xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ : อดีตเหยื่อกระสุนความรุนแรง “ โหน่ง-ชยพล ติรณะประกิจ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เขาคนนี้เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงถูกกระสุนปริศนาลั่นเข้าทะลุปอดถูกกระดูกสันหลัง ต้องทำการผ่าตัดกระดูกที่หลังถึงขั้นที่ว่าต้องให้เลือด 14 ถุง ปั๊มหัวใจมาแล้ว 2 ครั้ง

แต่…ในความโชคร้ายยังหลงเหลือความโชคดี เขากลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง และถึงแม้ว่าร่างกายจะฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็ต้องกลายเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต

โหน่ง- ชยพล ติรณะประกิจ คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง

หากย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 ชีวิตของเด็กหนุ่มชั้นปีที่ 2 จากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากรกำลังสดใส การใช้ชีวิตของเขาก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป ที่ไปเรียน เลิกเรียน กลับบ้านตามปกติ กระทั่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเป็นลูกหลงถูกยิงได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วัยรุ่นทะเลาะกัน ได้รับชะตากรรมกลายเป็นผู้พิการนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต

วันนี้ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะเปลี่ยนไป แต่ทว่าเขากลับไม่ท้อแท้ เพราะล่าสุดได้แชร์เรื่องราวของตัวเองเพื่อหวังว่าชีวิตของเขาจะเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นต่อๆ ไป

  • ในฐานะเป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และปัจจุบันมีข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงค่อนข้างมากในสังคมไทย อยากให้ช่วยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตรงนี้หน่อยค่ะ

ผมว่าความรุนแรงจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ นะครับ ก็คือ ความรุนแรงภายในครอบครัวและความรุนแรงในสังคม ความรุนแรงในครอบครัวก็เหมือนกับว่าพ่อแม่ลูกมีปัญหากัน ทะเลาะกัน ทำร้ายร่างกายกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อทำร้ายลูก แม่ทำร้ายลูก พ่อทำร้ายแม่อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งปัญหาความรุนแรงในครอบครัวก็จะนำมาซึ่งความรุนแรงในสังคม อย่างเวลาพ่อแม่ทำร้ายลูก ลูกก็จะเก็บความรู้สึกร้ายๆ เอามาคิดฝังใจ ว่าทำไมอยู่ดีๆ เราถึงโดนทำร้ายจากพ่อ จากแม่ จากคนในครอบครัวซึ่งต้องเป็นคนที่ดูแลให้ความรักความอบอุ่นแก่เราอย่างดีสิ ทำให้เขาอาจจะรู้สึกน้อยใจหรือรู้สึกว่าไม่ดี ก่อให้เกิดอารมณ์ พฤติกรรมที่ไม่ดี ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้ออกมาสร้างปัญหาในสังคมได้

ยกตัวอย่าง การใช้ความรุนแรงในวัยรุ่นนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ก็ยังมีข่าวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะข่าววัยรุ่นเจอหน้ากันทะเลาะกัน คู่อริทางสถาบันหรืออะไรต่อมิอะไรซึ่งเขาอาจจะมีปัญหากันในเรื่องของศักดิ์ศรีสถาบันมีการบอกต่อๆ กันระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้องว่าจะต้องรักสถาบันนะ รักศักดิ์ศรีนะ แล้วก็เกิดค่านิยมผิดๆ ว่าเขาจะต้องทำร้ายฝ่ายตรงข้าม แย่งสัญลักษณ์ตราโรงเรียน แย่งเข็มขัดมาเพื่อที่ว่าใครทำแบบนั้นจะได้รับการยอมรับก็อาจจะทำให้วัยรุ่นเกิดความคึกคะนองกลายเป็นความรุนแรงเกิดขึ้นมา และอีกอย่างผู้ใหญ่ในสังคมอาจจะขาดการเอาจริงเอาจัง พอเกิดเรื่องก็ออกมาแก้ปัญหาความรุนแรง แต่อีกสักพักพอไม่มีเรื่องก็จะเงียบไป

