xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละโครงการยักษ์ “ทางเลียบเจ้าพระยา” ส่อเป็น “โฮปเวลล์ 2” - “ฮิวโก้” วอนชะลอ-ฟังเสียงชุมชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสวนา “สายน้ำไม่ไหลกลับ” วิพากษ์โครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา แสดงจุดยืนขอให้รัฐบาลชะลอโครงการ ชี้ ทำลายประวัติศาสตร์ ทำลายแลนด์มาร์ก ขาดความคุ้มค่า ส่อจะกลายเป็นโฮปเวลล์ 2 หากรัฐบาลหน้าถูกคัดค้านจนสร้างไม่ได้ “ฮิวโก้ จุลจักร” ย้ำไม่ได้ค้านหัวชนฝา แต่ขอให้ชะลอเพื่อฟังเสียงชุมชน ระบุ ถ้าตัดอดีต จะเป็นประเทศที่ไม่มีอนาคต



การจัดเสวนา “สายน้ำไม่ไหลกลับ เราจะหยุดยั้งทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างไร” ซึ่งจัดขึ้นโดย สมัชชาแม่น้ำ ร่วมกับ สถานีโทรทัศน์นิวส์วัน เปิดพื้นที่ลานหน้าบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เป็นพื้นที่สำหรับภาคประชาชนในการแสดงความคิดเห็น และจุดยืนถึงโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ศ.พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยา กล่าวว่า อยากจะเตือนว่า ความชิบหายของบ้านเมืองเกิดจากสาเหตุ 2 อย่าง คือ ประชาชนอดอยาก และไร้ที่อยู่ที่อาศัย เป็นอันตรายทั้งโลก ความขัดแย้งในประเทศอื่นเป็นเรื่องความอดอยาก แต่บ้านเราคือการไม่มีที่อยู่อาศัย ปัญหาของสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นการไล่รื้อชุมชน ถ้าเกิดขึ้นมาจะมีการต่อต้าน เพราะทำลายพวกเขา คนที่มาไล่ไม่มีความเข้าใจ คิดว่าอยู่กันเป็นปัจเจก จะอยู่บ้าน อยู่คอนโดมิเนียม ย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นถิ่นฐานบ้านเมือง แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำใหญ่ มีประชาชนอยู่สองฝั่งแม่น้ำกว่า 500 - 600 ปี การอยู่อย่างนี้ได้เห็นรกราก มีวัด มีชุมชน เป็นแลนด์สเคปของความศักดิ์สิทธิ์ ชาวต่างชาติรู้จักกรุงเทพฯ จากวัดอรุณราชวราราม เรื่องราวต่างๆ เป็นที่รับรู้ว่านี่คือเมืองไทย สังคมไทย

พอมีโครงการนี้ ก็ไล่รื้อชุมชนสองฝั่งน้ำพังหมด ตนเคยสัมผัสชุมชนบางอ้อ ซึ่งเป็นชุมชนมุสลิมกว่า 100 ปี โครงการนี้ทำลายกรุงเทพฯ ทั้งพระนคร ทำลายรากเหง้าของเรา แม่น้ำทำให้กลายเป็นคลองชลประทาน ไม่มีที่หายใจเลย คิดว่า ถ้าทำเมื่อไหร่จะถูกคัดค้านแน่ ไม่มีชุมชนไหนจะยอมไล่รื้อ ฝ่ายจัดการชอบทำอะไรที่กระแซะ อย่างการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ แต่นั่นจะเป็นอันตราย ตนเป็นห่วงรัฐบาล และ คสช. ที่อนาคตทางการเมืองไม่แน่นอนก็ได้ การไล่รื้อที่ชุมชนจะเป็นอันตราย จากโบแดงเป็นโบดำ ทั้งนี้ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นมรดกโลกอยู่แล้ว แต่จะจัดการอย่างไร เพราะมีน้ำเน่าเสียตลอดสาย เป็นไปไม่ได้ แต่ที่อันตรายก็คือ ตั้งแต่พระประแดง ถึงนนทบุรี เป็นชุมชนชาวประมง ชาวสวน โดยเฉพาะเกาะเกร็ด เกาะบางกรวย และ เกาะรัตนโกสินทร์ มีประวัติความเป็นมา ถิ่นฐาน ตำนานมากมาย ก็ไปทำลายเขา ความคิดโง่ๆ ถึงให้เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่อยากจะโทษใครแต่หยุดเสียก่อนดีกว่าจะชิบหาย

