ประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งใน กทม.และจากต่างจังหวัด เดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างไม่ขาดสาย ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (27 พ.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 205 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ อย่างไม่ขาดสาย ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางกัญญาณัฐ บัวครอง อายุ 40 ปี พนักงานบริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จ.สระบุรี กล่าวว่า วันนี้ตนขับรถมาเองพร้อมกับเพื่อนร่วมงานรวม 4 คน เพิ่งจะได้มีโอกาสเดินทางมากราบในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งแรก รู้สึกตื้นตันใจมากคิดว่าในชีวิตนี้จะไม่ได้มีโอกาสมาแล้ว โดยออกจากบ้านตั้งแต่ตี 3 มาถึงสนามหลวงประมาณ 6 โมงเช้า และเข้ากราบสักการะเสร็จ ประมาณ 08.30 น. ถือว่าเร็วมาก เพราะก่อนนี้เห็นข่าวมีประชาชนเดินทางมากันเยอะมากจึงกลัวว่าจะรอนาน แต่วันนี้รอไม่นานได้เข้ากราบแล้วรู้สึกปลื้มใจ
“ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างมาก ทรงมีโครงการในพระราชดำริต่างๆ ช่วยเหลือประชาชน เช่น ที่ จ.สระบุรี ก็มีโครงการพระราชดำริ คือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อช่วยป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านมีน้ำกินน้ำใช้ในการทำไร่ทำนา ปลูกพืชผัก ซึ่งก่อนที่ยังไม่มีเขื่อนมักเกิดปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งเป็นประจำทุกปี และในจังหวัดใกล้เคียง เช่นที่ จ.นครนายก ก็มีเขื่อนขุนด่านปราการชล ซึ่งทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีน้ำในการประกอบอาชีพด้วยเช่นกัน นอกจากนี้พระองค์ยังพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพวกเราก็ได้น้อมนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตครอบครัวและการทำงาน และทุกๆ ปีก็จะชักชวนเพื่อนๆ ไปร่วมไถ่ชีวิตโคกระบือเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล” นางกัญญาณัฐกล่าว
น.ส.จิรายุ งามพรชัย อายุ 68 ปี ครูวัยเกษียณ พาหลานสาว น.ส.นวภัค งามพรชัย พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จาก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ที่เพิ่งเคยมีโอกาสมาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นครั้งแรก กล่าวว่า ตัวเองมาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ความรู้สึกเศร้าโศกยังไม่เสื่อมคลายจากครั้งแรกที่มาถวายการรดน้ำเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ศาลาสหทัยสมาคม สำหรับวันนี้ถือว่าใช้เวลารอไม่นานเท่าครั้งก่อนๆ เคยต่อแถวรอนานสุดตั้งแต่เที่ยงวันถึงสามทุ่ม เวลาร่วม 9 ชั่วโมงไม่ได้ทำให้รู้สึกย่อท้อใดๆ
“ดิฉันมีอาชีพเป็นครู เป็นข้าราชการ พึงระลึกตัวเองเสมอว่าเป็นข้าในพระองค์ ดังนั้นจึงตั้งปณิธานทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร สอนเด็กทุกคนให้ความรู้ควบคู่ศีลธรรม เพื่อการศึกษาจะเป็นรากฐานสำคัญในอนาคต นั่นคือสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติตลอดในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ สำหรับในส่วนรวมนั้นคิดว่าการให้เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจะไม่รอช้าที่จะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน” น.ส.จิรายุกล่าว
ด้านหลานสาว น.ส.นวภัค กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสมาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเข้าไปภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สำหรับตัวเองแล้วในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นที่รักและทรงเป็น “ต้นแบบ” ในการดำเนินชีวิตเกือบทุกด้าน แต่ประทับใจคำสอนข้อ “ปิดทองหลังพระ” ตามพระบรมราโชวาทที่ว่า “...ให้ปิดทองหลังพระ แล้วทองจะล้นมาข้างหน้าเอง...” คำสอนนี้เหมือนเป็นกำลังใจในการทำงาน ซึ่งไม่ว่าเราจะทำงานแล้วคนเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เหมือนกับพระองค์ท่านซึ่งไม่เคยทรงย่อท้อต่อความลำบาก เพื่อช่วยเหลือคนไทยให้อยู่ดีกินดี