อีกอย่างผมว่าปัจจุบันข่าวสารปัญหาความรุนแรงจะถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วในสื่อโซเชียลทำให้คนเห็นมากขึ้น อาจก่อให้เกิดค่านิยมผิดๆ เกิดการทำตามกัน เห็นข่าวว่าคนนั้นคนนี้ทำเรื่องผิด ทำเรื่องไม่ดีแต่เขากลับได้รับความชื่นชม มีชื่อเสียงขึ้นมา กลายเป็นเน็ตไอดอล วัยรุ่นบางคนอาจจะคิดไม่ได้ก็อาจจะเลียนแบบทำตามจนกลายเป็นปัญหาสังคมขึ้นมา และผมว่าวัยรุ่นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เขาต้องการได้รับการยอมรับจากเพื่อน จากคนในสังคมแหละผมก็เข้าใจ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ยั้งคิดว่าสิ่งที่ทำมันไม่ดีมันผิด ผมก็อยากให้เขาตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรทำเรื่องเดือดร้อนให้กับสังคมเพราะการที่คุณมีปัญหาทะเลาะกัน ตีกัน บางทีไม่ใช่แค่ตัวคนทำเองหรือฝ่ายตรงข้ามจะได้รับบาดเจ็บ อาจจะเป็นคนที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย พ่อแม่ก็จะได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของลูกไปด้วย

ความคิดส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องปัญหาความรุนแรงในสังคม เวลาได้ยินข่าวหรือนั่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ผมรู้สึกแย่นะครับ เพราะเราก็แค่ออกไปใช้ชีวิตประจำวันในสังคมทุกวันอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน แต่กลับมาเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นทำให้เราได้รับอุบัติเหตุจนเกิดความพิการทางร่างกาย

  • แล้วคิดว่าในส่วนนี้ควรมีมาตรการอะไรออกมาแก้ไขอะไรกับตรงนี้บ้างคะ

ผมว่าอย่างแรกต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง ตัวเองต้องมีความคิด มีจิตสำนึกว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น มันต้องอยู่ที่ตัวเราเป็นหลักว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นเดือดร้อนทั้งตัวเองและคนอื่นหรือไม่ ต่อมาก็เป็นเรื่องครอบครัวซึ่งคนในครอบครัวก็ต้องอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานอยู่ในกรอบในเกณฑ์ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ต้องคอยสั่งสอน คอยให้คำแนะนำ

ส่วนคนในสังคมผมว่าต้องช่วยเหลือกัน คอยเป็นหูเป็นตาสอดส่องว่าเรื่องแบบนี้ไม่ดีนะ ไม่ถูกนะ คนที่เขาคิดไม่ดีเขาอาจจะคิดได้ขึ้นมา

สุดท้ายผมว่าตอนนี้โทษทางกฎหมายยังเบาไปกฎหมายจะเป็นมาตรการหนึ่ง ซึ่งถ้าเราปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายให้มีความรุนแรงมากขึ้น คนจะกลัวไม่กล้าทำผิดอีก นอกจากนี้ผู้บังคับใช้กฎหมายควรเอาจริงเอาจัง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก

  • ขอย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้นหน่อยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง

ผมขอเล่าย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ นะครับ ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาชั้นปี ๒ คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องจดจำไปตลอดชีวิต วันนั้นผมเลิกเรียนเวลาประมาณบ่ายสอง ซึ่งหลังจากเลิกเรียนผมก็จะกลับบ้านตามปกติ ทุกวันผมก็จะกลับบ้านด้วยรถเมล์ตรงข้ามมหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยจะใกล้ๆ บ้าน ผมก็เดินออกมาจากมหาวิทยาลัย เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยเพื่อรอรถเมล์ ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนรอรถกลับบ้านมากเหมือนกัน ยืนรอรถเมล์ได้ไม่นาน ไม่ถึง 5 นาที ผมก็ล้มฟาดไปกับพื้นในลักษณะนอนหงาย ก่อนหน้านี้ผมได้ยินเสียงดัง ปัง!! ขึ้นมา 1 ครั้ง ซึ่งเสียงมันก็ยังก้องอยู่ในหูนะครับประมาณเสียงหม้อแปลงระเบิด เสียงประทัดอะไรสักอย่างหนึ่ง ยังไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองโดนยิง แต่รู้สึกว่าตัวเองชาไปทั้งตัว ตาก็มองไม่ชัดเพราะเเว่นตากระเด็นไปไหนไม่รู้ เเต่อยู่ดีๆ ก็หันไปขอความช่วยเหลือจากคนด้านหลัง ตะโกนว่า