“การเปลี่ยนแปลงเราขาดอีเอชไอเอ เราบ้าอีไอเอ ไปจ้างใครทำก็ได้ แต่อีเอชไอเอมันเห็นคน ถ้าทำอันนี้ได้ ก็ไม่ต้องทำประชาพิจารณ์ เพราะเราจะเห็นท้องถิ่น หรือชุมชนแต่ละชุมชน เราจะได้เห็นว่าความต้องการ ความขัดแย้งเป็นอย่างไร แต่รัฐทรราชมักจะมองข้ามอีเอชไอเอ เพราะอีเอชไอเอเป็นประชาสังคม แต่ทรราชเป็นประชารัฐ” ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

อ.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ มูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า โครงการนี้รัฐอยากจะสร้างใจจะขาด ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผลกระทบทางประวัติศาสตร์ของแม่น้ำเป็นอย่างไร การคมนาคมในแม่น้ำเจ้าพระยามีปัญหาตลอดว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร เพราะคนใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นล้านคนต่อวัน เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุด กำหนดเวลาการเดินทางได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรถเมล์ ถ้าเราทำแล้วท่าเรือจะอยู่ตรงไหน และยังไม่เห็นการออกแบบท่าเรือ เขาอยากจะให้สำเร็จโดยไม่ฟังผู้เชี่ยวชาญ และผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถอธิบายกับชุมชนได้ ตนไม่คัดค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ มองประชาชนเหมือนเป็นเด็กๆ ไม่ให้เกียรติ ทั้งที่ประชาชนต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพมานานกว่า 50 ปี มีกฎหมายและวัฒนธรรมทางการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน ทำไปแล้วไม่ใช่ว่าจะรอด หากรัฐบาลหน้าเข้ามาแล้วถูกคัดค้านจากประชาชนจนสร้างต่อไม่ได้ แล้วจะกลายเป็นโครงการโฮปเวลล์ 2 หรืออย่างไร

ส่วนที่กล่าวหาว่าฝ่ายคัดค้านมีเพียงส่วนน้อยนั้น เป็นเหมือนวิธีการทำงานเหมือนโครงการอื่นๆ เฉกเช่นรัฐบาลที่แล้วจะลงทุนบริหารจัดการน้ำ 4 แสนล้านบาท ประชาชนที่อยู่ภายนอกคัดค้านก็ไม่เอา เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้ากระบี่ ก็ไม่เห็นด้วยเพราะจะทำลายสิ่งแวดล้อม และธุรกิจการท่องเที่ยว เขาก็รายงานคนละเรื่อง กระทั่งต้องมาประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล ถึงต้องทำอีไอเอใหม่หมด นับตั้งแต่เข้ามามีอำนาจ มี 2 - 3 โครงการที่ คสช. คิดจะทำ ได้แก่ ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 4 ช่องจราจร รถไฟทางคู่ไปจีน เขตเศรษฐกิจพิเศษและโรงไฟฟ้า 8 แห่งในภาคใต้ ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นล้านคน เขามองว่า คนในกรุงเทพฯ ไม่มีศักยภาพในการคัดค้าน ไม่เหมือนภาคใต้ที่กลุ่มเข้าไปสำรวจเจอประชาชนคัดค้าน มีการข่มขู่ชุมชนริมแม่น้ำว่าทำผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น ก็ไม่กล้าต่อต้าน การใช้วิธีแบบนี้ถือว่าไร้ศีลธรรม

“ประเด็นสำคัญที่สุด คือ ทัศนคติของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร มักจะมองตัวเองเหนือประชาชน เหนือความรู้ สิ่งที่น่าอึดอัด คือ สังคมเราทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม ผังเมือง มองส่วนรวมเป็นหลัก” อ.ไกรศักดิ์ กล่าว

น.ส.มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นักธุรกิจผู้บริหารโรงแรม กล่าวว่า เมื่อเห็นสภาพของโครงการ ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมตนรับไม่ได้ ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาธุรกิจให้สังคมและสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันได้ ยิ่งเราเห็นชุมชนที่กำลังจะโดนทำลายก็ค่อนข้างจะเจ็บปวด ที่่ผ่านมา ได้คุยกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทางน้ำหลายภาคส่วน ก็ฝากว่า ในแง่ของการท่องเที่ยวมีธุรกิจเดินเรือจะได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด เมื่อแม่น้ำแคบลงจะเกิดผลกระทบต่อการสัญจรทางเรือในการขนส่งที่มีมากกว่า 176 เที่ยวต่อวัน ประชาชนและนักท่องเที่ยว 3 - 4 หมื่นคนต่อวัน จะกระทบต่อการเดินเรือโดยสารหรือไม่ และปัญหาการออกแบบที่เรือจอดเทียบไม่ได้

