเร็ว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงเหตุระเบิดดังกล่าวว่า ไม่มีใครคิดว่าจะมีใครทำในพื้นที่โรงพยาบาล คนที่ทำ ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ให้อภัยไม่ได้ พร้อมชี้ว่า อย่ามีการบิดเบือนว่ารัฐบาลเป็นคนทำเอง เพราะไม่มีรัฐบาลบ้าที่ไหนที่ทำแบบนั้น เว้นแต่คนที่อยากเป็นรัฐบาล แล้วคิดจะทำ ซึ่งตนไม่เคยคิดแบบนั้น
หลังเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว หลายภาคส่วนในสังคมต่างพากันประณามผู้ก่อเหตุอย่างหนัก เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, แพทยสภา, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคเพื่อไทย ฯลฯ รวมถึงองค์ต่างประเทศ เช่น องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอทช์ สำนักงานใหญ่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นต้น
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดให้ผู้แทนพระองค์เชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน และกระเช้าพระราชทาน มอบให้ผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่พักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า หลังจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้ผู้แทนพระองค์นำแจกันดอกไม้พระราชทานมอบให้ผู้บาดเจ็บเช่นกัน
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า โชคดีมีคนถ่ายภาพก่อนเกิดเหตุไม่เกิน 5 นาทีไว้ได้ แต่ พล.ต.ท.ศานิตย์ ไม่ยอมเผยรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา มีภาพปรากฏต่อสาธารณะ โดยในภาพถ่าย มีแจกันกระเบื้องสีเขียวใส่ดอกไม้พลาสติกสีส้ม ที่คาดว่าคนร้ายใช้กาวสองหน้าแปะติดไว้กับฝาผนังบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยภายในแจกันดอกไม้ คาดว่าคนร้ายได้บรรจุไปป์บอมบ์ไว้ นอกจากนี้ในภาพถ่ายดังกล่าว ยังมีผู้ชายนั่งอยู่ 3 คน ซึ่งตำรวจได้สอบปากคำชายทั้งสามคนแล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด เพราะถ้าเป็นคนวางระเบิด คงไม่นั่งตรงนั้น ซึ่งชายทั้งสามคนก็ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำพยานที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด ทำให้ตำรวจสามารถสเกตช์ภาพผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนแล้ว อยู่ระหว่างเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอื่นๆ หากสอดคล้องตรงกัน จะขอศาลอนุมัติหมายจับต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) เผยเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทั้งที่กองสลากเดิม, โรงละครแห่งชาติ และโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า พบวัตถุพยานเหมือนกัน คือ ท่อพีวีซี ไอซีไทม์เมอร์ ตัวบรรจุเชื้อปะทุ ตัวเก็บประจุ แบตเตอรี่ สายไฟ ลักษณะวงจรระเบิดเหมือนกันทั้ง 3 จุด ลักษณะการประกอบเหมือนกันหมด เป็นระเบิดแสวงเครื่อง จุดระเบิดด้วยการตั้งเวลา แต่ที่ รพ.พระมงกุฏเกล้าใส่ตะปูเข้าไปด้วย ซึ่งในปี 2550 ที่เกิดเหตุระเบิด 3 จุด ก็พบการจุดระเบิดด้วยไอซีไทม์เมอร์เหมือนกัน ตัวพื้นฐานเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกัน แต่เชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกัน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนเกิดเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า 3 วัน มีผู้ส่งจดหมายเตือนไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โดยอ้างชื่อ อาแว ยูโซฟ โดยเตือนให้ระวังเหตุการณ์ก่อการร้ายภายในโรงพยาบาลรัฐที่อยู่ใกล้เคียง 3 แห่ง จากขบวนการบีอาร์เอ็น และไอเอส เดินทางมาจากมาเลย์ โดยให้ระวังผู้หญิงมุสลิม โพกผ้า สะพายเป้ ลงชื่อจดหมายว่า โจรกลับใจ ด้านสถาบันมะเร็งแห่งชาติ หลังได้รับจดหมายเตือนดังกล่าว จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ขณะที่ตำรวจกำลังพยายามสืบหาชายที่ส่งจดหมายเตือนดังกล่าว