“ช่วยด้วย ผมโดนยิง!"
ซึ่งมันก็เเปลกดีนะครับที่อยู่ดีๆ ผมก็พูดออกไปว่าโดนยิง ทั้งที่ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ตอนนั้นยังพอมีสติ หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายไหล่โทร.ไปหาเเม่ ตามองก็ไม่เห็น รายชื่อก็หาไม่เจอ เลยใช้กดตัวเลขเเทน พอดีพี่ชายอยู่ใกล้โทรศัพท์ของเเม่ ไม่ยอมรับสาย กลัวน้องเสียค่าโทรศัพท์ กดตัดสายทิ้งเเล้วก็โทร.กลับ ตอนนั้นเลยได้เเค่พูดออกไปว่า “โดนยิงตรงเเขน โดนยิงตรงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย” เเล้วสายก็ตัดไป


ตอนนั้นยังมีสติอยู่นะครับ ในใจผมก็ได้แต่คิดว่าต้องไม่เป็นอะไร ต้องกลับไปหาครอบครัวให้ได้ แต่สักพักก็เริ่มไม่รู้สึกแล้วสติค่อยๆ หายไป มันค่อยๆ อ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ แล้วก็สะลึมสะลือได้ยินเสียงเเว่วๆ จากผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามเรียกให้ตื่นว่า “เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกตัวเลยครับ


คุณแม่ : พอดีเขาโทร.เข้ามาตอนนั้นแม่ยืนอยู่หน้าบ้าน พี่ชายเขามาบอกว่าโหน่งถูกยิง เราตกใจมากรีบขึ้นรถจะไปหาเขาด้วยจนลืมปิดบ้าน จนคนข้างบ้านมาบอกให้ปิด เราตกใจแต่ก็ยังไม่ได้ตกใจมากเท่าไหร่เพราะเราไม่รู้ว่าลูกเป็นหนักหรือไม่หนักยังไง พอไปถึงสถานที่เขาบอกว่าลูกเราต้องปั๊มหัวใจนะ ตอนนั้นแม่ช็อกมากเลยค่ะ หัวใจแทบหลุดเลย เราไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงก็ได้แต่ภาวนาว่าลูกจะต้องฟื้น จะต้องไม่เป็นอะไร

  • หลังจากนั้นเป็นยังไงต่อคะ เห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาลเลย


คุณแม่ : คุณหมอบอกว่าอาการหนักมาก ต้องให้เลือด 14 ถุง พอผ่าตัดช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้นเสร็จคุณหมอส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ แม่เลยตัดสินใจเอาไปรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพตอนนั้นอยู่โรงพยาบาลกรุงเทพ 1 เดือนครึ่ง มาพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดีอีก 1 เดือนครึ่งเป็น 3 เดือน ช่วงนั้นแย่มากๆ ฝนก็ตกหนักทุกวัน อีกทั้งต้องเดินทางจากนครปฐมไปกรุงเทพฯ ไปเยี่ยมลูกทุกวัน ซึ่งแม่กับลูกชายคนโตจะขายของที่ร้าน แล้วให้คุณพ่อกับลูกชายคนที่สองไปเฝ้าน้องที่โรงพยาบาล