ส่วนธุรกิจท่องเที่ยว แม่น้ำเจ้าพระยาถือเป็นจุดเด่น นักท่องเที่ยวเลือกที่จะอยู่แม่น้ำถ้าสนใจวัฒนธรรมหรือทิวทัศน์ริมน้ำ ซึ่งไม่เหมือนต่างประเทศอย่างน้ำแซนในกรุงปารีส หรือแม่น้ำเทมส์ กรุงลอนดอน อยู่ดีๆ มีถนนคอนกรีตมาขวางกั้น มีตอม่อเป็นพันเป็นหมื่นต้น กลายเป็นที่กักขยะใต้ตอม่อ ภาพที่ออกไปก็ทำให้นักท่องเที่ยวก็ไม่อยากเที่ยว ตนเคยถามไปกลับไปว่าในงบ 8 พันล้านบาท เคยศึกษาถึงผลลัพธ์ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ ตนมองว่า ภาครัฐกับธุรกิจ และชุมชนต้องเดินคู่ขนานไป ขอฝากว่า ธุรกิจท่องเที่ยวเจริญได้ ภาคเอกชนมีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก รัฐมีหน้าที่ส่งเสริมเอกชน ทำอย่างนี้มีความรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย ทั้งที่ธุรกิจโรงแรมไทยโด่งดังระดับโลก เรามีต้นทุนและสิ่งดีๆ อยู่แล้วควรสนับสนุนให้เจริญยิ่งขึ้น เป็นหน้าตาของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศต่อไป

“อยากจะให้ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ที่สำคัญ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นอะไรที่มีคุณค่า สง่างาม ภาพของกระบวนเรืออยู่ในแม่น้ำกว้าง สง่างาม ทำให้นักท่องเที่ยวอยากที่จะมาเยือนประเทศไทย อยากจะอนุรักษ์แม่น้ำไว้ให้รุ่นลูก และอยากช่วยรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำได้เข้ามาหลงรักแม่น้ำอีกครั้ง” น.ส.มาริสา กล่าว

อ.ขวัญสรวง อติโพธิ สถาปนิกนักวิชาการ กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อกลางปี 2557 ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยอ้างว่า ริมแม่น้ำถูกยึดครองโดยคนกลุ่มน้อย ต้องการให้คนส่วนใหญ่ใช้ โดยใช้ชุมชนริมแม่น้ำเป็นแพะ และใช้วาทกรรม “เจ้าพระยาเพื่อทุกคน” โดยเปรียบเทียบกับแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ในอดีตทุกคนอยู่กับแม่น้ำ เนื่องจากไม่มีถนน เกิดชีวิตสาธารณะกับทุกคนแต่จริตเปลี่ยน คนที่ออกแบบไม่รู้เลยว่ากำพืดไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ การตอกเสาเข็มริมแม่น้ำจะทำให้เกิดการกัดเซาะของตลิ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีต้นไม้เกิดขึ้น เมื่อการนำโครงสร้างขนาดใหญ่พาดผ่านจะทำลายความหลากหลาย ทัศนียภาพถูกทำลาย เช่นเดียวกับถนนริมแม่น้ำน้อย ที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่สร้างความเดือดร้อน ทำลายความสงบสุขกันหมด รวมทั้งยังเกิดที่อโคจรอเนกประสงค์ ซึ่งตนเห็นว่า ถ้าจะทำก็ทำเท่าที่ทำได้ตามสมควร และเกิดความหลากหลาย เช่น การเปิดพื้นที่ริมน้ำส่วนที่งดงามที่สุดให้ประชาชนเข้าถึง เช่น ริมสะพานพระราม 8 หรือ ท่าราชวรดิฐ

