ลูกชายสุดหล่อของผู้ว่าฯ กทม. เปิดใจกับช่องนิวส์วัน เผยชีวิตรักการเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก แม้ครอบครัวจะเบรกให้ไปเรียนหมอ พร้อมแจงแทนพ่อ คาแรกเตอร์ที่ดุแท้จริงแล้วใจดี และคำถามจากสาวๆ ที่ว่า “มีคนรู้ใจหรือยัง” อยากรู้ต้องอ่าน!
รายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ออกอากาศทางช่องนิวส์วัน เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พิธีกรสองสาว “เก๋ - กมลพร วรกุล” และ “นุ๊ก - กรองทอง เศรษฐสุทธิ์” มีโอกาสเปิดใจ “ผู้หมวดเอิร์ธ” ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง ลูกชายคนเล็กของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สำหรับผู้หมวดเอิร์ธ มีพี่น้อง 3 คน คนโต “สารวัตรโอ๊ค - พ.ต.ต.อัษฎาวุธ ขวัญเมือง” สารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6, คนกลาง “อาร์ท - สุกฤษฎิ์ ขวัญเมือง” ทำงานอยู่ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และตนเป็นตำรวจอีกคนหนึ่ง
เขากล่าวว่า เขาโตมากับครอบครัวตำรวจ ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่ในบ้านพักตำรวจ อยู่กับพี่ๆ น้าอาที่เป็นตำรวจทั้งนั้น ก็ย่อมรักตำรวจเป็นเรื่องธรรมดา ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก โดยมีพี่ชายนำไปก่อน เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รู้สึกว่าเท่มาก ตำรวจทหารใส่ชุดแน่นๆ เลยคิดตั้งแต่เด็กเลยว่า “อยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ”
“เมื่อเห็นการทำงานของพ่อที่ทำเพื่อประชาชน ทำแล้วประชาชนชื่นชม ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อคนอื่น ก็เลยอยากเป็นตำรวจในตอนนั้นเลย” ผู้หมวดเอิร์ธ กล่าว
ผู้หมวดเอิร์ธ กล่าวว่า พ่อและแม่เคยขอ ตอนที่จะไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ว่า “ไม่สอบได้ไหม” อยากจะให้ไปเรียนพวกหมอ หรืออื่นๆ ตอนนั้นการเรียนค่อนข้างจะโอเค ก็อยากให้ทำอาชีพอื่น เพราะว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมห่วงลูก อยากจะให้ทำอาชีพที่ไม่ต้องมาเสี่ยงหรือลำบาก ทำงานที่สบายกว่านี้
แต่เมื่อพิธีกรสาวบอกว่า เมาท์กันว่าที่อยากให้หมวดเอิร์ธไปเรียนหมอ เพราะว่าผลการเรียนเก่งมาก คุณแม่ถึงขนาดให้หมวดเอิร์ธอ่านหนังสือสอบ ตอนนั้นก็ไม่ยอมอ่านหนังสือสอบ เขากล่าวว่า ตอนนั้นแม่เขาอยากจะให้เราอ่านหนังสือเยอะๆ เราก็ตั้งใจเรียนตลอด ก็บอกว่า “แม่ไม่ต้องยุ่งกับเอิร์ธเลยดีกว่า เดี๋ยวเอิร์ธอ่านเอง” เพราะผลการเรียนได้เกรด 4 ตลอด ถ้ามากกว่า 4 เดี๋ยวว่ากัน
บางทีเราก็ตั้งใจเรียนแล้ว พ่อแม่ก็อยากให้อ่านหนังสือเยอะๆ เพราะว่าเขาไม่เห็นเวลาที่เราเรียน เห็นเวลาที่เราอยู่บ้านและพักผ่อนอย่างเดียว ก็เลยชอบแซวว่าให้ไปอ่านหนังสือ แต่ก็เรียนพยายามทำให้ดีที่สุด บางทีก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์
เมื่อถามถึงคราวที่คุณพ่อกลายเป็นพ่อเมือง ไปจัดระเบียบอย่างเช่น ทางเท้า ดูดุมาก ภรรยาก็ขรึมๆ ถามว่า ครอบครัวเป็นอย่างไร หมวดเอิร์ธ บอกว่า จริงๆ ครอบครัวนี้ใจดีมากๆ คุณพ่อเป็นคนง่ายๆ อย่างเมื่อก่อนผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีรถนำขบวน มาคราวนี้เลยสั่งว่า “ไม่ต้องมานำกู ถ้าเกิดกูดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะดูแลประชาชน” แล้วยังเป็นคนที่กินง่าย อยู่ง่าย ไม่เคยที่ถ้าจะต้องพบผู้ว่าฯ ต้องนัดคิว