โหน่ง ชยพล : ผมรู้สึกตัวอีกทีเเบบสะลึมสะลือ เพราะผมหลับไปประมาณ 3-4 วัน ไม่รู้วันรู้คืนเลยครับ พอตื่นขึ้นมาก็เห็นสายระโยงระยางไปหมด

ผมย้ายโรงพยาบาลจากนครปฐม ไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นรู้สึกเจ็บมาก เข้าใจคำว่าเจ็บจนจะขาดใจตายเป็นยังไงเลย พอไปถึงโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ คุณหมอบอกกับทางครอบครัวว่า กระสุนปืนทะลุปอดถูกกระดูกสันหลัง ต้องทำการผ่าตัดกระดูกที่หลังเเละใส่ขดลวดรักษาปอดที่ถูกยิง ช่วงที่รักษาตัวอยู่ไอซียู ทำการรักษาเยอะมากทั้งผ่าตัด ใส่เครื่องช่วยหายใจ เจาะปอด ใส่สายอาหารทางจมูก ใช้เครื่องดูดเสมหะ ใส่สายสวนปัสสาวะ เเละมีการรักษาอื่นๆ อีกจำนวนมาก รักษาตัวอยู่หลายวันถึงจะถอดเครื่องช่วยหายใจได้

พอเริ่มรู้สึกตัว ทางคุณพ่อก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังทีหลังว่า เราโดนลูกหลง โดนยิง ก็ไม่ได้สติ หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง ทางคุณหมอต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเสียชีวิตไปเเล้ว เพราะเสียเลือดมาก อาการค่อนข้างหนักมากทีเดียว

ณ เวลานั้นก็รู้เเล้วว่า ตั้งเเต่ช่วงอกบริเวณใต้ลิ้นปี่ลงไปไม่สามารถขยับได้ สัมผัสก็ไม่มีความรู้สึก จะหยิกจะตีก็ไม่เจ็บ ตอนนั้นไม่ได้ตกใจหรือเสียใจอะไร คิดเเค่ว่าโชคดีเเล้วที่รอดมาเจอหน้าครอบครัวได้ พยายามรักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนก็พอ

ผมรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสามเดือน ทำกายภาพทุกวัน เริ่มตั้งเเต่ฝึกหายใจ ฝึกนั่ง ฝึกทรงตัว ฝึกยืนโดยใช้อุปกรณ์ช่วย ออกกำลังกายเเขน เเละขา ฝึกขึ้นลงรถเข็น จนพอสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เเม้อาการจะดีขึ้นตามลำดับเเต่ร่างกายก็ไม่ปกติอีกต่อไป กระสุนปืนได้ทำลายเส้นประสาทไขสันหลังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พูดง่ายๆ ก็คือผมเป็นอัมพาตไม่สามารถขยับร่างกายท่อนล่างได้ สัมผัสไม่มีความรู้สึก ระบบขับถ่ายไม่ปกติ การทรงตัวไม่ดี ต้องทำการตรวจรักษาอย่างต่อเนื่องไปทั้งชีวิต

  • อัมพาต? ความรู้สึกพอรับรู้ว่าตัวเองจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้างคะ

เอาจริงๆ ผมก็โกรธคนที่ทำเรานะ ว่าเราก็อยู่ดีๆ ทำไมถึงต้องมาทำร้ายเรา ทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าถามว่ามีท้อบ้างไหม ก็มีบ้างช่วงแรกๆ เนื่องจากว่าอาการค่อนข้างหนัก ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นาน รักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น แต่เราก็ไม่ถึงกับว่าท้อจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เพราะว่าไหนๆ ก็อุตส่าห์รอดมาได้แล้ว เราก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะโอเคขึ้น ซึ่งผมก็พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญผมก็ได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัวซึ่งเป็นพลังใจสำคัญด้วยครับ

  • เรียกว่ากระสุนนัดเดียวเปลี่ยนชีวิตไปเลยใช่ไหม การใช้ชีวิตของเราตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง ลำบากแค่ไหน

โหน่ง ชยพล : พูดถึงเรื่องร่างกายก่อนนะครับ พูดตามตรงว่ามันก็จะลำบากอยู่บ้างตรงที่เราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เราก็จะต้องนั่งรถเข็นไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งบางสถานที่อาจจะไม่เอื้ออำนวย บางกิจกรรมที่เราอยากทำก็ไม่สามารถทำได้เหมือนคนปกติก็จะสร้างความลำบากอยู่บ้างครับ

อย่างเรื่องระบบขับถ่ายก็เหมือนกัน ผมก็จะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ซึ่งคนที่สูญเสียระบบประสาทไประบบขับถ่ายก็จะไม่มีความรู้สึก ทุกวันนี้ก็จะต้องมีสวนปัสสาวะ ผมก็จะมีอุปกรณ์การสวนปัสสาวะทุกวันเพื่อไม่ให้ร่างกายผิดปกติ ระบบอุจจาระก็เหมือนกันผมก็จะมีระบบกระตุ้นทำตามคุณหมอบอกมา ซึ่งเราต้องทำทุกวัน อย่างเช่นสวนปัสสาวะผมก็จะทำตามที่คุณหมอแนะนำว่าวันหนึ่งจะต้องสวนกี่ครั้ง เพราะเราไม่รู้สึกตัว กลไกการย่อยเราก็ต่างจากคนปกติ เราอาจจะขับถ่ายยากกว่าคนปกติเล็กน้อย เราก็ต้องทานของที่ย่อยง่ายเพื่อทำให้ถ่ายง่ายขึ้น

ส่วนเรื่องเรียนตอนนั้นผมต้องหยุดเรียนไป 1 ปีได้ครับ พอร่างกายดีขึ้นทางครอบครัว ทางอาจารย์ก็ให้กลับไปเรียน ซึ่งเขาบอกว่าให้เรากลับไปเรียนได้นะเดี๋ยวเขาจะช่วยดูแลผมก็เลยตัดสินใจกลับไปเรียนชั้นปีที่ 2 ใหม่ครับ 

ตอนแรกๆ ที่ไปเรียนก็ต้องปรับตัวค่อนข้างมากเหมือนกัน เพราะเรายังไม่สะดวก จะเดินจะเหินก็ลำบาก ต้องค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ แต่พอผ่านไปได้สักพักหนึ่งถึงจะโอเคครับ 

คุณแม่ : ตอนแรกเขาไม่ยอมไปเรียน เราก็เลยขอเขาบอกให้เขากลับไปเรียนต่อให้จบๆ ไป บางคนแย่กว่านี้ยังเรียนจบเลย ตอนนี้เรียนจบก็สบายแล้ว แต่ตอนเรียนก็จะลำบากหน่อยตรงที่ให้พี่ไปรับส่ง เวลามีปัญหาขับถ่ายพี่ชายก็จะรีบไปที่มหาวิทยาลัย วิ่งไปเปลี่ยนแพมเพิร์สให้ เพราะระบบขับถ่ายจะไม่ปกติแล้ว เวลาแพมเพิร์สเปียกเขาก็จะรีบโทร.มาให้พี่ชายไปเปลี่ยนให้ ดีตรงที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านด้วย


โหน่ง ชยพล : หลังจากนั้นการใช้ชีวิตเรียกได้ว่าชีวิตการเรียนผมก็จะเหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆ ไปเลยครับ ตอนที่ผมดรอปเรียนเพื่อนๆ ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เสมอครับ ซึ่งพอผมกลับไปเรียนบางวิชาก็มีเรียนร่วมกับเพื่อนบ้าง บางวิชาก็ต้องไปเรียนกับรุ่นน้องบ้าง จนกระทั่งผมเรียนจบมาได้ ซึ่งวันที่ผมเรียนจบเรื่องราวที่ประทับใจเลยก็คือวันที่รับปริญญา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่านก็ทรงพระดำเนินลงมาพระราชทานปริญญาบัตรให้ วันนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งมากครับเพราะผมมีความตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะจะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งผมก็อยากจะเรียน อยากจะเรียนให้จบเพื่อจะได้รับพระราชทานปริญญากับพระองค์ท่าน