“ผมยังนึกอยู่ตลอดว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำไมโครงการนี้จะต้องติดเข้ามาด้วย มองว่างานนี้กะให้ได้รับการปรบมือ กะต้องการให้ได้รับความนิยมจากคนทั้งประเทศ รับรองทำถนนสายนี้ เท่มาก ดังระเบิด เสียงปรบมือรอบทิศ แต่มันไม่ใช่ ทีนี้พอเกิดทิฐิก็ยากที่จะหลบเลี่ยง ถามว่า ทำไมความนิยม เพราะตอนนั้นจะเป็นรัฐบาล ไม่อยากเสียของแบบชุดก่อน มองไปอีกว่า ต้องการจะเป็นต่อหลังเลือกตั้งหรือเปล่า โครงการนี้มีความต้องการอะไรทำนองนี้สิงอยู่ เหตุผลไม่ค่อยมี แล้วนานไปก็เป็นทิฐิ มองไปข้างหน้าเงินทองทำท่าจะฝืด มีเงินสร้างหรือเปล่า โครงการนี้จะไม่ใช่เสียงปรบมือ ถ้าไม่ต้องการให้มันเกิดก็คิดอีกแบบหนึ่งว่าทำอย่างไรให้เป็นโครงการที่มีปัญหา พูดกันตรงๆ ถอยดีกว่า” อ.ขวัญสรวง กล่าว

ดร.สิตางศุ์ พิสัยหล้า นักวิชาการชลศาสตร์ กล่าวว่า เข้าใจว่า มีเจตนาดี ต้องการให้แม่น้ำเจ้าพระยามีทางเลียบสวยๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของทางจักรยาน ไม่ได้ตอบสนองวิถีชีวิตคนกรุงเทพฯ ส่วนพื้นที่สีเขียวนั้นไม่ใช่แค่เพียงเอาต้นไม้จากสวนนงนุชมาปลูก หรือเอาต้นไม้เล็กๆ มาปลูกแล้วรอให้โตขึ้น โครงการนี้ไม่ใช่โครงการใหม่ แต่แนวคิดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เพื่อแก้ปัญหาจราจร แต่เมื่อตอบไม่ได้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จึงถูกพับโครงการ

กระทั่ง ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รมว.คมนาคม ก็นำมาปัดฝุ่น และนำมาเป็นนโยบายหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ต่อมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีแผนที่จะทำทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา 140 กม. เพื่อแก้ปัญหาจราจร จู่ๆ คสช. ก็ประกาศว่าจะสร้างทางจักรยาน 14 กิโลเมตร และ สนข. เลือกที่จะเว้นช่วงที่ กทม. ทำ ซึ่งไม่เข้ากันในด้านวัตถุประสงค์ เพราะทางรถยนต์ไม่เชื่อมต่อกับทางจักรยาน รวมทั้งการใช้งบประมาณถือว่าคุ้มค่าหรือไม่ ในเชิงวิศวกรรมจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นแผนแม่บทแม่น้ำเจ้าพระยา และการทำอีไอเอศึกษาครอบคลุมและรอบด้านหรือไม่ ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว

ส่วนความเหมาะสมทางวิศวกรรมแม้จะทำได้ทุกอย่าง แต่งบประมาณ เวลา และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการทำอีไอเอที่ใช้เวลาเพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้น เอาข้อมูลอะไรมาใส่ ประเมินกรณีน้ำหลากหรือไม่ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือน้ำทะเลหนุน หากในปี 2554 น้ำลดช้ามากเพราะระบายไม่ออก สิ่งที่น่ากลัวคือ การที่น้ำไหลย้อนกลับ และพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นที่ลุ่มดอน ตรงไหนพื้นที่ต่ำน้ำจะเอ่อได้หมด ประมาณได้หรือไม่ว่าหากมีทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่ไหนจะได้รับผลกระทบ การที่ผู้ศึกษาบอกว่าไม่กระทบนั้น เอาข้อมูลอะไรมาใส่

ส่วนความชอบธรรมของ คสช. ในการก่อสร้างโครงการนี้ สิ่งที่คน กทม. เป็นห่วงมากที่สุด คือ ภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วม ยังไม่รู้ว่าหากมีทางเลียบทางจักรยานจะเกิดอะไรขึ้น คสช. จะตอบคน กทม. ให้ได้ก่อนหรือไม่ และสิ่งที่คน กทม. อยากให้ทำคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะที่ทุกคนใช้ได้ มีการแพทย์ที่ดี มีทางจักรยานที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ได้ ไม่ใช่ที่ต้องขนจักรยานใส่รถยนต์ไปขี่ กทม. ควรไปทำเรื่องที่จำเป็นก่อน