“แกถือคติว่าต้องเข้าถึงประชาชน เพราะเป็นคนของประชาชน ฉะนั้นแล้ว คุณพ่อดุคงไม่ใช่ แต่บางเรื่องในการทำงานก็ต้องค่อนข้างเข้ม เพราะ กทม. มันมีหลายเรื่องที่ค้างคามานาน เพราะฉะนั้นแกจะเข้มและไม่ยอมถ้าประชาชนและสังคมเสียหาย การทำงานจึงเข้มงวด” ผู้หมวดเอิร์ธ กล่าว
ถามว่า ตอนเป็นตำรวจ กับเป็นผู้ว่าฯ กทม. อันไหนเหนื่อยกว่ากัน ผู้หมวดเอิร์ธ กล่าวว่า ที่เหนื่อยต้องยกให้เป็นช่วงที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. เพราะงานไม่ได้จบ ตำรวจเหนื่อยเฉพาะช่วงที่ตามคดี ถ้าจับโจรแล้วก็ปิดคดี ทุกเช้าตื่นมาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรได้เพื่อสังคม เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯ มีชีวิตที่ดีขึ้น การทำงานจึงต้องคิดว่าจะทำอะไรดี หาข่าวตลอดว่าประชาชนต้องการอะไร และทำอย่างไรให้ชีวิตกรุงเทพฯ ดีขึ้น
แต่ถึงกระนั้น ในช่วงที่เป็นตำรวจ คุณพ่อจะให้ความสำคัญกับครอบครัว สมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ว่าจะเลิกงานเวลาใด จะต้องกลับบ้านเพื่อพูดคุยกับลูก ตอนนี้แม้งานหนักก็จริงแต่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา จึงหนักไปในทางความคิด การบริหารคนมากกว่าลงมือลงแรง จึงได้เจอกันตลอด
ถามว่า เห็นคุณพ่อประสบความสำเร็จแล้ว อยากจะเป็นแบบคุณพ่อไหม เขากล่าวว่า “คิดอย่างเดียวว่าอยากจะทำอะไรเพื่อสังคม อะไรที่เราจะทำแล้วคนจะได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นมากกว่างานตำรวจก็อยากทำ เพราะคิดว่าความที่เราได้เปรียบ เรามีความพร้อมในหลายๆ ด้าน คุณพ่อสนับสนุนในหลายๆ ด้าน ถ้าเกิดเราทำเต็มที่เพื่อประชาชน ประชาชนจะได้รับประโยชน์มากๆ และความเป็นคนรุ่นใหม่ เราเข้าใจประชาชนได้มากในบางมุม อย่างเช่น การเกิดของโซเชียลมีเดีย คนอายุ 60 ปีขึ้นไป บางทีจะไม่เข้าใจในมุมนี้ ถ้าเกิดผมสามารถทำอะไรได้ผมก็อยากจะทำ คิดอะไรอนาคตไม่รู้ คิดอย่างเดียวว่าอยากจะทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่สังคม”
ถึงกระนั้น แม้จะเป็นลูกชายผู้ว่าฯ หน้าตาดีขนาดนี้ แต่เขากล่าวว่า ไม่ชอบออกสื่อออกอะไรมาก คิดอย่างเดียวว่าถ้าจะออกก็คือ เราทำอะไร อย่างเช่น ออกเรื่องการทำงานเพื่อสังคม อันนั้นโอเค แต่ถ้าไปออกในเรื่องดารา เรื่องกอซซิปก็ไม่ชอบ ไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าเป็นเรื่องโครงการที่ทำเพื่อสังคม เพื่อเยาวชนจะชอบมาก รู้จักในตัวตนของเรา มากกว่านามสกุลอะไร
ถามถึงไลฟ์สไตล์ส่วนตัว เขากล่าวว่า ชอบทำงานอะไรเพื่อสังคม อย่างล่าสุด ช่วงประชาชนมาสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ให้นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 69 ไปช่วยแจกน้ำ บริการประชาชน แต่ไลฟ์สไตล์ส่วนมาก ถือคติเต็มที่กับชีวิต ทำงานเต็มที่ พักผ่อนก็เต็มที่ ชอบเที่ยวไปออกต่างจังหวัด ชอบไปทำอะไรที่มันมีความสุข แต่เรื่องงานต้องทำตลอด ไม่หยุดในการหาความรู้ตลอด มีการอ่านหนังสือ ติดตามข่าวสาร เรียนรู้จากคนเก่งๆ คนที่มีความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำต่างๆ หรือแม้กระทั่งคุณพ่อสอนตลอด การใช้ชีวิตของผมก็คือ หนึ่ง ใช้ชีวิตให้เต็มที่ สอง เรียนรู้อยู่เสมอ และสาม พักผ่อนให้เต็มที่
ปิดท้าย ... อาจมีสาวๆ สงสัยว่า มีคนรู้ใจหรือยัง เจ้าตัวตอบแบบเขินๆ ว่า “เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า ตอนนี้ก็มีมาบ้าง คุยกันไป แต่สิ่งที่อยากทำ คิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรที่จะสร้างชื่อเสียง สร้างเกียรติยศ และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ยังอายุน้อยอยู่ 23 ปี“