รายการ “สภากาแฟ เวทีชาวบ้าน COFFEE TALK” พาไปเปิดใจถึงบ้านชายหนุ่ม “ชยพล ติรณะประกิจ” อดีตเด็กหนุ่มคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนุ่มผู้ถูกกระสุนปริศนาขณะยืนรอรถเมล์หน้าวิทยาเขตนครปฐม จนไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิต
วันนี้ (17 พ.ค.) นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที พิธีกรจากรายการ “สภากาแฟ เวทีชาวบ้าน COFFEE TALK” พาไปพบกับ นายชยพล ติรณะประกิจ หรือโหน่ง อดีตเด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยศิลปากร คณะอักษรศาสตร์ วิชาเอกเอเชียศึกษา ผู้ประสบเหตุจากกระสุนปริศนาหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันช่วยครอบครัวดูแลกิจการขายชิ้นส่วนอะไหล่รถพ่วง เทรลเลอร์ รถดัมป์ ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งขายมานานถึง 20 ปี โดยตนช่วยครอบครัวตั้งแต่ 10 ขวบ ซึ่งมีแบรนด์ร้านบนชิ้นส่วนอะไหล่ C&J โดยแต่ละวันลูกค้าส่วนใหญ่เป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงจะมาซื้ออะไหล่ โดยพ่อเป็นผู้มาเปิดกิจการ และสินค้าส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศไต้หวัน จีน และยุโรป ส่วนในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีผู้ผลิต
ส่วนวันที่เกิดเหตุการณ์จากกระสุนปริศนา เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2554 วันนั้นตนเลิกเรียนเสร็จบ่าย 2 โมง ได้ข้ามถนนมาป้ายรถเมล์ฝั่งตรงกันข้าม เพื่อยืนรอรถกลับบ้าน ประมาณ 5-10 นาที อยู่ดีๆ ล้มลงนอนไปกับพื้น ตัวชาไปทั้งตัว และมีเสียงก้องกังวานอยู่ในหัว ตอนแรกคิดว่ามีอุบัติเหตุอะไรสักอย่างแล้วมากระทบตัวเราจนล้ม แต่ในใจคิดว่าโดนยิง จึงค่อยๆ ชันเข่าขึ้นมาบอกผู้คนแถวนั้นว่า “ผมโดนยิง” ซึ่งตอนที่โดนไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่รู้สึกว่าชาไปทั้งตัว พอมีสติจึงรีบโทรศัพท์หาแม่ แต่พี่ชายรับสายแทน เลยบอกว่าโดนยิงที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย โดนยิงที่หัวไหล่ และร่างกายเริ่มอ่อนล้าลง แต่ใจคิดว่าต้องไม่เป็นไร ต้องกลับไปหาครอบครัวให้ได้
โดยลูกกระสุนปริศนาถูกเข้าที่หัวไหล่ ทะลุปอด ออกกลางหลัง ทำให้โดนเส้นประสาทสันหลัง และเป็นปริศนาที่ทุกคน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบสาเหตุของลูกกระสุนทำให้ตนโดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และหลัง 2 เดือนทางตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยคนร้ายได้ให้การสอบสวนว่ายิงป้องกันตัวจากคู่อริ ด้วยความคึกคะนองของเขาที่ขับรถไล่ล่าคู่อริทำให้กระสุนพลาดมาโดนเราที่ยืนตรงป้ายรถเมล์
ตอนนั้นตนอยู่ปี 2 ต้องหยุดเรียนเพื่อรักษาร่างกายไป 1 ปี โดยทางอาจารย์และผู้ปกครองยินดีให้ตนกลับไปเรียน ตนจึงตัดสินใจกลับเรียนตามปกติ แรกๆ ที่ไปเรียนต้องค่อยๆ ปรับตัวในการใช้ชีวิต และสามารถเรียนจนจบ และวันที่ได้รับปริญญาบัตร สมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จลงมามอบปริญญาบัตรด้านล่างที่ตัวของตน ตนรู้สึกดีใจและภูมิใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้พลังใจสร้างจากตัวเอง และสิ่งสำคัญคือครอบครัว ที่เป็นกำลังใจตั้งแต่เกิดเรื่อง ทำให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อ และมีพี่ชายอีก 2 คนที่คอยดูแล เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยตนได้เล่าเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งทางเพจ แหมม่โพธิ์ดำ ติดต่อมาทางตน เพื่อต้องการนำเรื่องราวของชีวิตของตนไปลงเพจเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่คนอ่าน ซึ่งเรื่องราวของตนที่ถ่ายทอดไปทำให้เป็นกำลังใจให้แก่อีกคนหนึ่งได้