  • สุดท้ายก็เรียนจบปริญญาตรีมาได้ แล้วการใช้ชีวิตปัจจุบันนี้ล่ะคะเป็นยังไง ตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้างคะ

เหตุการณ์ก็ผ่านมาแล้ว 6 ปีครับ ตอนนี้ผมช่วยเหลือตัวเองได้เกือบทุกอย่างแล้วครับ กิจวัตรประจำวันในบ้านผมก็สามารถทำได้หมด อนาคตผมก็คิดว่าผมจะต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากขึ้น เช่น ขับรถเอง ทุกวันนี้เขาก็จะมีการดัดแปลงสภาพรถที่ให้คนพิการช่วยเหลือตัวเองได้ อนาคตผมก็จะต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ผมเรียนจนจบ มีการมีงานทำ ผมช่วยคุณพ่อขายอะไหล่รถบรรทุก รถพ่วงภายใต้ชื่อร้าน "ซี แอนด์ เจ ออโต้พาร์ท" ซึ่งธุรกิจนี้เปิดมา 20 ปีแล้วครับ

ส่วนตัวผมจะช่วยคุณพ่อมาตั้งแต่อายุ 13 ปี ปัจจุบันก็ช่วยมา 10 กว่าปีแล้วครับ ผมสัมผัสกับงานทางนี้มาตั้งแต่เด็กซึ่งอะไหล่รถพ่วงก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว พอหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้มาช่วยคุณพ่อเต็มตัวเลย ผมก็จะช่วยเทกแคร์ลูกค้า หยิบสินค้าให้ลูกค้าบ้าง บางทีเวลาลูกค้ามาที่ร้านผมก็จะถามว่าเขาต้องการสินค้าตัวไหน สินค้ามีไหมซึ่งเราก็จะคุยกับลูกค้าก็จะหยิบให้เขาดูว่าใช่สินค้าที่เขาต้องการไหม ผมก็จำสินค้าได้ค่อนข้างเกือบทั้งหมดในร้านแต่ก็อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อย อาจจะเช่น ขนาด หรือ รูปร่างอะไรที่แปลกๆ ที่ยังไม่รู้ก็จะต้องอาศัยถามคุณพ่อ ถามพี่ชายดูเพราะเขาจะมีความชำนาญมากกว่าว่าชิ้นส่วนตรงนั้นอยู่ตรงไหนของรถ ขนาดเป็นยังไง ความยาวเท่าไหร่แต่รายละเอียดตรงนี้ผมก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม

เมื่อก่อนที่ผมยังสามารถเดินได้อยู่ผมก็จะช่วยยกอะไหล่ในร้านหนักๆ ได้ แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้วก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้สะดวก ของหนักๆ ก็จะให้พี่ชายช่วยยกแทน เพราะบางชิ้นส่วนก็หลายสิบกิโลกรัมเลย ผมก็จะไปทำหน้าที่อย่างอื่นแทนหรือไม่ก็อาจจะให้ลูกค้าหยิบของที่ต้องการเอง

  • แล้วในส่วนเรื่องของคดีความตอนนี้เป็นยังไงบ้าง จบแล้วหรือยังคะ

ในส่วนของคดีความ ทางตำรวจสามารถจับผู้กระทำผิด ได้หลังจากเกิดเหตุสองเดือน ครอบครัวผมต้องต่อสู้ทางคดีความจนถึงศาลฎีกา ตอนนี้คดีก็จบแล้วครับ ทุกวันนี้ผมได้รับความยุติธรรมทางกฎหมาย คนร้ายก็โดนคดีพยายามฆ่าแล้วก็พกอาวุธปืนในที่สาธารณะ ศาลตัดสินให้ติดคุกทั้งหมด 10 ปี 6 เดือน แต่ว่าให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวนก็ลดเหลือ 7 ปี ตอนนี้เขาก็ติดคุกไปแล้ว 2 ปี ผมว่าติดอีกสักประมาณปี สองปีก็น่าจะออกมาแล้ว ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายแต่ว่าทั้งทางคนยิง ทั้งทางครอบครัวก็ยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายอะไรเลยเราก็ต้องดำเนินกระบวนการตามกฎหมายต่อไปซึ่งมันอาจจะใช้เวลานานหรืออาจจะไม่ได้เลย ผมจะบอกว่าในขณะที่เขาอยู่ในคุกไม่กี่ปีสภาพร่างกายของผมก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น