มีรายงานว่า หลังเกิดเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบบุคคลที่เดินทางมาใช้บริการ รพ. พบหลักฐานจากสมุดเข้าเยี่ยมผู้ป่วย มีรายชื่อบุคคลต้องสงสัย 2 คนเข้ามาติดต่อเพื่อเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บุคคลทั้งสองเป็นลูกน้องอดีตนายทหารยศพันเอก เคยตกเป็นจำเลยคดีร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดและพาไปในเขตเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร และร่วมกันมียุทธ์ภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นตำรวจได้นำภาพบุคคลทั้งสองไปให้พยานชี้ ซึ่งพยานยืนยันว่า บุคคล 1 ใน 2 นั้นเดินทางมา รพ.จริง ตำรวจจึงสเกตช์ภาพเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ค. น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุคำพูดของนายพล พ. ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกฯ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังมีกระแสข่าวว่า 3 นายพล พ.-ช.-ส.เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้า โดยนายพล พ.ยืนยันว่า “ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุเลวร้ายในโรงพยาบาล เพราะทหารถูกสอนมา ไม่สู้กันในพื้นที่กาชาด โรงพยาบาล ไม่ทำอะไรบ้าๆ ตนไม่เลวชาติขนาดนั้นหรอก หาใครรับผิดชอบไม่ได้ ก็โยนมาที่ตนทุกที ทั้งที่อยู่เงียบๆ เลี้ยงหลานตามประสาคนแก่ ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใคร แล้วจะทำไปเพื่ออะไร”
ด้านนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี กล่าวในรายการยูทูป Thai Voice ของนายจอม เพชรประดับ ว่า เหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าเป็นฝีมือของคนบางกลุ่มที่ทำกันเอง ถ้าพวกตนทำได้ คงไม่ระเบิดโรงพยาบาล แต่จะระเบิดทำเนียบรัฐบาลหรือบ้านของคนในรัฐบาลแทน ถ้าพวกตนทำ จะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน โกตี๋ยังระบุด้วยว่า การส่งหน่วยรบพิเศษเบเร่ต์แดง 20 นายเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า มีพวกตนหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องความลับไม่มี
2.คปพ.ยื่น คตง.ดำเนินคดีนายกฯ-รมว.คลัง-รมว.พลังงาน-บิ๊ก ปตท. ฐานไม่ทำตามมติ คตง.เรื่องทวงคืนท่อก๊าซ ปตท.!
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, น.ส.รสนา โตสิตระกูล, น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ร่วมกันแถลงข่าว และอ่านแถลงการณ์ คปพ. เรื่องข้อมูลใหม่และความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลต่อการดำเนินการด้านปิโตรเลียม 3 เรื่อง เรื่องที่ 1 การดำเนินคดีผู้กระทำความผิดกรณีการคืนท่อก๊าซธรรมชาติ ที่มีการยื่นคำร้องอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด โดย คปพ.จะยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ให้ดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพราะไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา 44 ที่ คตง. มีมติให้ส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติให้ครบถ้วน และยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนภายใน 60 วัน ซึ่งปัจจุบันเวลาได้ผ่านไปแล้วถึง 273 วันก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ให้ถูกต้อง การกระทำความผิดดังกล่าวจึงได้สำเร็จไปแล้ว ทั้งนี้ คปพ. ได้ยื่นหนังสือต่อ คตง. แล้วเมื่อวันที่ 26 พ.ค.
นอกจากนี้ คปพ.ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวมถึงอัยการสูงสุด เพื่อเรียกร้องให้ส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติให้ครบถ้วน แล้วยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 และตามมติ คตง. ที่ได้ยื่นต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 มิใช่ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดโดยอ้างว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยไม่ชัดเจน หรือมีกรณีข้อเท็จจริงใหม่ หรือใช้วิธียื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อถ่วงเวลา อันมีความเสี่ยงที่จะทำให้คดีหมดอายุความในวันที่ 18 ธันวาคม 2560 โดย คปพ. ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 23 พ.ค.
นอกจากนี้ คปพ. ยังเห็นควรสนับสนุนให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อเอาผิดทางอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้ปกปิดข้อมูลการทักท้วงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และยื่นคำร้องอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุด โดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล และพวก จะดำเนินการฟ้องร้องโดยเร็วที่สุด
เรื่องที่ 2 การทวงสิทธิของประชาชนในความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ตลอดจนการรักษาประโยชน์ของชาติสูงสุด กรณีการตรากฎกระทรวงพลังงาน 3 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา ในการนำส่งค่าภาคหลวง ให้แก่รัฐสำหรับผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต, ร่างกฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขอและการได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต และร่างกฎกระทรวง กำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทางเว็บไซต์ www.dmf.go.th ระหว่างวันที่ 11-26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะวิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนดังกล่าว อาจเป็นการปิดกั้น ลิดรอน และละเมิดสิทธิของประชาชนที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือไม่รู้วิธีการหรือไม่สะดวกในการเข้าไปในเว็บไซต์ ถือเป็นการกระทำที่ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมาย ไม่มีสิทธิเสรีภาพและไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
นอกจากนี้ คปพ. ยังพบว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมิได้นำไปสู่การประมูลตามระบบแบ่งปันผลผลิตที่แท้จริง ไม่ได้ยึดผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน อีกทั้งยังทำให้ระบบแบ่งปันผลผลิตมีลักษณะเนื้อหาเหมือนกับระบบสัมปทานเดิม โดยอำนาจในการบริหารและขายปิโตรเลียมตกเป็นของเอกชนคู่สัญญา ตลอดจนยังมิได้แก้ไขปัญหาหรือช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดการรั่วไหล หรืออาจทำให้เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจึงขาดความรอบคอบ ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชนส่วนรวม ไม่ยึดถือและไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และไม่สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ไม่ผาสุก และไม่สามัคคีปรองดองกัน
และเนื่องจากร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับของกระทรวงพลังงานอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ คปพ. จึงได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าชื่อคัดค้านร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับของกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องที่ 3 เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ที่ได้ซื้อหุ้นในโควตาผู้มีอุปการคุณ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จากการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2544 โดย คปพ. มีมติเห็นสมควรให้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลรายชื่อดังกล่าวต่อประชาชน โดยจะยื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจร่วมลงชื่อ เวลา 09.00น. ณ โรงอาหาร สำนักงาน ก.พ.ร. (ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์) และในเวลา 10.00 น. คปพ.จะเดินทางไปยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชน ณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
3.“ไพบูลย์” เปิดหลักฐาน “ศุภชัย” โกงเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น ด้วยการกู้เงินเองกว่า 2 พันล้าน แฉ “กรมส่งเสริมสหกรณ์” รู้กลับเฉย จี้รัฐตั้งกองทุนเยียวยา ปชช.!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป รวมทั้งเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เผยว่า ตนได้มีหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อเท็จจริงว่า ความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนที่ฝากเงิน และฝากลงหุ้นในกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เกิดจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย รัฐย่อมต้องให้การเยียวยาแก่ประชาชนผู้เสียหายเหล่านั้นโดยตรงและโดยเร็ว ไม่ใช่รัฐหาทางปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยเบี่ยงเบนไปให้เป็นเรื่องของแผนฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ฯ ทั้งที่สร้างปัญหากับประชาชน