โดยตนหัวใจหยุดเต้นไป 2 ครั้ง หมอต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา อาการตอนนั้นค่อนข้างหนัก และต้องผ่าตัดใหญ่ทั้งที่ปอดและหลัง ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และไม่รู้สึกตัวไปนานหลายวัน พอถึงวันที่ต้องถอดเครื่องช่วยหายใจก็เริ่มมีอาการดีขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าตัวไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ลงไป โดยเมื่อคุณหมอนำเอาเครื่องมือมาสัมผัสร่างกายช่วงล่างก็ไม่มีความรู้สึกเลย และไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ รวมถึงการเดินไม่สามารถเดินได้เหมือนปกติ ต้องนั่งรถเข็นอย่างเดียวในการไปไหนมาไหน หลังจากตอนผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย ตนได้สลบไปถึง 3-4 วัน โดยคุณหมอจะให้ยาเพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บแผล แต่โชคดีที่สมองไม่ได้ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ส่วนที่เจ็บเป็นจากแผลผ่าตัดที่หลังมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันระบบขับถ่ายก็ไม่รู้สึกตัวเช่นกัน ต้องขับถ่ายตามเวลา ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป โดยเรื่องราวครั้งนี้ผ่านมา 6 ปี
ด้านความรู้สึกของคุณแม่ ภควรรณ แซ่แต้ แม่ตกใจอย่างมากเมื่อทราบเรื่อง ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้ ภาวนาให้ฟื้นขึ้นมา โดยทางโรงพยาบาลแรกได้ทำการผ่าตัด แต่ต้องพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยรักษาตัวอยู่เดือนครึ่ง และได้ย้ายไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลธิบดีเป็นเวลาเดือนครึ่ง ซึ่งต้องรักษาตัวทั้งหมดถึง 3 เดือน แม่ต้องคอยเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครไปกลับเสมอ และลูกชายอีก 2 คน จะคอยดูแลร้าน ส่วนคุณพ่อจะเป็นคนคอยดูแลโหน่งทุกวันตลอดการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล คิดในใจว่าลูกต้องฟื้น เพราะเขาเป็นเด็กดี และลูกชายทั้ง 3 คน เป็นเด็กดี เดินทางไปเที่ยวไหนก็จะไปกันทั้งครอบครัวไม่เคยทิ้งกัน
ด้านโหน่ง กล่าวว่า ตอนอยู่โรงพยาบาล ตนรู้ว่ามีครอบครัวคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลา เราต้องนึกเสมอว่าเราห้ามเป็นอะไรมากกว่านี้ สิ่งสำคัญคือกำลังใจในบ้าน เป็นพลังใจจากครอบครัว ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ส่วนเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็จะคอยดูแลช่วยเหลือตนตลอด ปัจจุบันอยู่บ้านก็ยังดูแลตัวเองได้มากยิ่งขึ้น
สุดท้าย “ชยพล ติรณะประกิจ” หรือโหน่ง ได้ฝากข้อคิดกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป สำหรับผู้ท้อแท้หรือสิ้นหวังว่า “กำลังใจอันดับแรกสร้างจากตัวเราเอง ต้องคิดเสมอว่าปัญหานี้อาจจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรา แต่อาจจะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของคนอื่นหนักกว่าของเรา เราต้องต่อสู้ และกำลังใจจากครอบครัว ครอบครัวเป็นกำลังใจที่ดีเสมอมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เรามีรอยยิ้มในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป”