พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต่อเนื่องเป็นวันที่ 201 ทุกคนต่างน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ น้อมนำหลักคำสอนมาปรับใช้ในชีวิต
วันนี้ (22 พ.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 201 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางจีราพร บุญประสิทธิ์ อายุ 52 ปี พสกนิกรจาก จ.ชุมพร ได้พามารดา นางสมศรี บุญประสิทธิ์ อายุ 82 ปี เดินทางจากบ้านเกิดโดยรถโดยสารประจำทางเมื่อ 2 วันที่แล้ว และได้มาพักกับลูกสาวนางสาวเมธิสรา พยุงพงษ์ พนักงานธนาคารที่ทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งวันนี้ทั้ง 3 คนก็ได้เดินทางออกจากบ้านพักตอน 7 โมงเช้า และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพเมื่อเวลา 11.30 น. โดยนางจีราพร กล่าวภายหลังที่สักการะพระบรมศพ ว่า มามากกว่า 1 ครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ได้สักการะพระบรมศพ ล้วนเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ และความซาบซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อปวงพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะชาวจังหวัดชุมพรที่พระองค์ได้พระราชทานความช่วยเหลือผ่านโครงการในพระราชดำริ รวมถึงพระเมตตาที่ทรงมีต่อสุนัขทรงเลี้ยงอย่างคุณทองแดง ดังนั้น ทุกวันนี้ตนก็ได้เดินตามรอยเท้าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ด้วยการรับดูแลสุนัขจรจัดมาดูแล
“ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อก่อนที่บ้าน จังหวัดชุมพร ช่วงประมาณเดือนธันวาคม ถึง มกราคม ของทุกปี น้ำจะท่วมบ้านเรือนราษฎรเป็นประจำ บ้านเรือนเสียหายได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ครั้นพอความทุกข์ยากนี้ทราบยังพระเนตรพระกรรณ ก็ได้พระราชทานแนวทางช่วยเหลือผ่านโครงการในพระราชดำริแก้มลิง จนทำให้ทุกวันนี้ที่บ้านและชาวชุมพรไม่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมอีก และทุกวันนี้นอกจากจะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาเป็นหลักในการใช้ชีวิตแล้ว ยังได้แบ่งพื้นที่อีกส่วนหนึ่งภายในบ้านเปิดรับเลี้ยงสุนัขจรจัดที่มีคนนำมาทิ้งไว้ได้ 1 ปีแล้ว จนทุกวันนี้มีสุนัขที่อยู่ในการดูแลมากกว่า 10 ตัวแล้ว เหตุผลที่เราเอาสุนัขจรจัดมาดูแลก็เพราะมีในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นแบบอย่าง เพราะพระองค์ทรงมีพระเมตตากับสุนัขทรงเลี้ยงอย่างคุณทองแดงมาก แม้ว่าคุณทองแดงจะเป็นสุนัขจรจัดก็ตามแต่ก็มิได้ทรงรังเกียจเลย ดังนั้น เราพอมีกำลังทรัพย์และมีแรง เมื่อเห็นสุนัขเหล่านี้ถูกทอดทิ้ง ก็อยากช่วยเหลือให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น”
แม้จะมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หลายครั้งแล้ว แต่วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษเนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง นายอนันต์ คงชื่น ข้าราชการผู้พิพากษา วัย 46 ปี พร้อมด้วยภรรยา นางกิ่งดาว คงชื่น อายุ 45 ปี จึงเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว นอกจากนี้ เจ้าตัวยังบอกว่า ตั้งปณิธานว่าจะมากราบอีกเรื่อยๆ
“ที่ต้องมากราบพระบรมศพหลายครั้ง เพราะผมอยากใกล้ชิดกับในหลวง รัชกาลที่ ๙ ให้มากที่สุด ตั้งแต่ที่พระองค์ท่านยังไม่เสด็จสวรรคต เคยมีโอกาสสูงสุดในชีวิตได้เข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ตอนเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา ที่พระราชวังไกลกังวล จากวันนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จฯใกล้ๆ อีกเลย จนกระทั่งมาถึงตอนนี้จึงตั้งใจว่าจะเข้ามาใกล้ชิดพระองค์ท่านหลายๆ ครั้งให้มากที่สุด สำหรับในส่วนของการทำงานในฐานะผู้พิพากษาซึ่งน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานในวันเข้าถวายสัตย์นั้นว่า....หน้าที่การงานของผู้พิพากษาก็เหมือนทำงานแทนพระองค์ท่าน ดังนั้น ไม่ว่าผู้พิพากษาจะทำสิ่งใดขอให้ระลึกถึงพระองค์ท่านด้วย หากผู้พิพากษาทำอะไรให้ชาวบ้านเดือดร้อนก็หมายความว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน...นี่คือสิ่งที่ตัวเองจดจำและยึดเป็นหลักในการทำงานมาโดยตลอดเวลา” ผู้พิพากษาหนุ่มกล่าว
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการดำเนินชีวิต นายอนันต์ เผยว่า ตัวเองน้อมนำคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาปรับใช้เกือบทุกๆ อย่าง ในบางเรื่องแค่ฟังหรือพูดก็เหมือนจะง่ายแต่เมื่อปฏิบัติแล้วจะไม่ง่ายเลย อย่างคำว่าพอเพียง ฟังแล้วเหมือนง่าย แต่บางครั้งในชีวิตของเราซึ่งมีครอบครัวทั้งลูก ภรรยา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ในบางกรณีเราไม่อาจจะพอเพียงได้ ซึ่งก็พยายามปรับใช้เข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันให้มากที่สุด อาจะไม่ได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
เช่นเดียวกับภรรยา นางกิ่งดาว คงชื่น เผยว่า หลายครั้งที่มาถวายสักการะพระบรมศพแม้ว่าบางครั้งต้องใช้เวลานานนับ 10 ชั่วโมง แต่ก็ไม่รู้สึกท้อใจ ในทางกลับกันเมื่อได้เข้ามาแล้วก็เกิดความปิติในหัวใจไม่ต่างจากประชาชนชาวไทยท่านอื่นๆ และเมื่อถามถึงหลักที่น้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาใช้ เจ้าตัวกล่าวว่าในฐานะแม่บ้าน สามีทำงานคนเดียวต้องดูแลทั้งครอบครัว เธอจึงเน้นรื่องความพอเพียง ความพอประมาณควบคู่กับการรู้จักเก็บออม ทั้งปฏิบัติเองและสอนลูกชาย