ดังนั้น จึงเป็นความถูกต้องและยุติธรรมที่รัฐบาลจะดำเนินการจัดตั้ง “กองทุนเยียวยาประชาชนผู้เสียหายจากการฝากเงินและฝากลงหุ้นกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด” ขึ้น เพื่อนำเงินที่ดีเอสไอ และ ปปง. จะยึดได้เป็นมูลค่านับหมื่นล้านบาท คืนให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง ไม่ใช่คืนให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่เป็นนิติบุคคลที่ทุจริตฉ้อโกงประชาชน และจะเป็นตัวอย่างที่จะสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล คสช. จากประชาชนผู้ฝากเงินและฝากลงหุ้นในสหกรณ์อื่นนับล้านคนทั้งประเทศด้วย และรวมทั้งจะทำให้สหกรณ์อื่น ผู้บริหารกิจการสหกรณ์อื่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลสหกรณ์ ต้องดำเนินการโดยสุจริตใช้ความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้ฝากเงินลงหุ้นสหกรณ์อีก เพราะหากทุจริตทำให้ประชาชนเดือดร้อน จะต้องถูก ปปง. และดีเอสไอ ดำเนินคดีฐานฟอกเงิน และยึดทรัพย์จนถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ยังเผยแพร่เอกสารสัญญายืมเงิน ที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ให้นายศุภชัยกู้เงินเองจำนวน 2,479 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์รู้แล้วแต่ไม่ทำอะไร กลับให้รางวัลสหกรณ์ดีเด่นอีกต่างหาก เรื่องนี้ถือเป็นความเสียหายของหน่วยงานรัฐ ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงเป็นผู้ที่ต้องเยียวยาความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขปัญหาครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนที่ฝากเงินกับสหกรณ์ ไม่เช่นนั้น จะทำให้ประชาชนแห่ไปถอนเงินออกจากสหกรณ์ได้
4.อัยการ ยื่นฟ้อง “เบนซ์ เรซซิ่ง” และเครือข่าย “บอย” ฐานสมคบฟอกเงิน-ช่วยผู้ทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ด้านศาลนัดสอบคำให้การ 29 พ.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช อายุ 30 ปี หรือเบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถชื่อดัง, นายสรรเสริญ หรือเน็ต รสานนท์ อายุ 25 ปี และ น.ส.อังสุพร หรืออุ้ม อินา อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522, พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2559 - 2 ก.พ. 2560 จำเลยทั้งสามกับนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ จำเลยในคดีอาญา, นายชัยวัฒน์ หรือแป๊ะ ชูสาย จำเลยคดียาเสพติด ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว กับพวกที่หลบหนี และยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกัน สมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ที่เป็นยาเสพติดประเภท 1 และร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้า และเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งดำเนินการจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติด ที่นายณัฐพล หรือบอย นาคคำ กับพวก เป็นผู้จัดหายาเสพติด และเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง โดยนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาวรจักร ส่วนนายสรรเสริญ จำเลยที่ 2 และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 ร่วมกันเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยใช้ชื่อของ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยได้จัดการรับฝากเงินและโอนเงินค่ายาเสพติดไปยังบัญชีธนาคารบุคคลตามคำสั่งของนายณัฐพล จำนวนหลายครั้ง ขณะที่นายณัฐพลก็ได้มีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นไปยังบัญชีของจำเลยที่ 1-3 หลายครั้ง ขณะที่พวกจำเลยเมื่อได้รับเงินก็จะโอนกลับคืนไปยังนายณัฐพล และโอนไปยังบัญชีธนาคารของ ณปภา หรือแพท ตันตระกูล หลายครั้ง และนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ยังนำเงินที่ได้รับจากนายณัฐพล ไปซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ราคาแพง
ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้รับโอนเงินจากนายณัฐพล ในบัญชีชื่อบุคคลต่างๆ และจากจำเลยที่ 2 - 3 ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2557 จนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2560 รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท ซึ่งเป็นการซุกซ่อนเพื่อปกปิดแหล่งที่มา หรืออำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สิน เพื่อมิให้นายณัฐพลต้องรับโทษ
ต่อมาจำเลยทั้งสามได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 6 และ 28 มี.ค. 2560 ซึ่งในชั้นสอบสวน นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนนายสรรเสริญ และ น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 2 - 3 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ท้ายคำฟ้อง อัยการระบุด้วยว่า หากจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้าน เนื่องจากจำเลยมีพฤติการณ์เป็นกระบวนการลักลอบขนลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้า การกระทำเป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งคดีมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต จึงเกรงว่าจำเลยทั้งสามจะหลบหนี อย่างไรก็ตาม หากจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพต่อศาล โจทก์ก็ประสงค์จะสืบพยานประกอบคำรับสารภาพด้วย ด้านศาลประทับรับฟ้อง และนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสามในวันที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
5.กรมวิทยาศาสตร์ฯ-เอ็มเทคส่งผลตรวจกระทะ “โคเรีย คิง” ให้ สคบ.แล้ว บางข้อสงสัยยังตรวจไม่ได้ เหตุไม่มีเครื่องตรวจ!