พูดตรงๆ ว่ายุติธรรมไหมผมว่ามันไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว เขาติดคุกไม่กี่ปีก็ได้รับอิสรภาพออกจากเรือนจำมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ส่วนเราต้องถูกจำกัดอิสรภาพทางร่างกาย ต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิต มันไม่ยุติธรรมอยู่แล้วครับ

   • ถามตามตรงเคยคิดน้อยใจโชคชะตาหรือท้อแท้กับตัวเองบ้างหรือเปล่าคะว่าทำไมเราต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

ช่วงแรกๆ บางเวลาก็มีน้อยใจในโชคชะตาชีวิตบ้าง ว่าทำไมชีวิตเราถึงต้องเจออุปสรรคปัญหาในชีวิตที่หนักมากขนาดนี้ ชีวิตมันเปลี่ยนไปตลอดกาล ร่างกายมันไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีกแล้ว ความฝันในวัยเด็กบางอย่างที่อยากจะทำ มันก็ทำไม่ได้อีกแล้ว อนาคตที่วาดฝันไว้มันก็พังทลายลง แต่เวลาผ่านไปความรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตหรือความท้อแท้ก็ค่อยๆ หายไป

   • มีวิธีการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองอย่างไรให้ก้าวผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นมาได้

โหน่ง ชยพล : เคยคิดว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงเกิดเรื่องร้ายๆ กับเรา จิตใจมันก็ห่อเหี่ยวเป็นธรรมดา แต่ผมก็พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอด

ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมเลยก็คือครอบครัว ครอบครัวผมก็คอยเป็นกำลังใจที่ดีให้กับผมเสมอมาตั้งแต่ตอนที่ผมถูกยิง ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ผมก็รู้ว่าทางครอบครัวไปเยี่ยม ไปเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลาเลย ผมก็ได้แต่คิดว่าเราจะเป็นอะไรไปไม่ได้

ทุกวันนี้ผมก็จะได้พี่ชายสองคนช่วยดูแลไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะไปด้วยกัน มีอะไรก็จะทำกิจกรรมร่วมกันตลอดเวลา ผมคิดว่ากำลังใจจากครอบครัวเป็นกำลังใจที่ดีเสมอมาตั้งแต่เล็กจนเกิดเรื่องขึ้นมาทุกคนในครอบครัวก็จะให้กำลังใจเราตลอดครับ ผมอยากจะให้ทุกครอบครัวไม่ว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกหลาน เวลาเกิดอะไรขึ้นก็อยากจะให้หันหน้าคุยกัน ให้กำลังใจกันเพราะว่ากำลังใจจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนมีกำลังใจอยากจะดำรงชีพต่อไปเช่นเดียวกันกับผมครับ

อีกอย่างกำลังใจจากเพื่อนๆ ก็เหมือนกันครับ ผมค่อนข้างที่จะสนิทกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เกิดเหตุเพื่อนส่วนมากก็มีแต่ที่สนิทกันเขาก็จะช่วยดูแล ไปเรียนเขาก็จะช่วยเข็นรถเข็น ซื้ออาหารให้ ซื้อสมุดหนังสือให้เราอ่าน ค่อนข้างดูแลดีมากๆ ตอนนี้เพื่อนก็ยังเฮฮาปาร์ตี้ ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต่างคนต่างทำงานแต่ก็มีให้กำลังใจกันอยู่ตลอด