นายสาธิต ดำรงผล ตัวแทนจากชุมชนบางอ้อ กล่าวว่า สิ่งที่ตนเสียใจอย่างหนึ่ง คือ คสช. นำเรื่องทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแผนพัฒนาประเทศ ตนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่กับเรือ อยู่ฝั่งธนบุรี ออกถนนไม่ได้ก็ต้องใช้เรือ มีนักท่องเที่ยวมาดูวิถีชีวิตริมน้ำซึ่งถือเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการค้าขายทางเรือ มีประเพณีทางเรือ แต่พอมีเขื่อนริมแม่น้ำออกมาโดยอ้างว่าป้องกันน้ำท่วม วิถีชีวิตทุกอย่างหายไปหมดแล้ว รวมทั้งมีปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ และเมื่อเพิ่มความสูงของเขื่อน ชาวบ้านริมน้ำเหมือนอยู่บนกำแพงเรือนจำ หากมีถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งลุ่มแม่น้ำจะปั่นป่วนไปหมด สวนเกษตรและสวนผลไม้ล่มสลาย และเสาที่ตอกลงไป ทุกวันนี้ตามท่าเรือขยะตกค้างเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครไปเก็บ รวมทั้งเรื่องความปลอดภัย จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนไร้บ้าน ชาวบ้านจะรักษาความปลอดภัยอย่างไร

นายจุลจักร จักรพงษ์ ศิลปินนักร้อง กล่าวว่า ประเด็นหลักที่สังเกตตั้งแต่ได้ยินเรื่องนี้ คือ ไม่ขอเถียงว่าผลต่อแม่น้ำจะเป็นอย่างไร ประเด็นหลักคือ ความสวยงามของกรุงเทพฯ และเปิดแม่น้ำให้ประชาชน ควรหาวิธีการที่เหมาะสม ประหยัดและเรียบง่ายที่สุด โดยใช้เวลาในการศึกษา ไม่ควรเร่งรีบก่อสร้าง และในเมื่อเป็นเงินจากภาษีประชาชน ทำไมถึงเป็นความลับและคลุมเครือ ในเมื่อโครงการนี้มีผลกระทบหลายอย่าง อีกอย่างหนึ่ง ตนเห็นว่าทิวทัศน์บางจุด ถ้ามองจากฝั่งพระนครไปสู่ฝั่งธนบุรี แทบจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย และมีศาสนสถานทุกศาสนาอยู่ตรงนั้น เป็นสายเชื่อมโยงกลับสู่อดีต เป็นวัฒนธรรมของพวกเรา คนที่อยู่ตรงนั้นเป็นหลักฐานของประวัติศาสตร์ ถ้าเราไม่มีอดีต ถ้าเราตัดตรงนั้นไปเหมือนการปฏิวัติในประเทศอื่นๆ ที่ลบล้างประวัติศาสตร์ออกไป ปฏิวัติทางวัฒนธรรม เราจะเป็นประเทศที่ไม่มีอนาคต เพราะอนาคตต้องถูกสร้างอยู่บนอดีต บนประวัติศาสตร์ และไม่ได้อาศัยแค่ในตึกหรือสร้างขึ้นมาบนคอนกรีต

“ผมมาร่วมกับกลุ่มเพื่อนแม่น้ำด้วยความหวังดี ต่อคนที่อยู่ริมแม่น้ำที่ไม่เคยเปลี่ยนทิวทัศน์ และหวังดีต่อรัฐบาลด้วย ผมเชื่อว่า ยังมีเวลาที่จะถอยได้ จริงๆ โลกมีปัญหาเยอะ แต่บ้านเรามีปัญหาเฉพาะตัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม เรื่องการเมือง ความปลอดภัย ธุรกิจ เศรษฐกิจ ผมว่าเรื่องนี้รอได้ ผมไม่ได้ออกมาต่อต้านโดยสิ้นเชิงว่าไม่ควรจะมีการสร้างอะไรทั้งสิ้น ผมอยากให้ชะลอ พยายามรักษาสิ่งดีๆ ที่เรามี นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนโดยไม่ต้องเอาการเมืองมาเกี่ยวข้อง เราว่ากันเป็นเป็นเรื่องๆ เป็นเรื่องความเป็นอยู่ ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค ไม่ได้เกี่ยวกับอุดมการณ์ ไม่ได้เกี่ยวกับเจตนา แต่ผลกระทบของการกระทำมันคืออะไร แล้วเราไม่ควรที่จะศึกษามากที่สุดเหรอ เพราะฉะนั้น การขอให้ชะลอ หรือการขอให้โปร่งใส ผมว่ามันไม่มากเกิน และผมมีความหวังว่าผู้มีอำนาจจะชะลอ และหันมาฟังพวกเราบ้างก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี” นายจุลจักร กล่าว





























กำลังโหลดความคิดเห็น