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้รับรายงานผลการตรวจสอบคุณสมบัติกระทะ “โคเรีย คิง” จากหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ของรัฐ ประกอบด้วย ศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใน 6 ประเด็นเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1 ด้านความปลอดภัย กรมวิทยาศาสตร์บริการตรวจสอบพบว่า ปริมาณสารละลายที่ออกมา ไม่พบว่าเป็นตะกั่ว แคดเมียม ในสภาวะหุงต้มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีความปลอดภัย ประเด็นที่ 2 ทั้งสองหน่วยงานพบว่า การเคลือบหินอ่อน 8 ชั้น มีสารเคลือบจริง แต่ระบุจำนวนชั้นไม่ได้ ประเด็นที่ 3 ทดสอบพบสารเทฟลอน ประเด็นที่ 4 ประเด็นการทนความร้อน พบว่า ด้ามจับโป่งพองเมื่ออยู่ในความร้อน 280 องศาเซลเซียส สำหรับประเด็นที่ 5 ที่มีการระบุถึงนวัตกรรมไทเทเนียมยับยั้งแบคทีเรีย และประเด็นที่ 6 ที่ระบุว่าไม่ติดกระทะนั้น ทั้งสองหน่วยงานไม่มีเครื่องมือทดสอบ
สำหรับประเด็นการลงโฆษณาที่ถูกระงับอยู่นั้น มีรายงานว่า ผู้ประกอบการต้องรอมติของคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรงก่อนว่าจะให้แก้ไขถ้อยคำใดบ้าง เมื่อแก้ไขเสร็จแล้ว ก่อนจะออกโฆษณาใหม่ ควรขอความเห็นของบอร์ดขายตรงก่อน เพื่อความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ สคบ.จะมีการหารือร่วมกับสมาคมนักการตลาด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อวางกรอบแนวทางการโฆษณาตั้งราคาสินค้า โดยจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 30 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ส่งผลตรวจสอบกระทะโคเรีย คิง ให้ สคบ. พบว่า 1. เนื้อกระทะทำมาจากอะลูมิเนียมเสริมเหล็ก 2. เนื้อกระทะเคลือบด้วยพอลิเมอร์ และ 3. ตรวจสอบดูชั้นเคลือบของกระทะ พบว่า ไม่ได้มี 8 ชั้น โดยกระทะรุ่นโกลด์ซีรีส์ มีการเคลือบ 5 ชั้น ส่วนรุ่นโกลด์ไดม่อน เคลือบ 2 ชั้น และไม่พบหินอ่อนในชั้นเคลือบกระทะ นอกจากนี้ยังไม่มีการอ้างอิงที่มาของราคาที่จำหน่าย 15,000 และ 18,000 บาท เป็นการโฆษณาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นไปตามนั้น ถือเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรม Fake Original Price หรือการปลอมราคาจริง สคบ.จึงมีมติสั่งห้ามโฆษณา แต่ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องบทลงโทษ