คุณแม่ : ตลอด 3 เดือน 10 วัน ที่อยู่โรงพยาบาล เราจะไม่เคยทิ้งเขาเลย ห่วงแต่เขา กลัวว่าเขาหลับไป เราก็เลยจะเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา เราไม่เคยปล่อยให้เขานอนคนเดียวเลย จะนอนด้วยกันตลอดประมาณ 5 ปีเลยละ พอปีนี้ที่เราทำห้องให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะให้เขานอนกับพี่คนที่สอง

ตอนนี้บ้านก็จะต้องดัดแปลงให้เข้ากับตัวเขา เพราะใช้วีลแชร์บ้านต้องกว้าง ต้องทำให้เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนสะดวก ใหม่ๆ ตอนที่ยังไม่ทำบ้าน พี่ชายสองคนจะต้องแบกโหน่งขึ้นไปแต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วเพราะทำลิฟต์ให้เขาแล้วเวลาขึ้นลงจะได้สบาย ทำอะไรเองได้

ทุกวันนี้เขามีกิจกรรมเยอะมาก มีคนรู้จักเพิ่มมากขึ้น คนจะเข้ามาให้กำลังใจค่อนข้างเยอะ ทุกวันนี้มีพี่ๆ ดูแลก็สบายใจ ไปเที่ยวก็จะมีครอบครัวไปด้วย ไม่อยากทิ้งเขา ก็ไปต่างจังหวัดบ่อย เพราะแม่อยากพาไปพักผ่อน อย่างล่าสุดก็เพิ่งพาไปเที่ยวเชียงใหม่มา (ยิ้ม)

   • แล้วอยากฝากอะไรสำหรับผู้ที่อาจจะเคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเช่นเดียวกับเราบ้างไหมคะ

ต้องบอกก่อนว่าทุกวันนี้ในสังคมเวลาเราไปข้างนอก หลายๆ คนเขาก็จะระวังตัวกันมากขึ้นเพราะว่าเราไม่รู้ว่าเวลาออกไปข้างนอก อุบัติเหตุหรืออะไรร้ายๆ อาจเกิดขึ้นกับเราได้ เราต้องมีความไม่ประมาทในชีวิต เวลาไปไหนเราก็จะต้องมีสติอยู่ตลอด เพราะถึงเราจะไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่เราอาจจะเป็นผู้ถูกกระทำก็ได้


ส่วนคนที่ประสบปัญหาแบบผมหรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต ควรสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ผมจะคิดเสมอว่าเราทุกคนล้วนแต่มีปัญหาชีวิตด้วยกันทั้งหมด ปัญหาที่เราเจออาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่สำหรับเรา แต่ในขณะเดียวกันคนอื่นอาจจะเจอปัญหาชีวิตที่ใหญ่กว่าเราก็ได้ นอกจากนี้ต้องคิดเทียบปัญหาของตัวเองกับคนอื่นที่มีปัญหาหนักกว่าเรา เราจะต้องคิดเสมอว่าคนอื่นยังต่อสู้ชีวิตได้ แล้วเราจะยอมแพ้ได้ยังไง พอคิดแบบนี้จะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้นครับ


สุดท้ายนี้ ผมมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตให้พี่ควีน แอดมินเพจดัง “แหม่ม โพธิ์ดำ” ได้รับฟัง แล้วพี่ควีนสนใจจึงส่งต่อเรื่องราวของผมลงในเพจ คนที่ได้อ่านไปหลายๆ คน ก็มีกำลังใจมากขึ้น ผมจึงคิดว่าการที่ผมได้บอกเล่าเรื่องราวพลิกผันในชีวิตของผมให้ใครสักคนได้รับฟัง แล้วเขามีกำลังใจมากขึ้น ผมก็ดีใจแล้วครับ คิดเสียว่ายังไงชีวิตมันก็ต้องเดินต่อไป สู้ๆ นะครับทุกคน






เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา และ เฟซบุ๊ก ชยพล ติรณะประกิจ

กำลังโหลดความคิดเห็น